
รักฉันสักนิด (กรุง ญ ฉัตร)
ประหยัด: 70.00 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
1…
เสียงโทรศัพท์ติดต่อภายในดังรัวขึ้นหลายครั้งที
เดียวแต่ร่างที่นั่งหมกมุ่นอยู่กับงานกองพะเนินก็ไม่มีทีท่าจะ
ขยับเขยื้อน แม้กระทั่งปอยผมที่ปรกลงมาเกือบแยงตาคม
กริบ เจ้าตัวก็ยังไม่มีเวลาสนใจที่จะเอามือปัดปอยผมขึ้นซีก
หน้านวลแม้เพียงเห็นด้านข้าง ก็บอกลักษณะว่าเจ้าตัวเป็นคน
เอาการเอางานมากกว่าจะพิถีพิถันในการแต่งเนื้อแต่งตัว
สังเกตจากเสื้อแขนยาวที่เจ้าตัวพับขึ้นลวก ๆ อย่างไม่
เอาใจใส่นัก กิริยาจับปากกาลากปราด ๆ ว่องไวกระฉับกระเฉง
เหมือนวาดดุจดังเช่นนามของเจ้าตัวนัก
“ สันนิบาตเจี๊ยะมือหรือไงไอ้มิ้ม ”
ผู้โผล่หน้าเข้ามาแว๊ดเสียงเขียว ๆ ใส่อย่างโมโหที่หลง
วิ่งเริดเข้ามาในห้อง เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์คิดว่าไม่มีคน
อยู่ในห้องจึงรีบเข้ามา ที่ไหนได้แม่เพื่อนสาวนั่งทำงานเฉย
โดยไม่แยแสว่าเสียงโทรศัพท์จะดังหนวกหูเพียงใด
“ ยังไม่รับอีกแน่ะ ”
“ ขี้เกียจ ”
เหมือนวาดตอบง่าย ๆ สอางค์ทิพย์ค้อนขวับกับคำพูด
ของอีกฝ่าย หล่อนขยับจะไปรับสายปรากฏว่าเสียงนั้น
เงียบหาย
“ บ๊ะ ! ไอ้โทรโข่งเครื่องนี้มันอ้อนแท้จริงแฮะ แกนี่ก็
พิลึกมนุษย์ทนฟังเสียงอยู่ได้ เพราะเสนาะโสตนักหรือไง ”
“ ฟังดี ๆ เสียงมันก็คลาสสิคไม่เลวหรอก ”
เหมือนวาดเงยหน้าขึ้นพูดหน้าตาเฉย สอางค์ทิพย์ยิ้ม
แสยะขณะโยนแฟ้มงานลงกับโต๊ะโครม
“ ถ้านายรับโทรศัพท์ อาจจะได้ฟังเสียงโรแมนติกแทน
เสียงคลาสสิคก็ได้ ”
“ ฉันไม่ใช่คนโรแมนติคเหมือนนายนักหรอกย่ะ “
หล่อนทำเสียงเหมือนเบื่อหน่ายนักหนา ทั้งที่ทราบแก่
ใจดีว่า คนเสียงโรแมนติคที่สอางค์ทิพย์พูดถึงนั้นคือใคร
“ คุณลีทำท่าเหมือนใจจะขาดนะ พอรู้เรื่องของนาย ”
“ นายจะไปได้ลงคอเชียวรื้อ ”
“ ไม่มีอะไรที่คิดว่าไม่ไปนี่ ”
“ สงกะสัยแม่เหล็กไร้สมรรถภาพ ”
สอางค์ทิพย์ยั่วเย้า แต่เหมือนวาดก็ทำหูทวนลมเสีย
หล่อนวางปากกาบิดนิ้วที่เมื่อยขบอย่างเพลีย ๆ อันที่จริง
หล่อนจะทำเมินเฉยกับไอ้งานกองพะเนินทึนทึกนี่ก็ได้เพราะ
อีกไม่กี่วันหล่อนก็จะย้ายงานไปอยู่ที่ใหม่แล้ว แต่นั่นแหละวิสัย
ของเหมือนวาดไม่ชอบจะทิ้งงานไว้ให้คนมาหลังต้องแช่งชัก
หักกระดูกกับคนสุมงาน หล่อนถือคติว่า ไปให้คนอาวรณ์ดี
กว่าไปให้คนขยันโตตามหลัง
“ ขยันจริง เกือบเที่ยงแล้วไม่ไปกินข้าวเที่ยงหรือ ”
“ ยังไม่หิว ”
“ จะอยู่ดูงานเป็นวันสุดท้ายให้ประทับความทรงจำหรือไง ”
“ ไม่ใช่วันสุดท้ายเสียหน่อย ”
หล่อนค้าน หมุนปากกาในมือเล่น ดวงตาที่มองงาน
บนโต๊ะ แม้จะพูดเล่นและหักใจว่าการย้ายงานครั้งนี้
เพื่อความก้าวหน้าของชีวิตราชการ หากกระนั้นก็ยังอดรู้สึก
ใจหายไม่ได้
“ หล่อนลาพักร้อนสามวันไม่ใช่หรือ วันนี้ก็เป็นวันสุด-
ท้ายแล้วสินะ หยุดรวมเสาร์อาทิตย์อีกตั้งห้าวัน นอนตีพุง
สบายเลยอิจฉาคนว่างงานชะมัด ”
สำเนียกตอนท้าย เจ้าตัวทำสุ้มเสียงอิจฉาได้เหมือน
จนหญิงสาวลอบยิ้ม เพราะรู้ดีว่าสอางค์ทิพย์หลอกถามถึง
โปรแกรมที่หล่อนหยุดห้าวัน จะมีโครงการไปไหนหรือเปล่า
เหมือนวาดไม่เคยหยุดงานโดยไม่มีโครงการไปเที่ยวไหนเสีย
ที หล่อนรวบรวมเพื่อนฝูงเป็นคณะ อย่างน้อยก็สี่ห้าคน ไป
เที่ยวหาบรรยากาศตามต่างจังหวัด แต่ครั้งนี้เจ้าตัวกลับ
เงียบเชียบ ไม่ปริปากชวนเที่ยวเช่นทุกครั้งที่มีการหยุด
“ เย็นนี้เราจะมีการเลี้ยงส่งนาย อย่าลืมเสียล่ะ ห้ามหนี
กลับก่อน ท่าน ผ.อ. ให้เรามาเตือน ”
“ ไม่น่าจะต้องยุ่งยาก ”
“ นายอย่าพูดมากเลย เค้าเลี้ยงก็ยอมรับเลี้ยงเสียดี ๆ
เพื่อนฝูงจะได้มีลาภปากบ้าง ขืนทำหยิ่งเพื่อนฝูงจะพลอยอด
อยากปากแห้งไปด้วย ”
หล่อนพูดฉอด ๆ และเมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ก็รับ
โดยไม่รอช้า
“ ฮัลโหลคะ รอสักครู่ค่ะ ”
จากนั้นเจ้าตัวจึงยื่นโทรศัพท์ส่งมาให้เหมือนวาด
“ ของนายจ้ะรับเสียดี ๆ อย่าเล่นองค์ ”
คิ้วเรียวขมวดขุ่น ทำกิริยาเหมือนจะผวาดผวากับ
โทรศัพท์เสียนักหนา
“ กลัวอะไรกับอีแค่โทรศัพท์ มันไม่กัดหรอกน่า ”
“ แต่...”
“ ถ้านายคิดจะหนีเขาโดยไม่สู้ นายจะต้องหนีไปตลอด
ชีวิตเชียวนะยายมิ้ม ”
คำเตือนนั้นก่อให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกกระตุกหัวใจ
อย่างรุนแรง จริงสินะ ! เหมือนวาดต้องไม่แสดงความอ่อนแอ
ขี้ขลาดออกมาเป็นอันขาด หล่อนจะต้องเตือนตัวเองว่า หล่อน
ไปจากที่นี่เพื่อต้องการความก้าวหน้า ไม่ใช่หนีเขา
“ มิ้ม เราเป็นเพื่อนตัวนะ ” สอางค์ทิพย์ตบไหล่เธอเบา ๆ
ปลุกปลอบกระตุ้นกำลังใจ “ ไม่ต้องการจริง ๆ ว่ะ ถ้าจะเห็น
เพื่อนเป็นมนุษย์โง่บัดซบ สู้สิเพื่อน ”
สอางค์ทิพย์ออกไปนอกห้องแล้ว หล่อนปล่อยให้
เหมือนวาดทำหน้าที่ตัดสินใจเองว่า ควรจะทำอย่างไรต่อ
หล่อนมองโทรศัพท์ราวกับมันคืออาวุธร้ายกาจที่จะทำให้
ผู้เป็นเจ้าของได้รับบาดเจ็บ เหมือนวาดเอื้อมไปรับหูโทรศัพท์
อย่างตัดสินใจ
“ เหมือนวาดกำลังพูดค่ะ ”
“ คิดว่าคุณจะไม่ยอมรับสายแล้วสิฮะมิ้ม ”
ไม่ว่ายามหลับหรือตื่น เหมือนวาดไม่เคยลืมสักทีว่า
เสียงทุ้ม ๆ แบบนี้เป็นของใคร
“ ดิฉันกำลังยุ่งกับงานค่ะ ถ้าคุณรอนานก็ต้องขอโทษ
ด้วย ”
“ ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็จะรอมิ้มเสมอ ”
สำเหนียกนั้นทอดหวานลึกล้ำ จนคนฟังกัดริมฝีปาก
แน่น มิใช่เพราะคำพูดหวาน ๆ ที่เขามักทำให้คนฟังรู้สึก
เหมือนเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในชีวิตน่ะหรือ จึงทำให้
เหมือนวาดเหมือนตัวงั่ง เขาช่างพูดออกมาเต็มปากเต็มคำ
ว่ารอมิ้มได้เสมอ
“ แค่นี้หรือคะธุระของคุณ ขอโทษฉันมีงานยุ่งค่ะ จะ
วางสายล่ะนะ ”
“ อย่าเพิ่งนะมิ้ม ” เสียงห้ามนั้นค่อนข้างเร็วด้วยเกรงว่า
หล่อนจะวางหูโทรศัพท์ดังที่พูดไว้จริง ๆ ผมอุตส่าห์เพียงใด
คุณรู้ไหม โทร.ตั้งแต่เช้า มิ้มคุณจะย้ายจริง ๆ หรือ ? ”
“ ค่ะ ”
หล่อนตอบคำถามนั้นสั้นเป็นพิเศษ ทั้งที่อยากพูด อะไร
มากมายเหลือเกิน แต่ก้อนแข็ง ๆ ก็แล่นจุกอยู่แค่ลำคอ
“ มิ้ม ผมอยากไปคุยกับคุณที่ห้องจัง จะอนุญาตไหม ? ”
“ มันไม่คุ้มนะคะ ถ้าฉันจะตกเป็นข้อครหาของคนอื่น ”
“ ผมคงเป็นตัวซวยในชีวิตของคุณเหลือเกินนะ ”
เสียงนั้นย้ำให้รู้ถึงความขมขื่น เหมือนวาดควรจะปฏิ-
เสธให้เขาคลายจากความน้อยใจ แต่จะมีประโยชน์อะไร
สำหรับการถนอมน้ำใจเขา ควรตัดเยื่อใยให้มันสิ้นสุดกัน
เสียที
“ มิ้ม ! คุณจะขัดข้องไหม ถ้าผมจะเลี้ยงลามื้อกลางวัน ”
หล่อนเงียบไปนานทีเดียว จนฝ่ายนั้นต้องถามซ้ำว่า
“ คุณจะปฏิเสธอีกละสิ ”
“ ฉันกำลังจะบอกคุณว่าตกลงค่ะ ที่ไหนดี ”
“ คุณลงมารอผมที่รถแล้วกันนะ ”
“ เราต่างคนต่างขับออกไปดีกว่าค่ะ ”
“ ทำไมล่ะผมว่าเราไปรถคันเดียวกัน ประหยัดน้ำมัน
ดีออก หรือคิดว่าเมืองไทยขุดแก๊สได้โชติช่วงชัชวาลเสียแล้ว ”
“ ฉันคิดว่า ทนเปลืองเอาหน่อยดีกว่า เป็นขี้ข้าปาก
ชาวบ้านว่ากลายเป็นตุ๊กตาหน้ารถ โอ.เค.ค่ะ เราเจอกันที่
ร้านอาหารเดิม ”
หล่อนสรุปง่าย ๆ วางหูโทรศัพท์ลง เอนตัวพิงกับ
พนักเก้าอี้ ขณะที่สอางค์ทิพย์ซึ่งรออยู่ด้านนอกโผล่เข้ามา
ในห้อง
“ เป็นยังไงผลการเจรจา อาเฮียร่ายโศกพะเรอ
เกวียนสินะ ”
“ เขาขอนัดเลี้ยงฉัน ”
“ มื้อไหนล่ะ ”
“ เที่ยงนี้แหละ ”
“ ก็ไปซี้ ของฟรีเสียอย่างกินเข้าไปเถอะ กินฟรีเท่านั้น
นะอย่าเผลอใจไปนอนฟรีล่ะ พูดก็พูดเถอะยายมิ้ม ฉันไม่โทษ
ว่าเป็นความผิดของแกหรอก คุณลีนะใครสบตากับเขา โดย
ไม่ช็อคเพราะความวาบหวามก็นับว่าใจเย็นล่ะ ”
“ นายสนับสนุนให้ฉันไปหรือ ”
“ ถามใจนายสิว่ากล้าไหม....กล้าที่จะพบเขา โดยลืม
ความนึกคิดเก่า ๆ เสีย ”
เขานั่งรอเหมือนวาดอยู่ก่อนแล้ว อาหารทุกอย่างบริกร
กำลังยกมาวาง ลีนวัตรลุกขึ้นยืนเดินมาหาหญิงสาว ดวงตา
เขาทอแววยินดีฉายชัดทีเดียวเมื่อเห็นเธอ
“ มิ้ม คิดว่าจะไม่มาเสียอีก ”
“ มาสิคะ ” หล่อนยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มหวานระยับ
เป็นพิเศษ นัยน์ตาเท่านั้นที่ไม่มีร่องรอยของสาวน้อยที่มองเขา
ดุจเทพบุตรอีกต่อไป “ คุณเคยเห็นฉันเหลวไหลต่อการนัด-
หมายงั้นหรือ ”
“ มานั่งที่โต๊ะกันดีกว่า แน่ะอาหารเตรียมพร้อมแล้ว ”
ลีนวัตรเป็นคนสั่งอาหารเหล่านี้เอง ทุกอย่างจัดว่าเป็น
ของชอบเธอทั้งสิ้น ปกติเขาเป็นคนขรึมเฉย แต่ในความเฉย
เขาเป็นคนละเอียดรอบคอบทีเดียว ช่างจดช่างจำในสิ่งที่เธอ
ชอบ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า สีสันของใช้ เขาจำทุกอย่าง
ได้ขึ้นใจ ไม่แต่เขาจะเอาใจเธอเก่งเท่านั้นแม้กับบิดามารดา
ตลอดจนในบ้านเขาก็เป็นคอยเอาใจใส่
“ รักกันมานาน เมื่อไหร่จะแต่งงานเสียที ”
“ ยังจ้ะ อยากขอเวลาดูใจเขาอีกสักนิด ”
“ ดูนาน ๆ มันจะเซ็งนาอีหนู ”
แม่ปรารภอย่างคนหัวเก่า ซึ่งท่านก็คงมีลางสังหรณ์
อย่างคนผ่านโลกมานาน
“ ผู้ชายไม่ค่อยมีน้ำอดน้ำทนสำหรับการรอคอยเรา
หรอก ”
“ ถ้าเขารอไม่ได้ เราเก๊าะตัดหางปล่อยวัด ”
เหมือนวาดพูดแกมหัวเราะไม่คิดเลยจนนิดเดียวว่าคน
ที่เป็นฝ่ายตัดคือเขาหาใช่เธอไม่
“ เราเริ่มลงมือทานกันเลยดีกว่าจ้ะ ”
“ สั่งมาทำไมมากมาย ”
“ มิ้มก็ทานมาก ๆ สิจ้ะ เลี้ยงลาทั้งทีขืนเลี้ยงกระจอก ๆ
ก็ไม่สมกับตำแหน่งของมิ้มที่จะไป ”
หล่อนและเขานั่งรับประทานเงียบ ๆ ทว่าอาหารก็พร่อง
น้อยเต็มที
“ ใจหายนะที่จู่ ๆ มิ้มก็จะไป ”
เขาเอ่ยขึ้นลอย ๆ เมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหาร
หล่อนมองเหม่อไปไกลอย่างเลื่อนลอยฝืนยิ้ม
“ เป็นธรรมดาค่ะ เราอยู่ที่ทำงานเดียวกันมานานจน
เป็นความเคยชิน จู่ ๆ พอจะไป มันก็ต้องใจหายอาวรณ์
ธรรมดา
“ แต่สำหรับผมอาวรณ์พิเศษ ”
เสียงเขาเว้าวอนให้หล่อนไหวหวั่นอีกแล้ว เหมือนวาด
ใช้หลอดฟางคนแก้วน้ำแข็ง ไม่นะ ! หล่อนจะต้องทำใจให้
เข้มแข็ง บุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอขณะนี้เขาไม่ใช่ผู้ชายอิสระ
พอที่ผู้หญิงจะจับจองได้ เขาเป็นผู้ชายที่มีลูกเมียแล้ว เขา
ลวงเธอมาตลอดแต่ว่าจะเขาลวงก็ไม่ได้ ก็เหมือนวาดไม่เคย
ถามถึงผู้หญิงของเขาสักที หล่อนเข้าใจว่าเขายังอิสระ ที่ไหน
ได้....หล่อนเพิ่งรู้ว่าเขามีลูกเมีย ก็เมื่อภรรยาของเขาปรากฏ
กายขึ้นเมื่อเขาถูกส่งไปตรวจงานที่ต่างจังหวัด
“ ดิฉันชื่อกรุณาค่ะเป็นภรรยาคุณลีนวัตร ดิฉันมีความ
จำเป็นอยากพบเขาค่ะ ”
“ มีอะไรหรือคะ ”
“ คือลูกชายของเราป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบ ดิฉันทำอะไร
ไม่ถูกเลยค่ะ ”
“ เขาไปต่างจังหวัดต้องอาทิตย์หน้าถึงกลับค่ะ ”
“ แล้วดิฉันจะทำยังไงดีคะ ”
กรุณาทรุดลงนั่งอย่างคนหมดแรง สีหน้าเผือกขาว
อย่างสะเทือนใจ ดวงตาหมองหม่นเป็นกิริยาของมารดาที่
กำลังกังวลต่ออาการของบุตรชาย เฉกเช่นมารดาที่รักเลือด
ในอกสุดชีวิต เวลานั้นเหมือนวาดไม่คิดอะไรมากไปกว่า
ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ทำท่าเหมือนหมดอาลัยตาย-
อยากในชีวิต
“ ไปโรงพยาบาลกันค่ะ ดิฉันจะช่วยเหลือคุณกรุณาเอง ”
หล่อนช่วยเหลือวิ่งเต้นทั้งการเงินและให้ความสะดวก
ต่าง ๆ จนลูกชายเขาพ้นจากอันตราย ผู้หญิงคนนั้นแทบจะ
กราบเท้าหล่อนทีเดียว
“ ถ้าคุณลีมา เขาคงขอบคุณมากที่คุณกรุราช่วยเรา
แม่ลูก ”
“ อย่าถือเป็นบุญคุณอะไรเลยค่ะ ดิฉันกับคุณลีนวัตร
เป็นเพื่อนร่วมงานกัน ดิฉันดีใจค่ะที่ได้ช่วยเหลือ...”
ใช่สิ ! การช่วยเหลือครั้งนี้ มันทำให้เหมือนวาดรู้สึกว่า
ตาสว่างขึ้นทีเดียว หล่อนอยู่ในโลกแห่งความมืดมัวมานาน
เต็มที
“ มิ้ม....ให้ผมถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหม ”
หล่อนเลิกคิ้วขึ้นเป็นชิงถาม โดยไม่มีคำพูดใด ๆ หลุด
จากริมฝีปาก
“ คุณย้ายครั้งนี้ เพราะผมมีส่วนใช่ไหม ”
“ ดิฉันย้ายเพราะความก้าวหน้าของอนาคตตัวเองค่ะ
คุณลีนวัตร คุณไม่ใช่ผู้วิเศษวิโสจน์ทำให้ฉันนึกอยากพลิก
อนาคตตัวเองแน่....”
คำตอบนั้น บอกให้รู้ถึงความยโสและเลือดอหังการ์ใน
หัวใจของเจ้าหล่อนเต็มเปี่ยมทีเดียว
“ และขอขอบคุณสำหรับการเลี้ยงอำลา ”