แผนร้ายหัวใจรัก (อิ่มอุ่น)

แผนร้ายหัวใจรัก (อิ่มอุ่น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: แผนร้ายหัวใจรัก
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เสียงรถยนตร์จอดที่หน้าบ้าน ทุกคนที่โต๊ะอาหารตื่นเต้นที่จะได้พบหน้ากับบุคคลที่เดินทางมาถึงแล้ว ชายสูงวัยนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะลดหนังสือพิมพ์ลงมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามหญิงวัยกลางคนที่กำลังง่วงกับการจัดเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนอยู่

            “คุณชื่น มีใครรอรับยายมนหรือเปล่า”

            “มีค่ะ ดิฉันสั่งเด็กไว้แล้ว” ชื่นจิต แม่บ้านประจำบ้านปัจจานนท์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม แล้วหันมากำกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ให้เร่งมือเร็วขึ้นอีก

            “ใครมาแต่เช้าคะ คุณพ่อ” แพรใจ บุตรสาวคนโตของคุณบูรณะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเธอก็ได้รู้ว่าเสียงรถที่อยู่หน้าบ้านพาใครมา

            “คุณพ่อ” ร่างเล็กยิ้มหวานรีบวิ่งเข้ามาที่ห้องรับประทานอาหาร ตรงเข้าสวมกอดชายสูงวัยที่วางหนังสือพิมพ์ในมือลง แล้วอ้าแขนรับบุตรสาวคนเล็กที่เพิ่งเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกลับแผ่นดินเกิดเมื่อไม่กี่นาทีนี้

            “คิดถึงคุณพ่อที่สุดในโลกเลยค่ะ" มนทิชาพูดพลางก้มลงหอมแก้มบิดาซ้ายขวาเพื่อยืนยันคำว่าคิดถึงจริง

            “พี่แพร คิดถึงจังเลยค่ะ” น้องสาวคนสวยหันมาหาพี่สาว สองพี่น้องกอดกันด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายปี คุณบูรณะมองภาพนี้ด้วยความสุขก่อนที่ทั้งสองสาวจะโผเข้ากอดบิดาพร้อมๆ กันอีกครั้ง

            “จะกลับมาทำไมไม่บอก แล้วนี่ใครไปรับ” แพรใจเอ่ยถามด้วยความรักตามประสาพี่น้อง

            “ก็จะใครล่ะคะ ถ้าไม่ใช่คนขับรถกิติมศักดิ์ของบ้านเรา คุณพ่อส่งตั๋วไปพร้อมสั่งว่าให้กลับด่วน มนนึกว่าพี่แพรรู้แล้ว ยังแปลกใจว่าทำไมรอบนี้พี่แพรไม่ไปรับ” มนทิชาไม่ติดใจอะไรที่พี่สาวคนสวยไม่ไปรับเหมือนเคย

            เธอพอรู้ว่าแพรใจงานยุ่งมากแค่ไหน ตั้งแต่ที่เข้าไปช่วยสานต่องานของบิดา อีกทั้งโดยนิสัยของพี่สาวแล้ว แพรใจไม่ค่อยสุงสิงหรือคุยกับใครนัก ผิดกับมนทิชา ที่ชอบพูดชอบคุยกับทุกคนอย่างสนุกสนาน ดังนั้นจะว่าไปแล้วนอกจากเรื่องงานที่แพรใจรู้รายละเอียดดีกว่าใครทั้งหมด เรื่องอื่นในบ้านก็มีมนทิชาคนนี้ที่รู้ดีกว่าใคร

            “อุ๊ย คุณมน อย่าแกล้งคนแก่ซิคะเดี๋ยวป้าก็หัวใจวายพอดี” หญิงวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ เมื่อถูกสาวน้อยยั่วเย้าด้วยการจี้เอว เพราะรู้ว่าชื่นจิตบ้าจี้

            “แหม มนไม่ยอมให้ป้าชื่นหัวใจวายง่ายๆ หรอกค่ะ” มนทิชากอดเอวนางไว้เหมือนทุกครั้งที่เคยแสดงความรัก ต่อแม่บ้านแสนดีที่ดูแลตนมาตั้งแต่เด็ก

            “พอก่อนยายมน นั่งลงแล้วกินข้าวให้เรียบร้อยจะได้ไปคุยกับพ่อต่อที่ห้องทำงาน” คุณบูรณะเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการแล้วหันมาสั่งแพรใจอีกคนว่า

            “แพร ไปหาพ่อที่ห้องทำงานด้วย”

            “ค่ะ คุณพ่อ” แพรใจรับคำเบาๆ แล้วลงมือรับประทานอาหารเช้าทันที

            ชื่นจิตสั่งให้สาวใช้เริ่มดูแลคุณๆ ทุกคนเหมือนที่เคยปฏิบัติมา มนทิชาเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตที่ต่างแดนให้บิดาและพี่สาวฟังอย่างสนุกสนาน คุณบูรณะถามเพียงบางเรื่องที่อยากรู้ และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็ลุกออกจากโต๊ะไปทันที สร้างความสงสัยให้กับสองพี่น้องเป็นอย่างมาก

            “คุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าคะ พี่แพร ทำไมดูเครียดจัง” มนทิชากระซิบถาม

            “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน รับกินเถอะเดี๋ยวคุณพ่อจะรอนาน” แพรใจเองก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

            แต่ถ้าให้เดาโดยดูจากสีหน้าที่เคร่งเครียดในยามนี้แล้ว คิดว่าเรื่องที่เรียกไปพบคงเป็นเรื่องสำคัญมาก และเธอควรเร่งให้มนทิชากินข้าวเช้าให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อที่จะไปพบบิดาที่รออยู่ในห้องทำงานก่อนหน้านี้แล้วให้เร็วที่สุด

           

          สองสาวพี่น้องมาพบคุณบูรณะที่ห้องทำงานหลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จทันที แพรใจนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเพื่อรอฟังว่าบิดาจะพูดเรื่องสำคัญอะไร ในขณะที่มนทิชาทิ้งตัวลงบนโซฟารับแขกมุมห้อง

            “มีอะไรหรือคะ คุณพ่อ” แพรใจถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เป็นงานเป็นการอย่างเห็นได้ชัด

            ปีนี้แพรใจอายุยี่สิบแปดรับตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัทกู๊ดเชฟ ธุรกิจด้านการส่งออกชุดชั้นในสตรีอันดับต้นๆ ของประเทศไทย โดยมีคุณบูรณะที่นั่งเก้าอี้ท่านประธานเป็นที่ปรึกษาและอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนงานต่างๆ ในบริษัทให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง จนยอดขายในแต่ละปีเป็นที่น่าพอใจ

            “พ่ออยากให้แพรมาดูแลเรื่องการตลาดหน่อย จะทำไหวไหมลูก”

            “ได้ค่ะ คุณพ่อ” หญิงสาวรับคำทันที

            สำหรับเรื่องงานแพรใจได้เลือดบิดามาเต็มร้อย ความทุ่มเทความตั้งใจนับจากวันที่ตามรอยคุณบูรณะเข้ามาทำงานก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ลูกสาวคนโตเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการทำงานได้เป็นที่น่าพอใจจริงๆ

            "งั้นตกลงตามนี้ พ่อจะเรียกประชุมเร็วๆ นี้ เพื่อฟังนโยบายกลยุทธทางการตลาดของบริษัทในปีนี้ ส่วนแพรก็เข้าประชุมกับพ่อจะได้เข้าใจแผนงาน และถ้ามีอะไรปรับปรุงเราจะได้ทำทีเดียวเผื่อให้งานไม่สะดุด ส่วนยายมน" ชายวัยกลางคนหันมาหาบุตรสาวคนเล็ก

            “พ่อจะส่งไปฝีกงานที่ตราดนะ”

            "อะไรกันคะ พ่อ มนเพิ่งกลับมานะ" มนทิชาประท้วงเล็กน้อย

            เธอไม่ได้คิดว่าจะไม่กลับมาช่วยบิดาและพี่สาวทำงาน เพียงแต่นี่เพิ่งจะถึงแผ่นดินเกิด ยังไม่ทันได้รื้อกระเป๋าเสื้อผ้าเสียเลยด้วยซ้ำ บิดาก็มีคำสั่งให้เดินทางอีกเสียแล้ว ขอเวลาให้มนทิชาได้พักผ่อนหายใจสักหน่อยได้ไหม

            “พ่อก็ไม่ได้บอกนี่นา ว่าจะให้ไปวันนี้ซะหน่อย” คุณบูรณะอมยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าโอดครวญของบุตรสาว

            “ขอมนพักสักแป๊ปได้ไหมคะ มนยังอยากไปเที่ยวทะเลดำน้ำดูปะการัง หรือพักสมองสักเดือนสองเดือน เพิ่งเรียนจบนะคะพ่อ ให้ทำงานเร็วๆ เดี๋ยวลูกสาวพ่อก็หน้าแก่กันพอดี"

            “พ่อให้มนพักเที่ยวรอบอเมริกาเดือนหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ ลูก” บิดาพูดอย่างรู้ทัน

            มนทิชาพูดไม่ออก เพราะก่อนที่จะเดินทางกลับด้วยความจำใจนี้ เธอเพิ่งจะขอของรางวัลที่บากบั่นพากเพียรเรียนให้จบ ด้วยทริปท่องเที่ยวทั่วแผ่นดินอเมริกาตามใจที่อยากไป ถ้าคุณบูรณะไม่ยืนกรานว่าให้กลับและส่งตั๋วเครื่องบินที่กำหนดวันเดินทางไปให้แล้วล่ะก็ รับรองว่ามนทิชาคงเพลิดเพลินอยู่กับอเมริกาอีกนานแน่

            “คุณพ่อคะ ให้น้องพักก่อนก็ได้มั้งคะ เรื่องที่ตราดเดี๋ยวแพรช่วยดูแลไปก่อนก็ได้” แพรใจเห็นใจคนที่เพิ่งกลับมา

            เพราะรู้นิสัยน้องสาวดีว่าถ้าต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่พร้อมแล้วล่ะก็ ผลเสียมันออกมามากกว่าผลดีเสมอ และงานที่ตราดตอนนี้จะผิดพลาดสักเล็กน้อยก็ไม่ได้ ดังนั้นให้มนทิชาไปพักผ่อนจนพร้อมที่จะกลับมาช่วยงาน แล้วถึงตอนนั้นค่อยหางานที่เหมาะสมให้น่าจะดีกว่า

            “งานที่แพรดูแลล้นมือไปหมดแล้ว พ่อว่าเรื่องที่ตราดให้เป็นหน้าที่ยายมนดีกว่า” คุณบูรณะยืนยันตามความคิดเดิม

            "ถ้างั้นก็แล้วแต่คุณพ่อค่ะ" แพรใจหันมาสบตากับน้องสาวเล็กน้อย

            มนทิชาแอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อรู้ว่าโปรแกรมพักผ่อนท่องเที่ยวที่คิดไว้แต่แรกต้องพับเก็บไปก่อน และเตรียมตัวเดินทางไปตราดเพื่อทำงานตามที่บิดาสั่ง

            แม้จะไม่อยากไปหรือไม่พร้อมในเวลานี้ แต่เธอก็ไม่อาจขัดคำสั่งนี้ทำได้เพียงแค่นั่งฟังพี่สาวและบิดาพูดคุยกันเรื่องงานต่ออีกสักพัก ก่อนที่แพรใจจะออกไปทำงานที่บริษัท ส่วนมนทิชาก็กลับขึ้นไปพักผ่อนข้างบนทันที

            มนทิชากลับขึ้นไปที่ห้องพักของตนเอง ร่างเล็กทอดตัวยาวลงบนเตียงใหญ่อย่างช้าๆ หลับตาลงเบาๆ ครุ่นคิดถึงเรื่องที่บิดาเอ่ยด้วยเมื่อครู่นี้ บิดาแบกภาระหนักทั้งงานบริษัทที่กำลังเติบโตและการดูแลบุตรสาวทั้งสองที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตด้วยความยากลำบาก สองพี่น้องเป็นเด็กดีไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้ผู้เป็นพ่อต้องปวดหัว ยิ่งแพรใจด้วยแล้วสมกับเป็นพี่สาวคนโตของครอบครัว เพราะยังไม่ทันเรียนจบเจ้าหล่อนก็เข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องงานได้เป็นอย่างดี

            ผิดกับน้องสาวคนเล็กของบ้าน แม้มนทิชาจะไม่สร้างปัญหาแต่ความสนใจที่จะเรียนรู้ในธุระกิจของครอบครัวมีน้อยมาก ทันทีที่เรียนจบสาวน้อยก็ขอคุณบูรณะโบยบินไปเรียนต่อไกลถึงสหรัฐอเมริกา ใช้ชีวิตคุณหนูสุขสบายตามประสา นี่ถ้าไม่ถูกบังคับให้กลับมาด้วยการส่งตั๋วเครื่องบินพร้อมระบุวันเวลาไปให้ด้วยแล้ว เธอก็คงไม่ล้มเลิกโปรแกรมท่องเที่ยวแสนสนุกที่วางไว้ยาวเหยียดเป็นแน่

             ตลอดทั้งวันสาวน้อยหมกตัวอยู่แต่ในห้อง เพราะอ่อนเพลียจากการเดินทางข้ามทวีปมาหมาดๆ มนทิชาคิดถึงเรื่องงานที่บิดาจะมอบหมายให้ตนรับผิดชอบ และตัวใจว่าจะถามรายละเอียดให้กระจ่าง แต่ก็ไม่มีใครอยู่บ้านเพื่อตอบคำถามที่ต้องการอยากรู้

            “คุณท่านติดงานเลี้ยง ส่วนคุณแพรยังประชุมอยู่ที่บริษัทค่ะ” ชื่นจิตบอก เมื่อมนทิชาถามหาพ่อและพี่สาวในอาหารมื้อเย็น

            “งั้นมนขอแค่นมอุ่นๆ สักแก้วก็พอค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็กลับขึ้นไปบนห้องต่อ นมอุ่นๆ ตามคำขอนั้นชื่นจิตจัดการให้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และปล่อยให้มนทิชาพักผ่อนเพียงลำพังต่อไป

               

                “นอนหรือยังจ้ะ คนสวย”

            เสียงเคาะประตูยามดึกปลุกให้มนทิชาลุกจากเตียงด้วยอาการงัวเงีย เธอรอที่จะเจอหน้าบิดาและพี่สาวจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของแพรใจแล้ว

            “พี่แพร” มนทิชาหาวเบาๆ แล้วเปิดประตูให้แพรใจเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

            “พี่มาช่วยจัดกระเป๋า” แพรใจพูดพลางลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่วางอยู่ไม่ไกลจากเตียงมาที่ต็เสื้อผ้า มนทิชาเพิ่งจะเอาข้าวของออกจากกระเป๋าเสร็จเมื่อตอนค่ำนี้เอง

            “เราจะไปเที่ยวไหนกันเหรอคะ” สาวน้อยหายง่วงทันที กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตาเห็น

            “พี่ไม่ได้ไป คนที่ไปคือมนต่างหาก” พี่สาวคนสวยพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วเริ่มลงมือจัดของที่คิดว่ามนทิชาจำเป็นจะต้องใช้เมื่ออยู่ที่นั่น

            “ไปไหนคะ” คนถามทำหน้าสงสัย เริ่มเอะใจในสิ่งที่แพรใจพูด หวังว่าคงจะไม่ใช่...

            “ไปตราดไงล่ะ อะไรกัน แค่นี้ลืมแล้วเหรอ”

            “หา อะไรนะคะไปตราด มนเพิ่งกลับมาได้แค่วันเดียว ไม่ใช่ซิ ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ จะให้มนไปไหนอีกแล้วคะ” มนทิชาโวยวายเสียงดังลั่น

            เธอไม่ลืมงานที่คุณบูรณะมอบหมาย แต่ไม่คิดว่าจะต้องรีบร้อนไปทันทีทันใดแบบนี้ มนทิชาวางแผนไว้ว่าขอเวลาอยู่กรุงเทพฯสักอาทิตย์ ให้ร่างกายปรับสภาพเรื่องเวลาได้เข้าที่แล้วจึงจะเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปตามคำสั่ง แต่นี่...

            “ไปพรุ่งนี้จ้ะ มาดูเร็วจะเอาอะไรไปอีก”

            “บ้านเรามีกิจการอะไรที่ตราดคะ แล้วจะให้มนไปทำอะไรที่นั่น” ว่าแล้วมนทิชาก็ถามเรื่องที่สงสัยเสียเลย

นอกจากกิจการชุดชั้นในสตรีที่เป็นของครอบครัวแล้ว มนทิชาไม่เคยรู้เลยว่าบิดาหรือพี่สาวขยายหรือมีกิจการอื่นใดในครอบครองอีกบ้าง และเท่าที่จำได้โรงงานการผลิตก็อยู่ย่านปริมณฑลไม่ใช่ตราด แล้วทำไมจึงต้องส่งเธอไปที่นั่นอีก

 “ตอนที่มนไปเรียนต่อคุณพ่อซื้อรีสอร์ตไว้ที่นั่นจ้ะ” แพรใจเฉลย

“อ๋อ เหรอคะ”

กิจการใหม่ที่เธอไม่เคยรู้และไม่คิดมาก่อนด้วยซ้ำว่าคุณบูรณะจะสนใจสิ่งเหล่านี้ เพราะแค่ลำพังงานที่มีก็ล้นมืออยู่แล้ว อีกทั้งบิดาก็ไม่ได้ชอบทะเลหรือชายหาดมากไปกว่ากิจกรรมยามว่างที่ทำเป็นประจำ นั่นก็คือการปลูกต้นไม้

“คุณพ่อซื้อไว้เพื่อช่วยเพื่อเก่าคนหนึ่ง”

“เพื่อนเก่า ใครเหรอคะ” สาวน้อยลงมือเลือกเสื้อผ้าที่คิดว่าเหมาะกับการไปใช้ชีวิตที่รีสอร์ตใส่กระเป๋า และหยิบเสื้อผ้าที่พี่สาวแสนดีใส่ลงไปให้ออกด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า ไม่เหมาะกับสถานที่

“คุณลุงอาทิตย์พ่อของพี่ธรไง จำได้ไหม”

“คุณลุงอาทิตย์ พี่ธร” มนทิชาพึมพำชื่อนี้เบาๆ คุ้นหูแต่นึกไม่ออกว่าหน้าตาคือใคร

“ก็อัศวินของน้องมนไงล่ะ จำได้หรือยัง” แพรใจทบทวนความจำให้

ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายขึ้นมาทันที อัศวินสีน้ำเงินของน้องมน อัศวินของเจ้าหญิง ทำไมจะจำไม่ได้ พี่ธรของน้องมน

“แล้วคุณลุงอาทิตย์สบายดีไหมคะ” น้ำเสียงสาวน้อยสดใสขึ้น เมื่อรู้ว่ากำลังจะได้พบคนเก่าที่ห่างหายไปจากชีวิตเสียนาน

“คุณลุงเสียแล้วจ้ะ เสียไปได้ปีกว่า ส่วนพี่ธรก็อยู่ที่ตราด” เสียงแพรใจเบาลงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงคนที่จากไป

“เพราะอะไรถึงเสียคะ แล้วพี่ธรล่ะ พี่ธรเป็นไงบ้าง” หัวใจของมนทิชาหล่นวูบ เมื่อรู้ข่าวการจากไปของผู้ใหญ่ที่นับถือ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือคิดถึงอัศวินของเธอ หัวใจของอัศวินเป็นอย่างไรบ้างในเวลานี้

“สาเหตุยังไม่แน่ชัด แต่ว่ากันว่าเพราะขัดผลประโยชน์ ส่วนพี่ธรก็ดูแลรีสอร์ตต่อจ้ะ”

“หมายความว่า รีสอร์ตที่คุณพ่อซื้อคือรีสอร์ตของคุณลุงอาทิตย์อย่างนั้นเหรอคะ”

“ใช่จ้ะ รีสอร์ตนี้คุณพ่อไว้ ก่อนที่คุณลุงจะเสียเพียงอาทิตย์เดียว”

“แล้วให้มนไปทำอะไรคะ ที่นั่นมีพี่ธรดูแลอยู่แล้ว อีกอย่างมนว่าคุณพ่อคงซื้อเพราะอยากช่วยคุณลุงอาทิตย์คงไม่ได้คิดจะทำกำไรจริงๆ หรอก”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่คุณพ่อให้มนไปอยู่ที่รีสอร์ตก็เพื่อให้ไปฝึกงานกับพี่ธร เมื่อเร็วๆ นี้คุณพ่อเพิ่งจะซื้อรีสอร์ตข้างๆ ไว้ เลยอยากให้มนไปเรียนรู้งานไว้ เผื่อว่าถ้าวันข้างหน้ามนไม่ชอบหรือไม่อยากทำงานบริษัท อย่างน้อยมนก็จะมีรีสอร์ตให้ดูแลไงล่ะ”

“เหรอคะ” มนทิชาพยักหน้าฟังผ่านๆ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่า ตกลงแล้วชลธรจะมาเป็นคนสอนงานเธอ ในฐานะลูกสาวเจ้าของรีสอร์ตที่จะมาดูแลรีสอร์ตข้างกันอย่างนั้นใช่ไหม

“คุณพ่อรวมสองรีสอร์ตไว้ด้วยกัน แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า สายธารารีสอร์ต”

“สายธารารีสอร์ต แล้วมนต้องอยู่ที่นั่นนานแค่ไหนคะ”

“เรื่องนี้ต้องถามคุณพ่อเองแล้วล่ะ พี่ไปนอนก่อนนะ ฝันดีจ้ะ” แพรใจขอตัวไปพักผ่อนก่อน ปล่อยให้มนทิชาจัดกระเป๋าต่อเพียงลำพัง

สาวน้อยรู้จุดประสงค์ของการเดินทางไปตราดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ขบคิดจนนอนไม่หลับนั่นก็คือ เรื่องใครบางคนที่ไม่เคยลืมเลือนไปจากความทรงจำ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตามที อัศวินสีน้ำเงิน

ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะยังคงแสนดีกับเธอเหมือนเดิมหรือไม่ พี่ธรของน้องมน...

 

กินข้าวเสร็จแล้ว พ่อจะให้รถไปส่งเราที่ตราดเลยนะ ยายมน” คุณบูรณะเอ่ยเป็นคำแรกเมื่อลูกสาวคนเล็กเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร

“คุณพ่อจะให้มนอยู่ที่นั่นนานแค่ไหนคะ” มนทิชาเอ่ยถาม

“จนกว่ามนจะเป็นงาน ซึ่งคนที่จะบอกว่าลูกทำได้หรือไม่ได้ก็คือตาธร”

“งั้นคงไม่มีอะไรยาก สักพักมนก็คงได้กลับบ้านแล้วใช่ไหมคะ ถ้ากลับมาแล้วมนขอ...”

“อยู่ที่นั่นไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งนั้น มนต้องอยู่ในฐานะลูกจ้างรีสอร์ตพ่อมีเงินเดือนให้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฏกติกาเหมือนคนอื่น ต้องเชื่อฟังพี่เขานะ รู้ไหม อย่าเกเรจนเสียงาน” บิดาสั่งกำชับ

“อะไรนะคะ คุณพ่อ” หญิงสาวโวยวายเมื่อได้ฟังคำที่บิดาเอ่ยเมื่อครู่

“มนเป็นลูกสาวคุณพ่อนะคะ แล้วรีสอร์ตนั้นคุณพ่อก็เป็นเจ้าของ ใจคอคุณพ่อจะให้มนเป็นพนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้าทำงานเหมือนคนอื่นเหรอคะ”

“มนทิชาฟังพ่อนะ การจะเป็นเจ้านายเราต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่ลูกน้องทำคืออะไร มีอะไรบ้าง และต้องทำอะไร เมื่อไร ตอนไหน ถ้าเราไม่รู้เรื่องเหล่านี้แล้วเราจะดูแลพนักงานได้อย่างไร”

“แต่ว่า ...”

“ไม่มีแต่” คุณบูรณะตัดบทแล้วพูดต่อไปเพียงสั้นๆ ว่า

“กินข้าวเสร็จแล้วเตรียมตัวเดินทางได้ พ่อหวังว่ามนจะตั้งใจทำงาน และอย่าเกเรให้ใครเดือดร้อนล่ะ”

มนทิชาพูดไม่ออกได้แต่ก้มหน้าตักข้าวต้มในชามกินไปเงียบๆ หลังจากนั้นอีกสักพักบิดาและแพรใจจึงออกไปทำงาน หญิงสาวขึ้นไปบนห้องนอนรื้อกระเป๋าเสื้อผ้าที่จัดไว้ทั้งหมดออก แล้วจัดกระเป๋าใบใหม่ด้วยความใจเย็น

“คุณท่านโทร.มาถามป้าว่าคุณหนูไปหรือยังค่ะ” ชื่นจิตมาเคาะประตูรายงานเหตุการณ์

“ไปแน่ค่ะ แต่ขอกินให้อิ่มก่อนได้ไหมคะ เดี๋ยวพออยู่ที่โน่นมนก็ต้องเป็นพนักงานธรรมดา คงไม่มีโอกาสได้กินของอร่อยฝีมือป้าชื่นอีกนานแน่” สาวน้อยยิ้มหวานลุกขึ้นจากการจัดกระเป๋า เดินยิ้มลงไปที่โต๊ะอาหารเพื่อเตรียมกินข้าวกลางวันอย่างสบายใจ

ชื่นจิตกระวีกระวาดจัดการข้าวกลางวันให้มนทิชาตามคำขอตบท้ายด้วยของหวานอีกถ้วย กว่าที่สาวน้อยจะออกเดินทางก็เกือบบ่ายสอง หญิงวัยกลางคนมองตามด้วยความเป็นห่วงเพราะคำนวนเวลาแล้ว กว่าที่คุณหนูจะไปถึงก็คงมืดค่ำพอดี

มนทิชามาถึงสายธารารีสอร์ตเกือบสามทุ่ม บรรยากาศเงียบสงบราวกับไม่มีคนอยู่ มีเพียงแสงไฟที่เปิดไว้ตามจุดทั่วบริเวณให้มองเห็น คนขับรถยกข้าวของส่วนตัวของคุณหนูมาไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ สาวน้อยบอกให้คนขับกลับไปได้ส่วนตัวเองยืนรออยู่เพียงลำพัง คาดเดาเอาเองว่าอีกสักครู่คงมีประชาสัมพันธ์หรือใครออกมารับเป็นแน่

“พี่แพร มนมาถึงแล้ว ทำไมไม่เห็นมีใครเลยล่ะคะ” มนทิชาต่อโทรศัพท์ถึงพี่สาว คนที่นี่ไม่รู้หรือไงว่าเธอจะเดินทางมาในวันนี้ ลูกสาวเจ้าของรีสอร์ตมาทั้งที่ควรมีใครอยู่ต้อนรับ ไม่ใช่ปล่อยให้ยืนเคว้งคว้างเพียงลำพังเช่นนี้

“มัวทำอะไรอยู่ ทำไมถึงเพิ่งไปถึง” แพรใจถามด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าน้องสาวเพิ่งมาถึง

“มนแค่รื้อกระเป๋าจัดเสื้อผ้าใหม่ แล้วก็แวะซื้อของระหว่างทางที่มานิดหน่อยเท่านั้น เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ ว่าแต่จะให้มนทำไงต่อไปคะ คนที่นี่ไม่รู้หรือไงว่ามนจะมาวันนี้”

“รออยู่ตรงนั้นแหล่ะ เดี๋ยวพี่โทร.ถามพี่ธรให้” แพรใจรีบกดโทรศัพท์ถึงชลธรทันที

 “สวัสดีค่ะ คุณมนทิชาใช่ไหมคะ” สาวร่างตุ้ยนุ้ยที่เพิ่งเดินมาถึงพนมมือไหว้ทักทายหญิงสาวอย่างอ่อนช้อย

“ค่ะ” มนทิชาส่งยิ้มหวานทักทายกลับ

“ขอต้อนรับสู่สายธารารีสอร์ตค่ะ เชิญทางนี้เลย คุณธรสั่งคนจัดห้องพักเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ” ชายหนุ่มหัวใจสาวที่เดินตามมาจัดแจงเข้ามาช่วยขนกระเป๋าของมนทิชา แล้วออกเดินนำพาเข้าไปด้านในรีสอร์ตทันที

 

ทั้งหมดมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านพักด้านใน แม้ค่ำแล้วแต่แสงไฟส่องทางก็ทำให้มนทิชาเห็นว่าบ้านหลังนี้สวยงามเพียงไร กระเป๋าของหญิงสาวถูกนำมาวางไว้ในห้องพักห้องหนึ่งของบ้านหลังนี้ คนขับรถขอตัวลากลับก่อนจึงเหลือเพียงสาวร่างตุ้ยนุ้ยกับหนุ่มหัวใจสาวเท่านั้น

ทั้งสองพามนทิชามาที่บ้านพักซึ่งชลธรสั่งคนเตรียมไว้ให้ ตลอดทางที่เดินเข้ามาด้านในรีสอร์ต มนทิชาสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง นั่นก็คือ ที่นี่เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่

“ขอบคุณค่ะที่ช่วยยกกระเป๋า” มนทิชาเปิดกระเป๋าหยิบธนบัตรสีแดงสองใบยื่นส่งให้ แต่ทั้งคู่ปฏิเสธไม่ยอมรับซ้ำยังบอกอีกว่า

“เป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว”

“งั้นก็ขอบคุณอีกครั้ง ว่าแต่ชื่ออะไรกันบ้างคะ”

“ชื่อตุ้ยนุ้ยค่ะ” สาวร่างอวบเอ่ย

“ชื่อลิซ ลิซซ่าค่ะ” หนุ่มหัวใจสาวบอกบ้าง

“หรือว่าไอ้ฤทธิ์หลานยายเข่งได้นะคะ” ตุ้ยนุ้ยเรียกชื่อเดิมของเพื่อนสาว แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“ฉันชื่อมนนะ ว่าแต่คุณธรไปไหน ทำไมไม่เห็นเลย" มนทิชากวาดสายตามองไปรอบๆ ชลธรน่าจะอยู่รอต้อนรับการมาของเธอ ความจริงเขาน่าจะเป็นคนแรกที่ได้เห็นหน้าด้วยซ้ำ

“คุณชลธรออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าไปไหน” ตุ้ยนุ้ยเอ่ย

“แล้วพนักงานคนอื่นล่ะ ไปไหนหมด ทำไมถึงไม่มีใครอยู่หน้าเคาน์เตอร์เลย” หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจ

ปกติแล้วไม่ว่าดึกดื่นมืดค่ำหรือเวลาไหน รีสอร์ตก็ควรมีเจ้าหน้าที่ไว้ดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่แขกที่มาพัก ตั้งแต่ที่มาถึงมนทิชาไม่เห็นใครเลยนอกจากตุ้ยนุ้ยและลิซซ่า ที่สำคัญเงียบเสียจนผิดสังเกตอีกด้วย

"ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวก็เลยดูเงียบหน่อย อีกอย่างถ้าไม่มีอะไรพิเศษคุณธรจะอนุญาตให้พนักงานไปพักได้ตั้งแต่หลังสองทุ่ม แต่ถ้ามีงานเลี้ยงหรือเป็นช่วงที่มีแขกมาพัก เราก็จะมีคนดูแลตามสมควรซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณธรเป็นคนสั่งค่ะ"

“แล้วตุ้ยนุ้ยกับลิซซ่าล่ะ” มนทิชาย้อนถาม

“เราสองคนอยู่กะดึกค่ะ” ตุ้ยนุ้ยตอบแทน

“รปภ.ล่ะ เมื่อกี้ไม่เห็นมีใครสักคนที่หน้ารีสอร์ต” ถึงไม่มีพนักงานให้บริการแต่ก็ควรมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเพื่อดูแลความเรียบร้อย แต่เท่าที่จำได้ตอนเข้ามามนทิชาไม่เห็นใครเลยสักคน

“คุณธรคงให้ไปดูแลที่ด้านหลังค่ะ ส่วนด้านหน้าเป็นของเราสองคน” ลิซซ่าเอ่ย

นี่ไม่ใช่ช่วงฤดูท่องเที่ยว แขกที่มาพักก็น้อยหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ แล้วทำไมบิดาจึงส่งเธอมาฝึกงานที่นี่แทนที่จะให้เรียนรู้งานในบริษัท มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่

ตุ้ยนุ้ยและลิซซ่าขอตัวไปทำงานต่อ มนทิชาขนกระเป๋าเข้าไปไว้ในห้องปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย จากนั้นรีบอาบน้ำเข้านอนทันที ไว้พรุ่งนี้เช้าเธอจะโทรศัพท์ไปถามบิดาให้รู้เรื่องว่า ให้มาที่นี่เพราะสาเหตุใดกันแน่

เสียงกุกกักที่หน้าประตูห้องทำให้มนทิชารู้สึกตัวตื่น รีบลุกขึ้นแล้วตั้งใจฟังให้แน่ว่าเสียงที่ได้ยินคือมีคนกำลังจะเปิดประตูใช่หรือไม่ เมื่อแน่ใจว่ากำลังมี ผู้บุกรุก สาวน้อยก็มองหาตัวช่วยที่จะจัดการกับคนที่อยู่นอกห้อง

ด้ามไม้กวาดอันเล็กที่วางอยู่ข้างประตูคืออาวุธที่หาได้ในเวลานี้ มนทิชาตัดสินใจเปิดประตูออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้คนที่อยู่ด้านนอกตั้งตัวทัน และหลับหูหลับตาฟาดไม้กวาดเต็มแรงโดยไม่ทันได้มองหน้ามองตาก่อนว่าเป็นใคร

"โอ๊ย" เสียงร้องว่าเจ็บ ทำให้มนทิชาได้ใจกระหน่ำตีลงไปไม่ยั้ง

"หยุดเดี๋ยวนี้นะ" เสียงตวาดดังลั่น แต่ไม่ทำให้มนทิชากลัวแม้แต่น้อย

"ผมไม่ใช่โจร"

สาวน้อยชะงักเงยหน้าขึ้นทันที รีบทิ้งไม้กวาดในมือเมื่อเห็นสีหน้าเดือดดาลของคนที่กำลังจ้องมองอย่างโมโห

 "ขอโทษค่ะ" เธอก้มหน้าเอ่ยคำขอโทษด้วยความสำนึกผิด

"แค่ด้ามไม้กวาด ถ้าเป็นโจรจริงมันดึงทีเดียวก็จบแล้ว แล้วไหนจะ...เฮ้อ! " ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาดังๆ เมื่อเห็นชุดนอนที่อีกฝ่ายสวมใส่ออกมาจับโจร

"พี่ธรใช่ไหมคะ" มนทิชาเอ่ยถามเสียงเบา

เมื่อครู่ถึงจะฉุกละหุกแค่ไหน แต่แว่ปเดียวที่ได้เห็นหน้าเธอก็จำได้ว่าเขาคือชลธร อัศวินของมนทิชา

เขาไม่ตอบ แต่เดินหนีเข้าไปในห้องนอนของมนทิชา ใช้ประตูห้องที่เชื่อมสองห้องไว้เป็นทางเข้าห้องนอนของตนแทน

 “ไปนอนซิ มายืนทำอะไรไม่มีอะไรแล้ว” น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดเมื่อครู่เย็นลงอย่างเห็นได้ชัด

“มนขอโทษค่ะ มนไม่ได้ตั้งใจ พี่ธรเจ็บมาไหม” มนทิชาเงยหน้าขึ้นมาถาม สีหน้าและแววตาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเห็นได้ชัด

“ไปนอนได้แล้ว” ชายหนุ่มตัดบทเพียงสั้นๆ

“ขอโทษนะคะ มนไม่ได้ตั้งใจ”

“ขอโทษเป็นครั้งที่สามแล้ว ถ้ามัวแต่ขอโทษคืนนี้คงไม่ต้องนอนกันแน่”

“พี่ธรไม่โกรธมนแล้วใช่ไหมคะ มนดีใจมากเลยที่ได้เจอพี่ธรอีกครั้ง พี่ธรสบายดีไหมคะ” สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มด้วยความดีใจ เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธจึงพยายามที่จะทักทายชวนคุย แต่กลับถูกชลธรตัดบทเพียงสั้นๆ ว่า

“ผมสบายดี ขอบคุณที่จำกันได้” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ไม่แสดงท่าทีว่ายินดีต่อการพบหน้ากันครั้งแรกในรอบสิบปี

“พี่ธรคะ มน..."

“คุณพักห้องนี้ ห้องน้ำเราใช้ร่วมกันถ้าไม่สะดวกใจจะล็อกประตูก็ได้ ส่วนผมพักห้องนี้”

มนทิชานิ่งไปเล็กน้อย รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดที่ใช้เรียกกันด้วยความห่างเหิน คุณกับผม มันช่างดูเป็นทางการเสียเหลือเกิน

“เชิญพักผ่อนตามสบาย ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกเดี๋ยวจะให้คนจัดการให้” ชลธรพูดเพียงแค่นั้นแล้วก้าวเท้าเตรียมจะเดินเข้าห้อง

“พรุ่งนี้จะให้มนเริ่มฝึกงานกี่โมงคะ” มนทิชาร้องถามไล่หลัง

เธอขัดใจกับท่าทีเหินห่างแบบนี้ คำพูดที่ฟังดูเป็นทางการเสียทุกครั้ง โดยเฉพาะสายตาและสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายต่อการมาหรือพบเจอกันสักนิด มันไม่เหมือนพี่ธรคนเดิม ไม่เหมือนอัศวินผู้ภักดีต่อเจ้าหญิงเลยแม้แต่น้อย

“ก่อนหกโมงเช้าทุกคนพร้อมกันในรีสอร์ต ถ้าคิดว่าตัวเองไหวก็เจอกัน” ชลธรหันหน้ามาบอกเพียงสั้นๆ มนทิชาพยักหน้ารับแล้วหันหลังเดินกลับจะเข้าห้องนอนของตน แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อชายหนุ่มเอ่ยขึ้นว่า

"ทีหลังถ้าคิดจะจับโจรหรือจะสู้กับผู้ร้าย แค่ไม้กวาดด้ามเล็กๆ ที่ทำอะไรมันไม่ได้แล้ว ไอ้ชุดนอนที่ใส่อยู่มันอาจจะทำให้เป็นอันตรายมากขึ้นไปอีก ทางที่ดีทีหลังถ้าได้ยินอะไรผิดปกติ อยู่ในห้องเฉยๆ หรือไม่ก็โทรศัพท์แจ้งให้คนที่มีแรงและรู้ว่าควรจัดการกับพวกโจรอย่างไรทำหน้าที่นี้ดีกว่า ผมขี้เกียจบอกคุณอาบูรณะว่าโจรเปลี่ยนใจไม่ขโมยของแต่อยากได้อย่างอื่นแทน"

"พี่ธร" มนทิชาหันขวับมาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง สาวน้อยก้มลงมองชุดนอนที่สวมใส่อยู่ มันบางเบาไปเล็กน้อยและอาจเป็นดังคำที่เขาพูดได้ แต่คุณหนูคนสวยก็ไม่หวั่นค้อนขวับเข้าให้หนึ่งที สะบัดหน้าเดินกลับเข้าห้องไปด้วยความหมั่นใจประหนึ่งว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่

ชลธรถอนหายใจเบาๆ รู้ดีว่าคนอย่างคุณหนูมนทิชามั่นใจในตัวเองมากแค่ไหน เห็นทีว่างานนี้สิ่งที่คุณบูรณะไหว้วานมาให้ช่วยคงเป็นไปได้ยาก ตราบใดที่เจ้าหล่อนยังกรีดกรายเป็นนางหงส์ไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อเรื่องใดๆ เช่นนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 2

           

เช้ามืดในวันต่อมา มนทิชาในชุดกระโปรงยาวลายดอกสีสันสดใสพร้อมเสื้อสายเดี่ยวสีตัดกัน เยื้องกรายปรากฏตัวอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้ารีสอร์ตด้วยสีหน้าที่สดใส

เมื่อคืนนี้หลังจากที่แยกย้ายกับชลธรเข้าห้องใครห้องมันแล้ว เธอก็นอนครุ่นคิดถึงแต่เรื่องราวของชายหนุ่มจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ สะดุ้งตื่นอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อมาให้ทันเวลาที่พนักงานคนอื่นจะเริ่มงาน

ไม่มีพนักงานคนไหนแวะเวียนมาที่หน้าเคาน์เตอร์ ตุ้ยนุ้ยและลิซซ่าคงออกเวรไปแล้ว มนทิชาชะโงกมองไปตามทางหวังว่าจะพบใครสักคนผ่านมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นใคร ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจที่จะเดินตามหาว่าชลธรและพนักงานคนอื่นอยู่ที่ไหนกัน

 “เห็นคุณชลธรไหมคะ” มนทิชาก้าวเท้าเข้ามาถามพนักงานคนหนึ่งที่กำลังเดินมาทางเดียวกับตน

“คุณธรออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้ว คุณมีธุระไรหรือว่าจะจองห้องพักคะ” พนักงานคนดังกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“เปล่าค่ะ ดิฉันชื่อมนทิชา”

“อ๋อ คุณนั่นเอง เชิญทางนี้ค่ะ คุณชลธรบอกไว้แล้วว่าจะคุณทำอะไร”

มนทิชาเดินตามไปอย่างว่าง่าย ระหว่างทางนั้นก็สำรวจและจดจำสิ่งที่เป็นสายธารารีสอร์ตไว้ให้มากที่สุด รวมถึงชื่นชมกับความงดงามในการจัดแต่งสถานที่ทุกมุมที่จัดได้อย่างงดงามและลงตัวเหลือเกิน

มนทิชาเดินมาถึงลานน้ำพุรูปเปลือกหอย เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งแว่วมาแต่ไกล เมื่อได้เห็นแสงสีทองที่ขอบฟ้า สายลมและทะเลที่อยู่ไม่ไกลทำให้สาวน้อยรู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

“ตรงนี้เป็นจุดชมวิวค่ะ คุณธรกำลังให้คนปรับปรุงพื้นที่เพื่อใช้ทำกิจกรรมอื่น อีกสักพักก็คงได้เห็นกัน” พนักงานคนดังกล่าวอธิบาย

ผ่านจากลานน้ำพุจึงเข้าสู่ด้านหลังของรีสอร์ตซึ่งเป็นส่วนของพนักงาน มนทิชาได้มีพบกับสุภาพสตรีท่าทางทะมัดทะแมงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้จัดการของสายธารารีสอร์ต์ชื่อว่าจอมขวัญ

"ขอต้อนรับสู่สายธารารีสอร์ตค่ะ ดิฉันจอมขวัญเป็นผู้จัดการของที่นี่" จอมขวัญแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ

"สวัสดีค่ะ ดิฉันมนทิชา เรียกมนก็ได้ค่ะ" มนทิชาแนะนำตัวเองกลับไปด้วยรอยยิ้ม

“คุณชลธรสั่งดิฉันไว้ว่า ให้เริ่มฝึกงานคุณได้เลย ไม่ทราบว่าคุณมนพร้อมหรือยังคะ” จอมขวัญถามด้วยความเกรงใจ

“พร้อมเสมอค่ะ” มนทิชาเอ่ยด้วยความกระตือรือร้นแล้วเดินตามจอมขวัญไปทันที

งานในรีสอร์ตจะมีอะไรมาก ยิ่งเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีแขกมาพักด้วยแล้ว ก็คงแค่นั่งเฝ้าเคาน์เตอร์คอยรับโทรศัพท์ หรือไม่ก็นั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรรอจนกว่าจะมีใครเข้ามาติดต่อสอบถามเท่านั้น เรื่องง่ายๆ แบบนี้ มนทิชาทำได้สบายอยู่แล้ว

 

“ถอดผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนไปซัก” มนทิชาทวนคำสั่งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย พร้อมทั้งสะกดอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านภายในใจไม่ให้ระเบิดออกมา

“ค่ะ ถอดผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนที่แขกเพิ่งเช็กเอ้าต์ออกไปเมื่อคืนนี้ทั้งหมด” จอมขวัญทบทวนคำสั่งอีกรอบ

“ทั้งหมดกี่ห้องคะ” หญิงสาวกลั้นใจถาม จำได้ว่าเมื่อคืนตุ้ยนุ้ยหรือลิซซ่าบอกว่าช่วงนี้เงียบไม่ค่อยมีแขก ดังนั้นมนทิชาจึงคิดว่าคงมีไม่เท่าไรอยากมากก็ไม่เกินห้าห้อง

“สามสิบค่ะ เมื่อคืนเป็นคณะของอาจารย์ที่มาสัมมนาเพิ่งออกไปเมื่อตอนเช้านี้เอง” จอมขวัญหยิบตารางจองห้องพักขึ้นมาดู

“เย็นนี้จะมาอีกสามสิบ อ้อ ของฝั่งโน้นก็จะมาอีกสิบห้าเท่ากับว่าทั้งหมดสี่สิบห้าห้องค่ะ”

"อะไรนะคะ ห้าสิบห้อง ก็ไหนบอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีแขกไง ทะ ทำไมตั้งห้าสิบห้อง"

ให้ตายเถอะ มนทิชาอยากจะเป็นลมตายเดี๋ยวนี้ เธอเป็นลูกสาวเจ้าของรีสอร์ตนะ ถึงจะมาฝึกงานก็เถอะ แต่มันก็ไม่ควรต้องทำงานพวกนี้ไม่ใช่เหรอ

"คุณชลธรอยู่ไหนคะ มนมีเรื่องอยากจะคุยกับเขา" มนทิชาต้องการพบชายหนุ่มเดี๋ยวนี้

เขาก็รู้ เธอไม่ประสางานบ้าน ไม่ถนัดงานพวกนี้ เรียกว่าทำไม่เป็นเลยดีกว่า แล้วทำไม ทำไมยังสั่งให้ทำงานพวกนี้ แบบนี้มันต้องคุยกันหน่อยแล้ว

"ออกไปทำธุระแล้วค่ะ คุณมนจะลงมือเลยไหมคะ ขวัญจะได้เตรียมสั่งให้พนักงานคนอื่นเตรียมปูเตียงเพื่อรับแขกที่กำลังจะมา"

"ค่ะ ทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ว่าแต่ถ้าคุณชลธรกลับมาเมื่อไร รบกวนคุณจอมขวัญช่วยพามนไปพบ หรือให้เขามาหามนก็ได้ค่ะ มนมีเรื่องอยากจะคุยกับเขามาก" ปลายเสียงเน้นคำว่า มาก ชัดเจนเสียเหลือเกิน

"ได้ค่ะ ถ้างั้นคุณมนทำเลยนะคะ ขวัญขอตัวก่อน เดี๋ยวจะไปดูว่าห้องพักทางโน้นพร้อมไหม" จอมขวัญขอตัวไปทำงานก่อน ทิ้งให้มนทิชามองผ้าปูเตียงด้วยสายตาที่อยากจะร้องไห้เสียเต็มประดา

หมดกัน ชุดสวยที่อุตส่าห์เอามา นึกว่าจะได้กรีดกรายอยู่หน้าเคาน์เตอร์กลายเป็นว่าต้องมาเป็นนังแจ๋วอยู่ในห้องพัก นี่มันฝึกงานประสาอะไร แกล้งกันชัดๆ งานนี้ชลธรจะต้องตอบทุกคำถามที่มนทิชาอยากรู้

 

กว่าพนักงานคนใหม่จะจัดการถอดปลอกหมอนผ้าปูที่นอนครบทุกห้องเสร็จ ก็เล่นเอาเหนื่อยไม่ใช่น้อย มนทิชานั่งลงที่พื้นเอาหลังพิงเตียงอย่างหมดแรง ทั้งหิวทั้งเหนื่อยตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลยแม้แต่น้ำสักหยด

"เป็นไงบ้างคะ คุณมน" ผู้จัดการสาวโผล่หน้าเข้ามา เห็นมนทิชาแล้วก็นึกสงสาร รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นแบบนี้จนทนได้สักกี่น้ำ

“เสร็จค่ะ” มนทิชาเอ่ยเสียงเบา หน้าตาผมเผ้าแทบดูไม่ได้ไม่มีเค้าความสวยงามเหมือนเมื่อเช้าเลยแม้แต่นิดเดียว

“ไหวไหมคะ” จอมขวัญนั่งลงข้างๆ หาหนังสือที่อยู่ใกล้มาพัดให้มนทิชาคลายร้อนได้บ้าง

“ไหวคะ มนยังไหว” มนทิชากัดฟันยิ้มสู้ แม้เหนื่อยใจแทบขาดแต่ก็ไม่ยอมหยุดพัก

“คุณมนไปพักก่อนดีไหมคะ” ผู้จัดการสาวแสนสงสารพนักงานคนใหม่ ที่ถูกเจ้าของรีสอร์ตหนุ่ม รับน้อง  ตั้งแต่วันแรกที่มาเริ่มงาน จอมขวัญไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชลธรถึงได้มีคำสั่งเช่นนี้กับมนทิชา

จอมขวัญพอรู้มาบ้างว่ามนทิชาเป็นใคร และเดินทางมาที่นี่ตามคำสั่งของคุณบูรณะ ที่อยากให้บุตรสาวเรียนรู้ระบบการทำงานจากการฝึกสอนของชลธร

ผู้จัดการสาวรู้จักนิสัยเจ้านายตนเองดีว่าเป็นคนเช่นไร ชลธรไม่ใช่พวกชอบวางอำนาจหรือสั่งให้ใครทำอะไรโดยไม่ดูความเหมาะสม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จอมขวัญเองยังรู้สึกว่า งานพวกนี้ไม่เหมาะกับคุณหนูผู้แสนบอบบางเช่นมนทิชาเลยแม้แต่น้อย

“เอ่อ คุณมนคะ แคนทีนของพนักงานอยู่ด้านซ้ายนะคะ คุณมนเดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอค่ะ” จอมขวัญนึกขึ้นได้รีบบอกให้หญิงสาวรู้ว่า ห้องอาหารของพนักงานไปทางไหน

“กินข้าวที่ห้องแคนทีนเหรอคะ” มนทิชาย้อนถามด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย

เช้านี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง และเธอก็ทำงานจนแทบจะหมดแรง น้ำส้มเย็นๆ สักแก้วที่จะทำให้ชื่นใจก็ไม่มีให้กันเลยงั้นหรือ แถมยังต้องไปกินข้าวรวมกับพนักงานคนอื่นอีก ชลธรอยู่ไหน มาอธิบายให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ !

“ค่ะ ที่นี่เรามีอาหารให้พนักงานครบสามมื้อ คุณมนรีบไปเถอะค่ะ”

“แล้วมนไปตอนนี้จะมีอะไรให้ทานเหรอคะ มันเกินเวลาแล้ว” มนทิชาถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

“ดิฉันสั่งให้แม่ครัวเตรียมของคุณมนไว้แล้วค่ะ รีบไปเถอะค่ะ”

มนทิชายิ้มให้จอมขวัญกับความมีน้ำใจที่ยังอุตส่าห์คิดถึงตนที่ทำงานจนเลยเวลาอาหารเช้า ในขณะที่อีกคนกลับไม่อยู่ให้เห็นแม้แต่เงา ซ้ำยังทิ้งคำสั่งบ้าๆ ให้เหนื่อยจนแทบหมดแรงอีก อย่าให้เจอหน้านะ พี่ธร งานนี้ต้องคุยกันยาวแน่

 

ข้าวต้มกุ้งอาหารเช้ามื้อแรกจากสายธารารีสอร์ตรสชาติดีไม่ใช่น้อย มนทิชากินจนเกลี้ยงชามเพราะความหิว หญิงสาวลุกขึ้นเตรียมจะกลับไปที่ห้องพักเพื่อพักผ่อน แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาเดินออกจากโต๊ะอาหารก็ได้ยินเสียงดังมาจากในครัวว่า

“กินแล้วเก็บจานด้วยนะ”

“เก็บที่ไหนคะ ป้า” มนทิชาเดินตามเสียงไปจนถึงห้องครัว

“อ่างด้านโน้น มากินหลังคนอื่นต้องล้างเองนะคะ” หญิงวัยกลางคนเงยหน้ามาตอบ แล้วหันหน้าไปทางอ่างล้างจานเพื่อบอกให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน

“โอ๊ย ตายๆ ล้างแค่จานกับแก้วแค่นี้ เปิดน้ำอย่างกับว่าล้างเป็นสิบๆ ใบอย่างนั้นล่ะ แม่คุณ” นางโวยวายเสียงดังลั่น เมื่อเห็นว่าก๊อกน้ำเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลา

“เอ่อ หนูกลัวว่าไม่สะอาด” คุณหนูคนสวยรีบปิดน้ำก่อนที่จะถูกดุมากไปกว่านี้

“ถ้ากลัวว่าไม่สะอาดก็เอามือลูบดูซิ ว่ามีความมันอยู่ไหม หรือไม่ก็ดูว่ายังมีเศษอาหารติดอยู่หรือเปล่า ทำอย่างกับว่าเกิดมาไม่เคยล้างจานอย่างนั้นแหล่ะ อีกอย่างอยู่ที่นี่ต้องช่วยกันประหยัด ขืนเปิดน้ำทิ้งแบบนี้คุณธรเห็นล่ะก็ ได้โดนดุแน่ เข้าใจไหม” หญิงวัยกลางคนสอน

"ค่ะ" มนทิชายิ้มรับทันที

“ล้างเสร็จแล้วก็เอาไปคว่ำตรงนั้น” นางชี้ไปที่ตะกร้าที่คว่ำจานอีกทาง มนทิชาทำตามอย่างว่าง่าย ถึงหญิงวัยกลางคนจะโวยวายเสียงดังดุใส่ แต่เธอก็ไม่ถือสาเพราะรู้ดีว่าตอนนี้คงยังไม่มีใครรู้ว่าตนคือใคร

“คงเป็นพนักงานใหม่ซินะ ที่นี่กินข้าวสามเวลาตอนเช้าครัวเปิดตั้งแต่ตีห้าถึงเจ็ดโมง รอบสองเที่ยงเปิดครัวตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายกว่าไม่เกินบ่ายสอง รอบเย็นห้าโมงครึ่งถึงทุ่มครึ่ง รู้แล้วก็อย่ามาสายอีกล่ะ” คนพูดย้ำเสียงดังแต่สีหน้าไม่ดุดันเหมือนน้ำเสียง

“แล้วแขกใช้ครัวที่นี่ด้วยหรือเปล่าคะ”

“ของแขกก็มีครัวต่างหากเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง มีเชฟที่คุณธรจ้างมาโดยเฉพาะ แคนทีนที่นี่มีไว้เป็นสวัสดิการของพนักงาน เมื่อก่อนป้าก็เคยทำงานที่นั่น”

“แล้วทำไมไม่ทำต่อล่ะคะ ฝีมือป้าอร่อยออก” มนทิชาชวนคุย รสมือแม่ครัวใจดีคนนี้อร่อยเลยทีเดียว แล้วทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่แทนที่จะไปดูแลแขกในรีสอร์ต

“จะทำทำไมให้เป็นภาระของเจ้านาย ทำที่นี่ก็พอแล้ว” นางเริ่มเช็ดจานกับช้อนที่อยู่ในตะกร้า

“ป้าอยู่ที่นี่มานานแล้วเหรอคะ” มนทิชาหยิบผ้ามาเช็ดจานช้อนในตะกร้าแล้วชวนคุยต่อไปเรื่อยๆ

“ตั้งแต่ที่คุณท่านเริ่มมาทำรีสอร์ต”

“แล้วป้ารู้จักคุณบูรณะไหมคะ”

“ไม่รู้จักใครทั้งนั้น รู้แค่ว่าหลังท่านสิ้นบุญไปก็มีเพื่อนคนหนึ่งมาช่วยประคองรีสอร์ตไว้ แล้วมอบอำนาจการบริหารทั้งหมดให้คุณธรต่อ”

“งั้นคุณชลธรก็เป็นเจ้านายของป้าซิคะ” มนทิชาเริ่มแปลกใจเล็กน้อย

ที่นี่ไม่มีใครรู้จักคุณบูรณะเลยแม้แต่คนเดียว มิน่า ถึงได้ไม่มีใครรู้ว่ามนทิชาเป็นใคร ชลธรคือเจ้าของผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารจัดการสายธารารีสอร์ตแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

“ก็ใช่น่ะซิ แล้วเราล่ะ ไม่รู้จักคุณธรหรือไง ทำงานอยู่แผนกไหน ใครเป็นคนรับเข้ามาถึงได้ไม่รู้จักเจ้านายตัวเอง” แม่ครัวใจดีย้อนถาม

“หนูรู้จักคุณชลธรค่ะ ที่ถามก็เพราะอยากรู้ว่านอกจากคุณชลธรแล้ว มีเจ้านายคนอื่นอีกไหม เผื่อว่าถ้าเจอจะได้รู้ว่าใครคือใครคะ" สาวน้อยรีบยิ้มหวานประจบในที

“ที่นี่มีนายคนเดียว นายที่ดีที่สุดคือนายชลธร จำไว้ อยู่ที่นี่ทำงานให้คุ้มกับที่นายช่วยเรา เข้าใจไหม”

“ช่วย ช่วยอะไรคะ” มนทิชาไม่เข้าใจที่หญิงวัยกลางคนพูด

“ที่นี่พนักงานทุกคนมีเงินเดือนมีสวัสดิการ เพราะคุณชลธรเป็นคนออกไปหาแขกหากรุ๊ปหางานเข้ารีสอร์ต ไม่เคยอยู่เฉยๆ ถ้าเป็นช่วงที่ไม่มีนักท่องเที่ยวแบบนี้ที่อื่นอาจจะไม่รับพนักงานเพิ่มหรือจ้างพนักงานรายวันแต่ที่นี่ไม่ ที่นี่เราอยู่กันแบบพี่น้องไม่มีพนักงานชั่วคราวกินเงินรายวันทุกคนได้เป็นเงินเดือนหมด”

“ค่ะ” มนทิชาพยักหน้ารับอย่างงงๆ ไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูด

“เพราะฉะนั้นเราทุกคนต้องทำงานให้ดี ให้แขกประทับใจให้มากที่สุด ถ้ารีสอร์ตมีงานมีแขกมาพักตลอดเราก็อยู่ได้ ไม่ต้องไปหางานที่อื่นทำ รู้ไหม พนักงานที่นี่ส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากลาออกไปอยู่ที่อื่น ทุกคนอยากอยู่ที่นี่กันทั้งนั้น”

“เหมือนป้าใช่ไหมคะ”

"ใช่ จำไว้นะอยู่ที่นี่ต้องตั้งใจทำงานให้ดี อย่าทำให้รีสอร์ตเสียชื่อ ที่สำคัญอย่าทำให้ความตั้งใจของคุณชลธรต้องเสียเปล่า"

"ความตั้งใจอะไรคะ" มนทิชาซัก

รายละเอียด

เสียงรถยนตร์จอดที่หน้าบ้าน ทุกคนที่โต๊ะอาหารตื่นเต้นที่จะได้พบหน้ากับบุคคลที่เดินทางมาถึงแล้ว ชายสูงวัยนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะลดหนังสือพิมพ์ลงมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามหญิงวัยกลางคนที่กำลังง่วงกับการจัดเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนอยู่

            “คุณชื่น มีใครรอรับยายมนหรือเปล่า”

            “มีค่ะ ดิฉันสั่งเด็กไว้แล้ว” ชื่นจิต แม่บ้านประจำบ้านปัจจานนท์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม แล้วหันมากำกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ให้เร่งมือเร็วขึ้นอีก

            “ใครมาแต่เช้าคะ คุณพ่อ” แพรใจ บุตรสาวคนโตของคุณบูรณะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเธอก็ได้รู้ว่าเสียงรถที่อยู่หน้าบ้านพาใครมา

            “คุณพ่อ” ร่างเล็กยิ้มหวานรีบวิ่งเข้ามาที่ห้องรับประทานอาหาร ตรงเข้าสวมกอดชายสูงวัยที่วางหนังสือพิมพ์ในมือลง แล้วอ้าแขนรับบุตรสาวคนเล็กที่เพิ่งเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกลับแผ่นดินเกิดเมื่อไม่กี่นาทีนี้

            “คิดถึงคุณพ่อที่สุดในโลกเลยค่ะ" มนทิชาพูดพลางก้มลงหอมแก้มบิดาซ้ายขวาเพื่อยืนยันคำว่าคิดถึงจริง

            “พี่แพร คิดถึงจังเลยค่ะ” น้องสาวคนสวยหันมาหาพี่สาว สองพี่น้องกอดกันด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายปี คุณบูรณะมองภาพนี้ด้วยความสุขก่อนที่ทั้งสองสาวจะโผเข้ากอดบิดาพร้อมๆ กันอีกครั้ง

            “จะกลับมาทำไมไม่บอก แล้วนี่ใครไปรับ” แพรใจเอ่ยถามด้วยความรักตามประสาพี่น้อง

            “ก็จะใครล่ะคะ ถ้าไม่ใช่คนขับรถกิติมศักดิ์ของบ้านเรา คุณพ่อส่งตั๋วไปพร้อมสั่งว่าให้กลับด่วน มนนึกว่าพี่แพรรู้แล้ว ยังแปลกใจว่าทำไมรอบนี้พี่แพรไม่ไปรับ” มนทิชาไม่ติดใจอะไรที่พี่สาวคนสวยไม่ไปรับเหมือนเคย

            เธอพอรู้ว่าแพรใจงานยุ่งมากแค่ไหน ตั้งแต่ที่เข้าไปช่วยสานต่องานของบิดา อีกทั้งโดยนิสัยของพี่สาวแล้ว แพรใจไม่ค่อยสุงสิงหรือคุยกับใครนัก ผิดกับมนทิชา ที่ชอบพูดชอบคุยกับทุกคนอย่างสนุกสนาน ดังนั้นจะว่าไปแล้วนอกจากเรื่องงานที่แพรใจรู้รายละเอียดดีกว่าใครทั้งหมด เรื่องอื่นในบ้านก็มีมนทิชาคนนี้ที่รู้ดีกว่าใคร

            “อุ๊ย คุณมน อย่าแกล้งคนแก่ซิคะเดี๋ยวป้าก็หัวใจวายพอดี” หญิงวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ เมื่อถูกสาวน้อยยั่วเย้าด้วยการจี้เอว เพราะรู้ว่าชื่นจิตบ้าจี้

            “แหม มนไม่ยอมให้ป้าชื่นหัวใจวายง่ายๆ หรอกค่ะ” มนทิชากอดเอวนางไว้เหมือนทุกครั้งที่เคยแสดงความรัก ต่อแม่บ้านแสนดีที่ดูแลตนมาตั้งแต่เด็ก

            “พอก่อนยายมน นั่งลงแล้วกินข้าวให้เรียบร้อยจะได้ไปคุยกับพ่อต่อที่ห้องทำงาน” คุณบูรณะเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการแล้วหันมาสั่งแพรใจอีกคนว่า

            “แพร ไปหาพ่อที่ห้องทำงานด้วย”

            “ค่ะ คุณพ่อ” แพรใจรับคำเบาๆ แล้วลงมือรับประทานอาหารเช้าทันที

            ชื่นจิตสั่งให้สาวใช้เริ่มดูแลคุณๆ ทุกคนเหมือนที่เคยปฏิบัติมา มนทิชาเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตที่ต่างแดนให้บิดาและพี่สาวฟังอย่างสนุกสนาน คุณบูรณะถามเพียงบางเรื่องที่อยากรู้ และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็ลุกออกจากโต๊ะไปทันที สร้างความสงสัยให้กับสองพี่น้องเป็นอย่างมาก

            “คุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าคะ พี่แพร ทำไมดูเครียดจัง” มนทิชากระซิบถาม

            “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน รับกินเถอะเดี๋ยวคุณพ่อจะรอนาน” แพรใจเองก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

            แต่ถ้าให้เดาโดยดูจากสีหน้าที่เคร่งเครียดในยามนี้แล้ว คิดว่าเรื่องที่เรียกไปพบคงเป็นเรื่องสำคัญมาก และเธอควรเร่งให้มนทิชากินข้าวเช้าให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อที่จะไปพบบิดาที่รออยู่ในห้องทำงานก่อนหน้านี้แล้วให้เร็วที่สุด

           

          สองสาวพี่น้องมาพบคุณบูรณะที่ห้องทำงานหลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จทันที แพรใจนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเพื่อรอฟังว่าบิดาจะพูดเรื่องสำคัญอะไร ในขณะที่มนทิชาทิ้งตัวลงบนโซฟารับแขกมุมห้อง

            “มีอะไรหรือคะ คุณพ่อ” แพรใจถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เป็นงานเป็นการอย่างเห็นได้ชัด

            ปีนี้แพรใจอายุยี่สิบแปดรับตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัทกู๊ดเชฟ ธุรกิจด้านการส่งออกชุดชั้นในสตรีอันดับต้นๆ ของประเทศไทย โดยมีคุณบูรณะที่นั่งเก้าอี้ท่านประธานเป็นที่ปรึกษาและอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนงานต่างๆ ในบริษัทให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง จนยอดขายในแต่ละปีเป็นที่น่าพอใจ

            “พ่ออยากให้แพรมาดูแลเรื่องการตลาดหน่อย จะทำไหวไหมลูก”

            “ได้ค่ะ คุณพ่อ” หญิงสาวรับคำทันที

            สำหรับเรื่องงานแพรใจได้เลือดบิดามาเต็มร้อย ความทุ่มเทความตั้งใจนับจากวันที่ตามรอยคุณบูรณะเข้ามาทำงานก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ลูกสาวคนโตเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการทำงานได้เป็นที่น่าพอใจจริงๆ

            "งั้นตกลงตามนี้ พ่อจะเรียกประชุมเร็วๆ นี้ เพื่อฟังนโยบายกลยุทธทางการตลาดของบริษัทในปีนี้ ส่วนแพรก็เข้าประชุมกับพ่อจะได้เข้าใจแผนงาน และถ้ามีอะไรปรับปรุงเราจะได้ทำทีเดียวเผื่อให้งานไม่สะดุด ส่วนยายมน" ชายวัยกลางคนหันมาหาบุตรสาวคนเล็ก

            “พ่อจะส่งไปฝีกงานที่ตราดนะ”

            "อะไรกันคะ พ่อ มนเพิ่งกลับมานะ" มนทิชาประท้วงเล็กน้อย

            เธอไม่ได้คิดว่าจะไม่กลับมาช่วยบิดาและพี่สาวทำงาน เพียงแต่นี่เพิ่งจะถึงแผ่นดินเกิด ยังไม่ทันได้รื้อกระเป๋าเสื้อผ้าเสียเลยด้วยซ้ำ บิดาก็มีคำสั่งให้เดินทางอีกเสียแล้ว ขอเวลาให้มนทิชาได้พักผ่อนหายใจสักหน่อยได้ไหม

            “พ่อก็ไม่ได้บอกนี่นา ว่าจะให้ไปวันนี้ซะหน่อย” คุณบูรณะอมยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าโอดครวญของบุตรสาว

            “ขอมนพักสักแป๊ปได้ไหมคะ มนยังอยากไปเที่ยวทะเลดำน้ำดูปะการัง หรือพักสมองสักเดือนสองเดือน เพิ่งเรียนจบนะคะพ่อ ให้ทำงานเร็วๆ เดี๋ยวลูกสาวพ่อก็หน้าแก่กันพอดี"

            “พ่อให้มนพักเที่ยวรอบอเมริกาเดือนหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ ลูก” บิดาพูดอย่างรู้ทัน

            มนทิชาพูดไม่ออก เพราะก่อนที่จะเดินทางกลับด้วยความจำใจนี้ เธอเพิ่งจะขอของรางวัลที่บากบั่นพากเพียรเรียนให้จบ ด้วยทริปท่องเที่ยวทั่วแผ่นดินอเมริกาตามใจที่อยากไป ถ้าคุณบูรณะไม่ยืนกรานว่าให้กลับและส่งตั๋วเครื่องบินที่กำหนดวันเดินทางไปให้แล้วล่ะก็ รับรองว่ามนทิชาคงเพลิดเพลินอยู่กับอเมริกาอีกนานแน่

            “คุณพ่อคะ ให้น้องพักก่อนก็ได้มั้งคะ เรื่องที่ตราดเดี๋ยวแพรช่วยดูแลไปก่อนก็ได้” แพรใจเห็นใจคนที่เพิ่งกลับมา

            เพราะรู้นิสัยน้องสาวดีว่าถ้าต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่พร้อมแล้วล่ะก็ ผลเสียมันออกมามากกว่าผลดีเสมอ และงานที่ตราดตอนนี้จะผิดพลาดสักเล็กน้อยก็ไม่ได้ ดังนั้นให้มนทิชาไปพักผ่อนจนพร้อมที่จะกลับมาช่วยงาน แล้วถึงตอนนั้นค่อยหางานที่เหมาะสมให้น่าจะดีกว่า

            “งานที่แพรดูแลล้นมือไปหมดแล้ว พ่อว่าเรื่องที่ตราดให้เป็นหน้าที่ยายมนดีกว่า” คุณบูรณะยืนยันตามความคิดเดิม

            "ถ้างั้นก็แล้วแต่คุณพ่อค่ะ" แพรใจหันมาสบตากับน้องสาวเล็กน้อย

            มนทิชาแอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อรู้ว่าโปรแกรมพักผ่อนท่องเที่ยวที่คิดไว้แต่แรกต้องพับเก็บไปก่อน และเตรียมตัวเดินทางไปตราดเพื่อทำงานตามที่บิดาสั่ง

            แม้จะไม่อยากไปหรือไม่พร้อมในเวลานี้ แต่เธอก็ไม่อาจขัดคำสั่งนี้ทำได้เพียงแค่นั่งฟังพี่สาวและบิดาพูดคุยกันเรื่องงานต่ออีกสักพัก ก่อนที่แพรใจจะออกไปทำงานที่บริษัท ส่วนมนทิชาก็กลับขึ้นไปพักผ่อนข้างบนทันที

            มนทิชากลับขึ้นไปที่ห้องพักของตนเอง ร่างเล็กทอดตัวยาวลงบนเตียงใหญ่อย่างช้าๆ หลับตาลงเบาๆ ครุ่นคิดถึงเรื่องที่บิดาเอ่ยด้วยเมื่อครู่นี้ บิดาแบกภาระหนักทั้งงานบริษัทที่กำลังเติบโตและการดูแลบุตรสาวทั้งสองที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตด้วยความยากลำบาก สองพี่น้องเป็นเด็กดีไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้ผู้เป็นพ่อต้องปวดหัว ยิ่งแพรใจด้วยแล้วสมกับเป็นพี่สาวคนโตของครอบครัว เพราะยังไม่ทันเรียนจบเจ้าหล่อนก็เข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องงานได้เป็นอย่างดี

            ผิดกับน้องสาวคนเล็กของบ้าน แม้มนทิชาจะไม่สร้างปัญหาแต่ความสนใจที่จะเรียนรู้ในธุระกิจของครอบครัวมีน้อยมาก ทันทีที่เรียนจบสาวน้อยก็ขอคุณบูรณะโบยบินไปเรียนต่อไกลถึงสหรัฐอเมริกา ใช้ชีวิตคุณหนูสุขสบายตามประสา นี่ถ้าไม่ถูกบังคับให้กลับมาด้วยการส่งตั๋วเครื่องบินพร้อมระบุวันเวลาไปให้ด้วยแล้ว เธอก็คงไม่ล้มเลิกโปรแกรมท่องเที่ยวแสนสนุกที่วางไว้ยาวเหยียดเป็นแน่

             ตลอดทั้งวันสาวน้อยหมกตัวอยู่แต่ในห้อง เพราะอ่อนเพลียจากการเดินทางข้ามทวีปมาหมาดๆ มนทิชาคิดถึงเรื่องงานที่บิดาจะมอบหมายให้ตนรับผิดชอบ และตัวใจว่าจะถามรายละเอียดให้กระจ่าง แต่ก็ไม่มีใครอยู่บ้านเพื่อตอบคำถามที่ต้องการอยากรู้

            “คุณท่านติดงานเลี้ยง ส่วนคุณแพรยังประชุมอยู่ที่บริษัทค่ะ” ชื่นจิตบอก เมื่อมนทิชาถามหาพ่อและพี่สาวในอาหารมื้อเย็น

            “งั้นมนขอแค่นมอุ่นๆ สักแก้วก็พอค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็กลับขึ้นไปบนห้องต่อ นมอุ่นๆ ตามคำขอนั้นชื่นจิตจัดการให้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และปล่อยให้มนทิชาพักผ่อนเพียงลำพังต่อไป

               

                “นอนหรือยังจ้ะ คนสวย”

            เสียงเคาะประตูยามดึกปลุกให้มนทิชาลุกจากเตียงด้วยอาการงัวเงีย เธอรอที่จะเจอหน้าบิดาและพี่สาวจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของแพรใจแล้ว

            “พี่แพร” มนทิชาหาวเบาๆ แล้วเปิดประตูให้แพรใจเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

            “พี่มาช่วยจัดกระเป๋า” แพรใจพูดพลางลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่วางอยู่ไม่ไกลจากเตียงมาที่ต็เสื้อผ้า มนทิชาเพิ่งจะเอาข้าวของออกจากกระเป๋าเสร็จเมื่อตอนค่ำนี้เอง

            “เราจะไปเที่ยวไหนกันเหรอคะ” สาวน้อยหายง่วงทันที กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตาเห็น

            “พี่ไม่ได้ไป คนที่ไปคือมนต่างหาก” พี่สาวคนสวยพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วเริ่มลงมือจัดของที่คิดว่ามนทิชาจำเป็นจะต้องใช้เมื่ออยู่ที่นั่น

            “ไปไหนคะ” คนถามทำหน้าสงสัย เริ่มเอะใจในสิ่งที่แพรใจพูด หวังว่าคงจะไม่ใช่...

            “ไปตราดไงล่ะ อะไรกัน แค่นี้ลืมแล้วเหรอ”

            “หา อะไรนะคะไปตราด มนเพิ่งกลับมาได้แค่วันเดียว ไม่ใช่ซิ ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ จะให้มนไปไหนอีกแล้วคะ” มนทิชาโวยวายเสียงดังลั่น

            เธอไม่ลืมงานที่คุณบูรณะมอบหมาย แต่ไม่คิดว่าจะต้องรีบร้อนไปทันทีทันใดแบบนี้ มนทิชาวางแผนไว้ว่าขอเวลาอยู่กรุงเทพฯสักอาทิตย์ ให้ร่างกายปรับสภาพเรื่องเวลาได้เข้าที่แล้วจึงจะเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปตามคำสั่ง แต่นี่...

            “ไปพรุ่งนี้จ้ะ มาดูเร็วจะเอาอะไรไปอีก”

            “บ้านเรามีกิจการอะไรที่ตราดคะ แล้วจะให้มนไปทำอะไรที่นั่น” ว่าแล้วมนทิชาก็ถามเรื่องที่สงสัยเสียเลย

นอกจากกิจการชุดชั้นในสตรีที่เป็นของครอบครัวแล้ว มนทิชาไม่เคยรู้เลยว่าบิดาหรือพี่สาวขยายหรือมีกิจการอื่นใดในครอบครองอีกบ้าง และเท่าที่จำได้โรงงานการผลิตก็อยู่ย่านปริมณฑลไม่ใช่ตราด แล้วทำไมจึงต้องส่งเธอไปที่นั่นอีก

 “ตอนที่มนไปเรียนต่อคุณพ่อซื้อรีสอร์ตไว้ที่นั่นจ้ะ” แพรใจเฉลย

“อ๋อ เหรอคะ” 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (66 รายการ)

www.batorastore.com © 2024