สืบลับสัมผัสรัก (นางแก้ว) (EBOOK)

สืบลับสัมผัสรัก (นางแก้ว) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: สืบลับสัมผัสรัก
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่ 1 เป็นปลื้ม

 

 บ้านเรือนไทยขนาดใหญ่ เป็นหมู่เรือนและมีความเก่า ได้รับการบูรณะให้ดูใหม่ แม้ว่า อายุของเรือนนี้จะมากกว่าแปดสิบปีแล้วก็ตาม ความใหญ่ของเรือนบอกให้รู้ว่า เรือนนี้เคยเป็นที่พักพิงของครอบครัวใหญ่มาก่อน กระทั่งสืบลูกหลานมาเหลือเพียงคนเดียวคือสัปเหร่อปริญญาเนติศาสตร์มหาบัณฑิตย์ ชื่อ ปรัชญา

บนเรือนกั้นแบ่งเป็นสัดส่วน มีห้องพระ ซึ่งปรัชญาได้ตกแต่งใหม่ปรับให้มีพื้นที่กว้างเป็นหกเมตรจากเดิมสามเมตร ทั้งนี้เพราะปรัชญาชายหนุ่มวัยสามสิบเศษมีลูกแฝดสองคน และ เมื่อเขาเห็นว่าลูกๆเริ่มโตแล้ว เขาจึงสอนให้ลูกเข้าสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ

บางครั้งทำโทษเจ้าลูกตัวดี ให้นอนในห้องพระ ดังนั้นจึงต้องอำนวยความสะดวกอย่างที่คนเป็นพ่อรู้ว่า ลูกตัวดีนั้นนอนดิ้นมากขนาดหิ้งบูชาพระอาจจะมีการสะเทือนกันได้ เขาจึงทำการ “ล้อมคอก ก่อนวัวจะหาย” ซึ่งเป็นความรอบคอบของคนที่มีความละเอียดถี่ถ้วน

 ใต้ถุนเรือนปูพื้นปาเก้สีเข้ากับเรือนได้อย่างกลมกลืน ถัดไปแถบทางทิศตะวันตกยื่นออกไปจากใต้ถุนเรือน สร้างเป็นห้องทำครัว ตามความนิยมไทยสมัยเก่าที่ต้องทำครัวแยกเป็นสัดส่วน มีประตูปิดมิดชิดเมื่อยามไม่ได้ใช้แล้ว และกึ่งกลางมีโต๊ะชุดสำหรับรับประทานอาหารรอบเรือนมีแมกไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น พุ่มไม้หอมปลูกเป็นระเบียบ คัดแยกเป็นแปลง สวยงาม มีการตัดแต่งอยู่เสมอ

ด้วยความเชื่อมาแต่ครั้งโบราณว่า หากเรือนใดเต็มไปด้วยหมู่ดอกไม้สวยงาม จะมีเทวดานางฟ้าลงมาชมสวน อันจะเกิดเป็นสิริมลคลแก่บ้านนั้นๆยิ่งนัก

 ถัดจากเรือนเป็นลานใต้ร่มต้นขนุนพันธ์จำปา ใบตกหนาให้ร่มเงาบังแดด เย็นสบาย กระสอบทรายขนาดต่างๆ มีสามขนาด ผูกเชือกติดกับกิ่งขนุนหย่อนลงมา ซึ่งบอกให้รู้ว่า บ้านนี้มีการซ้อมมวย ใต้ถุนเรือนยังแยกส่วนห้องน้ำออกจากตัวเรือน ไม่ได้สร้างให้ความสะดวก โดยความเชื่อของคนไทยสมัยเก่าจะไม่นิยมสร้างส้วมไว้บนเรือน ยิ่งเรือนที่มีเครื่องรางของขลังด้วยแล้ว จะยิ่งถือกันมากทีเดียว ปรัชญายังคงใช้วิถีชีวิตอย่างนั้นเช่นกัน

เวลานี้ในห้องน้ำ มีร่างเรียวเล็กของเด็กแฝดคู่หนึ่งกำลังอาบน้ำเล่นกันอยู่ในห้องน้ำตามลำพัง ทั้งสองยืนคนละฝั่งจากถังน้ำทรงเตี้ยตามสรีระของเด็ก เพื่อง่ายต่อการใช้ และคนที่ดูสนุกสุดคงจะเป็นเด็กหญิงถักเปียยาวสระผมทั้งเปียแก่นๆ ไม่ยอมแกะหนังยางออก ส่วนอีกร่างผอมเรียวร่างเท่ากัน บรรจงตักน้ำใส่ขันราดรดตัวเองอย่างอ่อนช้อย เด็กหญิงส่ายตัวเต้นตามเพลงที่ตนตะโกนร้องออกมาเพื่อให้เห็นพลังปอดอันแข็งแรง ส่วนก้นน้อยๆนั้นส่ายดิกทีเดียว แต่สำเนียงการร้องไปทางเพื่อนบ้าน

“ฟ้าคื้อคื้อ ฝนมันก็โตะ เดี๋ยวก็โตะ
เดี๋ยวก็โตะ (เดี๋ยวก็ตก เดี๋ยวก็ตก)
ฟ้าคื้อคื้มฝนมันก็โตะ เดี๋ยวก็โตะ
เดี๋ยวก็โตะ (เดี๋ยวก็ตก เดี๋ยวก็ตก)

  

“ร้องให้มันชัดๆสิปลื้ม” น้องแฝดเตือน “ฟังไม่รู้เรื่องเลย”

แต่นักร้องจอมดื้อไม่สนใจคนฟังจึงตั้งหน้าตะเบ็งเสียงร้องต่อไป

“ฟ้าคื้อคื้อฝนมันก็โตะ เดือนห้าเดือนหก ฝนตกซกซก หนุ่มสาวชาวเขาเราก็ไปจะกบ มาร้องโอ๊ะโอ๊ะ อยู่ข้างก๊กโก ก๊กโก ก๊กโก ก๊กโก

   “ร้องไม่รู้เรื่องเลย ร้องเพลงที่ปลายฟังออกได้มั้ย”

ปลายบ่นไป จากนั้นค่อยราดน้ำลงบนร่างอย่างเชื่องช้า เด็กคนนี้มีสรีระที่แปลกแตกต่างจากเด็กทั่วไป หากว่าพี่สาว และพ่อต่างปิดเป็นความลับไม่บอกใคร แม้แรกเกิดออกมาหมอจะให้ออกข่าว แต่พ่อกลับไม่ทำ ทั้งนี้ท่านเห็นแก่อนาคตของลูก ไม่อยากให้ใครเห็นว่าเป็นเด็กประหลาด และไม่ต้องการให้พวกคลั่งการพนันนำไปตีเป็นตัวเลข ซึ่งเป็นความรัก ความห่วงใยของพ่อพึงมีต่อบุตรทุกคน

การที่ปลายเกิดมามีความผิดปกติทางร่างการเพราะเป็น ‘เด็กสองเพศ’ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องประจานลูกตัวเอง

ปลื้มยังคงร้องต่อไปโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนฟัง ว่าจะรำคาญ หรือสนุกตามหรือไม่ จนกระทั่งคว่ำขันเป็นอันว่าอาบน้ำเสร็จ ส่วนเรียบร้อยหรือไม่นั้น แฝดน้องดึงร่างแฝดพี่เข้ามารดน้ำส่วนที่ยังมีคราบแชมพู คนพี่ยิ้มฟันหลอ คนน้องส่งยิ้มหวานไปให้ จากนั้นปลื้มคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันส่วนล่าง เหมือนผู้ใหญ่นุ่งผ้าขาวม้า ส่วนแฝดน้องหยิบผ้ามาพันรอบอก เหน็บผ้าแน่นหนา จากนั้นทั้งสองพากันเดินออกจากห้องน้ำ

ปลื้มเดินผ้าปลิวตามลม ไม่สนใจตัวเองว่าชายผ้าที่นุ่งหลวมๆนั้นจะสะบัดพัดไหวไปทางใดบ้าง ส่วนปลาย ค่อยย่างเยื้องราวกับเป็นกุลสตรีที่เกิดมาแต่อ้อนแต่ออก ปลายเดินขึ้นเรือน ส่วนปลื้มกระทืบเท้าวิ่งตึงๆ

บ้านโปร่งและมีใต้ถุนทำให้ถ่ายเทอากาศได้ดี มีลมพัดจากในสวนและตามทิศทางลมพัดโชยเข้ามาเป็นระยะ

ตึง ตึง

เสียงลงส้นเท้าเพราะการวิ่งทิ้งน้ำหนักตัวของปลื้มดังลั่น เรือนไม้สั่น

“เจ้าปลื้ม” เสียงทุ้มดังมาจากใต้ถุนเรือนไทยเป็นการปรามอาการ ‘ม้ากระทืบโรง’ของลูกสาวคนโต

ปลื้มเบรกตัวเอง หันไปตามเสียงเรียก ร่างสูง สวมเสื้อคอเต่าสีดำ กางเกงดำ ปลื้มนึกเดาได้ว่าบิดามาจากไหนจึงยิ้มส่งไปให้พร้อมทักทาย

“พ่อกลับมาจากงานศพแล้วเหรอ”

“ลงมาสระผมใหม่เดี๋ยวนี้”

“สระเรียบร้อยแล้วเนี่ย” ปลื้มแกว่งเปียสองข้างให้บิดาดูเป็นหลักฐาน แต่เพราะหลักฐานนั้นเองที่ทำให้เจ้าตัวถูกจับได้

“มีอย่างที่ไหนสระผมทั้งเปีย ลงมาอาบน้ำใหม่เดี๋ยวนี้”

“เอาน่าพ่อ เดี๋ยวก็แห้ง” เด็กหญิงตอบอย่างมักง่าย แต่ปรัชญาไม่ยอมง่ายตามลูกสาว จึงเอาเรื่อง

“เอ้า เจ้าปลื้ม จะซกมกไปแล้วนะ เราเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย”

“ให้ปลายเป็นผู้หญิงแทนปลื้มไง”คนพี่โยนหน้าที่ไปให้คนน้อง ซึ่งก้มหน้า งุด ฟังพี่กับพ่อทะเลาะกันอย่างเป็นปกติทุกวัน เพราะพี่สาวมากเหตุผลที่จะยกขึ้นมาขัดผู้ให้กำเนิด โดยที่ไม่มีสักวัน สักครั้งที่อีกฝ่ายจะยอมโดยดี

แรกเกิดเขาจึงลงชื่อให้เป็นเด็กชาย เพราะคาดหวังว่าปลายจะเป็นตามที่หวัง พ่อจึงไม่อาจยอมให้ลูกคนเล็กเบี่ยงเบนไปทางอื่นได้ แต่เมื่อยิ่งโตปลายมีท่าทางเรียบร้อยมากกว่าเด็กหญิงผู้พี่ แต่คุณปรัชญายังคิดว่าปลายยังคงเป็นผู้ชาย

“ปลายเป็นผู้ชาย จะมาแทนเราซึ่งเป็นผู้หญิงแท้ๆได้ยังไง ยังงั้นเขาเรียกกะเทย” พ่อตอกย้ำ ปลื้มจึงแหกปากร้องเอาชนะ

“แง แง แง้ จาหาแม่ พ่อว่าปลาย พ่อว่าปลาย ปลื้มจะพาน้องไปหาแม่ แง แง แง้” ท้ายสุดเจ้าตัวดีตะเบ็งเสียงสูงปรัชญาถลึงตาใส่อีกฝ่าย ปลื้มจอมแก่นจึงฉวยโอกาส ทำเป็นแสนงอน วิ่งหนีขึ้นไปบนบ้าน ผ้าหลุดปลิวลงมาโปะลงบนหน้าบิดา ซึ่งรีบจับไว้ ได้ทัน เห็นแต่ก้นขาวๆของลูกสาวลับกายเข้าทางประตูบนบ้านไปแล้ว ผู้ให้กำเนิดตามอีกฝ่ายไม่ทัน จึงหันมาดุแฝดคนน้อง

“ทำไมไม่ดูแลเจ้าปลื้มให้มันสะอาดกว่านี้นะปลาย”

“ปลาย...”แฝดน้องก้มหน้าไม่กล้าโต้ตอบ รู้สึกถึงปมด้วยของตัวเองที่มีเพศไม่ชี้ชัดว่าจะเป็นชายหรือหญิง เพราะมี ความสมบูรณ์ทั้งสองเพศ มิได้บอกว่าส่วนไหนเกินมาอย่างพิกลพิการ

 เด็กน้อยจึงมีความกลุ้มใจ แม้ว่าพี่สาวจะปลอบใจว่าไม่เป็นไร หากพ่อหวังในสิ่งที่ปลายฟ้าไม่ชอบ พ่อหวังให้ปลายเป็นลูกผู้ชายและมีหน้าที่ดูแลปลื้ม ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงสมบูรณ์ทางร่างกาย ปลายยังลังเลไม่รู้จะจัดการยังไงต่อไปดี

 คุณปรัชญารำคาญใจยิ่งนัก เขาจึงเดินขึ้นไปข้างบนเพราะเสียงปลื้มยังตะโกนลงมาให้ได้ยินไม่ได้หยุด

 “จาหาแม่ จาไปอยู่กับแม่ พ่อไม่เข้าใจลูก” เด็กแก่แดดยังคงร้องพล่ามลงมาไม่หยุด ทำเสียงเหมือนร้องไห้ลั่นๆ แต่ความจริงไม่มีน้ำตาสักหยด และเร่งรีบ แกะผมเปีย แต่ยิ่งแก้เหมือนจะ ทำให้ผมเปียกยุ่งรุงรัง ทำไปทำมา เจ้าตัวหันไปหยิบกรรไกรทำท่าจะตัด

ปรัชญาตามไปเห็นลูกสาวกำลังยุ่งกับการแกะผม ปลื้มหันมาเห็นพ่อแล้ว จึงรีบวางกรรไกร ทำท่าจะปิดหน้าร้องไห้  แต่คุณปรัชญาเอ็ดอึงรู้ทัน

“แกล้งร้องไห้ไม่ทันแล้วเจ้าตัวดี นี่คิดจะตัดผมออกเชียว”

“ปลายนะปลาย มาถักให้ทำไมก็ไม่รู้ แกะยาก พ่อยังดุอีก ทำอะไรไม่เคยถูกสิ”

“ไอ้แก่แดด เจ้านี่มันลื่นกว่าผีเรือนบ้านนี้อีก มาพ่อแกะผมให้”คุณปรัชญานั่งใกล้ลูกสาว ซึ่งรีบชุนหัวเข้ามาใกล้อย่างเอาใจและมีแววกระล่อนเต็มที่

“บ้านเรามีผีหรือคะพ่อ” ปลายเดินตามขึ้นมาได้ยินพอดี จึงอุทาน จากนั้นผวาไปหาพี่สาว ซึ่งหันไปดุทันทีเช่นกัน

“จะกลัวผีทำไมปลาย เรามีพ่อเป็นสัปเหร่อแท้ๆ”

“แต่แม่ก็หนีผีไปนานแล้วนะปลื้ม”

หนุ่มใหญ่รูปงามสะท้อนใจ เมื่อปลายเผลอเอ่ยถึงเรื่องการจากไปของคู่ชีวิตบิดา ซึ่งเขารู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ลูกทั้งสองรู้เท่าที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า บ้านนี้ผีดุ แม่จึงต้องจากไป

ในที่สุดต้องยอมลูกสาวคนโตตามเคย และเป็นความเคยตัวอย่างที่ปลื้มพอใจยิ่งนัก ที่งัดเรื่องแม่มาชนกับพ่อชนะทุกทีไป

พ่อลูกติดแฝด สางผมให้ลูกสาว ส่วนแฝดคนน้องหาผ้ามาให้พี่สาว ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะเป็นคนสำคัญของบ้านทีเดียว

“อาทิตย์นี้ซ้อมหนักเลยนะคะ ปลื้มอยากเป็นนักมวยเร็วๆ”

“พ่อยังไม่ให้ชกกับใครหรอก อายุเท่านี้ หัวแค่กำปั้น”

“แหม”เด็กหญิงออกเสียงงอน เดินไปที่ตู้ของใช้ส่วนตัว หยิบชุดนอนซึ่งแฝดน้องพับเก็บให้อย่างเรียบร้อยออกมาสวมใส่

ปลื้มแต่งกายด้วยเสื้อกางเกงและเสื้อนอนลายทาง ส่วนปลาย สวมเสื้อลายการ์ตูน รูปเจ้าหญิง ซึ่งก่อนหน้านี้ ปรัชญาไม่ได้ซื้อผิด แต่ความชอบของปลื้มเป็นตัวตัดสินใจ

 

หากเช้าวันใดปรัชญาเปิดประตูมาปลุกลูกเพื่อให้ไปโรงเรียน พ่อลูกติดจะได้เห็น ปลื้มนอนเอาขาทั้งสองพาดไว้บนเตียง ส่วนตัวนอนลงบนพื้น ผ้าห่มถูกถีบไปคนละทาง ส่วนปลายนอนเรียบร้อยราวกับว่าทั้งคืน ไม่เคยพลิกตัวเลยสักครั้งเดียว

วันนี้ตอนเช้าสองพี่น้องตื่นแต่เช้าด้วยมีความรับผิดชอบต่อตัวเองมากกว่าเด็กบ้านอื่น ด้วยการสอนที่ดีของพ่อว่า ตัวเองต้องรู้หน้าที่ ซึ่งปลายนั้นไม่มีปัญหาเท่าปลื้ม เพราะเด็กดื้อต้องเอาชนะให้ได้สักนิดก็ยังดี  แต่เมื่อตื่นเช้ามาก และยังมีความง่วงอยู่ ปลื้มจึงพิงน้องยืนสัปหงก ปรัชญาจับมือลูกสาวกระตุก อีกฝ่ายสะดุ้ง ตั้งการ์ดมวยก๋า

“ใคร ใครหาเรื่อง”

“รถมาแล้วนักมวย” ปรัชญากลั้วขำกับความก๋ากั่นของลูกสาวคนโต

ครูพี่เลี้ยงเปิดประตูรับเด็กประถมสอง สองคนพี่น้องขึ้นรถไปตามปกติ เด็กรุ่นเดียวกันหลายคนทักทายสองพี่น้อง ซึ่งตอบรับกันเสียงใส แต่เด็กผู้ชายหัวโจกชื่อโจ๋ และเพื่อนสามคนต่างมองปลายเหมือนตัวประหลาด แต่ปลื้มหันไปเหลือกตาพองเข้าใส่ ปกป้องคุ้มครองน้องของตนในทุกกรณี ทำให้เด็กผู้ชายทั้งหมดจึงหันไปเล่นเกมเลิกหมั่นไส้ปลายชั่วคราว

 

ในห้องเรียน

กระดานสีเขียวเต็มไปด้วยภาษาอังกฤษ ถามและตอบ ปลื้มเขียนหนังสือไม่สวย และเมื่อเขียนผิดเจ้าตัวหยิบยางลบมาลบ ไม่ทันใจก็ใช้น้ำลายแตะยางลบทำท่าจะลบ ครูเห็นแล้วจึงเอ็ดเสียงเขียวว่า

“นี่ปลื้มอย่าทำอย่างนั้นนะ”

“ทำอะไรคะครู” เจ้าตัวยังทำหน้าซื่อ ครูจึงเดินเข้ามาใกล้ สอนอีกฝ่ายว่า

“ทำอย่างที่จะทำเมื่อกี้นี้ หนูกำลังใช้น้ำลายผสมยางลบมาลบใช่มั้ย”

ปลื้มส่งยิ้มให้ครูอย่างจำนน ไม่โต้เถียง แต่ครูยังสอนต่อไปว่า

“ไม่สะอาดรู้มั้ย สมุดก็จะสกปรก และที่ปลื้มทำอยู่เขาเรียกว่ามักง่าย”

แหม โดนต่อว่าทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ปลื้มเริ่มรู้สึก คำว่า ‘มักง่าย’ใกล้ชิดกับตัวเองยังไงก็ไม่รู้

 

ในชั่วโมงศิลปะวันนี้ ครูประจำภาควิชาให้เด็กในชั้นเรียน ปั้นดินน้ำมันตามจินตนาการให้ได้มากที่สุด โดยให้ดินน้ำมันคนละสามก้อน สามสี เขียวเหลืองแดง

                ปลายบรรจงปั้นอย่างประดิบประดอย ม้วนดินน้ำมันเป็นเส้นกลม จากนั้นใช้มือทับให้เป็นเส้นแบน ค่อยนำมาพันรอบๆให้ความต่างระดับไม่ช้า จากดินน้ำมันกลายเป็นดอกกุหลายสวย ปลายวางดอกไม้ไว้แล้วนำดินนำมันสีเขียวมาปั้นให้เป็นก้านดอก ซึ่งค่อนข้างใหญ่เพื่อรองรับกุหลาบได้โดยไม่ร่วงหล่น

 นักเรียนคนอื่นต่างทำตามจินตนาการของตนเอง เด็กผู้ชายพอใจปั้นสัตว์ หรือยอดมนุษย์ เด็กผู้หญิงชอบในทางสวยงาม ส่วนเด็กอีกคนที่ครูประจำวิชาจับตามองเป็นพิเศษเพราะมักมีเรื่องพิสดารมาให้ได้ลุ่นในทุกวิชาที่เธอผู้นี้ได้เรียน

เจ้าปลื้มกำลังเกาผมรัดเปียยุ่ง นึกอยากจะปั้นผี ก็ปั้นไม่เป็น จะปั้นดอกไม้ ก็ไม่มีปัญญา ยิ่งสัตว์ชนิดต่างๆ ปลื้มยิ่งหมดทางจินตนาการ ดังนั้นดินน้ำมันจึงโดนขยำเล่นในมือ โดยไม่ออกรูปออกร่างมาเห็น

ครูประจำวิชาสอบถามด้วยความห่วงระคนแอบลุ้น

                “ไงเรา ชั่วโมงนี้จะเสร็จมั้ย”

                เด็กหญิงถอนใจยาว มองหน้าครูแล้วส่งยิ้มแห้งแล้ง แต่ครูคนสวยเอ่ยเหน็บมาว่า

                “ปั้นอะไรไม่ได้สักอย่างก็ไม่ได้คะแนน”ครูขู่เจ้าตัวดี ปลื้มเหลียวหน้ามองเพื่อนๆ ทุกคนได้ทำหน้าที่เต็มความสามารถทุกคนและใกล้เสร็จ แม้แต่ไอ้โจ๋คู่ปรับมันยังปั้น อุลตร้าแมนได้สำเร็จ

                เธอกำลังแพ้อย่างหมดรูปกระนั้นหรือ…แค่คิดว่าต้องแพ้คู่ปรับเท่านั้นละ ทำให้ปลื้มเกิดสมองใสขึ้นมาในทันที

 จากนั้นประกายความคิดเกิดวูบหนึ่ง จึงเงยหน้าถามครูราวกับเป็นห่วงว่า

                “คุณครูไม่อยากดื่มน้ำ หรือว่าไปห้องอื่นบ้างหรือคะ”

                “ไง เราจะไปฉวยดอกไม้สวยๆของปลายฟ้าหรือไงปลื้มขวัญ” ครูดักทางรู้ทัน

                ปลื้มไม่ชอบเลยที่ครูทุกคนรู้ทันว่าเธอต้องให้ปลายช่วยเรื่องการเรียนบ่อย เธอมองนาฬิกาบนฝาผนังแล้วก้มหน้าลงมองดินน้ำมัน ที่โดนปั้นไม่เป็นรูปไม่เป็นร่างของตนเองแล้วต่อรองกับครูว่า

                “แบบนี้ถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดได้มั้ยคะ”

                “เจ้าก้อนกลมเนี่ยนะ”ครูจิ้มนิ้วลงไปในก้อนดินน้ำมันจนเป็นรอยบุ๋ม ปลื้มเห็นแล้วจึงเกิดความคิดขึ้นมาได้อีก ร้องขอความเห็นไปว่า

                “แบบนี้เรียกโดนัทได้หรือเปล่าคะคุณครู มันมีรูบุ๋มๆแล้วค่ะ”

                “ไม่ได้” ครูขึ้นเสียงเขียว “เอาสมองฉลาดๆนี้ไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่ทางขี้เกียจ หรือขี้โกง”

                ปลื้มอยากเถียงว่าไม่ได้เป็นทั้งสองอย่าง แต่ไม่รู้จะจินตนาการเจ้าก้อนดินน้ำมันนี่อย่างไรต่างหาก และแล้วสายตาอันคมกริบของปลื้มก็เห็น โทรทัศน์ผุดขึ้นมาในสมอง จากนั้นหลายสิ่งหลายอย่างผุดตามมาติดๆ

                ครูประจำภาควิชาไม่ชอบรอยยิ้มแก้มปริกับแววตาใสแจ๋ว ซึ่งส่อความฉลาดในเรื่องที่ครูวิตกเสียด้วยว่าจะมาแนวแกมโกงมาร่วมผสมดรงด้วย แต่เมื่อเป็นจินตนาการครูก็ต้องปล่อยให้เด็กสร้างสรรค์ต่อไป

                ปลื้มหันไปมองผู้ร่วมชั้น ทำงานก่อนแต่เสร็จช้า แถมได้ชิ้นงานเพียงคนละชิ้นเดียว มีแต่น้องชายเท่านั้นที่ เป็นชิ้นเดียว แต่สมบูรณ์แบบ ดอกไม้มีก้านมีกระถาง

                สำหรับเธอนั้นมาช้า แต่ชัวร์เรื่องปริมาณว่า มากกว่าใครทั้งหมดในห้องนี้

ครูสาวสวย เอ่ยกับนักเรียน

                “หมดชั่วโมงแล้วส่งงานได้แล้วจ้ะ” ต่างพากันทยอยส่งผลงาน ครูให้คำชมเมื่อได้รับงานชิ้นจินตนาการของเด็กๆ แล้วลงคะแนนตามความคิด

                หากแต่เมื่อมาถึงถาดไม้ใส่ผลงานของปลื้มขวัญทำให้ครูอุทานเสียงหลง

                “อะไรของเธอกันเนี่ยปลื้ม” มองศิลปะของเด็กปลื้มด้วยความไม่พอใจ พวกเด็กนักเรียนพากันชะเง้อมองว่าปลื้มทำอะไรให้ครูตกใจ

ส่วนปลื้มขวัญ เจ้าของผลงานที่ตนเองคิดว่ามีปริมาณมมากที่สุดแล้วกับจินตนาการเลิศล้ำทำท่าดีใจ ส่ายตัวไปมา ยิ้มหวานส่งนำมาให้ก่อนบอกด้วยความยินดีเป็นที่สุดว่า

                “ของปลื้มได้ตั้งห้าอย่างนะคะครู คิดได้ช้าแต่ทำเร้ซ และก็มากกว่าคนอื่น”

                “แต่นี่มันรูปสี่เหลี่ยมทั้งนั้นเลยนะปลื้มขวัญ” ครูเอ็ดเสียงดัง ไม่เกรงว่าปลื้มจะอาย เพราะเด็กหญิงไม่เคยอาย แต่หนักไปทางเกเร เอาเรื่องมากกว่า

“นี่ครูปรับให้ตกเลยนะปลื้มขวัญ งานอย่างนี้เรียกว่างานของคนขี้เกียจ”

                “ไม่ได้นะคะครู”ตัวแสบร้องห้าม “ครูต้องแยกแยะงานของปลื้มให้ออกสิคะเนี่ยสี่เหลี่ยมสีเหลืองตัวนี้ เป็นก้อนเต้าหู้นะคะก้อนเต้าหู้ในตลาดที่เอามาผัดใส่ถั่วงอกสีเหลืองแบบนี้เลยก้อนสี่เหลี่ยมอย่างนี้เปี๊ยบ แล้วสีเขียวทรงสูงเนี่ย ตัวนี้เป็นตู้เย็น บ้านปลื้มมีตู้เย็นสีเขียวตุ้เย็นไม่เคยเป็นรูปอื่นนะคะครู” เด็กหญิงจารนัย ซึ่งทำให้เด็กในห้องพากันคล้อยตามว่า ทำไมคิดไม่ได้เช่นปลื้มคิด แค่ปั้นดดินน้ำมันทำสี่เหลี่ยมสีต่างๆกันก็เป็นได้ตั้งหลายอย่าง

“เนี่ยสีแดงนี้ เป็นถาดใส่ขนมแบบที่บ้านปลื้มมี ส่วนสี่เหลี่ยมนี้เป็นกระดานดำ แต่มันสีเขียวแบบกระดานบนนั้นค่ะ” เธอชี้ไปที่ตัวอย่างด้านข้างของโต๊ะครูสอนศิลปะ

                ครูฟังเสียงแจ้วๆจารนัยผลงานของตัวเองด้วยความชื่นชม รวมทั้งเด็กในห้องพลอยคิดเห็นดีวามไปด้วย เพราะปลื้มทำได้เยอะมากจริงๆ

ครูอยากโกรธ อยากร้องไห้ แต่ก็ยังอยากรู้ว่าเจ้าก้อนสี่เหลี่ยมสุดท้ายที่มีหลายสีมาปั้นรวมกันจนแยกสีไม่ถูกนี้คืออะไรในจินตนาการสุดโต่งของปลื้ม

                “แล้วนี่ล่ะปลื้ม นี่เธอจะเรียกอะไร”

                “โทรทัศน์ห้องนี้ไงคะครู มันเสียมานานแล้วค่ะ จอภาพมันเป็นภาพลายๆมีหลายๆสีค่ะครู”

                แม้มึนงง แต่ครูก็ไม่อาจเอาอารมณ์มาโกรธ เพราะครูเป็นนักศิลปะจึงต้องยอมรับว่า เด็กคนนี้มองไกล ไกลมาก และไกลเกินครูที่เรียนจบมาโดยตรงจะคาดถึง จากนั้นครูปิดคะแนนไม่ให้ปลื้มได้เห็นว่าลงคะแนนกับความคิดแบบก้าวกระโดดสูงลิบของปลื้มไปได้เท่าไหร่

                ซึ่งถ้าครูบางคนมีจกว้าง ครูคนนั้นและเด็กมักได้ความรู้จากกันและกันเสมอ ซึ่ง บทเรียนของครูในวันนี้คือ ต่อไปต้องกำชับงานศิลปะให้มากขึ้นว่าต้องการให้เด็กๆทำอะไรบ้าง

หาไม่อาจเจอศิลปินตัวแสบอย่างปลื้มอีกในชั่วโมงต่อไปในวันข้างหน้าซึ่งอาจจะมีเด็กหัวแหลม ปั้นแท่งยาว แล้วอุปมาเป็นเสาไฟฟ้า เสาบ้าน ดินสอยังไม่ได้เหลา หรืออีกจิปาถะที่เด็กคนนั้นๆจะนึกออก

                “หนูไม่เห็นรู้คะแนนเลย” ปลื้มพยายามดูคะแนนสอบวันนี้ แต่ครูเลื่อนมือมาปิดมิดชิด

                “ไม่ตกก็ดีแล้วปลื้ม”ครูทำกระซิบ เด็กแสบรีบกลืนกล้ำไม่ยอมบอกใครเด็ดขาด ซึ่งความจริงแล้ว ปลื้มได้คะแนนเกรดสี่ทีเดียว แต่ครูไม่ต้องการให้เด็กหญิงนำมาโม้เป็นตัวอย่างต่อจินตนาการที่เพื่อนอาจจะทำตามในเบื้องหน้าได้

                เกรดที่ไม่ได้มาจากผลงาน แต่มาจากความคิดล้วนๆ การคิดมองเห็นรูปเดียวแต่ตีความไปไกลเกินกว่าจะนึกได้ทั้นเท่าเธอผู้นี้…ความฉลาดต้องคู่กับความเฉลียวอย่างนี้จึงเรียกว่าคนฉลาดล้ำลึกจริงๆ

 

พักเที่ยงสองพี่น้องยืนเรียงแถวซื้ออาหารจากร้านที่เข้ามาประมูลขายในโรงอาหารซึ่งมีหลายเจ้า ปลายยืนซ้อนหลังพี่สาว อยู่ๆเด็กชายผู้เรียบร้อยก็เด้งหน้าไปชนพี่สาว ครั้งที่หนึ่งปลื้มไม่ว่าอะไร แต่เมื่อมีครั้งสองครั้งสามเธอหันไปจะต่อว่าน้อง แต่เห็น โจ๋ยืนซ้อนหลังน้องจึงรู้ว่าน้องโดนแกล้ง เด็กหญิงรีบเดินเร็ว ถอยออกมา จากนั้นจึงเดินนำน้องซึ่งซื้อของอย่างรวดเร็วจึงได้ของน้อย และรีบเดินตามพี่สาวไป นั่งที่เก้าอี้ ปลายสังเกตเห็นพี่สาวเคี้ยวอะไรบางอย่างในปากอย่างรวดเร็วมากจึงได้เตือนด้วยความหวังดี

“เคี้ยวอะไรเร็วอย่างนั้นปลื้ม เดี๋ยวติดคอ”

พี่สาวไม่ตอบแต่เคี้ยวรวดเร็วจนขนมในปากหมดรสหวานกลายเป็นยางเหนียวๆแทน ปลายเห็นพี่สาวคายออกจากปาก จึงรู้ทันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“อย่า...”ปลายห้าม แต่ไม่ทัน เพราะปลื้มไม่ยอมฟัง เด็กรุ่นเป็นคนร้ายกาจอย่างที่น้องรู้...ยอมใครไม่เป็น

“เค้าไปซื้อน้ำก่อนนะ”เสียงปลื้มบอกน้องชายดังเกินเหตุ จากนั้นเดินเกือบวิ่งไปที่เก้าอี้ยาวสำหรับนั่งทานอาหาร มือไว ทิ้งหมากฝรั่งลงบนพื้นไม้ ซึ่งโจ๋ไม่ระวังนั่งทับลงไปไม่รู้ตัว ปลื้มหัวเราะในคอเสียงประหลาด และร้ายกาจมากทีเดียว กว่าโจ๋จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อเขาได้ลุกจากเก้าอี้นั่ง แล้วมียางหมากฝรั่งติดกางเกงเหนียวเหนอะนั่นเอง

แม้รู้ว่าใครทำ แต่โจ๋ได้แต่อาฆาต และเมื่อเขาทำพี่ไม่ได้ จึงต้องหาทางแกล้งน้อง

ส่วนปลื้ม คิดเช่นกัน หนามยอกหนามบ่ง เป็นสิ่งที่ปลื้มพอใจนักหนา ฝ่ายน้องกลับไม่ชอบใจ แต่ไม่ได้ห้ามอีกฝ่ายเพราะรู้ว่า ปลื้มไม่ชอบให้ใครแกล้งน้องเด็ดขาด

เวลาเย็นสองพี่น้องลงจากรถไหว้ครูพี่เลี้ยงแล้ววิ่งเข้าบ้านโดยไม่มีพ่อไปรับ ทั้งสองไม่แปลกใจ เพราะช่วงเวลาเกือบทั้งวัน พ่อมักมีงานเสมอ เรื่องการทำศพ หรือการไปทำพิธีการตามที่คนจะเชิญให้ไป

ทั้งสองตรงเข้าไปที่บ้านก่อนอื่น หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เรียบร้อยแล้ว ปลายเข้าไปในครัว เพราะพ่อ มักจะมีของกินเตรียมไว้ให้ ตู้กับข้าวไม่มีไปที่ตู้เย็น เห็นขนมบัวลอยแช่เย็นสองถ้วย เพื่อรักษาให้ไม่บูด เด็กผ็ที่พ่อต้องการให้เป็ฯชายเห็นไข่ในบัวลอยยังแดงๆอยู่จึงตักออกจากถ้วยใบหนึ่งแยกออก จากนั้นจึงนำเข้าเตาไมโครเวบอุ่น แป้งซึ่งจับตัวแข็งค่อยคลายตัวเพราะคลื่นความร้อน

 ส่วนพี่สาวพันมือด้วยผ้าฝ้ายธรรมดาทั้งสองข้าง วิ่งลงจากห้องตรงไปหากระสอบทราย ที่แขวนโตงเตงเรียงกัน สามลูกต่างขนาด เธอกอดสิ่งไร้ชีวิตราวกับว่าสุดแสนคิดถึง จากนั้นเพียงนาทีเดียว ปลื้มลงต่อย เตะอย่างคล่องแคล่วว่องไว ปลายเดินมาพร้อมถาดขนมสองถ้วยส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย เพราะว่าเด็กๆมักจะหิวเมื่อเลิกเรียนเกือบทุกคน

“ขนมอะไรปลาย” ปลื้มถามเสียงหอบ ชกใส่กระสอบทราย แล้วเตะสองครั้งเสียงดังปึก ปึก แรงเกินอายุและรูปร่าง

“บัวลอยไข่หวาน”

“เอาไปเวบไข่สุกหมดไม่อร่อย”

“ปลายแยกไข่ไว้ต่างหากใส่ทีหลัง ไม่สุกหรอก”ปลายบอกอย่างรู้ใจ

“งั้นดี ไข่สุก แข็ง ไม่ชอบ มาออกกำลังกับปลื้มเร็ว” พี่สาวชวน ออกกำลังกายจนเหงื่อท่วม

“รำไทยดีกว่า” กล่าวพลาง เด็กซึ่งพ่อต้องการให้เป็นชายลุกขึ้น หัดฟ้อนรำ เอวอ่อนมืออ่อนสวยงาม ร้องเพลงไทยได้เพราะพริ้งระรื่นหู

 

   ในเวลากลางคืน คุณปรัชญาจะสอนสองพี่น้องสวดมนต์และแผ่เมตตาในห้องพระ ทั้งสองสวดมนต์คล่องติดปาก แต่ปลื้มไม่ชอบทำอะไรในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ ดังนั้นเมื่อต้องทำ เธอจะต้องรู้ว่า ทำไปทำไมและเพื่ออะไร พ่อจึงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กมีปัญหาเยอะอย่างน่าเอ็นดู และรักมากกว่าลูกชายซึ่งท่าทางเป็นสาว      

“กรวดน้ำทำไมล่ะคะพ่อ”

   “เรียกว่าตรวดน้ำจึงจะถูกเจ้าปลื้ม การตรวดน้ำนี้มาจากทางคติพราหมณ์ แต่เป็นสิ่งที่ดี ก็รับไว้ เราตรวดน้ำให้กับคนที่ตายไปแล้วได้มารับส่วนบุญส่วนกุศล บางคนตายไปแล้วอดอยาก แต่เมื่อเรากับเขาสื่อถึงกันได้เขาก็มารับของเราได้เขาจะคลายทุกข์ คลายอดอยากไปได้ขณะหนึ่ง”

   “ทำบ่อยเขาได้รับบ่อยก็ดีใช่มั้ยคะพ่อ”ปลายถามเสียงอ่อน

ปรัชญาฟังเสียงทอดหวานของลูกชาย แม้ไม่ชอบใจ แต่ปรัชญาก็ไม่ได้ห้าม เพราะต้องเรียกว่าอีกฝ่ายอ่อนหวานมาตั้งแต่เกิดทีเดียว ส่วนคนเป็นพี่ท่าทาง ‘หยิบผิด’หรืออาจจะหยิบไม่พอ จึงเอาแน่กับนิสัยไม่ได้ว่าหวานหรือเปรี้ยวเข็ดฟัน พ่อม่ายเมียหนีสอนต่อไปว่า

   “การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้อื่น เป็นการฝึกจิตใจเราให้มีเมตตาต่อสัตว์ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายไปด้วยเพราะการให้คือการแบ่งปัน ส่วนการถืออคติ คิดร้าย มากแรงพยาบาทไม่ใช่สิ่งที่ชาวพุทธอย่างเราควรกระทำ เพราะเป็นหนทางแห่งความทุกข์ทรมานตั้งแต่เริ่มคิดกระทั่งได้รับผลกรรม”

   “แหมพ่อขา มันต้องมีกันมั่งล่ะเรื่องพยาบาทเนี่ย”คนแก่พยาบาทออกตัว

   “เจ้ามันนอกเรื่องอยู่เรื่อยเจ้าปลื้ม ก่อนนอนก็ทำสมาธินิ่งๆสักนาทีจะได้มีเทวดามาคุ้มครอง”

   “คนที่ไม่ใช่ลูกสัปเหร่อเขาต้องทำแบบเรามั้ย”เจ้าตัวซนยังมากเรื่อง

   “ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกของพ่อเท่านั้นหรอก ลูกหลานของคนอื่นเป็นเด็กดีน่ารักหลายล้านคน แต่บางคนพ่อสอนไม่ค่อยจำ มากเรื่องมากปัญหา”

   “อ้อไม่ใช่ปลื้มหรอก ไอ้เด็กคนนั้นต้องเป็นเจ้าโจ๋แหงเลยพ่อ” ปลื้มโยนคำประชดของพ่อส่งไปที่เพื่อนคู่แค้น

   “ไปทะเลาะกับเขาอีกแล้วสิ”

   “อยากมาแกล้งปลาย ต้องจัดไปอย่าให้เสีย”นักเลงตัวผอมแต่ใจเกินห้าร้อย ตอบผู้ให้กำเนิด

   “ฝ่ายนั้นต้องเสียแน่” พ่อรู้ผล

   “พ่อแม่สอนดีดีมันต้องจำแบบปลื้มสิคะพ่อ พ่อสอนดี ปลื้มรักพ่อ ปลายก็รัก ใช่ป่ะ”พี่สาวหันไปชวนคู่แฝดให้มาร่วมความสามัคคี ปลายเกรงพ่อ มาแต่ไหนแต่ไร เขาไม่ค่อยกล้าเข้ามาคลุกคลี รับรู้และกลัวในสิ่งที่ตัวเองเป็น ส่วนพ่อชอบย้ำปลายเป็นผู้ชาย ทั้งที่เด็กน้อยอยากตะโกนตอบให้ดังๆว่า ปลายอยากเป็นผู้หญิงค่ะพ่อ

   “พ่อขา ปลื้มจำได้ว่าพ่อบอกว่า ปลื้มกระล่อนกว่าผีเรือนบ้านนี้ พ่อรู้จักกับเค้าเหรอ”

   บทหวาน ปลื้มอ้อนได้น่าเอ็นดู แต่ปรัชญาอึ้งไปครู่หนึ่ง เพราะเขาหลุดปากไป และไม่คิดว่าสำหรับปลื้มจะเก็บตกหล่นทุกคำของคนอื่นมาใส่ใจ ส่วนคำพูดของตัวเองกลับทำเป็นลืมๆซะ

   “พ่อไม่ต้องบอกก็ได้จ้ะ ปลายอยากนอนแล้วล่ะ” เด็กชายบอก เหลียวมองหน้า หลังด้วยท่าทางเลิกลั่กน่าสงสาร ปรัชญาดึงลูกชายเข้าไปหา จับแขนเรียวของอีกฝ่ายเบาพลางสั่งสอนว่า

   “ลูกผู้ชายต้องไม่กลัวผีสางนางไม้ ต้องมีความเข้มแข็ง และเป็นที่พึ่งของครอบครัว”

                ปลายอยากร้องไห้ ยิ่งเติบโต เพศยิ่งแตกต่าง ส่วนเกินในร่างกายเป็นสิ่งที่เด็กน้อยคนนี้เกลียดจับใจ เวลาขับถ่าย สองเพศขับถ่ายพร้อมกัน ทำให้ปลายยิ่งไม่ชอบส่วนเกินของตน

 แต่เพราะรักพ่อมาก ปลายจึงเก็บอารมณ์ได้มิดชิดในเรื่องที่ตนเองปฏิเสธ และยืนนิ่งรับฟัง ส่วนปลื้มเข้าใจน้องแฝดได้ทะลุปรุโปร่งจึงแทรกว่า

   “ปลายนอนกะปลื้มอยู่แล้วไม่ต้องกลัวผีนะจ๊ะ คืนนี้ปลื้มจะกอดให้แน่นจนไอ้ผีบ้าหน้าไหนก็เข้าไม่ติดเลยล่ะ”

“จริงป่ะ”

“จริงดิ”พี่สาวรับคำหนักแน่น และเมื่อปลื้มได้รับคำน้องเมื่อไหร่ ปลายจะสบายใจได้ว่าพี่ทำตามคำเสมอ ส่วนพ่อรีบแย้งเพราะยังไงก็คิดว่าทั้งคู่เป็นเด็กชายและหญิง เมื่อเติบโต ยังไงต้องแยกจากกัน

   “แปดขวบแล้วนะสองคนนี้ พ่อว่าจะยกห้องอีกสักห้องให้ปลาย”

   “ง่วงแระ” ปลื้มตัดบท โผเข้าไปกอดรอบคอบิดา หอมแก้มแรงทั้งซ้ายขวา แล้วผละจาก โดยฉวยข้อมือน้องชายไปด้วย ปรัชญาได้แต่มองตาม เริ่มรู้เลยว่า ลูกสาวเป็นใหญ่อีกแล้ว เรื่องการตัดสินใจในเรื่องการแยก หรือไม่แยกห้องนอน

   ชายลูกติดส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ เพราะแพ้ต่อความรักลูกปลื้มอีกเช่นเคย จากนั้นมีเสียงกระซิบเบาๆ

   “ให้หนูเล่นกับน้องได้หรือยังพ่อ”

   “ยัง ยัง ก้านยาว เดี๋ยวน้องหัวโกร๋น”ปรัชญาพูดกับ ‘บางสิ่ง’ ซึ่งยอมรับด้วยการไม่เซ้าซี้ หากว่า กับมีอีก ‘บางสิ่ง’เอ่ยเสียงแผ่วเบาระคนหวาน แต่เสียงโบราณอายุเท่ากับบ้านหลังนี้ คือเรือนไทยแปดสิบปี

   “แต่ปลื้มเขาอยากเห็นฉันนะจ๊ะคุณปรัช”

   “นี่แม่ศรี อย่ามาทำให้ลูกสาวฉันหัวโกร๋นอีกคน ไป ไปที่อยู่ใครทีอยู่มัน”

คุณปรัชญาตอบ พลางไล่ ‘บางสิ่ง’ให้ไปเสียให้ห่าง หากว่า ‘บางสิ่ง’ที่พ่อเรียกว่าก้านยาว ไปเล่นตึงๆนอกห้องพระ ส่วน ‘บางสิ่ง’ ที่พ่อเรียกแม่ศรี ไปวนเวียนหน้าห้องเด็กแฝด แสดงท่าที อยากเสนอหน้าเต็มทน

ตามประสา ‘ผีชอบหลอก’อยู่นั่นเอง

ปลื้มกลับมาที่ห้องนอน พลางหอบหมอนกับผ้าห่มทำท่าจะไปยังเตียงของน้อง แต่ปลายรีบเอ่ยว่า

“ไม่ต้องนอนกับปลายก็ได้”

“เอ้าไม่กลัวแล้วหรือไง”

“ก็กลัวๆอยู่ แต่ว่า กลัวปลื้มละเมอถีบมากกว่าด้วย”

“แหม ชอบให้ร้าย”ปลื้มต่อว่าหัวเราะคิกคัก  ทิ้งหมอนและผ้าห่มลงที่เก่าจากนั้นโถมตัวลงไปนอนหงายท้องหรา เหมือนกบนอนแอ้งแม้ง ส่วนปลายยังนั่งกอดผ้าห่มส่อเค้าหวาดหวั่น

“ยังกลัวผีหรือไงปลาย”เจ้าตัวดีจี้จุดตรงเผง แล้วอวดตัว“เอาน่า ถ้ามาให้เห็นจะให้สองบาท ผีเรือนนั่นล่ะ ออกมาให้เห็นหน่อย”ปลื้มปากพล่อยท้าทาย

ส่วนแม่ศรีผู้เป็นผีเรือนนั้น อยากลองดีกับปลื้มมานานแล้ว เมื่อเจ้าตัวซนลองของ นางจึงจัดให้อย่างที่ปลื้มชอบพูด

   ‘จัดไปอย่าให้เสีย’


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (67 รายการ)

www.batorastore.com © 2024