ร่ายริษยา (กานติมา) (EBOOK)

ร่ายริษยา (กานติมา) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 999999
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 400.00 บาท 100.00 บาท
ประหยัด: 300.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

จากใจผู้เขียน (ในการพิมพ์ครั้งที่2)

          “ร่ายริษยา” เป็นนวนิยายแนวเมโลดราม่า ที่บางเรื่องราว บางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องอาจทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า “เกินไป”  ผู้เขียนมองว่าเป็นการสะท้อนจิตเบื้องลึกของมนุษย์ผู้มีความรัก โลภ โกรธ หลง ให้ชัดเจนขึ้น และเพื่อความสนุกสนานของเนื้อเรื่อง ที่ผู้เขียนได้สร้างสถานการณ์ต่างๆไว้ชวนให้ติดตามและให้ผู้อ่านได้เอาใจช่วย  ในที่สุดคนดีที่ถูกทำร้ายก็มีวิธีที่จะให้บทเรียนกับคนใจร้ายจนถึงที่สุด และแม้ว่าจะเสนอความร้ายกาจของคนที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน แต่สุดท้ายผู้เขียนยังคงให้ข้อคิดแก่ผู้อ่านว่าคนเรา “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นั้นเป็นจริงเสมอไม่ช้าก็เร็ว

            ขอบพระคุณสำนักพิมพ์แสงดาว ที่มองเห็นคุณค่าของนวนิยายเรื่องนี้ จัดพิมพ์เพื่อความสุขของผู้รักการอีกวาระหนึ่ง

 

                                                                        “กานติมา”

 

 

“ผมไม่แก้...สองครั้งก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว”

“ก็เนื้อเพลงมันไม่สื่อว่าเราจะขายแป้งเย็นอโลฮ่าเลยนี่คุณอินทัช พูดถึงแต่ความรัก ความละมุนบ้าอะไรก็ไม่รู้”

บวรเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เมื่ออินทัชนักแต่งเพลงชื่อดังของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่สุดในยามนี้ ไม่รีบรับปากรับคำที่จะแก้ไขงานให้ลูกค้าอย่างเอาอกเอาใจ แต่กลับยอกย้อนทั้งสีหน้าและวาจาโดยไม่รู้จักเกรงใจใคร ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์อย่างบวรต้องเสียเวลาในการบริหารงานอย่างอื่น มาตกลงกับนักแต่งเพลงเองแทนที่เรื่องทุกอย่างจะตกเป็นหน้าที่ของเอเจนี่ที่รับจ้างทำงานนี้

“ผมขอให้คุณแก้เนื้อเพลงอีกครั้งอย่างไม่มีเงื่อนไข ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณจะเป็นนักแต่งเพลงที่แต่งให้ศิลปินคนไหนในค่ายของคุณเป็นต้องดังคับฟ้ายังไง ผมต้องการเนื้อเพลงที่เอ่ยถึงชื่อแป้งเย็นของผมทุกครั้งที่คุณบอกถึงความเย็น ความหอม ความสดชื่น”

“แต่มันขาดศิลปะ มันเป็นการยัดเยียดให้คนดูคนฟังมากเกินไป”

“ก็ผมต้องการอย่างนั้นนี่ ผมเป็นเจ้าของเงินนะ ในเมื่อเจ้าของเงินต้องการคุณเป็นผู้รับจ้างทำไมจะทำไม่ได้”

“แต่ผมไม่ต้องการทำงานที่ขาดศิลปะ ยุคนี้เขาไม่นิยมกันแล้วไอ้ที่ทั้งเพลงมีแต่ชื่อของสินค้าน่ะ ถ้าคุณต้องการเนื้อเพลงแบบนั้นก็เอาเงินของคุณไปจ้างคนอื่นทำก็แล้วกัน ผมไม่ทำ!”

อินทัชพูดจบก็กระชากแฟ้มเนื้อเพลงที่ถูกบวรโยนไว้กลางโต๊ะประชุมตั้งแต่แรกนั้นกลับมา ทุกคนในที่ประชุมอีกสองสามคนมองหน้ากันเลิกลั่ก

รัชนีหน้าตาตื่นเมื่อเห็นว่าอินทัชไม่ยอมทำงานตามความต้องการของลูกค้าของหล่อน หญิงสาวในฐานะเออีของโปรดักชั่นเฮ้าส์ที่มาติดต่อและบอกรายละเอียดเนื้อหาและทำนองเพลงแบบที่อยากได้ไปประกอบภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ เกรงว่าลูกค้ารายนี้จะหลุดมือไปจึงรีบบอกกับทุกคนว่า

“ไม่เป็นไรค่ะดิฉันพูด...”

ยังไม่ทันที่หล่อนจะพูดจบอินทัชก็หันมามองหน้าหล่อนแววตาเข้ม

“คุณรัชนีไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ผมไม่ทำ”

“ดี! ไม่ทำก็ไม่ต้องทำ นึกว่าเก่ง นึกว่าตัวเองเป็นเทวดาอยู่คนเดียวหรือไง อั๊วไปจ้างเอเจนซี่อื่น จ้างนักแต่งเพลงค่ายอื่นก็ได้โว้ย” บวรฉุนเฉียวไม่เก็บกิริยา

“ก็ไปซิวะ” อินทัชตอบกลับอารมณ์เดียวกัน

“ว้าย...คุณบวรขา...ดิฉันว่าใจเย็น ๆ นะคะ อีกสักวันสองวันเราค่อยประชุมกันใหม่ดีมั้ยคะ เผื่อคุณอินทัชแก้ไขได้...นะคะ”

“ส่งแขก” บวรหันไปสั่งการกับเลขาฯ ของเขา

 

พออินทัชออกมาจากลิฟต์ ขยับจะเดินเข้าห้องทำงานของเขาซึ่งอยู่ปีกตึกด้านที่สามารถมองเห็นบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้เป็นบริเวณกว้าง ผู้จัดการทั่วไปที่ดักรออยู่ด้วยความร้อนใจรีบบอกเขา

“อินทัช!! มาคุยกันหน่อยซิ เรื่องมันเป็นยังไง ทางเบสท์เอเจนซีถึงได้โทร.มาหาผมให้วุ่นไปหมด”

กว่าจะเดินถึงห้องส่วนตัวของผู้จัดการหนุ่มใหญ่ อินทัชก็ต้องผ่านสายตาของหนุ่ม ๆ สาว ๆ บรรดาเจ้าหน้าที่ธุรการอีกนับสิบชีวิต ทุกคนรู้หมดว่าอินทัชถูกลูกค้าโทร.มารายงานความประพฤติ

พอหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ได้อินทัชก็ถูกสอบสวนทันที

“มันเรื่องอะไรคุณถึงได้ไปโยนแฟ้มใส่หน้าคุณบวร แล้วไปตวาดเขาอย่างนั้น คุณรู้มั้ยว่าเบสท์เอเจนซีต้องชวดงานใหญ่ไปหนึ่งงาน เพราะคุณไม่ยอมแก้ไขเพลงตามใจลูกค้า”

“เอ๊ะ...ใครบอกจีเอ็มครับว่าผมโยนแฟ้มใส่หน้าคุณบวร”

“ก็...คนที่เบสท์น่ะซี่”

“ยัยรัชนีพูดอย่างนั้นเหรอครับ ยัยนี่ปากมอมตอแหลนะจีเอ็ม ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย ก็แค่...”

เขาเล่าความจริงที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ผู้จัดการทั่วไปหรือที่บรรดาพนักงานเรียกจีเอ็มกันจนติดปาก ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และค่อนข้างพอใจกับเนื้อเพลงของอินทัช

“มันก็...ดี...ใครไม่เอาเราก็เอาไว้ทำเพลงให้ศิลปินค่ายเราก็ได้...แต่ที่คุณไประเบิดอารมณ์ใส่ลูกค้าของเอเจนซีอย่างนั้นมันไม่ถูกต้องนะอินทัช มันเสียหายไปหมดทั้งเขาและเรา คุณเหมือนมือระเบิดเลยนะ โยนไปแล้วใครจะตายเกลื่อนยังไงก็ช่าง แต่คุณสะใจ คุณพอใจ อย่างนี้มันไม่ได้นะ”

“แล้วยังไงครับ ความผิดของผมมันถึงขั้นไหนล่ะจีเอ็ม พิพากษามาเถอะครับ” อินทัชเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก

“ใจเย็น ๆ อินทัช เรื่องนี้บอสรู้แล้วนะ...วงสวิงเป๋ไปเลย ดีที่ไม่สลบคาสนามกอล์ฟกับเหตุการณ์ที่ลูกน้องของบอสกลายเป็นชนวนสงครามเล็ก ๆ นี้...ผมว่าหลายวันมานี้คุณดูหงุดหงิดงุ่นง่านมากเลยนะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า คุยกับผม เผื่อจะทำให้คุณดีขึ้น”

อินทัชนิ่งคิดแค่เสี้ยวนาทีก็บอกว่า

“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ...จีเอ็มจะลงโทษผมยังไงผมก็ยอมรับทั้งนั้นแหละ แต่อย่าให้ผมแก้เนื้อเพลงให้ลูกค้ารายนี้ละกัน...ลาขาดเลย”

“ไม่ถึงขั้นลาขาดหรอกเพราะปีนี้บอสมีโครงการจะออกอัลบั้มใหม่ให้ศิลปินเก่าอีกตั้งสามคน แล้วยังจะปั้นนักร้องใหม่อีก ขาดนักแต่งเพลงมือทองอย่างคุณไปได้ยังไงล่ะ...บอสบอกมาว่าให้คุณลาพักร้อนได้สองสัปดาห์”

“โอ้โฮ ผมนี่โชคดีจังเลยนะครับจีเอ็ม”

“คนดีมีฝีมือก็งี้แหละ คุณก็ไปเที่ยวพักผ่อนให้สบายใจ แต่งเพลงไปด้วยก็ได้...แต่สองสัปดาห์ที่ได้พักเราไม่จ่ายเงินเดือนเต็มเดือนนะ ถือว่านี่เป็นการลงโทษ ส่วนเรื่องเพลงของลูกค้ารายนี้ผมจัดการเอง”

อินทัชแค่นยิ้ม และกล่าวขอบคุณก่อนจะบอกลา เมื่อกลับเข้ามาที่ห้องทำงานของเขาซึ่งมีเพื่อนร่วมห้องอีกสามคนซึ่งเป็นระดับหัวหน้าแผนกทั้งนั้น เพื่อน ๆ ต่างถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แทนที่จะตอบเพื่อนอินทัชกลับระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อนร่วมห้องอีก

“ไม่รู้เรื่องของคนอื่นสักเรื่องจะตายมั้ย...อยากรู้เรื่องอะไรไปถามจีเอ็มโน่น” เขาเก็บโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกระดาษ โยนลงตะกร้าขยะอย่างไม่สนใจว่ามันจะลงหรือไม่ลง เพื่อนร่วมห้องต่างหลบหน้าเข้ามุมของตัวเองไม่มีใครอยากตอแย

 

ระหว่างขับรถกลับบ้าน อินทัชพยายามคิดทบทวนว่าเขาเป็นอะไรนักหนา ถึงได้หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกเช่นนี้ แม้งานแต่งเพลงจะไม่ยุ่ง เพราะเขาแต่งเพลงสะสมไว้มากพอสมควรแล้ว รอเวลาที่จะมาเลือกให้เหมาะสมกับคอนเซ็ปต์และกับตัวศิลปินเท่านั้น หรือหากจะมีแก้ไขเนื้อเพลงบ้างเขาคิดว่ามันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว

แต่กับลูกค้าที่เรื่องมาก ไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพในความคิดของคนอื่น เขาไม่อยากร่วมงานหรือทำงานให้เอาเสียเลย แก้งานครั้งสองครั้งไม่ว่า แต่ในชีวิตการทำงาน เขาไม่เคยถูกขอหรือสั่งให้แก้งานเป็นครั้งที่สามเลยสักที

เมื่อนึกถึงปัญหาที่กรุ่น ๆ อยู่ในใจ มาสามสี่วันนี้เขาคิดว่ามีเพียงเรื่องที่คุณทำนุผู้เป็นพ่อพูดถึงเรื่องแต่งงานกับเขาอย่างจริงจัง ทั้ง ๆ ที่เมื่อสามสี่เดือนก่อนก็เคยพูดมาแล้ว เขายังจำบรรยากาศการคุยกันวันนั้นได้ดี

“อายุแกก็ใกล้สามสิบแล้วนะอินทัช ที่พ่อเห็นแกคบผู้หญิงนานที่สุด และพ่อก็ว่าเหมาะสมกับแกที่สุดก็คือมุกริน ถึงฐานะทางครอบครัวของคุณปราโมทย์กับคุณราตรีจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่เขาก็มีเชื้อสายเป็นพวกผู้ดีเก่า ตระกูลเขารับราชการกันทั้งนั้น และสองคนนั้นก็เลี้ยงดูสั่งสอนมุกรินมาค่อนข้างดี”

“ใช่ลูก...แม่ว่าหนูมุกน่ะเป็นเด็กดี มีสัมมาคารวะ มีน้ำใจด้วยนะ ไปมาหาสู่เราเสมอ เวลาเขาไปทำสารคดีต่างจังหวัดเขาก็จะมีข้าวมีของมาฝากเราอยู่ไม่ได้ขาด สมัยนี้แม่ว่าผู้หญิงที่มีความรู้ มีหน้าที่การงานดี กิริยามารยาทดีอย่างนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ นะ” คุณอำภาเห็นพ้องต้องกันกับสามีทุกอย่าง

“แหม...แม่ครับ ผมคบกับมุกแบบเพื่อน เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่เราไม่ได้คิดอะไรกันถึงขนาดจะแต่งงานกันได้หรอกครับ”

“แต่พ่อว่ามุกรินน่ะคิดถึงขั้นนั้นนะ”

“คุณคะ...แม่ว่าเราไปทาบทามหนูมุกจากคุณปราโมทย์กับคุณราตรีไว้ก่อนก็ดีนะ เพราะเขาเองก็รู้ว่าลูกเขาคบหาลูกเราอยู่” คุณอำภาเสนอ

อินทัชรีบโวยวายขึ้นทันที

“อย่าทำอย่างนั้นนะครับแม่...พ่อครับ ผมยังไม่คิดจะหาห่วงมาผูกคนนะครับ ผมยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตใคร ผมยังไม่รู้สึกรักใครมากขนาดที่จะอยากร่วมชีวิตด้วย ผมว่าเรื่องแบบนี้ถึงเวลามันก็มีมาเอง บางทีพบแล้วผมรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นใช่ ผมก็อาจจะตกลงปลงใจแต่งงานเลยก็ได้”

“แล้วถ้าเป็นคนไม่ดีล่ะ” คุณทำนุทำเสียงขุ่น ๆ และสรุปแบบเผด็จการว่า

“เอาเป็นว่าพ่อกับแม่จะทาบทามให้ก็แล้วกัน ส่วนแกก็คุยกับมุกรินซิ ว่าจะตกลงปลงใจกันเมื่อไหร่”

“โอ๊ย...โอ๊ย พ่อครับ อย่าเพิ่งทำอะไรนะครับ ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้รู้สึกกับมุกถึงขนาดนั้น อย่าฝืนใจผมนะ ไม่งั้นพ่อจะเสียผู้ใหญ่”

“แกก็อย่าทำให้พ่อเสียผู้ใหญ่ซี่”

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผม ว่าผมจะทำอะไรให้พ่อเสียคน แต่มันขึ้นอยู่กับว่า พ่อเริ่มต้นทำอะไรในสิ่งที่ไม่ควรกับผมมากกว่านะ...ขอร้องเถอะ อย่าคิดเรื่องมีลูกมีเมียของผมได้มั้ย ถึงเวลาผมจะบอกพ่อกับแม่เองว่าคนไหนคือคนที่ใช่สำหรับผม”

เขาทำเสียงดุหน้าดุใส่พ่อแม่ด้วยความหงุดหงิดขัดใจที่จะถูกมัดมือชก และหลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่า เห็นทีเขาจะต้องไปทำความสะอาดตกแต่งคอนโดฯ ที่เขาซื้อไว้ให้สมบูรณ์แบบเสียที เพื่อเป็นที่พักอีกที่หนึ่งของเขา จะได้ห่าง ๆ จากผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ความคิดเรื่องการมีครอบครัวของเขาจะได้ซา ๆ ไปจากความรู้สึกของผู้ใหญ่ทั้งสองบ้าง

พออินทัชไม่กลับมานอนที่บ้านสองสามวัน คุณทำนุก็ค่อนว่าอีก

“หรือแกไปแอบมีลูกมีเมียไว้ที่ไหนหรือเปล่าไอ้เจ้าทัช”

“ถ้าผมอยากให้พ่อกับแม่ช็อกผมก็คงทำอย่างนั้น...ผมไม่มีใครหรอก แต่ช่วงนี้อยากสมองโปร่ง ๆ เพื่อจะได้ทำงานคล่อง ๆ ถ้ามีเรื่องทำให้ผมหงุดหงิดผมแต่งเพลงไม่ออก ลูกค้าให้แก้งานเพลงประกอบโฆษณา ผมอยากทำให้เขาให้ดีที่สุด ผมขอร้องพ่อกับแม่ อย่ากวนใจผมเลยนะครับ”

เขารู้ว่าเขาพูดแรง แต่ก็ได้ผลที่ทั้งพ่อและแม่ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เมียง ๆ มอง ๆ อยู่ว่าเขาทำอะไร เขาคุยโทรศัพท์กับใคร แม้จะหงุดหงิดแต่ก็ไม่อยากจะใส่อารมณ์กับคนทั้งสอง เขารู้ดีว่าพ่อกับแม่เหงา เพราะเพิ่งเกษียณจากราชการกันทั้งสองคน และด้วยความที่ออกจะเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง ชอบไปรู้สึกขวางหูขวางตากับผู้คนทั่วไป จึงทำให้ทั้งสองไม่ค่อยมีความสุขความพอใจกับการออกไปเที่ยวนอกบ้านหรือไปร่วมกิจกรรมใด ๆ สำหรับผู้สูงอายุ

“ฉันสองคนยังไม่แก่ขนาดจะต้องไปทำอะไรกิ๊ก ๆ ก๊อก ๆ กับพวกคนแก่ตามชมรมต่าง ๆ  หรอกนะ ใครอยากจะคุย อยากจะมาเยี่ยมฉันก็มาซี่ ฉันไม่จำเป็นต้องออกไปหาใคร” ผู้เป็นพ่อเคยบอกเขาอย่างนั้น

ดังนั้นคนทั้งสองจึงค่อนข้างพึงพอใจที่มุกรินมักจะแวะเวียนมาเยี่ยม มากินข้าวเป็นเพื่อน หรือมาช่วยหยิบโน่นจับนี่ในวันที่หล่อนว่าง

 

มุกรินจับมือกับแพรใจ เจ้าของ ‘แทนรักรีสอร์ท’ ที่นำทีมคนงานเกือบสิบชีวิตมาตั้งแถวส่งแขกอันเป็นลูกค้าสิบกว่าชีวิตที่มาเข้าคอร์สธรรมชาติบำบัดกับทางบ้านแทนรัก

“ขอบคุณนะคะคุณแพรใจที่อำนวยความสะดวกในการถ่ายทำสารคดีให้กับทีมงานอะเมซิ่งมีเดียตลอดสัปดาห์”

“ดิฉันก็ต้องขอบคุณคุณมุกรินที่สนใจทุกโครงการของแทนรักรีสอร์ทของเราและกรุณามาเก็บข้อมูลเรื่องราวของที่นี่เพื่อไปเผยแพร่สู่สาธารณชนต่อไป”

เมื่อแขกขึ้นเรือไปหมดแล้ว แพรใจยังคงนั่งเล่นอยู่ที่ท่าเรือเล็ก ๆ ที่ทอดยาวลงไปในทะเล แดดยามเช้าอบอุ่น สายลมอ่อน ๆ โชยมา ผมยาวสยายของเธอเล่นลมส่งกลิ่นหอมกรุ่น หญิงสาวอิ่มเอมใจกับความสำเร็จที่คอร์สนี้แขกของเธอที่มาเข้าโครงการธรรมชาติบำบัดมีความสุขความสบายใจ และมีพลังที่จะกลับไปผจญภัยกับชีวิตในเมืองหลวงของพวกเขา โดยที่ไม่มีใครก่อปัญหาให้เธอต้องแก้ไข

ด้วยวัยเพียง ๒๕ แต่แพรใจดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบสูงเกินวัย มีความคิดอ่านที่เฉียบคม และมีความตั้งใจจริงที่จะทำให้แทนรักรีสอร์ทของเธอเป็นมิติใหม่แห่งการมาพักผ่อนหย่อนใจของผู้มาเยือน

สองปีที่แล้วที่นี่เป็นเพียงรีสอร์ทที่ดำเนินกิจการเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่หนีความวุ่นวายมาเที่ยว มาใช้บริการที่พักและอาหารการกินเท่านั้น มาอยู่กันกลุ่มละวันสองวันก็จากไป ทั้ง ๆ ที่เมื่อนับย้อนไปเกือบสิบปีที่แล้ว ปวีร์ผู้เป็นเจ้าของเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้เคยดำเนินธุรกิจแทนรักรีสอร์ทให้เป็นสถานที่พักผ่อนแบบโฮมสเตย์ตามนโยบายของเจ้าของเกาะตัวจริง สมัยนั้นแพรใจยังเป็นเพียงนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ช่วยเหลือธุรกิจเล็ก ๆ ของครอบครัวก็เพียงหยิบโน่นจับนี่นิด ๆ หน่อย ๆ

แต่แล้วแทนรักรีสอร์ทก็ต้องเปลี่ยนแปลงการให้บริการเป็นเพียงให้เช่าที่พักขายอาหารการกิน ไม่ได้มีโครงการโฮมสเตย์ให้กับแขก เพราะปวีร์ผู้ดำเนินโครงการเสียชีวิตลง เบญจาผู้เป็นภรรยาไม่มีทั้งกำลังกายและกำลังใจที่ทำให้เหมือนที่สามีเคยทำต่อไปได้

นพดลผู้ที่ถูกปวีร์และเบญจาเอามาเลี้ยงเป็นลูกชายตั้งแต่เขายังเล็ก ๆ ตัดสินใจหยุดการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยไว้แค่ปีสอง มาช่วยแม่ดำเนินงาน และเพื่อให้แพรใจไปเรียนมหาวิทยาลัยที่หาดใหญ่อย่างไม่ต้องกังวลกับธุรกิจ จนเธอจบทางด้านวิทยาการจัดการและวิชาโทจิตวิทยา เธอเอาความรู้ทั้งสองอย่างมาประยุกต์และปัดฝุ่นโครงการที่พ่อเธอเคยทำไว้ผนวกกัน อีกทั้งยังศึกษาโครงกาธรรมชาติบำบัดจิตใจของต่างประเทศหลาย ๆ ประเทศจนได้ข้อสรุปว่า

การให้ความเป็นธรรมชาติแก่มนุษย์เป็นการให้พลังงานกับร่างกายที่เหนื่อยล้ามากับกิจกรรมในชีวิตประจำวันของพวกเขา และเป็นการเติมไฟในใจแก่มนุษย์ผู้ถูกสังคมยุคใหม่ สังคมเมืองบีบคั้น

สองปีที่ผ่านมาแพรใจ เบญจาและนพดลได้รับจดหมายมากมาย ซึ่งล้วนเป็นคำขอบคุณจากลูกค้าที่ได้รับสิ่งที่ประทับใจจากที่นี่ และได้มีการแนะนำลูกค้าคนอื่น ๆ ให้มาใช้บริการธรรมชาติบำบัดที่นี่นับร้อยชีวิต บางคนเป็นนักพิสูจน์บางคนเป็นสื่อมวลชนเล็ก ๆ แต่ก็กรุณาเขียนถึงเรื่องแทนรักรีสอร์ทด้วยพื้นที่เล็ก ๆ ในสื่อของเขา บางคนให้คำแนะนำเพิ่มเติมมาอย่างมีน้ำใจ

เบญจาเดินมาตามสะพานที่มั่นคงแข็งแรงนั้นเมื่อเห็นว่าลูกสาวนั่งทอดอารมณ์อยู่นานแล้ว สาวใหญ่วัย ๔๐ ปลาย ๆ นั่งลงข้าง ๆ ลูกสาว ผิวคร้ามของเบญจานั้นทำให้เธอดูแก่กว่าวัยไปมาก แม้แพรใจจะเคยขอร้องให้แม่ใช้เครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณบ้าง แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะเบญจาไม่ยอมใช้

“แม่เห็นแพรนั่งอยู่นานแล้วไม่ยอมเข้าบ้านสักที พี่นพเขารอทานอาหารเช้าอยู่นะ...คิดอะไรอยู่ล่ะแพร”

“อ๋อ คิดแบบปลื้ม ๆ น่ะจ้ะแม่”

“ปลื้มกับอะไร” คนถามยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ลูกสาว

“ปลื้มกับสิ่งที่เราทำไงคะ คราวนี้รายการทีวีบ้านเรามาถ่ายทำสารคดีโครงการธรรมชาติบำบัดของแทนรักรีสอร์ท อีกหน่อยที่นี่ก็จะเป็นที่รู้จัก และเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการของเรา...ถ้าพ่ออยู่พ่อจะได้เห็นว่ามันรุ่งเรืองขึ้นกว่าสมัยก่อนโน้นมาก”

“ก็สมัยก่อนพ่อเราทำแบบไม่ได้มีการศึกษาเพิ่มเติมจากเมืองนอกมากนักนี่ เขาก็ทำไปตามที่เจ้าของเกาะนี้คิดอยากทำ อีกอย่างหนึ่งความเข้าใจในภาษาไทยปนจีนปนอังกฤษของพ่อเราก็อาจจะผิดเพี้ยนไปบ้างตอนฟังเจ้าของเกาะอธิบายน่ะ”

“เจ้าของเกาะนี้เขาเป็นคนที่คิดอะไรได้ยาวไกลจังเลยนะคะแม่...เขารู้ได้ยังไงว่าวันหนึ่งข้างหน้าคนเรามันจะเครียด วิตกกังวล สับสนกับชีวิตและความคิดของตนเองจนต้องมาหยุดความยุ่งยากนั้นด้วยวิธีการคืนสู่ธรรมชาติแบบนี้”

“คุณช้างเขาเป็นนักธุรกิจที่ไปมาแล้วรอบโลก เขาเก่งมาก แล้วก็น้ำใจประเสริฐมากเลยนะ”

“ค่ะประเสริฐมากที่ยกเกาะนี้ให้ครอบครัวเราดำเนินกิจการตามแนวทางของเขา เรามีกินมีใช้ในขณะเดียวกันเราก็มีส่วนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ใจของพวกเขา แม้ว่าเราจะยังช่วยไม่ได้มาก ปีละเกือบร้อยคนแค่นั้น”

“แค่นี้เราก็ปลื้มมากแล้วนี่ สงสัยว่าวันนี้จะไม่ยอมกินอาหารเช้าฝีมือนพดลซะละมั้ง” เบญจาแซวลูกสาวยิ้ม ๆ แล้วฉุดมือหญิงสาวให้ลุกขึ้น

สองแม่ลูกเกี่ยวก้อยกัน และคุยกันถึงความปลาบปลื้มที่ต่างก็อยากให้ผู้ริเริ่มและผู้สานต่อที่ไม่มีโอกาสได้พบกันได้รับรู้ถึงความสำเร็จทุกครั้ง

“เอ๊ะ แม่คะ คุณช้างนี่เราจะพบเขาได้ยังไง”

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ในชีวิตนี้แม่ก็ได้พบเขาแค่ครั้งเดียว...พ่อหนูช่วยเขาขึ้นมาจากทะเล พามาดูแลรักษาที่บ้านอยู่สองสามวัน จากนั้นพวกลูกน้องเขาก็มารับตัวไปขึ้นเรือลำใหญ่ที่กลางทะเล แล้ววันหนึ่งพ่อของหนูก็บอกว่าเราจะย้ายออกจากบ้านเช่าไปอยู่บ้านของเรา...ตอนนั้นแพรแค่สองขวบเองนะ”

หลังจากที่ปวีร์ได้ให้ความช่วยเหลือนักธุรกิจต่างชาติคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า”ช้าง” แล้ว คุณช้างก็ยกเกาะแทนรักนี้ให้ปวีร์ดำเนินธุรกิจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เลี้ยงครอบครัว

“สองสามปีคุณช้างเขาก็แวะมาเยี่ยมทีหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ลงมาที่เกาะหรอก เขาจอดเรือใหญ่ของเขาไว้กลางทะเล แล้วให้ลูกน้องเอาเรือเล็กมารับพ่อเราไปพบ แม่ก็ไม่กล้าตามไปด้วยได้แต่ฝากอาหารไทยที่แม่ทำสุดฝีมือไปให้ เขาเองก็ฝากของดี ๆ มาให้แม่แล้วก็ให้ลูก ส่วนใหญ่เขามาตอนที่ลูกไปโรงเรียน”

“จนกระทั่งพ่อตายไปแล้ว เขาก็ไม่ได้แวะมาหาพ่อ”

“เจ็ดแปดปีแล้วละ เขาอาจจะ...เอ้อ...ไม่เอาละแม่ไม่อยากคิดร้ายกับผู้มีพระคุณกับครอบครัวเรา ก็ภาวนาขอให้เขาสุขภาพแข็งแรง มีความสุขสบายดีก็แล้วกัน”

“ไปทานข้าวกันเถอะค่ะแม่ ทางฝั่งส่งข่าวมาว่าอีกไม่กี่วันจะส่งรายชื่อลูกค้าชุดใหม่มาให้อีกสิบคน...เรามีงานใหญ่ต้องทำกันอีกแล้ว”

“ฮื่อ...คราวนี้มีลูกค้ามาเร็วนะ ได้พักแค่อาทิตย์เดียวเอง”

ทั้งสองเดินกลับสู่ตัวเรือนหลังใหญ่ที่นพดลยืนยิ้มแป้นรออยู่ ชายหนุ่มผิวเข้มร่างสูงใหญ่มองผู้เป็นน้องสาวด้วยแววตาอ่อนโยน เบญจารู้ดีว่านพดลนั้นรักและหวงแพรใจผู้เป็นน้องสาวมาก...มากกว่าความเป็นพี่ชาย เขายอมให้กับผู้เป็นน้องทุกอย่าง

“แพร ทานข้าวเสร็จเราไปบูรณะจุดชมวิวกันมั้ย”

“ทำยังไงล่ะพี่นพ”

“ก็คงต้องแบ่งคุณนายตื่นสายจากแปลงหน้าเรือนพักใส่กระบะไปปลูกแทรกไว้ในโขดหิน สร้างภาพให้คนเขาคิดว่ามันเกิดขึ้นมาเองนั่นแหละมั้ง”

“ไม่ต้องไปทำหรอกพี่นพ เอาไว้ให้สมาชิกกลุ่มใหม่ที่จะมาอาทิตย์หน้านี้มีกิจกรรมร่วมกันดีกว่า”

“โห...ใช้แรงงานลูกค้าอีกแล้ว” นพดลแซว แพรใจหัวเราะเสียงใสและว่า

“เราก็ใช้แรงงานพวกเขามาตลอดสองปีอยู่แล้วนี่พี่นพ เราต้องเก็บไว้เป็นกิจกรรมของพวกเขา ขืนเราทำเองหมด ทั้งเกาะนี้ก็ไม่มีมุมไหนให้เขาได้บูรณะเพื่อความภาคภูมิใจของเขาน่ะซี่...เราไม่ได้เอาเปรียบลูกค้านะ แต่เรารอให้พวกเขามาช่วยสร้างแทนรักรีสอร์ทของเราให้เป็นอย่างที่พวกเขาอยากให้เป็น”

“ชุดใหม่ที่จะมานี่จะมีพวกคุณหญิงคุณชายมาด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคราวก่อนโน้นคุณหญิงคุณชายมา เธอแตะอะไรก็ไม่ได้ กลัวผิวเสีย กลัวมือเลอะ”

“แต่ก็เจอฤทธิ์วาทะของแพรใจจนทิ้งมาดคุณหญิงคุณชายกันได้ภายในสองวัน”

แพรใจยิ้มกริ่มด้วยความปลาบปลื้มใจที่สามารถโน้มน้าวใจให้คนที่มาจากต่างระดับสังคม ฐานะ และชนชั้นกลายเป็นคนในระดับเดียวกันได้ ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมโครงการกัน

แพรใจอ่านรายชื่อที่ได้รับจากเอเย่นต์จากฝั่งและประวัติคร่าว ๆ ของคนเก้าคนด้วยความสนใจ แต่ก็ติดใจคนสุดท้ายที่ทางเอเย่นต์เขียนไว้เพียงว่านายอิน...ข้อความข้างหลังทั้งหมดอ่านไม่ออกเพราะมันถูกข้อความอื่นทับไปหมดแล้ว

นพดลเยี่ยมหน้าเข้ามาในออฟฟิศซึ่งเป็นเรือนไม้เดี่ยวเล็ก ๆ ตั้งโดดเด่นคั่นกลางระหว่างเรือนพักของครอบครัวเธอกับเรือนไม้ใหญ่ที่จัดไว้เป็นเรือนพักของลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการ ชั้นบนซอยไว้เป็นสิบห้องเล็ก ๆ ชั้นล่างที่เป็นใต้ถุนมีห้องครัว ห้องเอนกประสงค์โล่ง ๆ สำหรับใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าจะเป็นที่นั่งจับกลุ่มคุยแลกเปลี่ยนทัศนะกัน หรือทำงานฝีมือ แล้วแต่ว่าจะใช้สำหรับกิจกรรมใด ส่วนห้องน้ำนั้นแยกออกไปเป็นเรือนเล็ก ๆ อยู่ไม่ห่างเรือนพัก

“แพรบ่ายพรุ่งนี้เราขึ้นฝั่งกันมั้ยจ๊ะ”

“พี่นพจะไปทำอะไรคะ”

“พี่อยากให้แพรไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ บ้างน่ะ ครึ่งปีแล้วนะที่แพรไม่ยอมซื้ออะไรใหม่ ๆ ให้ตัวเองเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่นพ เสื้อผ้าแพรมีเยอะแยะแล้ว ถ้าพี่นพจำเป็นจะต้องไปซื้ออะไรก็ไปเถอะ นัดเรือไว้หรือไง”

“ก็กะว่าจะติดเรือที่เขามาส่งลูกค้าไปน่ะ”

“อ้าว แล้วจะกลับมาที่เกาะยังไง กว่าเขาจะกลับฝั่งก็เย็นพอดี ปกติเวลามีลูกค้ามาเข้าโครงการพี่นพไม่เคยทิ้งแพรไปไหนไม่ใช่เหรอ...เอ๊ะหรือว่านัดสาวที่ฝั่งไว้”

แพรใจแซวผู้เป็นพี่ชาย นพดลทำหน้าเจื่อนๆ เดินเข้ามาเท้าโต๊ะก้มมองหน้าหญิงสาวและพูดเสียงอ่อนโยน แต่จริงจังว่า

“พี่สัญญากับพ่อแม่และกับตัวเองว่าจะดูแลแพรอย่างดีที่สุดเพราะฉะนั้นพี่ก็ไม่มีที่ว่างในหัวใจไว้สำหรับใคร นอกจากแพร...จำไว้นะจ๊ะ”

แพรใจงุนงงกับคำพูดของพี่ชาย แต่ก็แกล้งทำเสียงอ้อนว่า

“ถ้าพี่นพไม่มีธุระอะไรก็อยู่ต้อนรับลูกค้ากับแพรก่อนนะเอาไว้วันไหนที่โปรแกรมที่เราจัดให้ลูกค้าไม่ยุ่งยากมากนักเราค่อยไปกัน”

ใบหน้าคร้ามนั้นยิ้มจาง ๆ ให้กับผู้เป็นน้องสาวก่อนจะผละไป ปล่อยให้แพรใจหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่คนเดียว ถึงจะเติบโตมาด้วยกัน และเธอก็เคารพรักเขาเหมือนพี่ชายที่คลานตามกันออกมา แต่ที่นพดลบอกความนัยอย่างนี้เธอฟังแล้วไม่สบายใจเลย


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (75 รายการ)

www.batorastore.com © 2024