เพลิงทระนง (เพ็ญศิริ)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เพลิงทระนง

 

                                                                                   

ประพันธ์โดย  เพ็ญศิริ

 

            กลีบดอกพวงชมพูระเรื่อเต็มสองฟากทางที่ร่มรื่นด้วยไม้ดอก  ไม้ประดับมากมาย  เพราะเจ้าของบ้านเรือนหลังเล็ก  ซึ่งอยู่ด้านหลังสุดเรือนใหญ่ของคุณหญิงทองตรา  เป็นคนรักต้นไม้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  เธอจึงใช้เวลาว่างแทบทั้งหมดให้กับมันออกดอกออกใบสดใสอย่างที่เห็น  ๆ

            ทว่า  สตรีวัยกลางคน ลักษณะบ่งบอกความเป็นผู้ดีเต็มตัวกลับไม่มีความรู้สึกในสัมผัสอันร่มรื่นของแมกไม้และดอกใบอันสดใสเหล่านั้นแม้แต่น้อยไม่  ใบหน้าคงเค้าความงามกลับเคร่งเครียด  จนแลดูเป็นขรึมน่าเกรงขาม  ด้านหลังของคุณหญิงทองตรา  คือ บ่าวรับใช้ประจำตัว  และเคยให้นมแก่พิภัชทายาทคนแรกของคุณหญิงในช่วงเวลาหนึ่งมาแล้ว  นางสำอางค์กำลังเร่งซอยเท้าติดตามผู้เป็นนายไปกระชั้นชิด

            “แกแน่ใจนะ  นังสำอางค์ ว่าตาพิภัชไม่อยู่บ้านนั้นจริง ๆ  น่ะ” 

            “โถ้   โถจริงซิเจ้าคะ  คุณหญิง  ก็บ่าววางแผนหลอกคุณใหญ่ให้ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วนี่เจ้าค่ะ  ไม่แน่นะคะ วันนี้คุณใหญ่อาจจะกลับกรุงเทพฯ ไม่ทันก็เป็นได้”

            “ดี  ให้มันกลับมาไม่ทันนั่นแหล่ะดี”

            ใบหน้าเคร่งขรึมผุดพรายรอยยิ้มสมใจออกมา  ขณะที่เท้าก็ยังเร่งรีบก้าวไปข้างหน้า  จนกระทั่งเรือนไทยหลังเล็กกะทัดรัดปรากฏบนสายตาของผู้เป็นนายและบ่าว  หัวใจของคุณหญิงทองตราเร่าร้อนไปด้วยความชิงชังรังเกียจในตัวสตรีที่ท่านกำลังจะไปพบหน้าด้วยคนนี้อย่างที่สุด

            ร่างโปร่งระหง  สวมเสื้อคอโปร่งแขนตุ๊กตา  และผ้าซิ่นตีนเชิง  กำลังรดน้ำต้นกุหลาบที่กำลังชูช่อตูมตึง  ใบเขียวยังไม่ทันหายจากโอบรัดกลีบดอกอ่อนสีชมพูระเรื่อนัก  ผ่องผ่องพุ่งความสนใจไปอยู่ที่ต้นกุหลาบทั้งหมดเสียจนไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของผู้มาเยือนทั้งสองเอาเสียเลย

            “ดูซิเจ้าค่ะ  คุณหญิง  ขนาดเราอุตส่าห์ลดตัวมาหามันถึงที่นี่มันยังทำทีไม่รู้ไม่เห็น  ไม่แยแสเราเอาเสียเลย  มันทำแบบนี้เท่ากับลบหลู่บารมีของ ท่านนะเจ้าค่ะ” 

            “เออ  ก็เพราะมันจองหองนักล่ะซิ  ฉันจึงจะต้องกำจัดมันออกไปเสียแต่วันนี้เลย” 

            คุณหญิงเค้นเสียงออกมาด้วยกระแสชิงชังที่พลุ่งพล่านปะทุอยู่ข้างใน  ท่านเดินเข้าไป    ใกล้ ๆ   ร่างบอบบางนั้น  แล้วตวาดเรียกชื่อลูกสะใภ้คนโตออกไปด้วยน้ำเสียงกระด้างวางตัว

            “นี่แน่ะ  แม่ผ่องแผ้ว”

            “อุ้ย  คุณหญิงแม่”

            บัวรดน้ำในมือของผ่องผ่องแทบหลุดร่วงจากมือของเธอ  หญิงสาวรีบทรุดกายนั่งพับเพียบกับพื้น  ยกมือขึ้นไหว้แม่ของสามีทันที  เลือดในกายของผ่องผ่องเย็นเฉียบเมื่อสบตาอันเยือกเย็นแฝงจุดมุ่งหมายบางประการของคุณหญิงในวินาทีนั้นเอง

            “คุณหญิงแม่มีธุระอะไรจะวานใช้ดิฉันหรือเจ้าค่ะ”

            “มีซิ   ถ้าไม่มี  ฉันคงจะถ่อมาถึงที่นี่หรอกนะยะ  เรื่องที่ฉันเคยพูดกับเธอเอาไว้หลายครั้งหลายครา  ฉันคิดว่าหล่อนคงจะยังไม่ลืมหรอกนะ  ตาพิภัชลูกชายของฉันไม่เหมาะสมกับผู้หญิงต่ำๆ  ไร้สกุลอย่างเธอเลยเวลานี้ฉันมีสตรีที่คู่เคียงเพียบพร้อมเหมาะกับเขามากกว่าเธอเอาไว้เลย  ติดขัดก็เพียงแต่ว่า  ยังมีเธอคาค้างให้ตาพิภัชกระดากกระเดื่องใจ  ถ้าเขาจะต้องแต่งงานกับสตรีที่ฉันและเขาเองก็พึงพอใจอยู่เช่นกัน”

            คุณหญิงทองตราใช้สายตาคมกริบของผู้ที่ฉลาดและเหนือกว่า  พิจารณาใบหน้ารูปใบพลูที่ก้มต่ำจนคางแทบจะจรดกับอก   ท่านเว้นระยะไปนิดหนึ่ง  ก่อนจะเอ่ยต่อไป

            “ถ้าเธอรักผัวของเธอจริงๆ  เธอคงยากจะเห็นเขาก้าวหน้าในอนาคต  ไม่ใช่มาจมปลักอยู่กับเมียที่มีอดีตเป็นแม่ค้าขายอย่างเธอตลอดไป  เพราะอาชีพข้าราชการน่ะ  หลังบ้านก็ต้องมีเกียรติ มีหน้าตาด้วยเหมือนกัน ไม่อยากจะพูดหรอกนะว่าเธอน่ะคือตัวถ่วงความเจริญลูกชายฉัน แต่นั่นแหล่ะ  เพื่อเห็นแก่ตาพิภัช  เธอน่าจะหลีกทางให้เขาได้พบกับสตรีที่ดี  คู่ควรกับเขาจะดีกว่า”

            “คุณหญิงแม่”

            ผ่องผ่องอุทาน  น้ำตาที่คลอรื้นในหน่วยตากลมวาว  ถูกกลั่นกรองร่วงเผาะต้องเปลือกแก้มอันขาวซีดไร้สีเลือด  หล่อนรู้สึกว่าความเป็นคนที่พอจะหลงเหลืออยู่  บัดนี้มันได้ถูกคุณหญิงทองตราผู้เป็นแม่ของสามีบดขยี้ไม่มีเหลือไปเสียแล้ว  หัวใจของผ่องผ่องจึงนองเนืองด้วยความหดหู่  รันทด  และปวดร้าวยากจะคณนาหยั่งได้

            คุณหญิงทองตรากะพริบตาเล็กน้อย  แสร้งทอดถอนใจออกมาเบา ๆ ท่านหันไปทางบ่าวของท่านที่นั่งพับเพียบคอยรับฟังคำสั่งจากผู้เป็นนายอย่างเคร่งครัด  แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเนิบนาบ

            “นังสำอางค์  แกส่งกระเป๋ามาให้ฉันซิ”

            หญิงรับใช้ใกล้ชิดรีบส่งกระเป๋าหวายแบบถักด้วยฝีมือประณีตบรรจงส่งให้ท่านทันที  คุณหญิงรับเอาไปเปิดแล้วหยิบธนบัตรที่ท่านเตรียมเอามาแต่แรกแล้ว  ยื่นส่งให้สะใภ้ใหญ่ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตในไม่ช้านี้

            “เอ้า  แล้วนี่  เงินที่ฉันจะให้เธอเอาไปตั้งเนื้อตั้งตัว  มันคงจะมากพอที่หล่อนจะเอาไปสร้างร้านค้าขายอย่างที่หล่อนถนัดที่แม่กลองหรอกนะ"

            ผ่องแผ้วเงยใบหน้าอันนองน้ำตาขึ้นประสานตากับผู้เป็นแม่ของสามี  รอยยิ้มหยันและดวงตาแข็งกล้าก่อเกิดขึ้นบนดวงตาคลอรื่นนั้นแวบหนึ่ง  ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว  มันทำให้คุณหญิงร้อนผะผ่าวไปทั่วใบหน้าเสมือนถูกตบเต็มแรงก็ไม่ปาน

            "ดิฉันคงไม่กล้าจะด้านหน้ารับความกรุณาจากคุณหญิงแม่อีกแล้วเจ้าค่ะ  เพราะเท่าที่ผ่านมา  ก็ถือว่าท่านเมตตาต่อชีวิตของดิฉันมากมายพอแล้ว  เอาเถอะเจ้าค่ะเพื่อเห็นแก่อนาคตอันก้าวหน้าของคุณพี่พิภัช  ดิฉันยินดีจะก้าวออกไปจากที่นี่  แต่คงจะไม่กล้ารับอะไรจากท่านหรือคุณพี่อีกแล้ว  ดิฉันฝากกราบลาคุณพี่พิภัชด้วยนะเจ้าคะ"

            หญิงสาวคลานเข้าไปกราบแทบเท้าของคุณหญิงทองตรา  ก่อนจะพยุงร่างลุกขึ้นร่างลุกขึ้นยืน  ต้องบังคับตัวเองไม่ให้ซวนเซล้มลงไปเสียกลางครัน  ร่างโปร่งบางหันหลังให้กับเรือนหลังน้อยที่เคยครองรักกับผัวแก้วอย่างเปี่ยมสุข  แม้จะเป็นเสี้ยวเวลาอันน้อยนิด  แต่ที่ก็เคยมอบทั้งสุขและทุกข์ระคนกันให้กับชีวิตของผ่องผ่องได้มากมาย

            ร่างระหงก้าวตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคงไม่สั่นคลอน  ผิดกับหัวใจของคุณหญิงที่วูบไหวให้กับความเข้มแข็งของลูกสะใภ้ที่ได้กลายเป็นอดีตด้วยฝีมือการกระทำของท่าน  น่าประหลาด  ท่ามกลางความโล่งอกเบาหวิวนั้น  มันกลับเจือปนไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่ท่านก็อ่านไม่ออกเอาเสียเลย  กลีบดอกจำปีเฉาปลิดปลิวตามรอยเท้าของเจ้าของซึ่งเคยให้น้ำให้ดินกับมัน  ดุจจะไว้อาลัยให้กับการจากไปยากจะหันกลับคืนเรือนเดิม

            "โอ๊ย  โล่งอกจับเลยนะเจ้าคะ  ที่มันยอมไปได้อย่างง่าย ๆ คิดว่าจะต้องลงมือลงไม้เสียแล้ว  ต่อไปคุณใหญ่ก็คงจะได้แต่งงานใหม่กับสตรีที่เหมะสมกับเธอเสียที"  นางสำอางค์ ลูบอกของตนทำท่าโล่งอกแทนนาย  คุณหญิงออกคำสั่งเสียงเรียบ  ห้วน

            "ไป  กลับเรือนใหญ่เสียที  นังสำอางค์

                                                -------------------------------------------

           

ภาพของชายหนุ่มร่างผ่ายผอมที่ก้าวลงจากรถอย่างทุลักทุเล  กระทั่งพวกบ่าวไพร่ผู้ชายต้องผลุงเข้าไปช่วยประคองปีกกันคนละข้าง  บาดลึกความรู้สึกของผู้เป็นแม่ให้รวดร้าวสุดคณนา  ผ่องแผ้วผละจากชีวิตของพิภัชไปหลายปีแล้ว  แต่ลูกชายคนใหญ่ของท่านก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะคลายกำสรดสร่างซารสรักในเมียชาวบ้านผู้นั้นลงไปเลยแม้แต่น้อย  ตรงกันข้ามกาลเวลาที่ล่วงเลยกลับจะกัดกร่อนชีวิตจิตใจของชายหนุ่มให้เหลือน้อยลงไปทุกที  เหล้ากลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจพิภัชไปเสียแล้ว  เขาไม่ยอมฟังเสียงทัดทานของแม่  และน้อง ๆ อีก  สองคนเลยสักคำเดียว

            สตรีคนใหม่ที่เพียบพร้อม  งดงามด้วยเรือนร่าง  และการศึกษาคนแล้วคนเล่า  ที่คุณหญิงเฝ้าสรรหามาให้ไม่มีใครเลยที่จะเข้ามาแทนที่ผ่องผ่องได้เลย  กระทั่งบัดนี้ท่านได้วางมือจากการเฟ้นหาสะใภ้ใหญ่ผู้เลิศเลอไปเสียแล้ว

            "ตาพิภัช  นั่นแกยังไม่เลิกกินเหล้าเมายาอีกเรอะ  แกจะกินไปถึงไหนกัน"

            "คุณแม่ก็ทราบดีนี่ครับ  ถ้าผมไม่กินเหล้า  ผมจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร  ในเมื่อชีวิตนี้ผมไม่มีอะไรเหลือให้รักอีกแล้ว"

            พิภัชสลัดบ่าวไพร่หนุ่มที่ประคองเขาอยู่ข้าง ๆ ออกไป  แล้วยืนในสภาพไม่มั่นคงเอาเสียเลย  ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นประกาศความชอกซ้ำที่สุมในทรวงนานปีชัดเจน  คุณหญิงถอนใจเหนื่อยหน่ายออกมา

            นานแค่ไหนกันที่ท่านไม่ได้พบหน้าลูกชายคนนี้อย่างใกล้ชิดเสียที  ต่างก็เลี่ยงกันไปมา  ดั่งจะจงใจไม่ให้พบหน้าเจรจาต่อกันกระนั้น

            "แม่อยากจะรู้เหลือเกินว่านังผ่องแผ้วผู้หญิงชาวบ้านลูกแม่ค้าคนนั้น  มันวิเศษวิโสยังไง  มันจึงกำหัวใจของแกเอาไปด้วย"

            "คุณแม่ไม่มีวันทราบและเข้าใจหรอกครับ  ว่าความรักไม่เคยแบ่งชนชั้น  ไม่มีต่ำ  ไม่มีสูง  ในเมื่อความรักของคุณแม่มันตายไปนานแล้ว  ผ่องแผ้วเป็นผู้หญิงที่ดี  ปรนนิบัติผัวเสมือนทาส  ยอมถวายให้แม้ชีวิต  เธอไม่มีความผิดอะไรเลย  แต่คุณแม่ก็ยังเสือกไสเธอไปได้ลงคอ  คุณแม่ใจร้ายมาก  คุณแม่คงจะไม่ทราบหรอกนะครับ  ว่าคุณแม่ไม่ได้ไล่ผ่องแผ้วไปจากผมเพียงคนเดียว  แต่คุณแม่ยังพรากลูกของผมซึ่งเป็นหลานของคุณแม่ไปด้วย  ได้ยินมั้ยครับ  ว่าผ่องแผ้วมีลูกของผมติดท้องและชีวิตของเธอไปด้วยอีกชีวิตหนึ่ง"

            "ตาพิภัช"

            คุณหญิงทองตราผงะ  ดวงตาเบิกค้าง  ใบหน้าอันเคร่งเครียดถือตัวมีอันซีดขาวไร้สีเลือด  เสียงตะโกนของลูกชายคนโตเข้าไปอื้ออึงรบกวนโสตภายในของท่านไม่ต่างจากลมพายุที่พัดหมุนวนเวียนทำร้ายจิตใจท่านให้ไหววูบวาบ  ทำไมท่านไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยล่ะ  ไม่เคยมีใครปริปากบอกกับท่านสักคน  ว่าผ่องแผ้วกำลังตั้งท้องกับพิภัชแม้แต่ตัวของหล่อนเอง  ในวันนั้นหล่อนก็ยังไม่ปริปากเอ่ยออกมาสักคำ  นอกจากกิริยาอัดอั้นทรมาน  พูดไม่ออกที่ท่านเข้าใจว่าหญิงสาวใคร่จะกล่าวคำวิงวอนขอความเมตตาให้ท่านสงสาร

            "จริงเรอะ….ทำไมวันนั้น  มันถึงไม่….บอกกับฉันเลย"

            "ก็เพราะผ่องแผ้วไม่อยากสร้างความลำบากใจให้กับท่านคุณแม่อีกซิครับ  ในเมื่อที่นี่ไม่มีใครต้องการเธออีก  เธอจะอยู่ไปทำไม  คุณแม่ใจร้ายมาก  ที่ฆ่าคนในเวลาเดียวกันให้ตายทั้งเป็นได้ถึงสามคน  ผ่องแผ้วทำเพื่อคุณแม่  แล้วใครล่ะครับ  จะทำเพื่อลูกในท้องของผม  ใคร…"

            "ตาพิภัช…แก…แกหยุดเดี๋ยวนี้"

            คุณหญิงยกมือกุมอกที่เต้นระรัว  แล้วค่อยผ่อนจังหวะช้าลงปานว่ามันกำลังจะหยุดเต้น  ดวงตาพร่างพรายมองอะไรเบื้องหน้าแทบจะไม่เห็น  เสียงหัวเราะเยาะหยัน  และเจ็บปวดทรมานของพิภัชมันทำให้ท่านแทบจะน้ำตาร่วงเสียให้ได้

            "ถ้าคุณแม่ไม่อยากเห็นผมในสภาพแบบนี้อีก  คุณแม่ไปตามลูกเมียผมกลับมาซิครับ  ผมอยากจะได้ผ่องแผ้วกันลูกของผมคืนมา  คุณแม่ทำได้หรือเปล่า  เอาลูกกับเมียผมคืนมา…ลูก…ลูกพ่อ…"

            เสียงตะโกนคำรบสุดท้ายซ้ำซ้อนในโสตอันสับสนนั่น  ในแสงสลัวที่สาดส่องเข้านัยน์ตาพร่ามัวของท่าน  คุณหญิงมองเห็นร่างพิภัชยืนโอนเอนไหวลู่ไปมา  แล้วล้มตึงลงกองกับพื้นไม่เขยื้อนตัวอีกเลย  เสียงร้องกรี๊ดกร๊าดของบ่าวไพร่ดังเซ้งแซ่  พร้อมกันนั้น  บุษกลกับนิรุตลูกชายหญิงอีกสองคนของท่านก็วิ่งถลันเข้าไปหาพี่ชายคนโตของเขา  คุณหญิงอยากจะขยับร่างตามเข้าไปโอบกอดลูกชายใหญ่  ลูบไล้ใบหน้าฉ่ำน้ำเหล้านั้นแล้วกล่าวคำขอโทษสักร้อยคำ

            "ลูกใหญ่จ๋า…แม่ขอโทษ  แม่ผิดไปแล้ว  อภัยให้กับความโฉดเขลาของแม่ด้วย"

            แต่สิ่งเดียวที่คุณหญิงเป็นได้ในขณะนั้น  คืออาการลมหายใจติดขัด  ดวงตาเบิกค้าง  และร่างของท่านก็พลัดร่วงจากเตียงลงมา

            เสียงเอะอะดังมาจากภายในห้องนอนของคุณหญิงทองตราปลุกทุกชีวิตของบ้านปางพญาให้ตื่นขึ้นจากนิทรา  แล้วพากันมุ่งมารวมตัวกันที่หน้าห้องของท่านทันที

            "คุณแม่ครับ  เปิดประตูด้วยครับ"

            "คุณแม่ขา…คุณแม่เป็นอะไรไป  เปิดประตูให้ลูกด้วยซิคะ"

            ทั้งนิรุตและคุณบุษกลแข่งกันเคาะประตูห้องของมารดาระรัว  แต่บานประตูยังคงปิดสนิท  มีเพียงเสียงครางเบา ๆ ดังมาจากผู้ที่อยู่ภายในห้องนั้น

            สินีนาถกับชนนท์  ภรรยากับลูกชายคนเดียวของนิรุต  และนาฏนรีพร้อมทั้งอาณัติ  ลูกชายหญิงของคุณบุษกลติดตามมายืนคอยฟังข่าวอยู่ด้วยทั้งหมด  นิรุตหันไปมองหน้าชนนท์ดั่งจะขอความเห็นว่าสมควรจะทำประการใดดี

            "อย่างนี้ผมว่าเราเห็นทีจะต้องใช้วิธีพังประตูห้องแล้วล่ะครับคุณพ่อ"

            "จะเอายังไงก็รับทำซะซิ  เดี๋ยวพอดีย่าของแกก็ได้เป็นอะไรไปเสียก่อนหรอก"

            คุณบุษกลเร่งเร้าอย่างใจร้อน  ในที่สุดบานประตูห้องนอนของคุณหญิงก็ถูกพังจนทุกคนสามารถเข้าไปในห้องนั้นได้  ภาพที่ทุกคนเห็นร่างของคุณหญิงร่วงลงมากองกับพื้นข้าง ๆ เตียงของท่านนั่นเอง

            "คุณแม่"

            ลูก ๆ หลาน ๆ พากันถลันเข้าไปประคองร่างผอมบางของคุณหญิงอย่างตื่นตระหนก  บ่าวไพร่ถูกเรียกใช้ให้หาหยูกยาสารพันที่ในบ้านจะมี  เพื่อนำมาปฐมพยาบาลปลุกสติท่านให้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว  คุณบุษกลเฝ้าเขย่าร่างมารดาด้วยจิตใจพะวักพะวนไปร้อยแปด

            "นี่แหละ  ฉันบอกแล้วว่าอย่าให้ท่านนอนอยู่คนเดียวตามลำพัง  ฉวยเป็นอะไรไป  พวกแกจะว่ายังไงกันหา"

            "เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาต่อว่ากันหรอกนะครับ  พี่บุษเราช่วยกันทำให้คุณแม่ฟื้นดีกว่า"

            "คุณแม่ครับ  ผมว่าเรารีบพาท่านไปหาหมอกันเถอะครับ"  ชนนท์ออกความเห็นหลังจากสังเกตว่าอาการของผู้เป็นย่าไม่สู้จะดีเท่าไหร่  แต่นาฎนรีแหวขึ้น

            "แหม  แค่คนเป็นลมหน่อยเดียว  ไม่ต้องพาไปหามดหาหมอหรอกย่ะตานนท์  อีกอย่างคุณย่าเองก็ชอบเป็นแบบนี้เสมอ  ฝันร้ายเพ้อหาลูกชายคนโต  เพ้อหาหลานที่ไหนก็ไม่รู้  ทีหลาน ๆ ที่อยู่เต็มบ้านเต็มเรือนกลับไม่ใส่ใจ"

            "นี่  ยายนรี  แกหุบปากของแกเสียที  เอ้า  ป้าสำอางค์  รีบเอาสำลีจุ่มแอมโมเนียเพิ่มอีกซิ  แน่ะ  คุณแม่ท่านเริ่มจะขยับตัวแล้ว"

            ไม่นานนัก  เปลือกตาที่พริ้มสนิทก็เริ่มจะเคลื่อนไหวและพับขึ้นได้บ้างเล็กน้อย  ริมฝีปากเหี่ยวย่นมีรอยจีบกลางขยับขึ้นลง  มีเสียงครางและพึมพำดังเล็ดลอดออกมาจากปากของผู้ป่วย  คุณบุษกลเบิกตาอย่างยินดี  รีบเขย่าร่างคุณหญิงเต็มแรง

            "คุณแม่ขา  คุณแม่ฟื้นแล้ว…โอ้ย  พวกลูก ๆ ตกใจแทบแย่เลย"

            นิรุตจับมือพี่สาวให้หยุดการเขย่าตัวท่าน  เมื่อคุณหญิงลืมตาขึ้นมองหน้าทุก ๆ คน  ดวงตาของท่านบอกถึงความผิดหวังที่แลไม่เห็นคนที่ท่านต้องการจะพบหน้าในวินาทีที่มีสติกลับคืน

            "มัน…มันไม่มาหรอกรึ  แม่บุษ"

            "เอ๊ะ  ใครกันคะ  ลูกก็เห็นมากันทุกคน  ยายนรี  ตาอาณัติก็มานี่ไงคะ  หลานของคุณแม่"

            คุณบุษกลรีบหันไปสบตากับลูกชายหญิงทั้งสองของตน  สองพี่น้องรีบเข้ามาโอบประคองร่างคุณย่าแสดงความห่วงใยออกมาเต็มที่  ทว่า  คุณหญิงกลับสั่นหน้าไปมา

            "คุณแม่ต้องการจะพบใครหรือครับ?"

            นิรุตจับมือมารดาเบา ๆ ท่านปัดสายตามามองหน้าลูกชายคนสุดท้อง  แล้วพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้เขาเข้าไปหาใกล้ ๆ

            "เมื่อกี้นี้  แม่ฝันร้าย…แม่เห็น…เห็นพี่ใหญ่ของแก  เขามาทวงลูกทวงเมียของเขา  แม่ทุกข์ใจเหลือเกินที่ไม่ยอมติดตามผ่องแผ้วกับลูกของมันกลับคืนมาบ้านปางพญาของเราเสียที"  คุณหญิงกล่าวเสียงเครือสะท้าน 

            "จนป่านนี้แล้ว  คุณแม่ยังไม่เลิกนึกถึงเรื่องเก่า ๆ อีกหรือคะ  พี่ใหญ่ก็ตายจากเราไปตั้งนาน  ป่านนี้ไปผุดไปเกิดที่ไหนแล้วก็ไม่รู้"

            "ไม่จริงหรอก  แม่บุษ  ตาใหญ่พี่แกยังไม่ไปไหน  เขายังวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ แม่  จนกว่าแม่จะตามหาลูกเมียของเขา  แล้วไถ่บาปทั้งหมดเสียก่อน"

            คุณบุษกลเม้มริมฝีปากอย่างขัดเคืองใจ  เมินหน้าไปเสียทางอื่น  ไม่ได้พูดอะไรอีก  นิรุตบีบมือมารดาแล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ

            "ถ้าเช่นนั้น  เราก็น่าที่จะ…"

            "นี่  ตารุต  แกอย่าแส่หาเรื่องวุ่นวายมาเพิ่มในบ้านหลังนี้อีกเลยย่ะ"  เขาถูกพี่สาวตวาดเบา ๆ แต่ไม่สนใจ  เพราะสิ่งใดที่เป็นความสุขของมารดาก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

            "ชนนท์  เข้ามาหาย่าหน่อยซิลูก…"

            "ครับ  คุณย่า"

            ชนนท์คลานฝ่ากลุ่มญาติ ๆ เข้าไปนั่งชิดกับคุณย่า  กุมมืออีกข้างของท่านอย่างอ่อนโยน

            "ชนนท์ต้องช่วยย่านะลูก  ช่วยไถ่บาปกรรมเคราะห์เวรให้กับย่าสักครั้ง"

            "คุณย่าสั่งผมมาเถอะครับ  ผมจะช่วยคุณย่าทุกอย่าง"

            "ดี…ถ้าเช่นนั้น  ชนนท์ช่วยพาย่าไปแม่กลองที…ไปตามหาเมียกับลูกลุงของชนนท์กลับมา  ย่าเชื่อว่า  ที่ย่าฝันถึงลุงใหญ่ในคืนนี้เพราะวิญญาณของเขาอยากจะดลบันดาลให้ย่าไปตามหาลูกเมียเขา…ที่แม่กลอง"

           

 

 
 

 

 

 

 

 

 

ในห้องโถงใหญ่   ซึ่งใช้เป็นห้องประชุมของบ้านปางพญา  สมาชิกทุกคนของบ้านพากันรวมตัวอยู่ในห้องแห่งนี้  แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีสีหน้าเคร่งขรึม  เนื่องจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรังยาวนานของคุณหญิงทองตรา  ผู้ยังคงครองตำแหน่งประมุขแห่งบ้าน  สาเหตุมาจากตราบาปที่ตอกย้ำอยู่ในห้วงสำนึกมโนธรรมคอยย้ำเตือนให้ท่านระลึกถึงหลาน  และวันตายของลูกชายใหญ่

            วันนั้นเองที่ท่านได้ทราบความลับบางประการ  จากปากพิภัชที่ประกาศออกมา ว่าผ่องแผ้วได้หอบลูกติดท้องของเขาไปด้วยอีกหนึ่งชีวิต  หลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิตเนื่องจากโรคพิษสุราเรื้อรัง มันกลายเป็นความผิดที่อยู่ในใจของคุณหญิงทองตราเสมอมา  ท่านเฝ้าแต่โหยหาอดีตสะใภ้แม่ค้า  และหลานที่ติดท้องหล่อนไปด้วย  ยิ่งกาลเวลาผ่านไป  ท่านก็ยิ่งหวนให้อยากจะได้พบหน้าหลาน  ซึ่งท่านเองก็ไม่ทราบเช่นกัน  ว่าเป็นชาย  หรือหญิงกันแน่

            "คุณแม่ก็ช่างเหลือเกิน  เวลาก็ผ่านนานจนป่านนี้แล้ว  ยังละเมอเพ้อหา นังผ่อง แผ้วอยู่ได้  ฉันว่าเดี๋ยวนี้มันคงจะมีผัวใหม่ไปแล้วล่ะ  ส่วนลูกของมันก็อาจจะตายไปแล้วก็เป็นได้ ใครจะรู้"

            คุณบุษกลซึ่งดูว่าจะอารมณ์เสียกับเรื่องนี้มากกว่าใคร ๆ โพล่งขึ้นหลักจากที่ปล่อยให้ทุกคนครุ่นคิดไตร่ตรองกันอย่างเงียบงันมานาน  สายตาของทุกคู่หันมาจับมองที่ใบหน้าคงเค้างดงาม  ทว่า  ไร้รอยยิ้มปรานีนั้นกันเป็นตาเดียว

            "พี่บุษอย่าเพิ่งตีความข้างเดียวสิครับ  เราเองก็ยังไม่ได้พบหน้าผ่องแผ้วเขาเลย  เขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พี่  หรือใครประเมินก็ได้"

            "แหม  ตารุต  แกช่างมองโลกในแง่ดีเสียเหลือเกินนะยะ  ผู้หญิงชาวบ้านที่ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว  คิดจะจับแต่ผู้ชายมียศถาบรรดาศักดิ์หวังความสบายทางอ้อมอย่างนังผ่องแผ้วน่ะเหรอ  มันจะทนครองความโสดอยู่ได้นานถึงป่านนี้น่ะ  ฉันไม่เชื่อ  ต่อให้ใครอมพระมาพูดฉันก็ไม่เชื่อ  ว่าแต่ว่าจะมีแค่ผัวเดียว  หรือกี่ผัวเข้าไปแล้วล่ะ"

            "คุณอาครับ  ไม่ว่าคุณป้าผ่องแผ้วจะเป็นอย่างไร  แต่เด็กที่ติดท้องของเธอไป  ก็ได้ชื่อว่าเป็นหลานของบ้านปางพญา  เหมือนๆ กับที่ผมหรือพี่นรี  กับพี่อาณัติเป็นนั่นแหละครับ"

            "ตานนท์  แกอย่าเอาฉันไปเปรียบกับนังลูกแม่ค้าไพร่สถุลนั่นเชียวนะ  ฉันกับมันไม่เหมือนกัน  แกอยากจะนับญาติกับมันก็เชิญ  แต่ฉันไม่เกี่ยว"

            นาฎนรีทุบโต๊ะปังใหญ่  ตวาดใส่ญาติผู้น้องน้ำเสียงกราดเกรี้ยวถือดี  หล่อนไม่เคยว่าตัวเองจะต้องมีญาติโยมอะไรที่ไหนอีก  เพราะเท่าที่มีอยู่นี้มันก็มากเกินไปแล้ว  หากต้องมีเพิ่มเข้ามาอีก  หล่อนไม่ขอรับแน่ ๆ

            "ผมก็เหมือนกัน  ไม่ขอรับไอ้เด็กส่วนเกินนั่นมาเป็นเชื้อแถวเด็ดขาด  อีกไม่นานถ้าคุณยายสิ้น  เรื่องบ้า ๆ นี่ก็พลอยจบไปด้วย"

            "ตาอาณัติ"

            นิรุตเรียกชื่อหลานชายหนัก ๆ น้ำเสียงตำหนิในที  อาณัติสะบัดหน้า  หันไปทางมารดาที่รีบกล่าวเสริมขึ้นเสียก่อน

            "เอาอย่างนี้เถอะนะ  เราอย่าพูดถึงเรื่องนังผ่องแผ้วกับลูกของมัน  ให้คุณแม่ฟังอีก  อีกหน่อยท่านก็คงจะเลือน ๆ ไปเอง"

            "มันไม่เป็นอย่างนั้นซิครับ  พี่บุษ  เพราะเวลานี้คุณแม่ได้เร่งวันให้ตานนท์รีบเคลียร์งาน เพื่อที่จะได้พาท่านไปตามหาพี่ผ่องแผ้วกับลูกภายในอาทิตย์หน้านี่แล้ว"


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (84 รายการ)

www.batorastore.com © 2024