เมืองผีดิบ (ไพบูลย์ พันธุ์เมือง)

เมืองผีดิบ (ไพบูลย์ พันธุ์เมือง)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: เมืองผีดิบ
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 180.00 บาท 117.00 บาท
ประหยัด: 63.00 บาท ( 35.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ที่มาของเมืองผีดิบ

 

            ปี พ.ศ.  ๒๕๓๒ อันเป็นปีที่เกิดพายุไต้ฝุ่น “เกย์” ที่อำเภอปะทิว ชุมพร  ผมยังรับราชการเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนบ้านดอนทราย  อำเภอปะทิว  วันหนึ่งผมไปประชุมที่สำนักงานกลุ่มชุมโค  ทุกครั้งที่มีการการประชุมหรืออบรมไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เมื่อใดสำหรับผม  มันคือความน่าเบื่อหน่ายและชวนง่วงหาวนอนเป็นที่สุด   เพราะผู้เป็นวิทยากรต่างมักพูดไม่เอาไหน  และตั้งใจแต่จะยัดเยียดเนื้อหาให้ครูฟัง  ทว่าการประชุมในวันนั้น มีศึกษานิเทศก์ ผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ นางสาวสารภี  ศรีสังข์  ศึกษานิเทศก์ ๗  สำนักงานการศึกษาพื้นฐาน  จังหวัดชุมพร  มาเป็นวิทยากรอยู่ด้วย 

พอถึงคิวเธอพูด เธอคงกลัวว่าครูจะเบื่อถ้าหากเริ่มด้วยเนื้อหาวิชาการ  เธอจึงปลุกครูให้ตื่นด้วยข้อความว่า...ตอนนี้เขาลือกันว่ามีผีดิบสองตัว  ตัวผู้เกิดที่นครศรีธรรมราช ตัวเมียเกิดที่ประจวบคีรีขันธ์  ทั้งสองตัวนัดมาพบสมจรกันที่ชุมพร  เพื่อแพร่พันธ์ผีดิบ และจะเข้าไปดูดเลือดคนตามบ้านทุก ๆ บ้าน  ที่อยู่ในเส้นทางผ่าน  บ้านใดที่ไม่อยากให้ผีดิบเข้าบ้าน  ให้ปลูกพืชผักสวนครัว หรือพืชสมุนไพร  ให้ถือศีลห้า และอย่าออกเที่ยวกลางคืน...

แล้วเธอก็จบการพูดลงดื้อ ๆ หันไปบรรยายวิชาการต่อ

            แต่ผมไม่ยอมจบ  พอประชุมวิชาการกันเสร็จสิ้น  ผมไปขอให้เธอเล่าอีก  แต่เธอบอกว่าเธอได้ยินมาแค่นั้น  ขณะที่ผมกลับรู้สึกสว่างวาบขึ้นในหัว  เมื่อพิจารณาสังคมรอบๆ ตัว  แล้วก็เห็นว่าเรื่องที่เธอเล่ามันเป็นปริศนาธรรม และผมเห็นด้วยทันทีว่า  เมืองที่ผมอยู่ก็คือ เมืองผีดิบ  มีผีดิบอยู่รอบ ๆ ตัวและไม่ว่าผมจะก้าวย่างไปทางไหน  ผมก็มองเห็นผีดิบปรากฏกายอยู่ทั่วทั้งในโรงเรียน วัด สถานีตำรวจ ที่ว่าการอำเภอ โรงพยาบาล สถานที่ราชการ  และบนถนนหลวงทุก ๆ แห่ง...

บ้านที่อยู่ข้าง ๆ บ้านผม ทุก ๆ เช้าของวันที่ 15 และ วันที่ 1 ของเดือน  จะมี “สมาชิกขบวนการผีดิบ”  ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้าน  แล้วชาวบ้านซึ่งเป็นสมาชิกก็ ยินยอมให้ดูดเลือด(หยาดเงื่อแรงงาน)ไป  ใครที่มีรายได้มากก็ถูกดูดไปมาก ใครมีรายได้น้อยก็ถูกดูดไปน้อย วนเวียนซ้ำ ๆ ซาก ๆ กันอยู่ชั่วนาตาปี  จนหลายคนตายไปโดยไม่มีสิ่งที่พวกเขามุ่งหวังว่า ‘จะได้’ เกิดขึ้นเลย 

แต่ทุกคนก็ยังยินยอมพร้อมใจให้ “ขบวนการผีดิบ” ดูดเลือดไปด้วยความเต็มใจ บางคนหลงใหล คลั่งไคล้ ยอมให้ดูดจนหมดตัว หมดบ้าน หมดที่นา ที่สวน โดยไม่รู้สึกว่าตนเป็นสมาชิกของขบวนการผีดิบไปแล้ว  ทั้งชีวิต ทั้งชาติ และผีดิบบางตัวยังแฝงกายมาในเครื่องแบบของตำรวจ ข้าราชการ หมอ พยาบาล ครู และพระอลัชชี… 

ผมมองแล้วได้แต่นึกอนาถใจ  และจากความรู้สึกดังกล่าว  ทำให้ผม เขียนนิยายเรื่อง “เมืองผีดิบ”  ขึ้น และขอเรียนว่า “ผีดิบ” ในเรื่องนี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์  หากท่านอ่านโดยพิจารณา ท่านอาจมองเห็นธรรมะที่ผมต้องการบอกชี้  แต่ถ้าอ่านโดยไม่ถอดความท่านอาจจะได้  ความสนุกสนานเหมือนการอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง หรืออาจจะน่าเบื่อก็สุดแต่มุมมองของแต่ละท่าน ผมมิบังอาจไปชี้นำ

ขอขอบพระคุณ อาจารย์สารภี  ศรีสังข์ ที่จุดประกายความคิดให้ผมแต่งเรื่องนี้ขึ้น

                                                ไพบูลย์  พันธ์เมือง

 

เขียนเมื่อปี ๒๕๓๔  ตีพิมพ์ในนิตยสารญาณวิเศษ  เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘  แต่ลงได้เพียง ๑๔ ตอน  หนังสือโดนพิษฟองสบู่เลยหยุดเสียก่อน ต่อมาได้ตีพิมพ์จนจบ ๔๔ ตอนในนิตยสาร แรงบุญแรงกรรม และสำนักพิมพ์บรรณกิจ พิมพ์รวมเล่ม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙

 

เมืองผีดิบ

 

.

 

ฆาตกรรมประหลาด                                                               

 

ฝนตกมาตั้งแต่เช้าจน ๒ ทุ่มก็ยังตกพรำๆ อยู่ไม่หยุด

บนถนนลาดยางอันทอดยาวไปสู่ตัวอำเภอทิวสน  สองฟากถนนเป็นสวนผลไม้เงาะ มังคุด ทุเรียนและยางพารา  ผู้ใหญ่เพชร  ผดุงธรรม ชายวัย ๕๐ กำลังเดินมาอย่างเร่งรีบ ปรกติทุกๆ คืน บ้านเรือนที่อยู่สองฟากถนนจะมีแสงไฟ  แต่คืนนี้บ้านทุกหลังมืดและเงียบ ผู้ใหญ่เพชรไม่ได้เตรียมไฟฉายติดตัวมา เนื่องจากเป็นคืนข้างขึ้น ๑๐ ค่ำ ที่ดวงจันทร์แฝงดวงอยู่ในม่านเมฆ  แกจึงพอจะมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบด้านเป็นภาพเงาสลัว ๆ ไม่ถึงกับมืดเสียทีเดียว

ห่างจากจุดที่ผู้ใหญ่เพชรกำลังเดินออกไปราว  ๑๐๐  เมตร  ถนนตัดขึ้นเขาชื่อเขา “ช่องกรวด”  เป็นช่องเขาคดโค้ง มีหุบเหวและผาชัน มีต้นไม้รกปกคลุมมืดครึ้มแม้ตอนกลางวัน  เมื่อหลายปีก่อนมีการฆ่ากันตายอยู่บ่อย ๆ ฆ่าแล้วก็โยนศพทิ้งลงเหว หรือฆ่ากันที่อื่นแล้วเอาศพมาทิ้งลงเหวที่นี่ ทำให้ลือกันว่าตรงนั้น‘ผีแรง’  มีผู้ถูกผีหลอกจนจับไข้หัวโกร๋น บางคนถึงกับล้มตาย ไม่จำเป็นไม่มีใครกล้าเดินผ่านคนเดียว แต่ผู้ใหญ่เพชรไม่เคยเจอจึงไม่กลัว แต่ตอนนี้มีข่าวลือ…

มีผีดิบสองตัว ตัวผู้เกิดที่นครศรีธรรมราช ตัวเมียเกิดที่ประจวบคีรีขันธ์ นัดมาพบกันเพื่อสมจรและแพร่พันธุ์ผีดิบที่จังหวัดชุมพร ใครไม่อยากให้ผีดิบเข้าบ้าน จะต้องปลูกพืชผักสมุนไพรไว้ในบ้านทุกๆ บ้าน

แกไม่เชื่อข่าวลือ แต่เมื่อต้องมาเดินอยู่บนถนนในที่เปลี่ยวคนเดียว แกอดที่จะเหลียวหน้าเหลียวหลัง  มองซ้ายมองขวาไม่ได้ อีกประมาณ ๒๐๐ เมตรจะถึงบ้าน 

พลันมีกลิ่นสาบสางโชยมา… 

และท่ามกลางความสลัวมัวมน ผู้ใหญ่เพชรเห็นใครคนหนึ่ง กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางแก แกไม่รู้ว่าคนดีคนร้าย จึงรีบหลบเข้ากำบังพุ่มไม้ข้างทาง แกเห็นร่างนั้นเพียงเสื้อผ้าที่มันนุ่งห่มว่ามีสีเทาๆ  และเดินตัวแข็งทื่อดุจหุ่นยนต์

พอมันเลยไป แกออกจากหลังพุ่มไม้ แล้วอดไม่ได้ที่จะย่องตามไปดู ตามหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านของแก และยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งเหม็นจนแทบจะทนไม่ไหว ส่วนมันไม่สนใจว่าใครกำลังเดินตามหลัง

“จะรีบไปไหนค่ำๆ มืดๆ หยุดคุยกันหน่อยซีคุณ” 

แกลองเรียกให้หยุด ร่างนั้นหยุดแล้วค่อย ๆ หันมา

ªªªª

 

บ้านไม้ชั้นเดียวไม่มีใต้ถุน ปลูกอยู่บนเนินเตี้ย ด้านซ้ายของถนนที่ทอดยาวไปสู่ตัวอำเภอทิวสน มีแสงตะเกียงและเสียงพูดแบบเสียงบ่นดังออกมา

“ปิดประตูใส่กลอนให้ดีนะแจ๋ว ไม่ต้องเปิดไว้รอพ่อหรอก เดี๋ยวพ่อมาเรียกแล้วค่อยเปิด” เป็นเสียงของหญิงวัยกลางคน

“หนูปิดลงกลอนตั้งนานแล้วล่ะแม่ มัวๆ ฝนอย่างนี้ใครจะกล้าเปิด เดี๋ยวก็...”   เสียงเด็กสาววัยรุ่นพูดแล้วขยักไว้ไม่พูดต่อ

“ไฟฟ้าบ้านเรานี่แย่ที่สุด พอฝนตกหน่อยละก็ต้องดับทุกที บางคนว่าไฟฟ้าทิวสนอย่าได้เห็นฝน แค่ฝนมืดมัวมาไม่ทันตกยังชิงดับก่อนเลย” เสียงเด็กชายพูด

“ที่ไฟฟ้าดับเพราะพวกสวนต่าง ๆ ที่ปากทางท่าแซะ  ไม่ยอมให้ตัดต้นไม้ที่อยู่ในแนวสายไฟ  พอลมพัดมากิ่งยาง กิ่งเงาะ ทางมะพร้าวก็ไประสายไฟ ทำให้ไฟมันช็อร์ต ฟิวส์มันก็ตัดทำให้ไฟดับ” เสียงเด็กสาวรุ่นพูดอีก

“พวกเจ้าของสวนเห็นแก่ตัว เขามาสร้างสวนไว้แต่ตัวเขาไปทำมาค้าขายอยู่ในตลาด… ไฟฟ้าที่นี่ดับแต่ในเมืองไม่ดับเขาก็ไม่เดือดร้อน” เสียงเด็กชายพูด

 “พ่อมัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ค่ำมืดป่านนี้แล้วยังไม่มา” เสียงหญิงวัยกลางคนบ่น

“นั่นซี พ่อออกไปตั้งแต่ก่อนหกโมง น่าจะกลับมาตั้งนานแล้ว ยิ่งตอนนี้มีข่าวไม่ดี เดี๋ยวไปเจอพวกนั้นเข้าหรอก…” เป็นเสียงเด็กชาย

“แกหมายถึงเรื่องที่เขากำลังลือกันนั่นใช่ไหม?” เสียงสาวรุ่นถาม

“ฮื่อ ก็จะมีเรื่องไหนอีกล่ะ ช่วงนี้ใครๆ ก็พูดกันแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว ทุกบ้านเลยปิดประตูกันแต่หัวค่ำ ตอนนี้มันมาถึงบ้านเราหรือยังไม่รู้ เขาว่ามันชอบออกเดินเวลาฝนตกหนัก อากาศมืดๆ มัวๆ หรือไม่ก็กลางคืน กลางวันมันกลัวแดด” เสียงเด็กชายพูดแบบกลัวๆ

“ลูกพูดเรื่องอะไร” เสียงหญิงวัยกลางคนถาม

“ก็ เรื่องที่เขาลือกัน ที่โรงเรียนครูยังเอามาเล่าให้เด็กๆ ฟัง ครูบอกว่าอย่าออกจากบ้านเวลากลางค่ำกลางคืน ถ้าจำเป็นให้ไปกับผู้ใหญ่” 

“มันเดินบนถนนหรือเปล่า ทำไมคนขับสิบล้อไม่เอารถชนมันให้ตาย จะได้ไม่มาถึงบ้านเรา” เสียงเด็กชายถาม

“เคยมีคนขับรถชนมัน จนกระดูกแตกหักเป็นท่อนๆ พอเขาขับรถเลยไป มันก็ประกอบขึ้นเป็นร่างใหม่เหมือนเดิม มีคนยกพวกไปรุมตีมันจนร่างของมันเละขาดเป็นชิ้นๆ แต่พอคนพากันผละไปมันก็กลับเหมือนเดิมอีก เขาว่าใครทำยังไงมันก็ไม่ตาย

“แต่บางคนพูดว่าหลวงแกล้งสร้างข่าวลือ เพื่อให้คนกลัวแล้ว จะได้อยู่กับบ้านกับช่อง ไม่ออกไปเที่ยวกลางคืนจะได้ขยันทำการงาน เพราะคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยทำอะไร จะกินอะไรมีแต่ซื้อ ๆ ๆ ฝากปากท้องไว้กับตลาดไม่เคยคิดปลูกทำเอง ถ้าคนขยันปลูกพืชผักสวนครัวจะช่วยในเรื่องเศรษฐกิจ และความยากจนในครอบครัวได้มาก ...”

“ที่บ้านตาชุ่มขี้เกียจกันทั้งบ้าน” เด็กชายขัดก่อนพี่สาวจะพูดจบ “ตาชุ่ม ลูกชาย ลูกสาว ลูกเขย ลูกสะใภ้ไม่เคยปลูกอะไรเลยสักต้น งานการก็ไม่ทำ” 

“ลูกอย่าไปว่าเขา เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าเอาไปบอกบ้านเราจะเดือดร้อน” เสียงหญิงผู้เป็นแม่ปราม

“ถ้าข่าวนั่นเป็นจริง บ้านเราก็ปลอดภัย เพราะเราปลูกพืชสมุนไพรและผักสวนครัว ไว้ครบทุกอย่าง” เสียงเด็กชายพูดอีก 

“แต่... ถ้ามันเจอพ่อเข้าระหว่างทางล่ะ พ่อจะสู้มันได้หรือ?”  เป็นเสียงของเด็กหญิง

 

ªªªªª

 

            ป๊อก!  ป๊อก! ป๊อก! 

            “แจ๋ว จ้อย เปิดประตูรับพ่อด้วย!”

เมื่อประตูบ้านเปิด  ผู้ใหญ่เพชร  ผดุงธรรม  รีบก้าวเข้ามาในบ้าน และรีบปิดประตูใส่กลอนบนล่างแล้วหันไปสำรวจกลอนหน้าต่างทุกช่อง กลอนตัวใดลงไม่สนิทแกลงใหม่ มีบางช่องที่ไม่ค่อยแข็งแรงแกหาลวดมาผูก

            “พ่อทำราวว่ากับหนีใครมา” ลูกสาวถาม ขณะที่นางจันทน์ ผู้เป็นภรรยาถือตะเกียงมายืนส่องหน้าสามี

            “เปล่า พ่อไม่ได้หนีใคร…” ผู้ใหญ่เพชรหลบสายตาทุกคู่ที่จ้องมา

            “แล้วทำไมพ่อหอบ” เด็กชายจ้อยถาม

            “อ๋อ… เมื่อตะกี๊พ่อไล่มูสัง” 

มูสังคืออีเห็น หรือ ชะมด ที่ชอบมาจับไก่ในคอกกินตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะทำรังนอนอยู่บนเซิงเถาไม้ที่รกทึบ

            “พี่กินข้าวมาหรือยัง” นางจันทน์ผู้เป็นภรรยาถาม

            “กินที่บ้านพี่พร้อมแล้ว ที่มามืดก็เพราะพี่พร้อมแกชวนกินข้าว จะปฏิเสธก็เกรงใจ” 

พูดจบหันมากล่าวกับลูกๆ ทั้งสองคน

            “คืนนี้ใครปวดฉี่ปวดอึ ถ่ายใส่กระโถนอย่าออกไปนอกบ้าน”

พูดแล้วผู้ใหญ่เพชรนึกตำหนิตัวเองที่หัวโบราณ ไปทำส้วมไว้นอกบ้าน ไม่เอาอย่างคนสมัยใหม่ที่ทำส้วมไว้ในบ้าน 

            “พ่อเจอมันแล้วหรือ?” ลูกชายถาม ภรรยา ลูกสาว และลูกชาย ต่างสงสัยในอากัปกิริยาของแก พากันจ้องหน้าจะเอาคำตอบ

“เปล่า!  แต่ฝนตกๆ อย่างนี้พวกขโมยมักชอบฉวยโอกาส พ่อเลยป้องกันไว้ก่อน ลูกไปนอนเถอะ”

            เป็นที่รู้ ๆ กันในระหว่างลูกๆ และภรรยาว่า ถ้าผู้ใหญ่เพชรบอก ‘ไม่’ ละก็ ใครอย่าได้ไปเซ้าซี้ซักถาม  แต่จะบอกเองเมื่อถึงเวลา ทุกคนจึงไม่กล้าซักอีก

ªªªªª

 

          เช้าวันรุ่งขึ้น...

ฝนหายตั้งแต่กลางดึกแต่ฟ้ายังมัวๆ อยู่  ผู้ใหญ่เพชรตื่นตั้งแต่ฟ้าพอสางๆ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันและอาบน้ำเสร็จ จึงสวมเสื้อผ้าชุดที่พร้อมจะออกจากบ้าน ขณะยืนหวีผมอยู่หน้ากระจก ภรรยาแกเดินเข้ามาถามว่า

“จะรีบออกไปดูร่องรอยเมื่อคืนใช่ไหมล่ะ?”

“เด็กๆ ยังไม่ตื่นกันหรือ?”  ผู้ใหญ่เพชรกลับย้อนถาม

“วันนี้วันเสาร์ ปล่อยมันสักวันเถอะ เมื่อคืนมันคงกลัวกันจนนอนไม่หลับ พี่ไปกินข้าวต้มเสียก่อนเถอะก่อนจะออกไปน่ะ”

“พวกลูกๆ รู้หรือว่าพี่ไปเจออะไร?”

“ก็เดาเอา ตอนหัวค่ำที่พี่ออกไปมันก็พูดกัน ตกลงว่าพี่เจอมันแล้วใช่ไหม?”

“ใช่ พี่ฟันมันหลายทีแต่ไม่เข้าจึงต้องวิ่งหนี ดีที่มันไม่ตามมาถึงบ้านไม่งั้นยุ่ง” 

แล้วผู้ใหญ่เพชรก็เล่าว่า “พี่เห็นมันเดินออกจากบ้านตาชุ่ม จึงถามแต่มันไม่พูด มันเดินเข้าหาพี่ยื่นสองมือมาตรงหน้า พี่เห็นท่าไม่ดีรีบถอยหลัง เอามีดพร้าขึ้นแกว่ง ตะเพิดให้มันหยุด มันไม่พูดแล้วก็ไม่สนใจมีดพร้าในมือพี่ สองมือยื่นมาทำท่าจะตะปบคอพี่…”

“พี่เห็นหน้ามันชัดมั้ย”

“มองไม่ถนัดหรอก ยิ่งมัวฝนด้วย”

“แล้วพี่ทำไง?”

“ก็ฟันสวนออกไป ดังพ่อด ๆ เหมือนฟันถุงผ้า ร่างมันหยุ่นๆ จนมีดกระเด้งกลับ มีดที่พี่ลับไว้คมกริบทำอะไรมันได้เลย มันยังเดินทื่อเข้าหา พี่ฟันไปอีกหลายทีก่อนตัดสินใจออกวิ่ง” 

 

บ้านนายชุ่มเงียบเหมือนยังไม่มีใครตื่น ผู้ใหญ่เพชรเดินสำรวจรอบๆ บ้านแล้วเรียกแต่ไม่มีใครขาน จึงผลักประตูเข้าไปแล้วแกก็ผงะกับภาพที่เห็น 

๒ ชั่วโมงต่อมา...

ผู้ใหญ่เพชร กำนันพร้อม พ.ต.ท.พรหมพงศ์ อิทธิเดช  สารวัตรใหญ่ สภ.อ. ทิวสน หมออนามัย ปลัดอำเภอ และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสี่ห้านาย พากันมาที่บ้านนายชุ่ม ไทยมุงจากบ้านใกล้เคียง พวกขับรถจักรยานยนต์รับจ้างและรถกระบะแห่กันมาดูนับร้อยคน

ในกระท่อมของนายชุ่มมีผู้ตายทั้งหมด ๘ ศพ เป็นผู้ชาย ๓ ผู้หญิง ๕ แต่ไม่มีศพเด็ก หมอจำนง สาธารณสุขอำเภอลงความเห็นว่า ตายมาประมาณ  ๘-๙  ชั่วโมง ทุกศพเหมือนนอนหลับตายเพราะไม่มีแผลตามเนื้อตัว มีแต่จุดแดงๆ ๒ จุดที่เส้นเลือดใหญ่ข้างลำคอ ทุกศพเหลืองซีดเหมือนไม่มีเลือด

“รอยแผลคล้ายถูกกัดด้วยเขี้ยวตรงเส้นโลหิตใหญ่ แล้วดูดเลือดไป”  หมอจำนงกล่าวกับสารวัตรใหญ่

พ.ต.ท.พรหมพงศ์ พยักหน้าก่อนถามว่า

“คนที่อาศัยอยู่ในบ้านนี้มีใครเหลือรอดอยู่บ้าง”

“มีเจ้าแดงลูกชายนายหยองกับนางโสภี อายุสองขวบเหลืออยู่คนเดียวครับ” ผู้ใหญ่เพชรตอบ

“หมอตรวจดูร่างกายเด็กหรือยัง มีแผลอะไรตรงไหนบ้างหรือเปล่า?” สารวัตรใหญ่ถามหมอจำนง

“ไม่มีแผลหรือรอยอะไรเลยครับ เด็กสบายดี” หมอจำนงตอบ

“แล้วเจ้าหนูนั่นจะอยู่ยังไงต่อไปในเมื่อคนในบ้านตายหมด” สารวัตรใหญ่ถามอีก

“นางเยื้อน บ้านหนองเงิน ขอรับไปเลี้ยงดูครับ นางเยื้อนรักเจ้าแดงเพราะเธอไม่มีลูก เธอยินดีจะอุปการะเจ้าแดง ปรกติเจ้าแดงก็ไปเล่นอยู่ที่บ้านของนางเยื้อนเป็นประจำ” กำนันพร้อมตอบ

“ต้องให้นางเยื้อนไปทำหลักฐาน ที่ฝ่ายประชาสงเคราะห์ ขอรับอุปการะและเลี้ยงดูเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ให้ถูกต้องตามกฎหมาย จะได้ไม่มีปัญหาทิ้งขว้างเด็กขึ้นมาในภายหลัง” พ.ต.ท.พรหมพงศ์ สารวัตรใหญ่แนะนำ

“ทำไมเจ้าแดงจึงรอดมาได้วะ เห็นว่ามันนอนอยู่กับศพ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นใครตาย เพิ่งมาร้องและตกใจเอาตอนเห็นคนมากันมากๆ นี่เอง หรือว่าเลือดเด็กมันไม่อร่อย”  

ผู้คนที่มามุงดูต่างวิพากษ์วิจารณ์  แต่ทันใดนั้นพลตำรวจนายหนึ่งก็เข้ามายืนชิดเท้าทำความเคารพสารวัตรใหญ่ แล้วรายงานว่า

“พบคนตายแบบนี้อีก ๔ ศพที่บ้านบางเสียบครับ”

บ้านบางเสียบอยู่ในเขตตำบลทิวสน ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปประมาณ ๕ กิโลเมตร

 

ªªªªª

 

ศพทั้ง ๑๒ ศพถูกนำมาบำเพ็ญกุศลรวมกันที่วัดเนินเขา ข้างที่ว่าการอำเภอ  เพราะทั้ง ๒ ครอบครัวตายยกบ้านกลายเป็นศพไม่มีญาติ  นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้านท้องที่  ต้องเข้าช่วยร่วมกันเป็นเจ้าภาพตั้งศพสวดให้ในศาลาที่เดียวกัน   

ผู้คนต่างโจษขานและเริ่มเชื่อกันว่า  ศพทั้ง ๑๒ ศพเป็นฝีมือของ “ผีดิบ” ที่ออกมาอาละวาดตามข่าวลือ เพราะที่บ้านบางเสียบเด็กอายุ ๒ และ ๓ ขวบ ๔ คนอยู่ในบ้านปลอดภัยขณะที่พวกผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายหมด

ชาวบ้านที่รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งที่บ้านนายชุ่ม  ตีนเขาช่องกรวดและบ้านนายเฉยตีนเขาบางเสียบ ต่างยกเอาคำเล่าลือที่ว่า… ใครไม่อยากให้ผีดิบเข้าบ้าน จะต้องปลูกพืชผักสมุนไพรไว้ในบ้านทุกบ้าน

 

พิธีสวดศพหมู่เพิ่งจะเริ่มขึ้นเป็นคืนแรก ตอนหัวค่ำนายอำเภอ สารวัตรใหญ่ และข้าราชการระดับหัวหน้าหน่วยงานในอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน มาร่วมในพิธีมากกว่าร้อยคน ส่วนหนึ่งมาเพราะอยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแน่  พอได้ความรู้แล้วจึงต่างพากันกลับ และกลับไปลั่นดานปิดประตูอย่างแข็งแรง  เพราะกลัวว่าจะถูกผีดิบบุกเข้าไป  

เหมือน ๒ ครอบครัวตัวอย่าง...

การป้องกันที่ว่าให้ปลูกพืชผักสมุนไพร หรือปลูกพืชผักสวนครัว ซึ่งในตอนแรกไม่มีใครเชื่อและให้ความสนใจ มาตอนนี้ทุก ๆ บ้านต่างยินดีปฏิบัติ  เพราะปรกติเรื่องข่าวลือเหลวไหล  ผู้คนในชนบทมักเชื่ออยู่แล้ว ดังจะเห็นได้จากที่มีข่าวลือมากมายในแต่ละปี  

ลือกันว่า ผีแม่หม้ายจะมาเอาตัวชายหนุ่ม ทำให้เกิดการนอนหลับแล้วไม่ตื่นที่เรียกว่า ไหลตาย  ใครไม่อยากให้ผีแม่หม้ายมาเอาตัว ให้ทำหุ่นคนแก่ไว้หน้าบ้าน จึงมีการทำหุ่นกันทั่วไปหมด…

ลือกันว่า ยมบาลจะมาเอาคนเกิดปีมะ ใครไม่อยากให้ยมบาลเอาตัวไป ให้เขียนป้ายไว้หน้าบ้าน ว่าบ้านนี้ไม่มีคนเกิดปีมะ… 

ไม่ว่าจะลือกันแบบไหนผู้คนก็จะทำตามทั้งสิ้น 

 

ด้วยเหตุที่ทั้ง ๑๒ ศพเป็นศพไม่มีญาติ  พอพระสวดเสร็จผู้คนที่มาฟังสวดจึงกลับไปหมด ไม่เหมือนศพอื่นๆ ที่มีคนเป็นร้อย เล่นไพ่ เล่นการพนัน อยู่กันจนสว่างทุกคืนเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ประกอบกับการตายแบบประหลาด ทำให้ผู้คนและขาพนันพากันกลัว ภาระการดูแลศพจึงเป็นหน้าที่ของนายเรืองสับปะเหร่อ…

ปรกตินายเรืองไม่ใช่คนกลัวผี  เพราะถ้ากลัวคงไม่มาเป็นสัปเหร่อ แต่ทั้ง ๑๒ ศพไม่ได้ตายแบบธรรมดา และเชื่อว่าตายเพราะโดนผีดิบดูดเลือด นายเรืองจึงไปขอให้เพื่อนอีก ๔ คนมาช่วยอยู่เฝ้าศพเป็นเพื่อน   นายเรืองตอบแทนเพื่อน โดยการซื้อเหล้าขาว ๒ ขวดมาเลี้ยง

เวลาประมาณตี ๒ ขณะที่นายเรืองกับเพื่อน ๆ กำลังนั่งดื่มเหล้าขาวสลับกับการโขกหมากรุก เสียงดังโป๊กเป๊ก อยู่บนยกพื้นที่พระนั่งตอนสวดศพ ซึ่งเปิดไฟฟ้าขนาด ๔๐ วัตต์ไว้ ๑ หลอด แต่ด้านที่มีโลงศพวางเรียง ๑๒ ใบ หลวงพ่อให้ดับไฟ อ้างว่าเพื่อประหยัดค่ากระแสไฟฟ้า ด้านนั้นตอนนี้มีเสียงดังขึ้น - - -

เอี๊ยด ! อ๊าด ! แอ้ดด ด ด ด!

แล้วฝาโลงทั้ง ๑๒ ใบ ที่ตอกตะปูตรึงไว้แน่นพลันเผยอขึ้นช้าๆ 

รายละเอียด

ชื่อหนังสือ เมืองผีดิบ
ชื่อผู้แต่ง ไพบูลย์ พันธ์เมือง
หมวดหนังสือ นวนิยาย
คำโปรย
มีผีดิบสองตัว ตัวผู้เกิดที่นครศรีธรรมราช
ตัวเมียเกิดที่ประจวบคีรีขันธ์
นัดมาพบกันเพื่อสมจรและแพร่พันธุ์ผีดิบที่จังหวัดชุมพร
ใครไม่อยากให้ผีดิบเข้าบ้าน จะต้องปลูกพืชผักสมุนไพรไว้ในบ้านทุกๆ
บ้าน
แกไม่เชื่อข่าวลือ แต่เมื่อต้องมาเดินอยู่บนถนนในที่เปลี่ยวคนเดียว
แกอดที่จะเหลียวหน้าเหลียวหลัง มองซ้ายมองขวาไม่ได้ อีกประมาณ
๒๐๐ เมตรจะถึงบ้าน
พลันมีกลิ่นสาบสางโชยมา…
และท่ามกลางความสลัวมัวมน ผู้ใหญ่เพชรเห็นใครคนหนึ่ง
กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางแก แกไม่รู้ว่าคนดีคนร้าย
จึงรีบหลบเข้ากำบังพุ่มไม้ข้างทาง
แกเห็นร่างนั้นเพียงเสื้อผ้าที่มันนุ่งห่มว่ามีสีเทาๆ
และเดินตัวแข็งทื่อดุจหุ่นยนต์

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (85 รายการ)

www.batorastore.com © 2025