ปีศาจน้ำผึ้ง (ชลาลัย)

ปีศาจน้ำผึ้ง (ชลาลัย)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ปีศาจน้ำผึ้ง
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 219.00 บาท 54.75 บาท
ประหยัด: 164.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ปีศาจน้ำผึ้งของชลาลัย บทที่ 1

“เดินดีๆ นะปัทม์ แถวนี้มันรก..ดูเถอะ คุณเทพก็พิลึกละ พาเที่ยวที่ไหนไม่พาดันพามาบ้านเก่าโบราณคร่ำครึอย่างนี้น่ะ..” คนพูดมองไปรอบๆ แล้วทำท่าเบะปาก....

“น่าวังเวงออกจะตายไป”

“อย่าบ่นเลยน่าคุณภีรยา..ถ้าผมไม่รักไม่สนิทสนมละก็ไม่พามาเด็ดขาด ที่นี่น่ะ..เก่าแก่อายุเหยียบร้อยปีทีเดียวนะฮะ ! แล้วเราก็ปิดเอาไว้ สมัยก่อนน่ะ..ที่นี่พลุกพล่านเหมือนมีงานตลอดเวลา”

คนพูดปาดเหงื่อออกจากหน้าผากกว้างของตัวเองมองไปข้างหลัง.. คนเดินหลังสุดก็ชักจะก้มลงคุกเข่าแล้วเหมือนกัน หน้าตาหล่อนบอกว่าเหนื่อยไม่น้อยไปกว่าใครๆ แต่ก็ไม่ได้บ่น..

นิลปัทม์ไม่ได้บ่นสักคำเดียว ในขณะที่เพื่อนของหล่อนบ่นเป็นหมีกินผึ้งตลอดเวลา.. เทพบดีก็เลยเดินกลับไปที่หล่อน “เหนื่อยไหมฮะคุณปัทม์? คนไม่เคยเดินไกลต้องมาเดินไกลๆ สมัยก่อนที่นี่มีเกวียนนะฮะ..เราใช้เกวียนกัน สมัยคุณปู่คุณย่าผมท่านยังมีชีวิตอยู่ เราก็มีรถใช้แล้วแต่ว่ามันก็รถรุ่นเก่าเก๋าเต็มทีแหละฮะ”

“จริงๆ แล้วปัทม์ชอบนะคะ น่าสบายดี ในกรุงเทพฯ รถราติดกันจอแจ อากาศก็ไม่ดี  ยิ่งบ้านอยู่ริมน้ำแบบนี้.. น่าอยู่ออกนะคะ”

หญิงสาวพึมพำ หากภีรยายักไหล่ แถมทำท่าหวาดๆ เสียอีก “เงียบเชียบออกอย่างนี้ น่ากลัวจะตาย”

เพียงขาดคำเท่านั้น เสียงดังหึ่งๆ ก็เกิดขึ้น ทำเอาทุกคนยืนตัวแข็งเกร็งก้าวไม่ออก แม้แต่นิลปัทม์ที่ไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน ก็รู้สึกประหลาด กลิ่นหอมเย็นๆ เหมือนกลิ่นดอกไม้โชยมา พร้อมกับเสียงดังหึ่งๆ อย่างที่ว่านั่น..

สิ้นเสียงแล้วเจ้าของก็บินกรูกราว ทำเอาภีรยาร้องเสียงลั่นทีเดียว..

“ค้างคาวน่ะ” นิลปัทม์ร้อง “ตกใจไปได้”

เทพบดีเลยถอนหายใจอย่างโล่งอก ค้างคาวนับสิบตัวบินผ่านออกไปแล้ว.. ภีรยาก็เลยทรุดนั่งที่ขั้นบันไดขาแข้งอ่อนไปดื้อๆ

“คุณเทพนี่นะจริงๆ เลย พักร้อนทั้งทีแทนที่จะพาไปเที่ยวไอ้ที่มันร่มรื่นสบายหูสบายตาสบายใจ ก็กลับพามาที่ไหนก็ไม่รู้ ยังกะบ้านผีสิง !”

“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคุณภี นี่น่ะมรดกตกทอดชิ้นเดียวของผมนะ คุณพ่อยกบ้านหลังนี้ให้ผม ตอนผมตัวเท่าลูกหมา ผมก็วิ่งเล่นอยู่แถวนี้แหละ”

เขาปรายสายตาไปโดยรอบ บริเวณบ้านใหญ่โตทรงเก่าแก่โบราณ พื้นสีของบ้านคงเคยออกเป็นสีอิฐเข้มหากยามนี้แลเห็นแต่ไรเขียวของตะไคร่โพลนไปทั้งหลังคา..

พื้นไม้กระดานเก่ายังคงมีส่วนเป็นแผ่นหนา ไม่มีรอยผุพังให้เห็นมากนัก แทบไม่น่าเชื่อว่าบ้านคนสมัยนี้มีวิธีป้องกันปลวก ตัวทำลายไม้ที่คนสมัยใหม่ต้องมีคนกำจัดกันเป็นงานอาชีพทีเดียว

นิลปัทม์มองไปโดยรอบ ยังเห็นต้นไม้ใหญ่น้อยยืนต้นตระหง่าน ทำให้ชายคาคบไม้เลยผ่านมาเกือบถึงตัวบ้านให้ร่มเงาอันเงียบสงบ หล่อนกลับรู้สึกเยียบเย็นอบอุ่นประหลาด แทนที่จะรู้สึกวังเวงเช่นภีรยาเพื่อนของหล่อน

หรืออาจจะเพราะหล่อนเป็นนักนิยมของเก่าอยู่แล้วก็เป็นได้

นิลปัทม์เดินเลยขึ้นบันได มีเทพบดีตามมา ส่วนภีรยาก็รีบลุกโวยวาย

“มันเรื่องอะไรทิ้งฉันไว้ตรงนี้ล่ะยะ ให้ฉันไปด้วย !”

เทพบดีหันไปหัวเราะ แล้วก็ออกเดินเคียงนิลปัทม์ไปยังห้องต่างๆ ที่แบ่งออกเป็นส่วนๆ ประตูไม้ที่ทำด้วยไม้ทั้งแผ่นนั่น ท่าทางหนักหนาทีเดียว

แล้วนิลปัทม์ก็หยุดยืนที่ภาพวาดเก่าแก่ของใครสักคน รูปหล่อเสียจนหล่อนฉงน “คนสมัยก่อนหล่อเหลาได้เพียงนี้ทีเดียวหรือคะ?”

เทพบดีชะโงกมองบ้าง “อ๋อ..คุณปู่เล็กของผม !”

นิลปัทม์มองดูภาพนั้น เจ้าของภาพสวมเสื้อราชปะแตนที่แผลงมาจากเสื้อราชแพทเทิร์นในสมัยก่อน ผมทรงมหาดไทย ผ้าม่วงที่สวม จิตรกรผู้วาดยังไว้ซึ่งสีสันสดใส..

หล่อนอดจะยกมือลูบหยากไย่ที่เกาะกรังไม่ได้ แล้วก็ยิ้ม หล่อนคิดว่าหล่อนแยกเขี้ยวให้คนในภาพ !

พลัน ! นิลปัทม์ก็ได้รับการแยกเขี้ยวตอบ !

หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆ แล้วก็ขยี้ตาซ้ำอีกครั้ง จ้องดูภาพนั้น จนเทพบดีซึ่งเดินเลยไปแล้วต้องถอยกลับมาอีกครั้งพร้อมภีรยา

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับคุณนิลปัทม์?”

แต่นิลปัทม์พยักหน้าโดยอัตโนมัติ.. “เปล่าหรอกค่ะ คง..คงจะตาฝาด..แน่ละ ต้องตาฝาดแน่ๆ”

 

 

นิลปัทม์พับห่อใบตองที่ห่อข้าวเหนียวและเนื้อทอดติดมาเป็นเสบียงนั้น เพื่อจะหาภาชนะสำหรับทิ้งขว้าง แต่มองหาเท่าใดหล่อนก็ไม่รู้ว่าจะเอาทิ้งไว้ตรงไหนกันดี

“อย่าเที่ยวทิ้งเกะกะนะ !”

“แล้วทิ้งที่ไหนล่ะคะ?”

หล่อนถามโพล่งออกไปแล้วก็ใจวับ.. เทพบดีกับภีรยาไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย สองคนนั้นลงไปข้างล่างเห็นเดินลิบๆ อยู่ในสนามที่เทพบดีบอกว่า เขาจะสั่งคนเฝ้าซึ่งปลูกกระต๊อบอยู่รอบนอกบริเวณบ้านนี้ ตัดหญ้าเดือนละครั้ง มันจึงพอมีสภาพของสนามพอให้เห็นอยู่บ้าง

นิลปัทม์ลุกขึ้นยืน สอดนิ้วแยงหูตัวเอง “จะบ้าไปแล้วมั้งเรา..ไม่เห็นมีใครสักหน่อย”

หล่อนลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพคุณปู่เล็กของเทพบดีอยู่เบื้องหลังหล่อนนี่เอง..ภาพนั้นสดใส ไม่ได้จางสี เนื้อเงาของสีน้ำมันยังกระจ่างจัดในสายตา

หล่อนกอดอกมอง “ท่านช่างหล่อเหลาเอาเรื่องเชียวละนะ..เป็นคนสมัยนี้ก็เรียกว่าสาวๆ ตอมหึ่งเชียวแหละ”

เนื้อเงาของสีน้ำมันในดวงตานั้นสะท้อนประกายกลับมาเหมือนภาพนั้นมีชีวิตจิตใจ !

นิลปัทม์ได้แต่ทึ่ง จิตรกรผู้วาดช่างมีฝีมือจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถวาดภาพออกมาได้ดีถึงเพียงนี้ ภาพนั้นติดอยู่ที่ผนังในส่วนกว้างที่สุดของตัวบ้าน ที่เรียกว่าชานเรือน แลเห็นโดดเด่นเข้มคม..

นิลปัทม์ได้ยินเสียงกุกกักก็สะดุ้งแล้วก็เลยถอนหายใจ “โธ่คุณเทพ..ขึ้นมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงบ้าง”

“สนใจคุณปู่เล็กของผมหรือฮะ?”

นิลปัทม์ยังไม่วางสายตาจากภาพนั้น “ท่านเท่เชียวละนะคะ..ภาพท่านตอนแก่ไม่มีบ้างหรือคะ อยากเปรียบเทียบดู ตอนท่านเฒ่าชราแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่มีใครมีโอกาสเห็นท่านตอนแก่หรอกครับ..”

เทพบดีตอบ “ท่านสิ้นตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบ..ถึงได้หล่อเหลาเอาเรื่องอย่างที่คุณปัทม์ว่าน่ะแหละ”

“โธ่..” นิลปัทม์ทำเสียงสงสาร “ทำไมล่ะคะ ท่านเป็นอะไร?”

“เรือชนกันน่ะครับ โน่น..”

เทพบดีชี้มือไปที่แม่น้ำเวิ้งว้าง แลเห็นดำเป็นเงาละเลื่อมอยู่ภายใต้แสงอันเริ่มเลือนรางสลัว ในยามอาทิตย์เริ่มจะลับทิวไม้

และต่ำเตี้ยลงไปทางต้นแม่น้ำด้านหน้าบ้านนั่น..

“โครมเลยครับ.. ท่านกระเด็นตกลงไปในน้ำ ตอนเราเอาท่านขึ้นมา คุณพ่อผมเล่าให้ฟังว่า ไม่มีบาดแผลอะไรให้เห็นเหมือนคนนอนหลับ..”

“โถ..” นิลปัทม์สงสารท่านจับใจ “ไม่น่าเลยนะคะ ภรรยาของท่านก็คงจะร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด”

“คุณปู่เล็กของผมยังโสดครับ ตอนตายท่านยังไม่ได้แต่งงาน”

เทพบดีเล่าพลางหัวเราะ “เป็นสมัยนี้ละก็ คงเนื้อหอมเชียวละ”

ภีรยาโผล่หน้าเข้ามาบ้าง แล้วก็เลยหดหน้ากลับ “แหม..บอกตรงๆ นะ ฉันกลัวๆ กล้าๆ ยังไงก็ไม่รู้ เรากลับโรงแรมกันดีกว่า หวังว่าคงจะไม่คิดพักที่นี่กันหรอกนะจ๊ะ”

“จริงๆ แล้วฉันอยากพักที่นี่จัง”

“เฮ้ย..” ภีรยาร้อง “ฉันไม่เอาด้วยล่ะนะ แม่ปัทม์ !”

“ผมก็มีความเห็นแบบคุณภีนะครับ พักที่นี่ไม่สะดวกผมไม่ได้ให้ลุงโกร่งมาทำความสะอาดห้องเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็พักได้สบาย กลางคืนที่นี่สวยมากนะครับ มองเห็นพระจันทร์ลอยอยู่เหนือน้ำ สวยที่สุด..ผมจำได้ ตอนเด็กๆ ผมนั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำนั่นประจำ..”

“แล้วสนิทกับคุณปู่เล็กไหมคะ”

นิลปัทม์ถามสนใจ แต่ภีรยาเอ็ดขึ้น “สนใจอะไรกันนักหนานะปัทม์ คนตายไปแล้ว..รื้อฟื้นขึ้นมาทำไม ไม่เอาละ เรากลับกันเถอะ ฉันไม่ชอบที่นี่เลย มันวังเวงพิลึกๆ”

 

 

“ปัทม์คิดว่าท่านเป็นคุณพ่อของคุณเทพเสียอีก แหม..ก็เพิ่งรู้ว่าท่านเป็นน้องชายคุณปู่ของคุณเทพอีกที”

หล่อนหัวเราะ “ถึงได้งงๆ ว่าเอ๊ะ..ไม่แต่งงานจะมีหลานอย่างคุณเทพโผล่ขึ้นมาได้ยังไง”

ภีรยาไม่สนใจฟังใคร หล่อนรับประทานอาหารมื้อค่ำเอร็ดอร่อย นานทีก็ขัดคอนิลปัทม์สักครั้ง ก็เพราะรำคาญที่ชอบสนใจแต่เรื่องคนโบร่ำโบราณไม่เข้าท่า..

“คุณปู่เล็กชื่อจริงว่าเทพบดินทร์ครับ”

เขาเล่า “ชื่อเหมือนผม คุณพ่อตั้งให้ชื่อผมคล้ายชื่อท่านเพราะประทับใจในตัวท่าน สมัยก่อนคุณพ่อเล่าว่าคุณปู่เล็กของผมเก่งมาก เก่งทุกด้าน แม้แต่เรื่องดนตรี..ท่านตีขิมเก่งที่สุด..”

“ขิม?”

“ครับ”

“เหลือเชื่อนะคะ ขิมไม่ใช่ตีกันได้ง่ายๆ..แล้วผู้ชายหล่อเหลา ดูเหมือนเพลย์บอยยุคเก่าอย่างคุณปู่เล็กของคุณนั่นน่ะไม่น่าจะชอบแบบนั้นหรือทำได้ดี”

ภีรยาขัดขึ้นว่า “สมัยนี้ลองผู้ชายมานั่งพับเพียบเลียบเคียงเล่นดนตรีไทย ก็มีหวังถูกหาว่าเป็นพวก..”

“ก็ไม่ทุกคนหรอกน่าภี” นิลปัทม์เอ็ด “อย่าเหมาเสียหมด คนเรามันก็มีดีไม่ดี มีใช่ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ”

“แล้วเมื่อไหร่จะจบเรื่องคุณปู่เล็กนี่เสียที หรือหลงรูปโฉมท่านเสียแล้วยายปัทม์..ฉันเห็นซักถี่ยิบ เคยสนใจใครเท่านี้ไหมน่ะ?..”

“คุณปู่เล็กเป็นคนน่าสนใจครับ ผมจำเค้าของท่านได้ดี..ท่านเป็นคนกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วแล้วก็ร่าเริงตลอดเวลา..เป็นคนเอาจริงเอาจัง แต่ก็ไม่แสดงความเคร่งเครียด”

นิลปัทม์รวบช้อน “ท่านน่าจะมีชีวิตอยู่ถึงป่านนี้นะคะ”

“ถ้าให้อยู่ถึงป่านนี้ก็คงจะเดินไม่ไหวแล้วนะครับ อย่างดีก็นอนแบบให้ลูกหลานป้อนข้าวป้อนน้ำน่ะแหละ”

“ยายปัทม์ ฉันว่าถ้าขืนสนใจคุณปู่เล็กมากจนเกินเหตุละก็นะ..”

“เงียบเถอะภี..เธอไม่สนใจก็ฟังเฉยๆ ดีกว่า” หล่อนเอ็ด

“ที่ฉันสนใจมากก็เพราะท่านยิ้มสวยอย่าบอกใคร..แล้วก็ไม่เหมือนใครด้วย”

เทพบดีเลิกคิ้ว “คุณปัทม์ว่าอะไรนะครับ ใครยิ้มสวย?”

“ก็คุณปู่เล็กของคุณเทพซิคะ ท่านแยกเขี้ยวให้ฉัน !”

 

 

ภีรยาลุกนั่งไม่เป็นสุข หล่อนลงนอนแล้วก็พลิกตัวไปมาหลายครั้ง..แล้วในที่สุดก็เลยลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ..

“ถามจริงๆ ที่ว่าคนตายไปแล้วยิ้มได้นั่นน่ะ พูดจริงหรือว่าพูดเล่น..”

นิลปัทม์กำลังอ่านหนังสืออยู่บนเตียงอีกฟากหนึ่งในห้องพักของโรงแรมแห่งนั้น หญิงสาวหันมามองแล้วยิ้ม

“ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเล่น แต่ฉันคิดว่าท่านยิ้มกับฉันโดยเฉพาะละนะ”

“บ้าแล้ว !”

ภีรยาลูบแขนตัวเองเมื่อเกิดขนลุกเกรียวขึ้นมาทันใด.. “อย่ามาทำตลกนะยะแม่ปัทม์ เรื่องผีเรื่องสางนี่น่ะ บอกตรงๆ ฉันกลัวหัวหด..”

“ท่านดูไม่น่ากลัวหรอกนะ แล้วมันเรื่องอะไรมาสรุปว่าเป็นผีสาง ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก เพียงแต่รู้สึกว่าคนวาดเขาวาดภาพของท่านได้มีชีวิตจิตใจเท่านั้นแหละ”

ภีรยาเลยถอนหายใจ “แล้วไป”

“พรุ่งนี้เราจะไปที่นั่นกันอีก ถ้าหากคุณเทพไม่ขัดข้อง ฉันก็อยากจะได้ภาพท่านกลับไปกรุงเทพฯด้วย.. จะนำไปติดในงานนิทรรศการภาพโบราณที่อาจารย์ท่านจัดขึ้น”

“ปัทม์..นี่ยังคิดจะกลับกรุงเทพฯ อีกหรือ..”

สีหน้าของคนถูกถามหม่นหมองลง “ฉันไม่คิดว่าการหนีเป็นหนทางที่ดีที่สุดหรอก”

หล่อนพึมพำ “ถ้าหากต้องหนี ก็คงจะต้องหนีไปชั่วชีวิต ไม่มีใครหนีตัวเองได้พ้น !”

“ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรเธอได้ นอกจากพามาเที่ยวเสียให้พ้นหูพ้นตา นี่แหละ..คนเราสมัยนี้ จิตใจไม่ไหวนะอย่าว่าแต่เพื่อนเลย..พี่น้องนี่แหละ บางทีตัวดีนักละ..”

“ฉันไม่คิดว่าพี่รินจะคิดร้ายกับฉันถึงเพียงนั้น”

“แต่ก็ต้องระวัง คุณรินไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของเธอนะ ลูกเลี้ยงของคุณพ่อ คุณแม่เธอเท่านั้นเอง..แล้วเงินน่ะมันไม่เข้าใครออกใคร ไม่อย่างนั้นก็คงไม่คิดกำจัดเธอด้วยการให้แต่งงานหรอกน่า..”

“พี่รินเคยดีกับฉัน เคยเลี้ยงฉันมา เหมือนเป็นแม่อีกคนของฉัน”

“นิลปัทม์”

“ถึงยังไงฉันก็ยังหวังว่า..พี่รินจะไม่ทำลายฉันด้วยเท้าในเมื่อเคยเขียนด้วยมือ..”

นิลปัทม์ถอนหายใจ.. แล้วก็เลยเอนตัวลงนอนเมื่อวางหนังสือเก็บ..

“นอนเถอะภี ยิ่งพูดยิ่งไม่สบายใจ เรามาที่นี่กันเพื่อลืมเรื่องนั้น..ไม่ใช่มานั่งขุดคุ้ย ฉันจะหลับละ..”

หล่อนกระตุกไฟให้ดับ ก่อนจะพลิกตัวเข้าหาฝาผนังหลับตาสนิท..

ภาพของใครไม่รู้กระจ่างสายตา..หล่อนไม่ได้ลืมตา..หากเห็นภาพผู้ชายหน้าเข้มคนนั้น เขายิ้มกว้างให้หล่อน

น้ำเสียงของเขาเป็นกังวานเหมือนเสียงระฆังที่แว่วมาแต่ไกลๆ..

“ฉันสงสารเธอนะ..อย่ากลับไปเลยนิลปัทม์ เขาจะเอาเธอไปฆ่า จำไว้นะ..อย่ากลับไปเด็ดขาด..เขาจะฆ่าเธอ”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (76 รายการ)

www.batorastore.com © 2024