เรื่องสั้น รากความรัก (จรัญ ยั่งยืน)
เนื้อหาบางส่วน
รากความรัก
แรกเริ่มที่เราได้รู้จักกัน ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าผมเป็นฝ่ายรู้จักเธอข้างเดียว เพราะเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เขามีนิสัยชอบเมาท์เรื่องของคนอื่นแกล้มอาหารกลางวัน เขาเม้าท์เรื่องรูปโฉมของเธอให้ฟัง ผมแค่ฟังผ่านๆ แต่ก็นึกเห็นใจเธอที่ตกเป็นบุคคลในข่าว อย่างที่เขาว่าปากคนยาวกว่าปากกา เรื่องราวจากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่งมักถูกต่อเติมเสริมแต่งจนเกินเลยจากความเป็นจริงอยู่เสมอ ในฐานะเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ผมเกิดความรู้สึกว่าควรจะทำความรู้จักเธอไว้บ้าง เพื่อการประสานงานในองค์กรจะได้ราบรื่น แต่ว่าการทำงานในฝ่ายดูแลลูกค้าทั่วราชอาณาจักร ต้องเดินสายขึ้นเหนือล่องใต้ออกตกอีสานแทบทุกสัปดาห์ เดือนหนึ่งเข้าออฟฟิศไม่กี่ครั้ง จึงหาโอกาสเหมาะไปทำความรู้จักกับเธอไม่ได้สักที
ผมเกือบลืมเรื่องของเธอไปแล้ว มันผ่านไปครึ่งค่อนปี แต่ก็นั่นแหละความบังเอิญมันเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเจ้านายสั่งให้ผมเอาเอกสารการติดต่อกับลูกค้าไปให้เลขาสาวตรวจสอบก่อนส่งถึงมือเจ้านาย เอกสารนี้คือผลการปฏิบัติงาน ที่หมายถึงความดีความชอบ บ่งชี้ว่าผมจะได้ขึ้นเงินเดือนกี่เปอร์เซ็นต์ จะได้โบนัสกี่เดือน
แม้จะรู้ว่าเธออยู่ชั้นเจ็ดของตึกเก้าชั้น แต่กว่าผมจะเข้าถึงตัวเธอได้ ก็ต้องเดินวนอยู่สองรอบ ไม่รู้ว่าเธอนั่งทำงานอยู่ตรงไหน กระทั่งต้องไปสอบถามแม่บ้านนั่นแหละถึงได้รู้ ผมเดินไปตามนิ้วที่แม่บ้านชี้ มันเป็นเพียงช่องเล็กๆ แทบจะเดินสวนกันไม่ได้ ใครที่มาทำงานอยู่ในสถานที่แบบนี้ ต้องเป็นคนรักสงบ ไม่ชอบเสียงเอะอะโวยวาย ไม่ชอบเสียงกระซิบนินทา ไม่ชอบเสียงตะโกนข้ามโต๊ะไปมา จึงมาทำงานในซอกหลืบที่เป็นห้องลึกลับที่สุดในออฟฟิศของเรา
“เอ้อ... สวัสดีครับ คุณปุ้มปุ้ย” ผมเปิดฉากทักทาย เมื่อสามารถพาร่างตุ้ยนุ้ยผ่านเข้าไปอยู่ในอาณาบริเวณของเธอ
“เรียกปุ้ยเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” เธอยิ้มสดใส
ผมเอาแฟ้มเอกสารวางบนโต๊ะ ตรงหน้าเธอมีแฟ้มวางอยู่หลายแฟ้ม คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่ง โทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง หูสองข้างเสียบหูฟัง บนโต๊ะยังมีหนังสือเล่มโตวางอยู่หลายเล่ม ทั้งเป็นภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ หนังสือเล่มหนาสะดุดตาคือพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ดิกชันนารี และเอ็นไซโคพีเดีย
“ผมชื่อเมธ เมธัสครับ ผู้จัดการให้ผมเอารายงานมาฝากไว้กับคุณ”
“ค่ะ ท่านสั่งว่างานทุกชิ้นต้องส่งให้ปุ้ยดูก่อน ท่านว่าเพื่อจะได้ไม่เกิดความผิดพลาด แม้จะเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ท่านเป็นคนละเอียดค่ะ ท่านว่าปีหน้าบริษัทเราจะโกอินเตอร์แล้ว อยากเห็นความผิดเป็น 0% นี่พวกนี้ก็ใช่ค่ะ” เธอชี้ไปที่กองแฟ้มข้างๆ ตัว “บนหลังตู้นั่นก็ใช่” เธอหมุนเก้าอี้หันไปทางด้านข้าง ปรายตายังแฟ้มกองใหญ่วางซ้อนอยู่บนหลังตู้ใส่เอกสาร ก่อนจะหันกลับมายิ้มโชว์ฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบ
“ทำงานหนักแบบนี้คุณปุ้ยก็เหนื่อยแย่สิครับ” เป็นคำพูดจากใจจริง ผมแค่เขียนเอกสารแฟ้มเดียวยังเหนื่อยแทบแย่ นี่เธอต้องตรวจดูเอกสารนับร้อยๆ แฟ้มแบบนี้ ต้องเป็นงานหนักหนาสาหัสสากรรจ์แน่ๆ
“อุ้ย ไม่หนักหรอกค่ะ ปุ้ยชอบ ปุ้ยสนุกกับมันค่ะ” น้ำเสียงสดใสมีชีวิตชีวา แววตาบ่งบอกว่ามีความสุขจริงๆ
ผมกล่าวขอบคุณ เดินออกจากห้องมาด้วยความชื่นชม ไม่ว่าผู้บริหารมืออาชีพหรือนักวิชาการด้านบริหารจัดการบุคคลต่างประสานเป็นเสียงเดียวกันว่า หากว่าใครมีความสุขกับการทำงานแล้วรับรองว่าหน้าที่การงานแล่นฉิวเหมือนมีจรวดติดอยู่ที่ก้น