Devil's Bride...เจ้าสาวของแวมไพร์
ประหยัด: 27.09 บาท ( 21.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 1 รายการราคา 85.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
บทที่ 1
เมื่อคืนมีเหตุฆาตกรรมสองศพที่ถนนดาลิงตัน
สภาพศพในบ้านที่ตำรวจนำกำลังไปตรวจตามที่ได้รับแจ้งนั้น... สยดสยองชวนขนหัวลุก
"...ดูจากกะโหลกศีรษะและเศษเนื้อที่ยังมีเหลือห้อยต่องแต่งบนต้นสนซึ่งเตรียมจะทำเป็นต้นคริสต์มาสในเดือนธันวาคมหน้าบ้าน... กับกระดูกแขนขาที่เกลี้ยงเกลาใสสะอาด รวมกับปากคำให้การของพยานเป็นเพื่อนบ้านแถบนี้ที่ยืนยันว่าเคยเห็นสองคนนี้เข้านอกออกในบ้านนี้เป็นประจำ...ทำให้สันนิษฐานได้ว่าเป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง ผู้ชายคือเจ้าของร้านขนมปัง ส่วนผู้หญิงคือ...อะ อ้าว ผู้หมวด..."
ตำรวจในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มสวมหมวกทรงสูงมีเชือกรัดใต้คางเงยหน้าขึ้นจากรายงานที่กำลังร่ายยาวปาวๆ เมื่อสัมผัสได้ว่า ชายหนุ่มที่เคยยืนอยู่เบื้องหน้าผลุนผลันหายวับไปจากระยะสายตา ครั้นแล้ว...จ่าตำรวจวัยกลางคนไร้หนวดเขี้ยวก็พบว่าตำรวจนักสืบที่เพิ่งจบหลักสูตรมาหมาดๆ วิ่งไปโก่งคออาเจียนอยู่ตรงโคนต้นไม้ ภายในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุห่างไปราวสามเมตร
ฝูงชนที่ยืนชะเง้อชะแง้คอดูแบ่งเป็นสองกลุ่มคือคนมีภูมิคุ้มกันกับเรื่องนี้แล้ว เพราะหลังมีฆาตรกรต่อเนื่องแจ็ค เดอะ ริปเปอร์กำเนิดขึ้น พวก ‘ฆาตกรรมเลียนแบบ’ ก็โผล่ออกมาเรื่อยๆ จนกรุงลอนดอนในตอนนี้มีศพชวนสยองขวัญโผล่มาให้เห็นอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้งกับพวกที่ไม่คุ้น
กลุ่มแรกพอเห็นนายตำรวจนักสืบสวมสูทผูกไท ‘แย่’ กว่าตัวเองก็หัวเราะคิกๆ อย่างขบขัน แต่กลุ่มหลังร่วมวงผสมโรงวิ่งออกจากจุดเกิดเหตุไปโก่งคออาเจียนในบ้านของตัวเอง
“นึกแล้วว่าศพแรกต้องอ้วก” จ่าตำรวจหนวดเขี้ยวที่กล่าวรายงานเมื่อครู่ส่ายหัวยิ้มเหนื่อย ก่อนหันไปทางเพื่อนร่วมงานอีกคนที่อายุน้อยกว่าตนราวห้าปี “โอเค งั้นใครช่วยไปดูผู้หมวดปีเตอร์สันแห่ง CID ทีสิ”
ช่วงนี้สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในกรุงลอนดอนแทบไม่กล้าเดินถนนตอนกลางคืนเพื่อนำตัวเองไปเป็นเหยื่อบรรดาฆาตรกรโรคจิต
“ฉันไม่ว่าง ต้องรีบถ่ายรูปให้เสร็จ ไม่อย่างนั้นหิมะละลายพาเอารอยเลือดไปหมดจะยุ่ง แต่ว่าก็ว่าเถอะ...ถ้าฉันจบใหม่ๆ แล้วมาเจอศพแรกของการปฏิบัติงานจริงในชีวิตเป็นเศษเนื้อกับกระดูกที่เละเทะอย่างกับโดนสัตว์แทะกินแล้วไปห้อยต่องแต่งอยู่บนต้นสนแทนเครื่องประดับคริสต์มาส ฉันคงอ้วกเหมือนกัน เมดิสันพกยาดมมาหรือเปล่า”
“คู่สนทนาของจ่าหนวดเชี้ยวโยนเรื่องไปทางเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพราะเขากำลังตั้งอกตั้งใจถ่ายรูปที่เกิดเหตุด้วยกล้องรุ่นใหม่แบบใช้ฟิล์มที่บริษัทแห่งหนึ่งพัฒนาขึ้น
“ฉันไม่ได้เอามา...แต่เดี๋ยววิลเบิร์ก เวสตันพี่เลี้ยงเขามา คงจะรอบคอบพอจะพกยาดมมาให้ด้วยหรอก...”
ตำรวจชื่อเมดิสันตอบเพื่อนโดยยังไม่ละสายตาจากเศษเนื้อกับรอยเลือดบนหิมะที่เริ่มละลายหลังดวงอาทิตย์ฉายแสงลงต้องจุดเกิดเหตุมาได้สักครู่ ประกอบกับชาวบ้านที่เข้ามารุมล้อมทำให้อุณหภูมิรอบๆ สูงขึ้น พวกเขาจึงไม่อยากเสียเวลาไปดูผู้หมวดหนุ่มแห่งหน่วย CID
หลังโยนเรื่องไปให้คนที่ยังมาไม่ถึงอย่างส่งๆ ขาดคำ...ผู้ที่พวกเขากล่าวถึงก็ก้าวเข้ามาในบริเวณสถานที่เกิดเหตุพร้อมปฏิเสธกลั้วหัวเราะ
“แย่จัง...พอดีผมไม่รอบคอบ ลืมยาดมให้เพื่อนร่วมงานคนใหม่เสียแล้วล่ะครับ”
แดดอ่อนยามเช้าตรู่ที่เพิ่งลอดม่านเมฆหนาทึบของฤดูหนาวตกลงต้องใบหน้าและเรือนกายสูงใหญ่ของผู้มาใหม่ เขาเป็นชายหนุ่มอายุราวสามสิบต้นๆ ผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ หน้าตาหล่อเหลาคมคาย...คิ้วเข้ม ดวงตาสีเทา จมูกโด่งเป็นสัน และปากบางอมเลือดอมฝาดเข้ารูปรับกันทุกส่วนสัดราวรูปปั้นเทวดาใหญ่มิคาเอล
วิลเบิร์ก เวสตันก้มหน้าและยิ้มน้อยๆ ให้บรรดาขามุงขณะขอแทรกร่างกายสูงใหญ่โดดเด่นของตนเข้ามาในจุดเกิดเหตุ ส่งผลให้เสียงพูดคุยซุบซิบของสาวๆ ที่อยู่รอบบริเวณเอ็ดอึงเหตากพากันชี้ชวนดูสุภาพบุรุษในชุดสูทสีเทาเข้มผูกผ้าพันคอสีดำนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัว
สำหรับตำรวจในลอนดอนแล้ว...ปฏิกิริยาของสาวๆ ที่มีต่อชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ของแปลกตาเลย เนื่องจากวิลเบิร์ก เวสตันเป็นอะไรที่คล้ายๆ กับ ‘สัญลักษณ์นำโชค’ ของกรมตำรวจ
เขาเป็นบุตรชายคนเล็กในจำนวนสองนของตระกูลซึ่งสืบเชื้อสายมาจากขุนนางท่านหนึ่ง...นับได้ว่าเป็นชนชั้นสูงที่มาทำงานเป็นตำรวจนักสืบรุ่นแรกเลยก็ว่าได้ เพราะตำรวจนักสืบแห่งสกอตแลนยาร์ด ไม่ใช่หน่วยงานที่จะใช้เส้นสายเพื่อให้ตัวเองแทรกเข้ามาทำงานได้ง่ายๆ เนื่องจากมันเป็นงานที่ต้องทำจริง ไม่ใช่ทำแค่ปาก
ตลอดระยะเวลาที่วิลเบิร์ก เวสตันทำงานอยู่ในกรม เขาแสดงให้คนอื่นๆ เห็นแล้วว่า ‘มีกึ๋น’ สามารถสะสางงานได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์...ยกเว้นคดีล่าสุด และตำรวจคนอื่นก็คิดว่ากึ๋นของเขาคงโตเกินไป เพราะวิลเบิร์ก เวสตันฉลาดเฉลียว...เหี้ยม...สามารถอาศัยตำแหน่งหาเงินเข้ากระเป๋าได้เป็นกอบเป็นกำโดยที่พวกผู้ใหญ่ไม่คิดจะตรวจสอบ
แน่นอน...ว่ามันเป็นเพราะเขาคือ ‘วิลเบิร์ก เวสตัน’
คนนอกไม่ระแคะรคายหรอกว่าใต้หน้ากากสุภาพบุรษในวงสังคมนี้คือ ‘เทพบุตรซาตาน’ ตำรวจหลายนายโดยเฉพาะตำรวจดีๆ ที่พอจะรู้ตื้นลึกหนาบางต้องทนมองชายคนนี้ในฐานะสัญลักษณ์นำโชคของกรมโดยไม่มีปัญญาทำอะไร
วิลเบิร์ก เวสตันมาแล้ว...น่าแปลกที่วันนี้นักสืบหนุ่มมาสายนิดหน่อย มิหนำซ้ำยังมาในมาดที่แปลกตาเล็กน้อย เนื่องเพราะตามปกติเขาจะเรียบร้อยจากหัวจรดเท้า หวีผมเรียบแปล้ไม่มีให้เส้นไหนกระดิกผิดทรง แต่นี่...สูทสามชิ้นของเขาออกจะติดกระดุมไม่ครบ เนกไทที่ผูกอยู่ดูจะฟูๆ เหมือนผ้าพันคอสำหรับออกงานกลางคืนมากกว่าแบบเรียบๆ ที่เหมาะกับชุดทำงานตอนกลางวัน มิหนำซ้ำผมที่เคยเรียบแปล้ยังยาวคลุมต้นคอรากไทร ทั้งยังปล่อยให้เคลียหน้าผากและดวงตาเสียหลายปอย
ไม่เพียงเท่านั้น...วิลเบิร์ก เวสตันยังยิ้มกับคนอื่นอย่างน่าเอ็นดู แทนที่จะยิ้มแบบใส่หน้ากากสังคม ให้กับผู้มีศักดิ์และฐานันดรเสมอหรือมากกว่าเท่านั้นด้วย
“มิสเตอร์เวสตัน...”
“ครับ?” ชายหนุ่มถามกลับยิ้มๆ จนจ่าตำรวจหนวดเขี้ยวรู้สึกแปลกๆ ทว่า...เขาไม่มีเวลาให้ความสนใจกับรายละเอียดพรรค์นั้นมากจึงวกเข้าเรื่องงานทันที
“อ่า...เอาเถอะ คือตอนนี้ปัญหาที่เรามีเมื่อพบศพคือเราสันนิษฐานไปแล้วว่าศพที่เหลือเพียงซากนี้คืออลัน แมกซิม เจ้าของร้านขนมปังตรงหัวมุมถนนนี้เอง กับอีกคน...เป็นผู้หญิง มีกระเป๋าสตางค์ตกอยู่ใกล้ตัวบอกว่าเป็น...แอนนาเบล ร็อกเก็ต”
“จริงเหรอ...เอ่อ...” วิลเบิร์กลากเสียงลังเล อีกฝ่ายจึงอนุญาตให้เรียกชื่อได้เลย แสดงให้เห็นว่าเคยทำความรู้จักกันมาก่อนแล้ว แต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถวิสาสะ
“เรียกพอล รูธก็ได้คุณเวสตัน ชื่อผมเรียกง่ายและผมไม่คิดจะใช้อภิสิทธิ์การเป็นเพื่อนกับคนที่คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงใคร”
สาบานได้ว่าวิลเบิร์กไม่รู้หรอกว่าพอล รูธหมายถึงใคร แต่เวลานี้การเออออไปก่อนจะดีที่สุด
“โอเค แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงครับ พอล”
“ด้านแอนนาเบล ร็อกเก็ต เราจะตรวจสอบตามหลักฐานที่เจอในที่เกิดเหตุอีกครั้ง แต่ทางด้านอลัน มีชาวบ้านคนหนึ่ง...คนนั้น”
พอลใช้มือที่ถือดินสอชี้ไปที่หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังลงลายมือชื่อในใบคำให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ที่นักสืบหนุ่มอีกคนนั่งหมดแรงหลังอาเจียนเอามื้อเช้าออกจากท้องจนหมด
“แกบอกว่าคุ้นเคยกับเจ้าของร้านขนมปังพอสมควรเพราะมิสเตอร์แมกซิมเป็นชายหนุ่มที่เอื้อเฟื้อ มักจะให้ขนมปังกับเด็กๆ และคนแก่โดยไม่คิดเงิน จำได้ผู้ตายเพิ่งบ่นว่าปวดฟันกรามซี่แรก ฟันผุ กำลังจะไปหาหมอที่โรงพยาบาล และผู้ตายใส่แหวนนิ้วนางข้างซ้ายอย่างคนที่แต่งงานแล้ว แต่ไม่มีภรรยาของเขาขณะมีชีวิตอยู่...และพอเราตรวจกะโหลกศีรษะหนึ่งในสองศพ...มีคนหนึ่งเป็นผู้ชายที่สวมแหวนไว้ตรงนิ้วนางและฟันผุที่ฟันกรามซี่แรก”
“โชคดีนะที่เนื้อตรงนิ้วมันน้อย ตัวอะไรสักอย่างที่กินเขาขี้เกียจแทะ แหวนเลยยังมีติดนิ้วไม่ให้ตำรวจเดือดร้อนมาก” วิลเบิร์ก เวสตันเสนอความเห็นยิ้มๆ คล้ายการพูดเรื่องใครสักคนโดนอะไรสักอย่างกัดกินเป็นเรื่องธรรมดา
จ่าตำรวจหนวดเขี้ยวร่วมงานกับวิลเบิร์ก เวสตันมาหลายครั้งแล้ว เพราะระยะหลังลอนดอนมีแต่ฆาตกรรมอำพราง ไม่ก็ฆาตกรรมปริศนาที่ต้องพึ่งตำรวจนักสืบ แต่วิลเบิร์ก เวสตันในความทรงจำของพอลไม่เคยเสนอความคิดเห็นแล่นๆ บุคลิกปกติของหนุ่มผู้มาจากตระกูลสูงผู้นี้คือนิ่ง...ใช้ความคิดอย่างเงียบๆ ก่อนจะมีแนวทางเด็ดๆ หรือวิธีสาวไปถึงตัวฆาตกรรมมาบอกกล่าวกันอย่างสงวนถ้อยคำ ที่สำคัญคือไม่เคยเรียกชื่อเพื่อนร่วมงานอย่างสนิทสนม
ต่างกับวันนี้พิลึก...
“ผมไม่มีความเห็นเรื่องนั้นหรอกนักสืบเวสตัน นิ้วคนมันจะเนื้อน้อยหรือไม่อร่อย...”
“แบบฮันเซลกับเกรเทลไง แม่มดจับเกรเทลขังไว้เพื่อจะรอให้อ้วนท้วนจ่ำม่ำกว่าตอนที่เจออีกหน่อย ก็ใช้วิธีจับนิ้วดูว่ามีเนื้อมีหนังมากขึ้นหรือยัง ไม่อย่างนั้นเนื้อนิ้วจะไม่ค่อยอร่อย”
“ถ้าอย่างนั้น...เราก็สันนิษฐานว่าคนหนึ่งน่าจะเป็นเจ้าของร้านขนมปัง อีกคนคือแอนนาเบล ร็อกเก็ต สายสืบของคุณ คุณเวสตัน”
จ่าพอลลอบถอนหายใจก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาวิลเบิร์ก แวบหนึ่ง...เขาว่าเขาเห็นประกายเย็นเยียบแฝงความอำมหิตวับขึ้นในดวงตาสีเทาของนักสืบหนุ่ม...ทำเอาสะท้อนสะท้านไปทุกอณู ขนอ่อนทั่วตัวลุกกรูเกรียว ก่อนที่มันจะอันตรธานหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
“ศพผู้หญิงนั่นเป็นแอนนาเบลไม่ผิดหรอก...” วิลเบิร์กเอ่ยเสียงเรียบ เมินมองไปทางอื่น หากไม่คิดจะเก็บแววตาแสดงความรู้สึกอย่างปุถุชนที่พึงมีต่อเพื่อนร่วมอาชีพคือเสียดาย...เสียใจ “พวกคุณคงยังไม่ทราบสินะว่าเมื่อคืนเรากำลังจะจับกุมแอนนาเบลข้อหาฆ่าคนตายสองคน”
“อะไรนะ” พอลอุทานเสียงดังพอสมควร และเสียงของเขาก็ดึงความสนใจของตำรวจอีกนายหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดให้หันมาเงี่ยหูฟัง
วิลเบิร์กหันไปมองเพื่อนร่วมงานผู้นั้นแล้วยิ้มอ่อนๆ ให้ ก่อนจะสรุปเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้พอล รูธเข้าใจอย่างสั้นๆ
“อีกหน่อยก็ต้องรู้รายละเอียดกันอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นผมเล่าคร่าวๆ แล้วกันว่าแอนนาเบลซึ่งเป็น...หญิงงามเมืองที่ผันตัวเองมาเป็นนักข่าวพิเศษให้หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ได้ใช้วิธีการของตัวเองแทรกซึมเข้าไปทำความสนิทสนมกับแหล่งข่าวที่จะทำให้เธอได้ข่าวฆาตกรรมคดีหนึ่ง โดยที่เธอเองก็ขายข่าวให้นายตำรวจที่รับผิดชอบคดี แต่เมื่อครึ่งปีก่อน แอนนาเบลเปลี่ยนใจไปรับเงินจากพวกมิจฉาชีพ เมื่อได้เงินก็จะช่วยให้ข่าวบิดเบือนแก่ทางตำรวจ กระทั่งเรื่องแดง เท่ากับเธอเป็นหนึ่งในแก๊งมิจฉาชีพ นักสืบสองคนที่ตามไปจับโดนเธอยิงเสียชีวิตและเธอหลบหนีไปก่อนที่เราจะพบเธอ... ที่นี่”
พอล รูธขมวดคิ้วจนหน้ายุ่ง...หันไปมองเศษซากที่กองอยู่ตรงโคนต้นสน
แม้ตอนนี้มันจะได้รับการคลุมด้วยผ้าขาวอย่างดี แต่ภาพตอนที่เขามาพบศพพร้อมเพื่อนๆ ยังคงติดตา
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อเรื่องที่แอนนาเบลทำผิด แต่พอลเกรงว่าเรื่องรับเงินพวกมิจฉาชีพแล้วช่วยพวกมันปิดบังข้อมูลน่าจะเกี่ยวกับวิลเบิร์ก เวสตันด้วย เพราะเขาได้ยินข่าวแว่วๆ มานานแล้วว่าชายหนุ่มผู้นีมีสายสัมพันธ์กับพวกกลุ่มอาชญากรบางกลุ่ม เพียงแต่ไม่มีใครยืนยันได้สักคนว่ามันคือความจริง เพราะฉะนั้นหากเรื่องเริ่มต้นที่แอนนาเบล ร็อกเก็ตหักหลังใครสักคน ก็น่าจะเป็นวิลเบิร์ก เวสตัน
แต่....เขาว่าวิลเบิร์ก เวสตันคงไม่แค้นจนต้องกินเธอ
“เอาเถอะ” พอล รูธต่อบทสนทนาอีกครั้งด้วยคำพูดติดปาก
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
"Devil's Bride...เจ้าสาวของแวมไพร์"