ห้องรักตำหนักเสน่หา (นางแก้ว)

ห้องรักตำหนักเสน่หา (นางแก้ว)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ห้องรักตำหนักเสน่หา
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่1  ท่านชายเจ้าเสน่ห์

 

ท่านอ๋องไท้กวนดำรงตำแหน่งสำคัญทางทหาร  มีพระชายาหลี่ฉิงเป็นชายาเอก พระนางสืบเชื้อสายเป็นพระขนิษฐา บิดา-มารดาเดียวกับฮ่องเต้

สองเชื้อพระองค์มีราชโอรสเพียงพระองค์เดียว คือ ท่านชายไท้เทียนจง 

ท่านชายมีรูปงาม สง่าผ่าเผย หยิ่งทระนงในชาติกำเนิด  ทั้งยังมีราชภารกิจเป็นที่ปรึกษา และงานสำคัญต่างพระเนตรพระกรรณ เป็นท่านชายที่องค์ฮ่องเต้โปรดปราน ทั้งในฐานะพระนัดดา และฐานะของขุนนางชั้นสูง แม้ท่านชายจะมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่ท่านชายเป็นคนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสามารถยิ่งนักท่านชายแห่งหอเทียมฟ้าจึงนับว่าเป็นท่านชายที่มีขุนนางใหญ่น้อยต้องการได้เป็นลูกเขยยิ่งนัก ไม่เว้นแม้แต่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง หรือเจ้าหญิงหลายองค์ที่ได้แอบพบ หรือได้ยินกิติศัพท์ความหล่อเหลา และความสามารถสูงส่ง

                                               

วันนี้ฮ่องเต้เสด็จตำหนัก จินกุ้ยเฟย เพื่อบอกให้องค์หญิงเล่อฉางรับทราบธุระสำคัญในการเกิดมาเป็นหญิงสูงศักดิ์ นั่นคือ

‘การสมรสเพื่อชาติ’

องค์หญิงเล่อฉางเป็นหญิงงาม ท่าทางเย่อหยิ่งจนดูเกือบกระด้างแข็ง ชอบใช้อำนาจต่อบ่าวไพร่ หากวันนี้ข่าวที่นางกำนัลนำมาให้ทำให้ทรงหมองลงไปเป็นอันมากนางมีท่าทีรันทดเป็นอันมาก แม้แต่น้ำเสียงเจรจากับสาวใช้คนสนิทยังแฝงความเศร้ามิใช่น้อย

“ข้าจะปฏิเสธเสด็จพ่ออย่างไรดีเอี้ยนเอ๋อ ข้าจะทำอย่างไรดี”

“ความในใจไม่บอกไม่ได้นะเพคะองค์หญิง”

“เจ้าเป็นบ้าหรือไรจึงแนะนำเรื่องเหลวไหลดังนี้ ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปทูลเสด็จพ่อกันเล่า”

“บ่าวไม่ได้ให้ทูลองค์ฮ่องเต้ แต่ให้ทูลพระมารดาต่างหาก หากองค์หญิงเปิดเผยความในใจออกไป ไม่เพียงแต่จะระงับเรื่องการสมรสได้เท่านั้น แต่องค์หญิงจะสมดังใจปองด้วยนะเพคะ”

“ให้ข้าบอกพระมารดาว่าข้า...”องค์หญิงไม่กล่าวต่อ แต่ใบหน้าที่ทาสีชาดจนแดงนั้นยิ่งแดงจัดด้วยเลือดฝาดขึ้นไปอีกเท่าตัว ใบหน้าจึงแดงกล่ำดังนางเอกงิ้วก็ไม่ปาน

“ไปพบพระมารดาแล้วทูลเรื่องสำคัญก่อนเถอะเพคะ เห็นทีว่าพระมารดาจะยับยั้งพระราชโองการได้”

องค์หญิงเล่อฉางขบคิดเป็นครู่ใหญ่ นางกำลังชั่งใจของตนว่าเอียงไปทางใด ระหว่าง แต่งงานกับคนที่ตนรัก และการทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง แน่ล่ะ คนอย่างนางต้องเห็นแก่ตนอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไปพบพระมารดาที่ตำหนักหลังก่อนพบองค์ฮ่องเต้พระราชบิดา

นางกำนัลคนหนึ่งไปทูลจินกุ้ยเฟย พระนางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนทูลฮ่องเต้ว่า

“ชายหกร้องใหญ่แล้ว หม่อมฉันจะไปดูสักครู่นะเพคะฝ่าบาท”

“ไปเถอะจินเฟย ว่าแต่ป่านนี้ไยเล่อฉางยังไม่มาเฝ้าข้าอีกเล่า”

จินกุ้ยเฟยรีบทูลว่า

“เมื่อคืนเห็นนางกำนัลมาบอกว่าองค์หญิงเล่อฉางไม่สบาย วันนี้คงมาถึงช้าหน่อย อย่างเพิ่งกริ้วเลยเพคะ”

“งานบ้านเมืองเป็นเรื่องสำคัญ จะให้รอได้หรือ”

“การเจ็บป่วยก็สำคัญนะเพคะฝ่าบาท เป็นไข้แล้วยังตากแดดตากลมหากล้มป่วยมากขึ้นนางคงทำเพื่อชาติไม่ได้แน่เพคะ”

ฮ่องเต้นิ่งอึ้งไป จินกุ้ยเฟยฉวยโอกาสนี้เสด็จไปตำหนักใน ได้พบพระธิดาองค์ใหญ่ซึ่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย พอเห็นหน้าองค์หญิงท่านดุไปคำหนึ่ง

“กล้าดีอย่างไรมาทางด้านหลังวังไม่เข้าหน้าวัง”

องค์หญิงทิ้งเข่าลงกับพื้นคำนับพระมารดา จินกุ้ยเฟยเป็นคนรักลูกยิ่งนัก พระนางมีความอ่อนไหวทันที จึงรีบประคองพระธิดาขึ้นถามออกมาทันที

“เจ้ามีความในใจอันใด อย่างบอกว่าไม่ยอมแต่งงาน”

“ประทานผ้าแพรให้ลูกผูกคอตายเสียดีกว่าเพคะ”

“ไฮ้ กล่าวเหลวไหล”

“พระมารดา ต้องช่วยลูกนะเพคะ อย่าให้ลูกต้องแต่งงานนะเพคะพระมารดา”

“แม่จะช่วยเจ้าได้ง่ายอย่างใจได้หรือ”

“แต่ลูก ลูกได้มีคนรักแล้วเพคะ”

“อะไรนะ”จินกุ้ยเฟยอุทาน ทำหน้านิ่วด้วยความไม่พอใจ “นี่เจ้าแอบผิดประเพณีไปพบใครกัน เจ้าเป็นเจ้าหญิงของสนมเอก เจ้ากล้าทำเรื่องบัดสีเชียวหรือองค์หญิงเล่อฉาง”

“เรื่องหัวใจของลูก หัวใจที่กำลังแตกสลายเพราะจะต้องพลัดพรากจากคนรัก”

“มันเป็นใครกัน”

“เอ่อ...ท่านชายไท้เทียนจงเพคะพระมารดา”

จินกุ้ยเฟยสะดุ้งในพระทัยไปวูบหนึ่ง พระนางนิยมในตัวของไท้เทียนจงเป็นทุนเดิน จนคิดว่าเมื่อได้เวลาอันควรพระธิดาองค์เล็กมีอายุมากกว่านี้จะจัดให้เป็นภรรยาของอีกฝ่าย เพราะความที่ไท้เทียนจงเป็นคนมีอนาคตไกล พระสนมจินกุ้ยเฟย (ตำแหน่งเรียกพระสนมสูงส่งแซ่จิน) จึงได้มีความคิดที่จะผูกไมตรีไว้เป็นพวกพ้อง

จินกุ้ยเฟยมีพระธิดาสององค์ พระโอรสสององค์ พระโอรสองค์ใหญ่นั้น นามว่าองค์ชายสี่ แข่งขันกันเอาความดีกับองค์ชายใหญ่ เพื่อหวังตำแหน่งรัชทายาท ส่วนพระธิดาองค์หญิงเล่อฉาง เป็นลูกสาวคนโต แต่เป็นน้องสาวขององค์ชายสี่ มีอายุสิบเก้าปีแล้ว พระบิดาให้ออกเรือนไปเป็นเจ้าสาวของแคว้นฉี

การที่ได้ยินเช่นนี้ทำให้พระสนมหนักพระทัยไม่น้อยทีเดียว

“พระมารดาเพคะ อย่าผลักไสลูกให้ไปแคว้นฉีเลยเพคะ แม้แคว้นฉีมีความรุ่งเรืองมากก็จริง แต่ใจลูกไม่ปรารถนาเลยสักนิด ลูกมีความผูกพันอยู่กับคน ลูกรัก หากลูกต้องแต่งงานกับคนอื่น ลูกขอให้พระมารดาประทานความตายให้ลูกเสียดีกว่าเพคะ”

“เหลวไหลใครจะปล่อยให้เจ้าตาย องค์หญิงมีตั้งร้อย จะมาดีกว่าลูกแม่เห็นจะไม่ได้ เมื่อบอกแม่ก่อนแม่จะได้แก้ไขให้”

“ขอบพระทัย ขอบพระทัยเพคะ”

“เจ้ากลับไปตำหนัก แล้วนอนซมอยู่ แม่จะแกล้งพาพระบิดาไปเยี่ยม แล้วพูดเลี่ยงให้เจ้าเอง”

องค์หญิงเล่อฉางแทบโห่ร้องด้วยความดีใจยิ่งนัก นางรีบกลับตำหนักไปตามคำแนะนำของพระมารดาทันที

เมื่อพระธิดาไปแล้วจินกุ้ยเฟยเรียกหาพระโอรสองค์เล็กมาอุ้ม ออกไปเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ไปถึงจึงทูลว่า

“ดูสิเพคะฝ่าบาท ลูกๆของหม่อมฉันพากันเป็นไข้ไปเสียหมด ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร นี่นางกำนัลบอกว่าชายหกถ่ายมากจนตัวร้อนเพคะ”

“ไหนให้ข้าดูลูกหน่อย” จินกุ้ยเฟยเบี่ยงพระโอรสไปทางอื่น ก่อนปฏิเสธว่า“ไม่ได้เพคะ ฝ่าบาท พระองค์เป็นประมุขของชาติบ้านเมืองติดไข้ไปจะลำบาก หม่อมฉันจะเป็นที่ครหาด้วย นี่แม่นมชายหกบอกว่าเพิ่งหยุดถ่าย โปรดวางพระทัยก่อน”

“ข้าเป็นพ่อเหตุใดต้องกลัวติดไข้จากลูกด้วยเล่า”

“เช่นนั้นต้องเชิญฝ่าบาทไปเยี่ยมดูอาการขององค์หญิงเล่อฉางแล้วเพคะ”

“หมายความว่ายังไง”

“ขันทีมาทูลเมื่อครู่นี้ว่าลูกหญิงล้มป่วยลงไม่สามารถมาได้ หม่อมฉันห่วงองค์หญิงเล่อฉางยิ่งนัก อยากไปดูกับตาว่าเจ็บป่วยมากเพียงใดเพคะ”

“เช่นนั้นเรารีบไปดูที ปล่อยไว้จะแย่ ทูตแคว้นฉีรอรับตัวลูกหญิงของเราไปอยู่แล้ว”

สองพระองค์เสด็จสู่ที่พำนักของเจ้าหญิง ซึ่งเจ้าหญิงองค์หญิงเล่อฉางอยู่ตำหนักหนึ่งในบรรดาหลายตำหนักซึ่งมีเจ้าหญิงอีกหลายพระองค์พักอยู่เป็นตำหนักย่อยๆกันไป

ฝ่ายนางกำนัลต่างหาหินเผาไฟให้ร้อนเข้าอบเจ้าหญิงจนมีร่างกายที่ร้อนกว่าปกติ ลบรอยชาดออกจนหมด และทาแป้งให้ดูซีดเซียว การกระทำนั้นสร้างให้เจ้าหญิงเหมือนกับคนเป็นไข้หนักทีเดียว

จินกุ้ยเฟยเห็นลูกแล้วแสร้งหยิบผ่าซับน้ำตาเอ่ยเสียงสั่นด้วยความสงสารพระธิดา ก่อนถลาเข้าไปนั่งบนเตียงจับเนื้อตัวองค์หญิงเล่อฉางพลางทำตกใจ

“องค์หญิงเล่อฉางลูกแม่ นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมตัวร้อนเพียงนี้ ป่วยไข้หนักหนาทำไมจึงไม่ให้ใครไปบอกแม่ก่อน เจ้าไม่รู้หรือเสด็จพ่อกำลังมีพระราชโองการให้เจ้าไปแคว้นฉี”

“พระมารดา ลูกได้ข่าวว่ามีพระประสงค์ให้ลูกรับใช้ชาติ ลูกเกิดเป็นราชนิกุล ลูกมีหน้าที่ ถึงตาย ลูกก็ต้องทำเพคะ”

พระนางจินร้องออกมาด้วยเสียงสั่นเทา

“โธ่เอ๊ย หัวใจเจ้าทำด้วยอะไรเล่อฉางเจ็บป่วยเพียงนี้ยังคิดรับใช้ประเทศชาติ เจ้าไม่รู้หรือ ว่าหากเจ้าเดินทางไปในเวลานี้ การเดินทางไปไกลเจ้าจะถึงที่หมายหรือเปล่า ลูกแม่”

“องค์หญิงเล่อฉาง เจ้าป่วยมากขนาดนี้เจ้าไม่ต้องไปเมืองฉี พ่อจะส่งองค์หญิงจินเหลียนไปแทนเจ้าก็แล้วกัน”

องค์หญิงเล่อฉางเกือบเผลอยิ้มแต่พระมารดาลอบถลึงตาใส่เสียก่อน เวลานั้น เจ้าหญิงเล่อหลิงวิ่งเข้าไปในห้องบรรทมพระพี่นางพลางร้องเสียงดังว่า

“พี่นางเมื่อเช้าเห็นทาสีชาดแดงแจ๋ เอามาให้หญิงเล่นมั่งสิ”

ฮ่องเต้ เหลียวขวับไปที่พระธิดาองค์เล็ก จินกุ้ยเฟยเกรงแผนแตกจึงดุด่าองค์หญิงเล่อหลิงซึ่งยังอายุสิบพรรษาแต่เอาแต่พระทัยดื้อ ดุร้าย

“พูดจาไร้สาระนักเล่อหลิง พี่เจ้าเจ็บป่วยปานนี้ยังมารบกวนไม่เกรงใจ ใครจะเอาแต่ใจได้เหมือนเจ้ากันห้ะใครเอาเด็กนี้ไปให้พ้นที จ้องเอาแต่จะเล่นน่าโมโหยิ่งนัก”

นางกำนัลรีบอุ้มเจ้าหญิงเล่อหลิงออกไป เจ้าหญิงเป็นคนดุร้ายจึงดิ้นรนจะฟ้องร้องเอาเรื่องแต่นางกำนัลอุดปากแน่นพาออกไปจนได้

ฮ่องเต้ มีพระทัยรักเอ็นดูจินกุ้ยเฟยมาก ดังนั้นเมื่อนางรำพันถึงความป่วยไข้ของลูกสาว ฮ่องเต้จึงได้แต่โอนอ่อนผ่อนตามไปโดยเปลี่ยนองค์หญิงจินเหลียนไปแทนที่

เวลาต่อมาราชโองการจึงไปที่องค์หญิงจินเหลียน เวลานั้นเจ้าหญิงเข้าเฝ้าไทเฮา และเช่นเดียวกับที่ พระชายาหลี่ฉิงเข้าเฝ้าพระมารดาพร้อมกับท่านอ๋องและท่านชายไท้เทียนจง

                อย่าว่าแต่องค์หญิงเล่อฉางที่ชมชอบไท้เทียนจงเลย องค์หญิงหลายพระองค์และท่านหญิงหลายท่าน ล้วนแล้วแต่อยากเป็นเจ้าสาวชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความดีพร้อม

ขันทีถือราชโองการไปถึงตำหนักไทเฮา

“องค์หญิงจินเหลียนรับราชโองการ”

องค์หญิงซึ่งกำลังบีบนวดให้ไทเฮา แต่สายตาแอบลอบมองมาที่ท่านชายบ่อยครั้ง ท่านชายไม่ได้หลบเลี่ยงจึงสายสบสายตากันอยู่บ่อยๆ

เมื่อเสียงร้องขานเรื่องราชโองการมีมา องค์หญิงแปลกพระทัยมาก แต่ออกมาคุกเข่ารับราชโองการ

“จินเหลียนรับราชโองการ”

“เนื่องด้วยแคว้นฉีเป็นแคว้นใหญ่ ได้มีไมตรีสู่ขอองค์หญิงระดับหน้าไปเป็นพระมเหสี องค์ฮ่องเต้มีรับสั่งว่า องค์หญิงจินเหลียนยังไม่มีคู่หมาย และมีวัยอันสมควร อีกทั้งมารยาทงามพร้อม จะเป็นที่พึงพอใจของท่านอ๋องแห่งแคว้นฉีได้ ดังนั้นจึงมีพระราชโองการมา องค์หญิงรับราชโองการ”

เหมือนสายฟ้าผ่าเข้ากลางใจองค์หญิงกำพร้าที่อยู่ในความดูแลของไทเฮา แต่บัดนี้นางต้องไปทำหน้าที่ ที่ขัดต่อหัวใจเหลือเกิน นางไม่อาจไม่รับ ดังนั้นเมื่อรับราชโองการจากขันทีแล้วองค์หญิง เสียพระทัยอย่างเงียบงัน

 แต่ไทเฮากลับยินดีที่องค์หญิงจินเหลียนได้ทำเพื่อชาติพระนางจึงได้สนับสนุน โดยไม่รู้ใจว่าองค์หญิงจินเหลียนรักไท้เทียนจง ท่านชายมากเสน่ห์นักหนา

“ดียิ่ง ดียิ่ง เกิดเป็นสตรียังมีหน้าที่รับใช้ชาติได้อย่างใหญ่หลวง หญิงจินเหลียนไม่เสียชาติเกิดแล้ว”

“ไทเฮา”

“เอาล่ะ เห็นทีต้องเตรียมของให้เจ้าสาวติดตัวไปมากหน่อย ไปหญิงจินเหลียน เราจะให้ของแก่เจ้า”

“ขอบพระทัยเพคะ”องค์หญิงน้อมรับบัญชาด้วยหัวใจแตกสลาย

พระชายาหลี่ฉิงทูลไทเฮาเมื่อเห็นว่าทางไทเฮามีเรื่องจัดเตรียมของ พระนางจึงสมควรกลับวัง

“พระมารดา ลูกทูลลาเพคะ”

“ว่างๆก็มาเยี่ยมแม่ใหม่นะ หลี่ฉิง ได้เห็นพวกเจ้ารักกันแบบนี้แม่ยินดี และยิ่งยินดีที่เห็นเทียนจงเติบโตขึ้นมาก”

“ขอบพระทัยเสด็จยาย”ท่านชายน้อมรับก่อนพากันกลับ

องค์หญิงจินเหลียน องค์หญิงกำพร้า ชาติกำเนิดของนางอาภัพยังไม่พอ นางยังอาภัพรักอีกซ้ำ นางได้แต่เพียงชายสายตามองท่านชาย เดินหันหลังออกไปจนลับตา

นางจำไปทำหน้าที่สมรสพระราชทานไปเป็นชายาแห่งแคว้นห่างไกล เพียงเพื่อป้องกันเหตุร้ายทางชายแดน

กรรมขององค์หญิงจินเหลียนที่แอบรักท่านชายไท้เทียนจง ด้วยความซื่อตรงและไร้คนคุ้มครอง นางจึงไม่มีความสามารถอย่างเจ้าหญิงองค์หญิงเล่อฉาง ดังนั้นหน้าที่ทำเพื่อประเทศชาติจึงเป็นของเจ้าหญิง!

 

ที่ตำหนักจันทร์ลอยดวง

สามพ่อ แม่ ลูกกลับถึงต่างพากันไปสนทนากันต่อที่ห้องโถงใหญ่ สาวใช้นางกำนัลรีบนำ น้ำชา และขนมมาถวายทันที

พระชายาหลี่ฉิงตรัสด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้มว่า

“แม่เห็นเจ้ากับจินเหลียนสบตากันบ่อยยังคิดว่าชมชอบกัน มีราชโองการแม่ยังหวั่นใจแทนเจ้า แต่เห็นเจ้านิ่งเฉยอยู่ แม่ค่อยเบาใจว่าเจ้าไม่โดนใครควักดวงใจไป”

“ลูกกับจินเหลียน และองค์ชาย องค์หญิงอีกหลายคน เคยได้ศึกษาเรียนโคลงกลอนร่วมอาจารย์เดียวกัน ลูกไม่ได้คิดอะไรเลยครับพระมารดา”

“แต่วันนี้ดูทีเจ้าเนื้อหอมไม่เบา สาวสรรค์กำนัลในต่างแอบมองเจ้ากันอย่างน่าไม่อาย”

ท่านชายเพียงยิ้มรับ ในใจปลอดโปร่งไร้คนครอบครอง

“พระบิดา พระมารดาลูกขอตัวไปหอเทียมฟ้าก่อนนะครับอาจบางทีมีงานด่วนเข้ามา”

“เจ้านี่เอาแต่ทำงานเห็นจะไม่ได้เสียแล้ว เจ้าควรแต่งงานเสียที อายุสิบเจ็ดแล้วมีลูกมาให้แม่อุ้มให้ไวหน่อยจึงจะดี”

“เรื่องนี้สุดแล้วแต่พระมารดาเถิดครับ ลูกไม่ขัดข้องแต่ประการใด”

“เจ้าเป็นลูกที่ดีลูกเทียน แบบนี้สิถึงได้มีแต่แม่สื่อมาติดต่อไม่เว้นแต่ละวัน แต่แม่ยังไม่เห็นมีใครสมควรเป็นฮูหยิน ของเจ้าสักคน”

ท่านชายยิ้มในสีหน้าอันหล่อเหลา ไม่เอ่ยอะไรนอกจากหมุนกายเดินจากไป ท่านปล่อยธุระเรื่องเจ้าสาวให้เป็นหน้าที่ของบิดามารดาเท่านั้น

ท่านไม่มีความรัก ท่านจึงไม่ขัดข้อง หากวันหนึ่งท่านรู้จักความรัก ท่านจะคิดง่าย ทำง่ายได้อย่างนี้มั้ยหนอ!

                                                                               

องค์หญิงเล่อฉางเสด็จลงอุทยาน พร้อมนางกำนัลคนโปรด  ทั้งสองเชยชมดอกไม้หลากสีสันสวยงาม ท่ามกลางอากาศสดใสรอบตัว

เสียงร่ายบทกวีดังมาจากทางเดินสวนหิน องค์หญิงเล่อฉางชะงักฟัง ที่แท้เป็นเสียงของพระเชษฐาของนางเอง องค์ชายสาม ซึ่งรู้แต่เพียงภายในว่าเป็นคนที่จินกุ้ยเฟยคิดดันสู่ตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่ยังติดองค์ชายใหญ่ พระโอรสของฮองเฮา เสด็จป้าของท่านชายไท้เทียนจง

“อากาศแจ่มใสไร้เมฆฝน

สกุณาบินร่อนเวียนวน

แมลงภู่ชอนไชบุบผาซุกซน

เหมยงามเกลื่อนกราดดาษดา

เสียงเอ่ยกลอนร่ายตอบเป็นเสียงไท่จื่อหย่งเฉิงดังขึ้น องค์หญิงเล่อฉางยิ่งแอบเข้าแนบชิดก้อนหินแน่นเข้า

“สุรานารีเป็นหนี้ชีวิต

                ใครเสพล้วนติดเลิกยากนักหนา

                แม้มีบ้านล่มบ้านพานอับปรา

                ทั้งสุรานารีต่างมีพิษภัย”

                “พี่ใหญ่กล่าวราวกับว่าสองสิ่งนี้ไม่เป็นที่ปรารถนาของบุรุษอย่างพวกเรากระนั้น”

                “ใครว่าเช่นนั้นเล่าน้องสาม พี่อุปมาเพราะเห็นเจ้ามีเมียมากนัก แล้วพวกนางต่างหึงหวงกันจนเจ้าปวดหัวมิใช่หรือ”

องค์ชายสามได้รับฟังคำแดกดันจึงได้แต่แสร้งทำขบขัน ทั้งที่ในใจนั้นไม่พอใจ ทั้งสองต่างมีหน้ากากเข้าหากันตราบใดยังไม่ตั้งรัชทายาทให้เป็นที่รู้จริงท่านจึงอดแย้งกลับไม่ได้

“พี่ใหญ่มีชายาไม่น้อย พวกนางไม่หึงหวงกันหรือเพราะพวกนางต่างไม่มีปากเสียงหรือเพราะพี่ใหญ่เอาแต่ออกเที่ยวพวกนางจึงจำต้องสามัคคีเพื่อคลายความเหงากันเล่า”

“เพ่ย...เที่ยวคือเที่ยว กลับมาข้าก็แบ่งเวลาให้พวกนางเท่ากัน ว่าแต่เทียนจงเล่า เจ้าไม่มีคู่ หรือว่าแอบเป็นขันทีไปเสียแล้ว”

                “องค์ชายใหญ่ล้อกระหม่อมเล่นจนน่าขายหน้าจริงๆ”เทียนจงน้อมทูลตอบ

ที่หลังพุ่มไม้เอี้ยนเอ๋อสะกิดนายเมื่อได้ยินชื่อของเทียนจงมาด้วยองค์หญิงเล่อฉางยิ่งตื่นเต้นนัก

“แล้วเจ้าว่าสตรีเป็นเช่นไร”

“ใช่เจ้าต้องตอบแล้ว เพราะอย่างไรไม่เกินสองปีเจ้าต้องแต่งงานมีคู่ครอง”

ไท้เทียนจงส่ายศีรษะไปมา แต่ถูกองค์ชายทั้งสองคะยั้นคะยอให้ตอบ เขาจึงต้องเอื้อนเอ่ยออกมาบ้าง

“งามเอยงามจริงยิ่งยศศักดิ์

พิศเงาจันทร์ละม้ายคล้ายผ่องพักตร์

เพิ่งประจักษ์ด้นรนเสาะหา

ได้อาชาอย่างนี้ขับขี่เข้าชิงชัย

ฮ่า ฮ่า ฮ่า

เสียงหัวเราะของสององค์ชายดังขึ้นก่อนเทียนจงจะประสานเสียงหัวเราะไปด้วย องค์ชายใหญ่ตรัสว่า

“เจ้าโกง โกงจริงๆ บทกลอนของเจ้าจะว่านารีก็ได้ จะว่าเป็นม้าก็ได้ แต่ไม่เข้าใจม้าที่ไหนหน้ากลมเหมือนจันทร์กันเล่าเทียนจง”

“ข้าไม่ได้หมายถึงดวงจันทร์แต่ข้าเอ่ยถึงเงาในดวงจันทร์ซึ่งผู้คนเห็นเป็นคางคก (ชาวจีนเห็นหลุมในดวงจันทร์เป็นคางคก คนไทยเห็นเป็นรูปกระต่าย)

“ฮ่า ฮ่า “สององค์ชายยิ่งพากันหัวเราะไม่หยุดเมื่อฟังคำเปรียบเทียบ

“พวกเราเห็นเป็นคางคกแต่เจ้าเห็นเป็นม้ายังได้นะ เจ้านี่สำคัญนัก มิน่าเสด็จพ่อจึงโปรดปรานเพราะเจ้าช่างพลิกแพลงได้เก่งเสียจริงๆ ชักอยากเห็นฮูหยินที่คนอื่นเห็นเป็นคางคก แต่เจ้าเห็นเป็นม้าเสียแล้วเทียนจง”องค์ชายสามเย้าอีกฝ่าย

“หากท่านน้าไม่หาให้เจ้า ข้าเดาว่าเสด็จพ่อต้องพระราชทานให้เจ้าแน่ๆเทียนจง”

“ว่าแต่สตรีไหนล่ะที่เจ้าจะขับขี่”องค์ชายสามถามท่าทีจริงจัง จากนั้นพอสบตากันต่างหัวร่อกันสนุกไป

ผู้ชายหัวเราะกันสนุก แต่ผู้หญิงหลายคนที่แอบฟังพากันหน้าแดง และตื่นเต้น แม้ถูกเปรียบดังม้า แต่ไม่มีใครเลยที่ไม่ต้องการเป็นม้าของไท้เทียนจง คุณชายมากความสามารถคนนี้!


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (71 รายการ)

www.batorastore.com © 2024