สาวน้อยจะสอยดาว (นางแก้ว) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: สาวน้อยจะสอยดาว
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ  ภาพประทับใจ

 

                กลุ่มนักศึกษาแพทย์ของโรงพยาบาลทหารบก มีจำนวนสามคน หนึ่งในสามเป็นชายร่างสูง เป็นนักเรียนแพทย์ปีห้า ชื่อ ภากร เขาดูเด่นเพราะร่างสูงใหญ่ กว่าอีกสองคนซึ่งเป็นคนรูปร่างสันทัดกว่า และหน้าตาหล่อสู้กันไม่ได้ คางบุ๋มของภากรทำให้ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย พวกเขาแยกย้ายกันชมภาพวาดระดับอุดมศึกษาด้วยความสนใจ เป็นภาพวาดแนวอิสระ ดังนั้นจึงมี แบบทั้งเสมือนจริง  แบบจินตนาการ และภาพเสียดสีสังคม  ภากรได้ยินเพื่อนวิจารณ์ภาพการเสียดสีสังคมที่เป็นฝีมือนักศึกษาชาย

                “มีอ๊อบเจ็ตท์ด้วยว่ะ”เพื่อนของเขาลากให้ไปดูภาพวาดภาพหนึ่ง ซึ่งเขียนชื่อภาพไว้ว่า ภาพเรียงร้อยด้วยรัก พวกเขามองลายเส้นยึกยือ สับสน สลับกับภาพหน้าคน วนไปถึงหน้าสิ่งของ บอกเล่ากระทั่งนำก้อนดิน และเก้าอี้มาเป็นภาพประกอบ

                “สมแล้วกับภาพแนวจินตนาการหลุดโลก กูมองยังไงมันก็เรียงร้อยกันไปหมดว่ะ แต่ไม่ยักกะประทับใจ”ภากรเอ่ยแล้วผละไปอย่างไม่สนใจอีก เพื่อนเลยตระโกนแซว

                “ไอ้ภามันออกแนวแหวานแหวว เฮ้ยถ้าเจอเรียกกูไปวิจารณ์แนวชอบของมึกหน่อยก็แล้วกัน”ว่าแล้วพวกเขายังมองรูปประกอบที่ทำด้วยมือ ซึ่งเรียกว่า อ๊อบเจ็ตท์ (เป็นการนำวัสดุเหลือใช้มาจัดปั้นสร้างสรรค์ตามจินตนาการ)

พวกเขาวิจารณ์การมาเรียงร้อยด้วยรัก แต่สามเสียงเรียงร้อยกันไปสามทาง กระทั่งศิลปินผู้สร้างรูปปั้นซึ่งเตร่ๆอยู่แถวนั้นเดินหัวกระเซิงเข้าไปแนะนำสิ่งที่เขาต้องการสื่อสาร ทุกคนจึงรู้แก่ใจว่า เดาผิดหมด แต่เขาให้กำลังใจรุ่นน้อง

                “สักวันนายจะเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่เชื่อพี่เถอะ”

                “แค่พี่วิจารณ์งานของผม ผมก็แทบหมดกำลังใจในฝีมือแล้วล่ะครับ”เขาบอกเสียงค่อนข้างเศร้าและวิตก หากเพื่อนภากรเอ่ยว่า

                “เฮ่ย! นี่ล่ะงานสร้างสรรค์ของแท้เลย พี่สามคนมองได้สามมุม ถ้ามองมุมเดียวกันมันจะเป็นจินตนาการได้ยังไงจริงมั้ย”

                ครานี้ผู้กำลังย่างก้าวเข้าเส้นทางแนวศิลปินเปิดยิ้มกว้างขวางด้วยกำลังใจไหลมาเทมา ยิ่งพวกภากรพูดคุยชื่นชม ยิ่งทำให้คนที่ชมนิทรรศการเริ่มมาดูอ๊อบเจ็ตท์นั้นมากขึ้น พวกของภากรจึงค่อยปลีกตัวออกไป แล้วซุบซิบแก่กัน

                “ห่าเอ๊ย ทีหลังมึงอย่าพูดดังสิวะ เสือกไปเจอคนทำเข้าให้แล้วมั้ยล่ะ”

                “อ้าวงั้นที่มึงชมเขามึงก็สตอร์เบอร์รี่น่ะสิ”

                “กูไม่เถียง กูมองไม่ออกว่ามันเรียงร้อยเข้าไปด้วยกันตรงไหน ว่าแต่แล้วไอ้ภาไปไหนล่ะ หายเข้ารูปภาพไปเลยมั้ย”พวกเขาบ่นแล้วตามหาภากร

                มุมในสุดมีภาพวาดสีน้ำเงินกระจายตัวด้วยสีฟ้าหม่น บอกให้เห็นถึงเวลายามค่ำคืน สาวน้อยแอบผ้าม่านสีขาวจางๆการเล่นสีนุ่มนวล สายตาทอดมองดวงดาวสุกสว่างด้วยความวิงวอน ภากรราวกับอ่านใจคนวาดออกว่าต้องการอะไร หญิงสาวดูแสนเหงาและอ่อนหวาน ‘สาวน้อยจะสอยดาว’

                เขานี่ไงดาวดวงนั้น ภากรแอบบอกสาวน้อยหน้าหวานดวงตาแสนสวย และเต็มไปด้วยความวิงวอน ดาวเจิดจรัสบนท้องฟ้า สวยสดใสกว่าดาวเหนือ หรือดาวศุกร์ที่ว่าสว่างทุกยามหัวค่ำ ดาวประดับใจ

                “ดื่มด่ำเชียวนะมึง”เพื่อนของภากรเข้ามาห้อมล้อม  ซึ่งจ้องมองรายละเอียดของภาพอย่างลืมสิ่งรอบข้าง เข้าบอกไม่ถูกว่าทำไมจึงรู้สึกรักภาพนี้ รักจนอยากแบกกลับไปแขวนที่บ้านเสียด้วยซ้ำ

                “โอ๊ะโอ้ ภาพสาวน้อยจะสอยดาว ใครวาดล่ะ แหม่เด็ก ปีหนึ่งริอ่านมีรักแล้วว่ะ”

                “ทะลึ่งไปวิจารณ์ห่าอะไรของมึงวะ ภาพนี้เป็นงานศิลป์ที่ทำให้รู้ถึงความอบอุ่น การรอคอย และเต็มไปด้วยความหวังเชียวนะมึง”ภากรออกปาก

                “อ้าวแล้วมึงว่าผู้หญิงในรูปเขาไม่ได้ฉายแววตารักดวงดาวและต้องการได้มาครอบครองหรือไง น.ส วสี  ปี1 มหาวิทยาลัย S สงสัยจะเป็นคนอ่อนหวานมาก”

                ภากรไม่นำพาคำเพื่อนฝูงแต่เขาถ่ายภาพนั้นไว้ทุกมุมกล้อง

                “มึงจะถ่ายไว้ดูต่างหน้าหรือไงไอ้ภา เอ๊ะ! มึงนี่เสพติดภาพนะเนี่ย”เพื่อนรวมหัวกันแซวภากรเป็นที่สนุก ภากรเอ่ยออกมาว่า

                “เออกูจะเอาไปขยายติดห้องนอนกูเลย”

                “ห่าก๊อบปี้ผิดกฎหมาย”

                “กูไม่ได้เอาไปเผยแพร่นี่หว่า”

                “มึงไปประมูลเลยดีมั้งภา”เพื่อนยุ “พวกกูช่วยออกคนล่ะสองร้อย”

                “แหกตาดู เขาปิดไว้ว่า ไม่นำประมูล”

                “อ้อยัยคนวาดคงวาดเองรักเองแหงเลย” ภากรรู้สึกรำคาญใจต่อคำพูดของเพื่อนที่พากันวิจารณ์ศิลปินที่เขาชื่นชมอย่างไม่ไว้หน้า เขารู้สึกอยากต่อยปากเพื่อนตัวเองสักคนละหมัดเป็นรางวัล ซึ่งพอคิดแล้วเขาจึงได้สติว่า เขานี่แหละเพี้ยน ทำเป็นโกรธเพื่อนเพราะมาว่าคนรักตัวเองไปได้

                “ไปเหอะ กูหิวข้าวแล้วว่ะ แต่ท่าทางไอ้ภามันจะอิ่มอกอิ่มใจจนกินอะไรไม่ลงแล้วล่ะ”

                “กูหลงรักภาพแล้วมันผิดตรงไหนวะ เขาวาดสวยถูกใจกูนี่หว่า แล้วนางแบบก็เหมือนรอคอยให้กูไปรักยังไงก็ไม่รู้”ภากรบอกเพื่อนเสียงไม่เบานัก แต่ท้ายประโยคที่เอ่ยเกี่ยวกับนางแบบ อุบอิบ บอกกับตัวเองเพียงลำพัง ก่อนเดินตามหลังเพื่อนไป หากสายตาเหลือบเห็นเด็กสาวผมยาวปล่อยสลวย หน้าใส แก้มแดงกำลังโดนหญิงสาวร่างเล็กกว่าหยอกเย้า เขาส่งยิ้มมาให้ และได้รับการยิ้มรับจากสองสาวตอบ เขาเดินจากไปด้วยหัวใจลอยชอบกล สาวผมยาวคนโน้นกับสาวในภาพวาด เหมือนกันราวกับเป็นนางแบบ?

                อยากอุ้มกลับบ้านจริงๆ! สาวร่างเล็กกว่าหยอกสาวร่างสูงแต่ทั้งสองมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันยิ่งนัก

                “แน่ะ มีคนชอบภาพของสองขนาดหนักเลยนะ น่าจะขาย”

                “ไม่เอาหรอก สองรักภาพนี้จะตาย เดี๋ยวจบงานแล้วหอบกลับบ้านเลยดีกว่า”

                “ยัยงก ว่าแต่คนเมื่อกี้เขายิ้มให้สองเสียหวานเชียวนะ”

                “อย่าล้อสองนะษา คนยิ่งอกหักอยู่ด้วย เดี๋ยวฉีกเนื้อกินเสียนี่”

                “เอ๊อ ! ยัยคนนี้พาลจริงๆด้วยสิ ภาพเข้ารอบก็ไม่ยอมให้เขาประมูล”

                “สองจะเป็นมัณฑนากร เงินดีออก วาดภาพไม่ดังเดี๋ยวไส้แห้ง”

                “แล้วว่าไม่งก”

                “จะเหมือนษาได้ไงล่ะ ษาเรียนหมอแล้วนี่ ยังไงก็รวยแหงล่ะ”

                “ษาไม่ได้จ้องหากินกับความเจ็บตายของคนสักหน่อย”

                “โอ้ นี่น่ะอุดมการณ์ของการเรียนแพทย์ของทุกคนเลยล่ะ แต่พอเรียนไปแล้วหกปี จบมา หน้ามีสีเลือดเกือบทุกคนแหละน่า”

                “คนเมื่อกี้ก็ดูเหมือนเป็นนักเรียนแพทย์นะ เห็นอกเสื้อแวบๆว่าอินเทอน”

                “ไม่รู้สิ ษาตาไวดีจัง ไปเหอะสองหิวข้าวแล้วล่ะ”

                “กินเก่งอย่างนี้แหละตัวเลยโตกว่าษาทั้งที่เป็นน้องษาน่ะเนี่ย”

                สองสาวหัวเราะกันเบาๆก่อนพากันไปทานอาหารกลางวัน

ภาพสาวน้อยจะสอยดาวเริ่มมีนักเยน นักศึกษา และคนทั่วไปเข้ามาชมงาน และชื่นชมความสวย น่ารัก และเต็มไปด้วยความฝันและการรอคอย

                “อยากเป็นสายน้อยคนนี้จังเลย”เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งชื่นชมขนาดหนัก ชอบนางแบบที่น่ารักและดูสวยหวาน

                “เข้าใจตั้งชื่อภาพจังเลย”

                                ‘สาวน้อยจะสอยดาว’

 

                      ตอน  บุพเพอาละวาด

 

               ในช่วงเวลารีบเร่งเช่นเช้าวันนี้ ผู้คนต่างเพศ ต่างวัย แต่งฟอร์มหลากสี   เดินกันกันขวักไขว่  ท่าทางรีบร้อนด้วยกันทุกคน  วสี หญิงสาวซึ่งมีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าได้รูปสวยเฉียบ ไม่มีส่วนขาดหรือส่วนเกิน  ดวงตาของเธอเรียวยาว มีแววสดใส ซื่อสัตย์   ส่วนจมูกโด่งอันเล็กๆนั้นปลายจมูกใสนิดๆดูน่ารัก  และเธอมีริมฝีปากอิ่มเอิบแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดดูอ่อนหวานน่ามอง 

วสีแต่งกายอย่างทะมัดทะแมงด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีเข้ม  เธอผมตัดสั้นเข้ากับบุคลิกที่ดูปราดเปรียว แคล่วคล่อง แต่เธอมักจะเหลือบสายตาดูเวลาที่นาฬิกาเรือนสวยบนข้อมือบ่อยๆ และยิ่งดูมาก เธอก็ยิ่งเร่ง ฝีเท้ามากขึ้น เหมือนกับว่าเวลากำลังบีบคั้นเธอนั่นเอง

ส่วนในอ้อมแขนของวสี มีม้วนงานเขียนการออกแบบก่อสร้าง ซึ่งเธอกำลังนำไปให้ผู้จัดการได้พิจารณาประกอบกับการสัมภาษณ์ในวันนี้ ซึ่งนับว่า วสีมีความตั้งใจ และเตรียมตัวมาอย่างดีทีเดียว และถึงแม้ที่วันนี้ตรงกันกับฤกษ์ย้ายบ้านขากหลังเก่าไปอยู่หลังใหม่ซึ่งสวยและดูมั่นคง

แต่เพราะงานสัมภาษณ์ได้กำหนดมาก่อนแล้ว วสีจึงอดรู้สึกเสียดายเสียไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ คือ   รีบ   รีบ  ให้เสร็จเรื่องโดยเร็ว เพื่อจะได้กลับไปช่วยบิดา มารดาจัดเก็บข้าวของเข้าบ้านใหม่ให้เรียบร้อย เพราะเกรงว่าผู้ให้กำเนิดจะเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป ทั้งที่ท่านบอกไม่เป็นไร แต่ด้วยความเป็นลูกกตัญญูจึงทำให้วสีไม่อาจจะทำตัวเพิกเฉยได้

               บนฟุตบาทไม่ใช่ของใครเพียงคนเดียว ดังนั้นประชาชนทุกคนจึงมีสิทธิ์ และเด็กรุ่นสาวสองคน สวมเครื่องแบบมัธยม วิ่งแข่งกันมาอย่างไม่ได้ระวัง จึงชนโครมกับร่างของวสี ทำให้หญิงสาวหมุนคว้าง และม้วนกระดาษในอ้อมแขนหลุดปลิว

ร่างของวสีหมุนคว้างไปปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่และดูหนามากๆทีเดียว และจังหวะที่เธอไปปะทะกับร่างของเขานั้น เขาก็รีบคว้าร่างเธอประคองไว้ตามสัญชาติญาณ พร้อมส่งเสียงทุ้มห้าวถามไถ่ ด้วยห่วงใยตามประสาเพื่อนร่วมโลก ก่อนที่จะปล่อยมือจากการประคองเมื่อเธอตั้งหลักได้ดีแล้ว

       “เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ”

                 วสีเกือบที่จะขอบคุณในน้ำใจไมตรีของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะสายตาเหลือบแลไปเห็นผลงานของเธอที่สู้อุตส่าห์ เขียนแบบไว้อย่างละเอียด ได้ไปอยู่ใต้รองเท้าคัทชูสีดำของเขาเสียแล้ว ดังนั้นแทนที่จะทำให้วสีสำนึกถึงความดีอีกฝ่าย เธอกลับรู้สึกฉุนเฉียวมากกว่าจึงได้โวยวายสิอีกฝ่ายเสียงดังลั่น

                “ตาบ๊า ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้ คุณมาเหยียบงานของฉันทำไม?”

         ภากร ชายร่างใหญ่ดูแข็งแรง ถึงกับกระตุกเฮือก ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดพลาดไป จึงโต้ตอบเธอทันทีอย่างไม่ยอมเช่นกัน 

“เรื่องอะไรคุณต้องมาด่าผมด้วย”เขาจ้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างตรงๆด้วยสายที่ตำหนิ เพราะเขาเป็นคนช่วยเธอไว้ แต่เธอกลับพาลมาต่อว่าเขาเสียนี่ เขายังบ่นตามท้ายอย่างจงใจให้เธอได้ยิน

“คนอะไรไม่สวยแล้วยังซุ่มซ่าม”

                ได้ถ้อยคำต่อว่าอย่างรุนแรงทำให้วสีอยากกระโจนเข้าไปทุบให้สาใจ แต่เธอพยายามยับยั้งอารมณ์ไม่ให้พลั้งมือทำร้ายเขา แต่อดปากไว้ไม่อยู่จึงโต้เถียงชายตรงหน้า อย่างไม่กลัวเกรง

                “คุณว่าใครซุ่มซ่าม”

“กำลังเถียงกับใครก็ว่าคนนั้นแหละ”

วสียิ่งโกรธเกรี้ยวเป็นทวีคูณ  เธอแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวด้วยการกระชากม้วนกระดาษให้พ้นเท้าของเขา  แรงกระชากทำให้ชายคู่กรณีกระตุกขายกออกไม่ทัน ม้วนกระดาษฉีกควาก  วสีตาเหลือกค้างมองดูงานของตนด้วยความสูญเสีย  และแล้วเธอไม่อาจยับยั้งอารมณ์ร้อนได้จึงกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่ม พร้อมพุ่งกำปั้นตรงๆกระแทกเข้าเต็มคางหนาของชายคู่กรณีสุดแรงเกิด

นายตาย

“พล็อก” ชายหน้าหงายตามแรง รู้สึกปวดตุ้บขึ้นมาทันที เขารีบนวดคลึงให้คลายเจ็บทันควัน แต่คนเลือดร้อนผู้ลงมือกลับสะบัดมือเร่าๆ รู้สึกเจ็บแปลบที่ส้นหมัดและข้อมือ   ภากรตบคางตัวเองปวดหนุบ เขาอยากจะเข้าไปบีบคออีกฝ่ายเสียให้สิ้นฤทธิ์ แต่เมื่อเหลือบเห็นอาการสะบัดมือเร่า ก่อนที่จะกุมมือด้วยความเจ็บของเธอ เขาจึงเดาอาการอีกฝ่ายได้เลยว่า   เกิดซ้นเข้าให้แล้ว ภากรนึกอยากสมน้ำหน้า แต่ไทยมุงสิเริ่มเข้ามารุมมอง เหมือนดูมวยและเริ่มวิจารณ์ว่าเขารังแกผู้หญิง

เขารู้สึกเสียเปรียบวันยังค่ำ เพราะดันเกิดมาเป็นผู้ชาย เขาต้องคว้าข้อมือวสีมาดูอาการ แต่เธอรีบสะบัดจะให้พ้น  แต่กลับรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งแขน  ความเจ็บปวดมากจนทำให้น้ำตาแทบร่วง  เมื่อหมดแรงฝืนจึงต่อว่าเขาแทน

                “ปล่อยนะเรื่องอะไรต้องมาจับมือถือแขนฉันด้วย”

                “โอย! ไม่ได้นึกพิศวาสสักนิดเลยคุณ”ภากรโต้ พร้อมกับจ้องดุ         

“ปล่อยมือฉันนะไม่ต้องมายุ่งนะคนบ้า”เธอสั่ง เจ็บปวดไม่คลาย ภากรปลายตามอง แล้วกล่าวเยาะเย้ย

 “มือซ้นล่ะสิ นักมวย” 

                 วสีดื้อดึง ร่ำๆจะเอาเรื่องให้จงได้ แต่ครานี้ไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะผู้ชายตัวโตบีบข้อมือเธอเสียแน่น เธอปวดร้าวจนไม่มีแรงต้านทาน หน้ายับยู่ น้ำตาเอ่อท้นขอบตา ก่อนหยดแหมะลงมาหยาดหนึ่ง

ภากรออกคำสั่งพร้อมลากอีกฝ่ายให้เดินตามเขาไปลิ่ว

                “มานี่”

ตายแล้ว!!! นายมีอำนาจอะไรถึงฉุดลากฉันได้อย่างนี้ วสีคิด แต่สู้แรงไม่ได้เพราะอาการบาดเจ็บ ส่วนไทยมุงอยากช่วย แต่ก็เริ่มไม่แน่ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ และเริ่มมีการวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องผัวเมียตีกัน

“งานของฉัน”เธอท้วง หันกายกลับไปคิดจะเก็บ แต่ภากรต้องเป็นฝ่ายจูงเธอ และก้มเก็บมาถือให้ วสีแย่งกลับไปถือด้วยมือข้างที่ไม่เจ็บด้วยความถือดี

                ภากรต้องออกแรงลากเมื่อหญิงสาวแข็งขืน  และเริ่มจูง เมื่อวสีผ่อนแรง ยอมแต่โดยดี   เดินเข้าไปในโรงเรียนมัธยม มีนักเรียนเดินตามหลังมาหลายคน ภากรกุมมือหญิงสาวลากเดินลิ่วๆ มาถึงฟุตบาทที่มีเส้นขอบสีเหลือง รถโฟร์วีลแต่แต่งให้เป็นลายพรางคล้ายสีชุดทหารชาวทะเลทราย จอดสงบนิ่ง วสีออกแรงดึงมือตัวเองกลับอีกครั้ง ท่าทางหวาดระแวง  แต่ ‘หมอนั่น’หันมาดุ พร้อมกล่าวด้วยคำที่วสีเกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ

                 “อยากพิการนักหรือไง”

             “หา”ปากระเรื่อแดงอ้าค้างตาเหลือกพองด้วยความตกใจ และหยุดการดื้อดึงโดยพลัน

ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของวสีแทบทำให้ภากรอยากหัวเราะ ด้วยความรู้สึกเอ็นดูที่สาวเฮี้ยวคนนี้ ช่างหลอกง่ายเหลือเกิน เขาเปิดประตูรถโดยที่ไม่ปล่อยวสีให้เป็นอิสระ ทำให้วสี คิดสารตะไกลลิบว่า...หากนายคนนี้จะตีหัวเธอแล้วจับยัดเข้ารถไปทำมิดีมิร้าย!

 ‘ตายเป็นตาย’วูบหนึ่งที่คิดได้วสีจึงกระชากข้อมืออีก ครานี้มือหลุดจากการกุมออกมาได้ ด้วยภากรผ่อนแรงให้ เธอถอยกายปรูด ถามเสียงสั่น

               “นาย นายจะทำอะไร”

                “จะไปทำอะไรลง”เขาว่าเสียงยาน เหลือบสายตามองหญิงสาวไม่เต็มตา ยังกล่าวต่อ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย   แต่ แววตากลับเต้นระริกชอบกล!

               “ดุยังกับเสือ”

ภากรค้อมตัวลอดเข้าไปในรถ หยิบกระเป๋าหนังสี่เหลี่ยมออกมา เครื่องหมายกากบาทแดงหน้ากระเป๋า วสีมองกระเป๋าสลับกับหน้าชายหนุ่ม คาดเดาได้แล้วว่าเขามีอาชีพอะไร

               “จะปฐมพยาบาลให้”

                “แล้วนายเป็นหมอหรือล่ะ”

               “ใช่”ตอบสั้น “มาจะรักษาให้”พลางหยิบหลอดยาสีเหลืองมาถือไว้

                   วสีจึงยื่นมือไปให้ภากรอย่างขลาดๆ ส่วนภากร จัดแจง ทายา และวสีเหลือบสายตาอ่านตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่หลอดยา จนได้ความว่าเป็นยาแก้อาการคัดยอก และอักเสบแบบเฉียบพลัน เธอได้รับการรักษาอย่างดี ทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเจ็บลงไปได้บ้าง ขั้นตอนสุดท้าย ภากรค่อยพันผ้าเป็นการกันกระทบกระเทือนได้เล็กน้อย แต่ปากดียังบ่นอุบให้วสีเจ็บใจเล่น

               “มีอย่างที่ไหน คนถูกชกแล้วยังต้องมาพยาบาลให้คนร้ายฟรีๆ”

                 “ฉันไม่ได้ใช้นี่”ฟังเธอพูดเสียมั่ง “ตัวเองเหยียบงานคนอื่น ตัวก็ต้องชดใช้อยู่แล้ว”

               “ไปโทษคนชนโน่นสิ เรื่องอะไรมามั่วโทษคนช่วย”

                “ถ้าอย่างนั้นทีหลังถ้าคิดจะช่วยใครล่ะก็ หัดระวังเท้าตัวเองเสียมั่ง เพราะข้าวของ ของคนอื่นจะได้ไม่เสียหายอย่างที่ฉันโดนอยู่นี่”

               หญิงสาวต่อล้อต่อเถียงอย่างจ้องเอาชนะ ยังไม่ยอมเห็นความดีของอีกฝ่าย ความดื้อของวสี ทำให้ภากรอดยิ้มในสีหน้าไม่ได้   และดวงตาคู่คมของเขายังคงพราวระยับเช่นเดิม  ในการมองครั้งนี้ของชายหนุ่ม วสีเห็นโดยบังเอิญ เธอจึงเผลอห่อปากเป็นวงกลมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี  ภากรถาม

                “ไปไหนล่ะ จะไปส่ง”

               “กรวดน้ำคว่ำขันกันเห่อะ! ชาตินี้ชาติหน้าอย่าเจอะอย่าเจอกันอีกเลย”เธอกล่าวจบแล้วก็หมุนกายกลับ เดินจากไปในทิศทางเดิมที่เข้ามาแต่ทีแรก

ภากรทอดสายตามองตามอีกฝ่ายจนลับตา และรู้สึกแปลกใจกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นกับเขา ทำไมเขารู้สึกติดใจผู้หญิงห้าว มารยาทแข็งกระด้าง  แล้วเขาคิดได้ยังไงจึงเห็นว่า...เธอน่ารัก!    

ชายหนุ่มพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เพราะเขามีนัดกับหญิงคนรัก ให้มาพบกันที่จุดนัดหมายที่นี่ และบัดนี้เกินเวลามานานแล้ว   เขาจึงเงยหน้าขึ้นเหลียวมองหาด้วยท่าทีกังวลหนย่อยๆ และเขาได้เห็นหญิงสาวผิวขาวร่างบอบบาง แต่งกายเรียบร้อย แต่ใจเจ้ากรรมของภากร อดเผลอไปเปรียบเทียบหญิงคนรักกับความทันสมัยของคู่กรณีคนเมื่อครู่นี้เสียไม่ได้

ปานวาดเหมือนน้ำหวาน ส่วนอีกสาว  เปรียบไปเบียร์สด ทำ

ให้มึนเมาได้เหมือนกันปานวาดยิ้มให้คนรัก กล่าวกับภากรอย่างเกรงใจ  

         “ขอโทษนะคะภา วาดมาช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง”

         “ไม่เป็นไรครับ แล้วรถจะออกจากอู่เมื่อไหร่ล่ะ”

         “ภาเบื่อมารับวาดแล้วหรือคะ”เธอพ้อไม่จริงจัง

         “ใครว่า”ภากรตอบ มือไวฉวยมือเรียวเล็ก มากุมไว้ ทำให้ปานวาดค้อนนิดๆ ต่อว่าเขา

         “ภารู้ไหม คนมือไวมักเจ้าชู้”

         “เจ้าชู้ที่ไหนครับ รักวาดคนเดียวแท้ๆ”เขาทำตาหวานเชื่อม

        เธอจึงยิ้มน้อยๆ ภากรเปิดประตูรถให้คนรักขึ้นไปนั่ง ส่วนตนเองอ้อมไปที่คนขับ   ติดเครื่องแล่นออกไปจากที่นั้น

                                               

ที่บริษัทรับออกแบบ ตกแต่ง และสร้างบ้าน ซึ่งเจ้าของเป็นชาวต่างชาติ อยู่ในวัยห้าสิบปี มีผู้จัดการเป็นคนชาติเดียวกันชื่อโทนี่อายุสี่สิบ เขาสวมแว่นตา นั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงาน และที่นั่งตรงข้ามกับเขาในเวลานี้ คือ วสีซึ่งนั่งเอามือข้างที่ซ้นซุกเงียบ  ส่วนโทนี่มองกระดาษคล้ายผ้าขี้ริ้วที่วสีส่งให้  พร้อมกับสลับมองวสี และทุกครั้งที่เขามองมา วสีก็ปั้นหน้าระรื่นรับทุกครั้งไป  ในที่สุดโทนี่ส่ายศีรษะไปมา แต่สีหน้าท่าทางของเขาเดาไม่ออกว่าเขาคิดอย่างไร?  แต่วสี รีบเล่าความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่ผ่านมาให้อีกฝ่ายรับรู้ แต่จงใจเล่าตกเรื่องที่เธอนึกห้าวไปชกคนตัวโต นายฝรั่งมองเนื้องานที่ไม่มีรูปเค้าเดิมอยู่แล้วจึงว่า

     “มองตรงไหนเป็นตรงไหนล่ะ”

    วสียิ้มเจื่อนๆ หมดหวัง .....งานนี้คงชวด

    จู่ๆนายฝรั่งกลับเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษยาวเป็นรถไฟขึ้นมาเสียก่อน และวสีสามารถตอบชัดถ้อยทุกคำด้วยภาษาเดียวกับเขา ทำให้อีกฝ่ายนิ่งอึ้งไป และนั่งใช้ความคิดอยู่นาน ก่อนลุกขึ้นยืนกอดอก แล้วมาลงนั่งบนโต๊ะทำงาน เอี้ยวคอกลับมาเผชิญหน้าผู้มาสอบสัมภาษณ์ วสีจึงแหงนเงยขึ้น หญิงสาวจงใจปั้นยิ้มให้ดูหวาน และสวยสุดๆ เผื่อว่าจะได้คะแนนมนุษย์สัมพันธ์เข้ามาช่วยได้บ้าง ฝ่ายนายฝรั่งหมุนกายกลับไปนั่งที่เดิม พร้อมสรุปสั้นๆว่า

    “ตกลง เริ่มงานเมื่อคุณหายดี”

               “เช่นนั้นวันจันทร์นะคะ”

                “หายทันหรือ อีกสองวันเท่านั้นนะ”

                 “สองถนัดทั้งซ้ายทั้งขวาค่ะนาย”เธอรีบกล่าวด้วยความอยากได้งานทำโดยเร็ว

                “ตกลง”เขารับคำ ยิ้มกว้างจนเกือบถึงหูด้วยความพึงพอใจ 

      

บ้านสีสวยหลังใหญ่โต ดูโอฬารกว่าหลังเก่าอย่างเทียบกันไม่ได้  บ้านหลังใหม่นี้เป็นของคุณตุลาข้าราชการประจำกระทรวงฯ ซึ่งได้สร้างขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจที่สร้างจากหยาดเหงื่อของความซื่อสัตย์   โดยมีคุณสุภัค  ผู้เป็นคู่ชีวิตทำงานเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยรัฐบาล ช่วยเหลืออย่างเคียงบ่าเคียงไหล่  และพวกเขามีบุตรสาวสองคน คือวสี และคนพี่คือวรรษา เป็นแพทย์อยู่ต่างจังหวัด ในเวลานี้คุณตุลาได้รับการต้อนรับจากเพื่อนบ้านร่างท้วม    หากว่าเธอยังคงเค้าความสวยงามอยู่มาก ชื่อว่าคุณนายศจี เป็นภรรยาของท่านแม่ทัพภาคฯ   ชื่อพลโทเพิ่ม  กิตติธารากุล

               ซึ่งคุณนายศจีเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีดีเยี่ยม นอกจากมีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลมิตรใหม่แล้ว   ยังสอบถามความเป็นมาของครอบครัวคุณตุลา   ทั้งเล่าเรื่องครอบครัวของตัวเองประกอบการสนทนาไปด้วยโดยละเอียด

“มีลูกชายหมดสามคนเลย คนโตเป็นนายทหารอยู่ต่างจังหวัด คนกลางเป็นหมอทหาร ส่วนคนเล็กก็จบแล้ว เป็นทหารเหมือนกัน”ปากพูด ส่วนมือไม่อยู่เฉย ช่วยคุณสุภัคหยิบจัดข้าวของคุณสุภัคพร้อมออกปากด้วยความเกรงใจอยู่บ่อยๆ แต่คุณศจีให้ความรู้สึกเป็นกันเอง ทั้งยังชวนสนทนาพลางทำงานไปด้วย คุณสุภัคจึงต้องตามใจแขก แต่ก็เลือกที่จะให้ทำงานเบาๆ เช่นการจัดถ้วยชามไปพลางๆ คุณนายศจีถามต่อ

“มีลูกสาวคงน่ารักดีนะคะคุณสุภัค”

“แต่คนเล็กซนค่ะคุณพี่”

“กี่ขวบแล้วคะ”คำว่าซนน่าที่จะใช้กับเด็ก คุณศจีเดา

“จบมหาวิทยาลัยแล้วค่ะคุณพี่”

“อ้อ”คุณศจีหัวเราะหึ ขณะนั้นแม่บ้านของคุณศจีเดินมาตามว่ามีแขกมารอพบที่บ้าน คุณศจีจึงได้ลากลับไป แต่ทิ้งท้ายว่า

“แหมกำลังคุยสนุกเชียว”

“แค่นี้น้องเกรงใจจนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรแล้วค่ะคุณพี่”

“อย่าเห็นน้ำใจเป็นเรื่องยุ่งยากเลยคุณน้อง เอ่อ พี่ไปก่อนนะ”

“ขอบพระคุณค่ะ”คุณสุภัคต้องไหว้ เพราะชอบอัธยาศัยของคุณศจี

เมื่อแขกกลับไปแล้ว  คุณสุภัคยังคงจัดแจงเก็บของใช้เข้าที่ กับผู้ช่วยตามลำพัง

เกือบบ่ายสามโมง วสีจึงกลับมาถึงบ้าน มาถึงแล้วก็ลงจากรถแท็กซี่ โผล่หน้าเข้าไปหามารดา ซึ่งขณะนั้นกำลังจัดห้องอยู่ชั้นบน คุณสุภัคหันมามองลูกสาว เหลือบเห็นมือที่พันผ้าของลูกสาว แล้วทำท่าตกใจ  จนวสีต้องรีบเอ่ยดักคอมารดาว่า

               “สองซนค่ะแม่”

               “ระวังหน่อยสิลูก แล้วทานยาหรือยัง”

               เออใช่ วสีพึ่งนึกออกหมอนั่นปฐมพยาบาลให้ แต่ไม่ได้ให้ยา

โธ่เอ๊ย!! จะช่วยก็ไม่ช่วยให้ตลอด เธอนึกค่อนอย่างพาลๆ และเธอคงต้องระเห็จไปหาหมอจริงๆล่ะครานี้ หาไม่คงหายไม่ทันวันนัดงานที่รับปากมาด้วยความอยากได้

               “ถ้ายังงั้นสองไปหาหมอก่อนดีกว่า เดี๋ยวหายไม่ทันงานเริ่มวันจันทร์”

                “งาน หมายความว่าลูกสอบผ่านหรือสอง”คุณสุภัคค่อนข้างตื่นเต้น เพราะงานสมัยนี้ไม่ใช่หาได้ง่ายนัก

               “แน่นอนค่ะ”เธอรับคำหน้าบาน โผกอดมารดาอย่างประจบ แล้วความไม่ระวังนั้นทำให้มือกระแทกเข้ากับร่างมารดา เธอจึงร้องลั่นด้วยความเจ็บ คงชะรอยเพราะยาหมดฤทธิ์   มันจึงปวดหนุบๆขึ้นมาอีก วสีหน้าแหยเกเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยกำลังอ้อนให้ผู้ใหญ่เอาใจ

                “สงสัยต้องไปหาหมอแล้วล่ะค่ะแม่”

               “คุณศจีบอกว่าลูกชายเป็นหมอ”

               “ศจีไหนค่ะคุณแม่”

               “เจ้าของบ้านหลังใหญ่หลังข้างๆเราหลังนั้นไงลูก คุณศจียังเป็นคนบ้านเดียว จังหวัดเดียวกับแม่ เลยคุยกันนาน เขาเล่าเรื่องบ้านเรา บ้านเขาให้ฟังท่าทางคุณศจีใจดีเลยยิ่งถูกคอ เห็นว่าเป็นทหารทั้งบ้าน”

               “แม่ว่าเป็นหมอ”เธอท้วง

               “หมอทหารไงลูก ไป แม่จะพาไปหาคุณศจี   ให้เขาพาไปหาหมอลูกชาย”

วสีเดินตามหลังมารดาไปอย่างว่าง่าย ทั้งสองเดินไปบ้านใกล้เคียง ซึ่งห่างกันไม่ถึงร้อยตารางวา  และมีรั้วกั้นเป็นแบบไม้ระแนง  จะพึงสังเกตได้ว่า หมู่บ้านในโครงการนี้จะนิยมสร้างบ้านแบบคล้ายกัน ด้านข้างจะเป็นรั้วระแนงเกือบทุกบ้าน   โดยมีราคาขั้นต่ำสิบล้าน 

วสีเหลือบสายตามองดูบริเวณรอบๆบ้านของคุณนายศจี แล้วแอบยิ้มในใจเมื่อนึกถึงคำของมารดาว่าบ้านนี้เป็นทหารทั้งบ้าน  ดังนั้นเมื่อเห็นสภาพโดยรวม ทั้งศาลาลมของที่นี่รับรองได้ว่ามัณฑนากรอย่างวสีก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าออกแบบตกแต่งอย่างนี้ รูปลักษณ์ของศาลาโดยทั่วก็ต้องจัดสร้างแบบพื้นฐานต้องทำแบบเสากลมหลังคาสูงโปร่ง

แต่ที่นี่จัดแต่งตามใจเจ้าเป็นพิเศษ เพราะจงใจทำเป็นรูปแบบเต็นท์ทหาร มีลายพรางตา  เก้าอี้ หรือโต๊ะล้วนเป็นชุดสนามทั้งนั้น   และยังมีเฮลิคอบสเตอร์คันเล็กๆ ซึ่งดูรู้ว่าเป็นแบบจำลอง นำมาตั้งประดับไว้ริมประตูรั้ว แทนการตั้งป้อมยาม  ซึ่งวสีเห็นว่าเป็นป้อมยามก็เพราะมีพลทหารคนหนึ่งนั่งเฝ้าข้างใน  

เออแปลกดี! วสีคิด เดินไปมองไปเท่าที่สายตาจะกวาดไปได้โดยไม่น่าเกลียด เธอเห็นต้นไม้ใบหญ้าบ้านนี้จะเป็นไม้ใบประดับมากกว่าดอกสวยๆ  จึงให้ความรู้สึกที่เข้มแข็งและร่มรื่นไปในตัว สองแม่ลูกไปถึงหน้าบันไดบ้าน ซึ่งข้างบันไดมีสระปลาคราฟญี่ปุ่นตัวโต หลากสี กำลังว่ายเวียนไม่อยู่เฉย

สาวใช้แต่งกายด้วยเสื้อสีขาวกระโปรงยาวถึงหน้าแข้งสีน้ำเงิน เข้ามาเชิญแขกไปภายใน   วสีกวาดตาดูรอบห้องรับแขก ด้วยความช่างสังเกตเพราะเธอทำงานเกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งอยู่แล้ว โซฟานุ่มสีเลือดหมูหุ้มกำมะหยี่สีเดียวกัน บนโต๊ะกลางซึ่งทำจากไม้สักทองแผ่นเดียว ขัดเรียบ เป็นเงางาม บนโต๊ะตั้งแจกันดอกไม้ซึ่งทำจากกระสุนปืนใหญ่ทองเหลืองขัดเงาวับ ซึ่งธรรมชาติของทองเหลืองหากไม่เอาใจใส่ก็จะเป็นคราบเขียวได้ ดังนั้นจึงต้องมีการขัดเงาอยู่เสมอ 

บนผนังห้องติดภาพถ่ายของครอบครัว ซึ่งมีนายทหารสวมเครื่องแบบขาวเต็มยศ  และคุณนายศจีผู้เป็นภรรยานั่งบนเก้าอี้ วสีสังเกตคุณศจีเป็นพิเศษเพราะมารดาบอกเล่าให้ฟังว่ามีน้ำใจไมตรีดีมาก เมื่อหญิงสาวมองดูแล้วก็ยอมรับว่าท่านน่าจะใจดีจริง คุณนายศจียังคงความสวยอยู่มากแม้ว่าจะดูท้วม ท่านมีรอยยิ้มที่แสดงออกได้ทางตา ซึ่งรอยยิ้มแบบนี้เรียกว่ายิ้มอย่างจริงใจ ด้านหลังของผู้ใหญ่ทั้งสองเป็นภาพของชายวัยรุ่นสามคน   แต่ละคนตัดผมสั้นเกรียน ล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยเครื่องแบบนักเรียนวชิราวุธ   และที่สะดุดตาของวสีจนถึงขนาดจับจ้องเป็นพิเศษอีกครั้งคือคนกลาง ซึ่งวสีจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบมาก่อนแน่ๆ

อีกภาพตั้งใจโอ้อวดแขกเหรื่ออย่างแน่นอน คือ ภาพถ่ายสามนายทหารหนุ่ม  คนยืนขวามือรูปงามละม้ายกับคนซ้ายมือ ส่วนคนกลางจำได้แล้วว่าใคร...เจ้าหมอคนนั้นเอง!

         ขณะนั้นคุณนายศจี พาร่างท้วมเดินเข้ามาพร้อมทักเสียงใสนำมาก่อนถึงเสียอีก

        คุณสุภัคแนะนำลูกสาวคนเล็กให้รู้จักคุณศจี วสียิ้มหวานยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ซึ่งคุณศจีรู้สึกถูกชะตากับรอยยิ้มใสแจ๋วของอีกฝ่ายทันที เพราะนางอยากมีลูกสาวสักคนอยู่แล้ว   เมื่อเชื้อเชิญสองแม่ลูกให้นั่งลงบนเก้าอี้   แต่ยังไม่ทันที่วสีหย่อนกายลงนั่ง  ก็เหลือบเห็น รถโฟร์วีล ลายพรางขับเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้าน ภากรลงจากรถ เมื่อวสีเห็นชัดตาถึงกับสะดุ้ง  คุณสุภัคเห็นลูกทำท่าประดักประเดยกชอบกล จึงฉุดลูกให้นั่งข้างกายบนโซฟาตัวยาวเดียวกันปากก็ว่าเอ่ยว่า

               “ลูกคนเล็กค่ะคุณพี่ชื่อวสี เรียกเล่นว่าสอง เป็นมัณฑนากร”

               “แหมน่าปลื้มแทน มีลูกสาวตั้งสองคน คนพี่ว่าเป็นหมอหรือจ๊ะ แล้วคนน้องเป็นนักตกแต่ง ช่างน่ารักจริงๆ”คุณศจีพูดชมออกมาจากใจ เพราะรู้สึกถูกชะตากับสาวน้อยคนสวยคนนี้

                “แต่ที่นี่สิ หันไปทางไหนเขียวซะทั้งนั้น”นางเอ่ยเรื่อยๆทั้งที่ความจริงก็ภาคภูมิใจที่ลูกชายทั้งสามคน ซึ่งเอาดีได้ ฉับพลันคุณศจีเหลือบสายตามาเห็นข้อมือขวาของวสีได้รับการพันผ้าเหมือนคนได้รับบาดเจ็บมา คุณศจีจึงทักถามด้วยความห่วงใย

               “อ้าวแล้วข้อมือไปถูกอะไรมาล่ะหนูสอง”

               “เพราะเจ็บนี่แหละค่ะจึงพามารบกวนคุณพี่เรื่องหมอค่ะ”

               “ได้สิคุณภัค อ้าวนั่นหมอภามาพอดีเลย”เมื่อภากรเดินเข้ามาถึงห้องโถง คุณศจีจึงส่งเสียงเรียกลูกชายด้วยเสียงที่ไม่เบานัก

                “หมอมาทางนี้ นี่มีคนไข้มาหาแน่ะลูก”

               ภากรไม่แปลกใจเลย ที่ได้ยินคำนี้ เพราะมารดาของเขาชอบหาคนไข้มาให้อยู่บ่อยๆ ทั้งที่เขาไม่ได้เปิดคลินิก แต่ห้องกระจกนั่งเล่นก็ใช้เป็นที่รักษาคนไข้ได้เกือบทุกเย็น แต่วันนี้เขาแปลกใจระคนยินดีลึกๆ เมื่อเขาเห็นคนไข้เต็มสองลูกตา!

ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงเกิดอาการชะงักไปนิด แต่หัวใจเจ้ากรรมของเขาสิเต้นโครมๆ เหมือนปลาวาฬโต้คลื่นไม่มีผิด!

      ฝ่ายสาวเจ้าก้มหน้างุดไม่ยอมเงยหน้า หรือแม้แต่ชายตามามองคนที่เป็นหมอ ดังนั้นคุณศจีจึงเป็นฝ่ายสาธยายความเป็นมาของสองแม่ลูกให้ลูกชายคนกลางได้รับรู้ราวกับรู้จักมานานปี ซึ่งภากรก็ไม่ได้สงสัยอีกหรอกว่าทำไมมารดารู้ได้ละเอียดดีนัก เพราะมารดาเขาก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วจนเป็นที่รู้จักกันทั้งหมู่บ้านว่า คุณนายศจี ‘ขี้คุย’ หากแต่เรื่องน้ำใจไมตรีมาเป็นที่หนึ่ง

                “นี่คุณน้าสุภัค เพื่อนบ้านของเราพึ่งย้ายบ้านมาวันนี้เอง แล้วนี่หมอภา หมอพอ เอ๊ย”คุณศจีเบรกไม่ทัน เพราะติดคำสร้อยที่ชอบล้อกันเล่นในบ้าน แต่วสีได้ยินชัดจึงหัวเราะคิกออกมาอย่างจงใจ โดยลืมตัวไปว่า ตัวเองกำลังมาพึ่งพาอาศัยเขาแท้ๆ   คุณสุภัคเห็นลูกสาวทำเสียมารยาทเช่นนั้น จึงอดที่จะแอบหยิกลูกเป็นการทำโทษไปทีหนึ่งเสียไม่ได้ แล้วจึงหันไปกล่าวกลบเกลื่อนความไม่มีมารยาทของลูกคนเล็กว่า

               “คุณหมออย่าถือน้องเลยนะจ๊ะที่หัวเราะเมื่อครู่นี้”

               “ไม่ถือครับคุณน้า”เขาตอบผู้ใหญ่ด้วยท่าทีมีน้ำใจ แต่ถ้อยประโยคต่อมาสิเขาแขวะกลับมาที่สาวเจ้าเต็มๆ “เพราะดูแกยังทำนิสัยเด็กๆมากเลยนี่ครับ และนี่ถ้าผมไม่เห็นว่าตัวเขาสูงเท่าเสาโทรเลข ผมคงคิดว่าอายุคงจะสักสามขวบ”

               แล้วกัน! คุณสุภัคคิด  เอ...หรือเพราะปากเป็นอย่างนี้กระมังถึงมีคำสร้อยจากคุณนายศจีว่า หมาพอ!!!

            คุณศจีชักเห็นจะได้เรื่องเข้าไปทุกทีจึงดุลูกชาย

            หมอภา เรานี่ปากร้ายจริงๆเลยนะ...มาดูคนไข้ก่อนซิ นี่หนูสองเจ็บที่มือ ดูอาการให้น้องหน่อยเถอะลูก”

               “เชิญทางนี้”เขาเดินนำ แต่วสีจะไม่ลุกตาม จึงตกเป็นหน้าที่ของคุณสุภัคที่ต้องเข็นให้ลูกตามหมอภากรไป   และนางทำท่าจะขอตัวจากคุณศจีเพื่อไปเป็นเพื่อนลูกสาว แต่คุณศจีกลับว่าให้วสีไปหาหมอตามลำพัง นางตัวคุณสุภัคไว้คุยเรื่องบัตรการกุศลอย่างไม่ให้เสียเที่ยวเปล่า   แม้คุณสุภัคจะเป็นห่วงลูก แต่ก็ต้องรักษามิตรภาพกับอีกฝ่าย ดังนั้นคุณสุภัคจึงจำใจนั่งคุยกับคุณศจี โดยปล่อยให้วสีไปกับภากรตามลำพัง

               ห้องกระจก เป็นห้องขนาดสิบเมตร มองเห็นทิวทัศน์ในสวนได้ชัดเจนภายในห้องจัดแต่งอย่างเรียบง่าย มีตู้กระจกสี่เหลี่ยมตั้งพื้น วางขวดยาต่างๆไว้เต็ม  ตู้เย็นหลังเล็กๆตั้งมุมหนึ่งของห้อง  มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งเข้ามุม เสต็ท โท สโคป สำหรับตรวจวัดชีพจรวางในกล่องเหล็ก ซึ่งมีเครื่องมือแพทย์วางไว้พร้อมสรรพ

                ภากรอ้อมไปนั่งเก้าอี้ตัวใน แล้วเรียกให้วสีนั่งเก้าอี้ด้านข้าง หญิงสาวเข้านั่งไม่ค่อยเต็มก้นนัก  ภากรเห็นท่าทีอย่างนั้นก็ขัดตา และรู้สึกอยากแกล้งจนทนไม่ไหว จึงดึงพนักเก้าเข้าไปใกล้เต็มแรง ทำให้วสีเสียหลักเกือบร่วงจากเก้าอี้  ดีแต่ภากรคว้าแขนอีกฝ่ายหิ้วได้ทัน แล้วยังทำหน้าตึงดุอีกฝ่ายซะอย่างนั้น

                “ซุ่มซ่ามไม่เคยระวังเลยสิน่าเรา”

                “อ๋อค่ะ”วสีไม่ราข้อให้ “สองไม่ทันเห็นหมา เอ๊ยหมูวิ่งชนเก้าอี้ค่ะ”เธอลอยหน้าโต้ตอบอย่างไม่เกรงใจ ทำให้ต้องภากรพยักหน้ารับหงึกหงัก ด้วยความเจ็บแสบกับคำยอกย้อนของอีกฝ่าย แต่ทำเป็นไม่รู้สึกเสีย เพราะว่าสมองไวคิดไปแล้วว่า เขามีภาษีกว่าตรงที่กำลังเป็นผู้ตรวจรักษา จะแกล้งเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว นึกพลางกระหยิ่มใจ ออกคำสั่ง

               “เอามือวางไว้บนหมอนนี้ซิ”เขาเลื่อนหมอนยาวขนาดกว้างหกนิ้วยาวสิบสองนิ้วมาวางไว้ วสีจำต้องยกมือตัวเองวางตามคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ และภากรก็ใช้แรงบีบเต็มที่ จนวสีแหกปากร้องลั่น   เสียงของเธอดังไปถึงห้องโถง ทำให้คุณสุภัคใจหาย แต่คุณศจีกลับไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก เพราะเด็กๆที่ถูกฉีดยาก็ร้องลั่นแบบเดียวกับวสีนี่แหละ!!

วสีรู้ว่าถูกแกล้งเธอทั้งเจ็บตัวและเจ็บใจจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้า เธอดึงแขนตัวเองกลับ

               “ไม่ตงไม่ตรวจแล้ว”

หากคุณหมอจอมเฮี้ยวไม่ปล่อยให้เป็นอิสระ ทั้งยังขู่ด้วยท่าทางจริงจังว่า

               “ไม่รู้หรือว่านี่คือคลินิกมหาภัย? เข้ามาแล้วออกไปไม่ได้”

               “บ้าน่ะสิ ทำเป็นหนังหลอกเด็ก”

               “ด่าอีกคำจะถูกจูบ”คนพูด พูดออกมาได้หน้าตาเฉย แล้วทำไม่สนใจว่าจะไปกระทบคนฟังหรือไม่? ส่วนคนเสียหายทำหน้าง้ำเป็นม้าหมากรุก ค้อนเคืองให้กับมือของภากรที่ค่อยๆแกะผ้าพันออกอย่างระมัดระวัง ส่วนปากก็ขมุบขมิบด่าไปตามเรื่อง แต่เมื่อคุณหมอเงยหน้ามาเห็นเธอรีบเบือนหนีไปทางอื่นเสีย

               “ไปชกใครซ้ำมาอีกล่ะ จึงระบมซะขนาดนี้”ภากรลดเสียงลงมาอย่างอ่อนโยนมากขึ้น

               “แค่กอดแม่ แล้วไปกระแทกท่าน นิดเดียว”เธอก็ตอบด้วยเสียงอ่อยๆ พร้อมทำหน้าละห้อยอย่างไม่ตั้งใจ แต่ภากรได้ทีจากเสียงอ่อนเปลี่ยนเป็นแค่นว่า

               “แหม กอดแม่ยังแรงขนาดนี้ ขืนกอดหนุ่มสักคนเขาไม่ขาดใจตายหรือไง”

         “ตายไปสามศพแล้ว”เธอตอบประชดกลับทันควัน ส่วนหน้านั้นยังงอง้ำไม่เลิก หากพวงแก้มกลับแดงสุกปลั่งด้วยความรู้สึกทั้งโกรธและอายพร้อมๆกัน

หมอภากรลอบสังเกตท่าทีอีกฝ่ายอยู่ตลอด พอเห็นวสีแสดงกิริยาอาการอย่างคนซื่อที่เก็บอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยอยู่ เขาจึงจึงอาจหาญ ทำปาก จิ๊ จ๊ะด้วยมันเขี้ยวสุดฤทธิ์และไม่เกรงใจหญิงสาว เพราะเขาก็ไม่รู้ตัวเป็นอะไรไป? จึงรู้สึกมีความสุขชะมัด เมื่อได้ยั่วสาวคนน่ารักคนนี้

               “แหม...เป็นหมอหน่อยไม่ได้”

วสีได้ยินแล้ว แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเพราะไม่อยากอายจนมุดโต๊ะหนีไปมากกว่า และแม้ว่า ภากรพยายามจะสบตาคู่สวยของหญิงสาว แต่เธอก็เลี่ยงหลบไม่สานสบตาตอบ  พลางเสไปมองต้นไม้ใบหญ้าซึ่งขึ้นเป็นพุ่มเขียวอยู่ในสวน นอกกระจกแทน ภากรจุดยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู แล้วจึงค่อยหยิบยามาทาให้ พร้อมกับหยิบกล่องผ้าก๊อตมาพันมืออีกฝ่ายจนถึงข้อมือให้ใหม่ พร้อมกับจ่ายยาแก้ปวดให้พร้อมสรรพ เสร็จแล้วเขาจึงแกล้งผลักมือวสีออกห่างราวกับไม่สนใจ

                “เอ้า! เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

                “ค่ายาเท่าไหร่...คะ”เธอฝืนคำลงท้ายแข็งอย่างไม่เต็มใจจะพูดดีด้วย แต่ภากรกลับเล่นลิ้นเอ่ยออกมาว่า

               “เท่าหัวใจคนไข้ก็พอ”

                “ถ้างั้นเดี๋ยวสองกลับถามคนรักก่อนว่าให้ได้มั้ย”วสีตอบทันควันอย่างแทบไม่ต้องคิด ทำให้คุณหมอเกิดอาการใจกระตุกไปวูบหนึ่ง ด้วยความเสียดาย ก่อนจะฝืนแค่นเย้ยออกมาว่า 

               “มีคนกล้าจีบคุณด้วยหรือ” วสีทำเชิดหน้าลอยเฉิบ แสดงความสวยโอ้อวดอีกฝ่าย แทนคำตอบ...มันเขี้ยวจริงๆ ภากรคิดก่อน สรุป

               “ครั้งนี้รักษาฟรี”

               “ไม่ต้องหรอกค่ะ”วสีไม่ยอมเป็นหนี้บุญคุณ “คุณหมอคิดราคามาได้เลย”

               “หัวใจตีค่าเป็นเงินได้เสียที่ไหนกัน”ฟังคำเจ้าชู้ของเขาเสียบ้าง

               “แหวะ”วสีอดรนทนไม่ได้จึงทำท่าขย้อน ภากรเห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะหึในลำคอ วสีค้อนขวับทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะที่เหมือนเยาะนั้น เธอจึงกระแทกเสียงถามด้วยความไม่พอใจและติดนักเลงหน่อยๆ

               “มีอะไรให้น่าหัวเราะคะคุณหมอ”

               “นี่แค่คลำเท่านั้นนะ คุณยังเกิดอาการ”

               เท่านั้นเองความอดทนทั้งหลายจึงสิ้นสุดลง เพราะขืนนั่งต่อล้อต่อเถียงกับหมอปากดีอยู่อย่างนี้ รังแต่จะมีเรื่องเข้าเนื้อเปล่าๆ

              ดังนั้นหญิงสาวจึงผุดลุกจากเก้าอี้ทันที   แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะคว้าถุงยาที่ภากรจัดให้ติดมือไปด้วย จากนั้นเธอก็จ้ำอ้าวๆ เดินหน้างอเป็นตะขอไปไหว้ลาคุณศจี และไม่รอดูว่ามารดาจะตามกลับบ้านด้วยหรือไม่!

                ฝ่ายคุณสุภัคเห็นความผิดปกติของลูกสาวก็ต้องรีบลาคุณศจีกลับเช่นกัน  ส่วนคุณศจีรีบจิกถามด้วยเสียงคั้นในที เมื่อลูกชายเดินเข้าไปถึงในห้องโถงรับแขก  

               “น้องเป็นอะไรตาภาเดินหน้านิ่วออกไปโน่นแล้ว”

               “แค่จีบนิดๆหน่อยๆเป็นค่ายา ไม่น่าโกรธ”

               “แหมแกนี่   มันน่านัก”ขาดคำว่าน่า คุณศจีทุบตุ้บไปที่ต้นแขนลูก เขาต้องเค้นคลึงให้ลูกหนูที่ขึ้นมาตามแรงทุบให้หาย เขาเจ็บจริงๆไม่เสแสร้ง คุณศจีทำเสียงแข็งปรามว่า

               “เพื่อนบ้านกัน แกอย่าทำเจ้าชู้ไปหน่อยเลย คนรักคนใคร่ก็มีแล้วนี่”

               เขาไม่โต้ตอบมารดา แต่กลับส่งสายตาไปถึงบ้านข้างเคียงโดยห้ามใจตัวเองไม่อยู่

               แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เพราะหลายปีที่ควงกับหมอปานวาดยังไม่เคยมีสาวใดทำให้หวั่นไหวได้ขนาดนี้เลย หากแต่สาวที่ชื่อสอง  กลับมีบางสิ่งบางอย่างกระตุ้นให้ความรู้สึกที่ควรซื่อสัตย์กับคนรัก ให้ไขว้เขวออกนอกลู่นอกทาง   

                “นี่เจ้าพีก็หายเงียบไปเลย เฮ้อยังดีนะที่แกทำงานอยู่ใกล้แม่ ไม่งั้นแม่คงเหงาน่าดู”

                คุณศจีบ่นถึงลูกชายซึ่งรับราชการ แต่มีภากรคนเดียวที่อยู่ใกล้ อีกสองคนห่างไกลกันพอควร ยิ่งลูกชายคนโตยิ่งไม่ค่อยได้กลับบ้าน ภากรหันไปทางมารดา  เมื่อท่านยังชวนคุยอยู่  คุณศจีเลยถามต่อ

                “เจ้าพีมีลูกมีเมียแอบไว้หรือเปล่า รู้บ้างมั้ยภา”

                “คงไม่มีหรอกครับโธ่ ใครจะกล้ามีโดยไม่บอกคุณแม่”

                “ให้มันจริงเถอะ แหม ! แต่แม่ชอบหนูสองเขาน่ารักดี นี่ถ้าเจ้าภูสนใจก็ดีนะ แล้วหนูสองก็มีพี่สาวเป็นหมออยู่ต่างจังหวัด น่ารักแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้”คุณศจีฝันเฟื่อง เพราะบ้านตนเองมีแต่ลูกชาย ส่วนเพื่อนบ้านคนใหม่มีลูกสาว ซึ่งมีงานทำมั่นคงดีเสียด้วย!

                ภากรสะอึกในอกอึ๊ก เมื่อมารดาพูดทีเล่นทีจริงจะจับคู่ให้ลูก...ไม่รู้สิ เขาไม่ค่อยชอบที่มารดาเสนอเรื่องวสีกับภูริ

              ส่วนพี่สาวของอีกฝ่ายเขาไม่ได้รู้สึกอะไร เอ๊ะ...เขารู้สึกอะไรเล่านี่?ชายหนุ่มถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมวสีจึงเข้ามาวนเวียนในความคิดของเขาได้อย่างรวดเร็ว อย่างที่เรียกว่า ไม่ทันตั้งตัวทีเดียว

                ...นายมีคนรักอยู่แล้วภากร เขาบอกตัวเอง

                ดีกว่ายัยเด็กกระโดกกระเดกคนนั้นตั้งสองเท่า !

                “เขาเรียกชื่อเล่นว่าษาหรือไงนี่แหละ แม่ล่ะชอบจริงๆคนตั้งชื่อลูกแบบไทยๆแบบนี้”

                คุณศจีพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนช่างพูด และภากรไม่ค่อยได้โต้ตอบนัก เอาแต่นิ่งคิดโดยที่ท่านก็ไม่รู้ว่าลูกคิดอะไร?


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (73 รายการ)

www.batorastore.com © 2024