สองฝั่งฝัน (จรัญ ยั่งยืน)
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
1
อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องไป...
พลันที่ใจสั่งแบบนั้น ชายหนุ่มรีบคว้าเสื้อยืดสีท้องฟ้าตัวเก่งมาสวม เอาเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำคลุมทับ คว้ากุญแจรถออกมาจากห้องเช่าราคาถูก ล็อกลูกบิดประตูห้อง คล้องแม่กุญแจอีกชั้น เอาหมวกกันน็อคสวมศีรษะ แล้วสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขี่ออกมาทันที
แม้เขาพยายามตั้งสติเพื่อสงบใจที่ร้อนรุ่ม หลังสิ้นเสียงโทรศัพท์ของเธอ แต่ว่าตอนนี้เขาเหมือนดั่งมีเตาถ่านสุมอยู่ในอก เขาไม่สามารถอยู่ในห้องได้ เขาต้องไปสักที่หนึ่งเพื่อสงบจิตใจ
“จะไปไหนดี”
ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ตอนนี้จิตใจของวุ่นวายสับสน ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ขณะควบมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าเข้าเมือง เขารู้สึกหงุดหงิด แม้เป็นยามเช้าแต่ไม่ว่าจะเช้าวันธรรมดาหรือเช้าวันหยุด แต่ถนนสายนครแห่งโรงงานก็พลุกพล่านเมื่อเครื่องจักรในโรงงานเหมือนว่าไม่เคยจะหลับใหล
“เข้าห้างดีไหม”
วาบหนึ่งเขาคิดขึ้นแบบนั้น เมืองนี้กำลังเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าใหญ่โตไปต่างจากเมืองหลวง แต่มันยังเช้าเกินไป คงไม่มีห้างไหนเปิด และอีกอย่างการเดินห้างคนเดียวมันโดดเดี่ยวเดียวดายเกินไป
เมื่อชายหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงถนนบายพาสเลี่ยงเมือง เขาไม่มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองอันอัด เขาตัดสินใจเลี้ยวซ้ายไปตามถนนเลี่ยงเมือง หนทางข้างหน้ามีทางเลือกถึง 3 ทาง ทางหนึ่งไปยังอำเภอบ้านบึง ทางหนึ่งไปบางแสน และอีกทางหนึ่งไปพัทยา เมืองที่คนมากมายมุ่งหน้าไปยังที่นั่น
“ไปทะเลกันดีกว่า”
เขาคิดขึ้นมาโดยฉับพลัน เมื่อลมแรงปะทะผิวเนื้อ แม้จะไม่ใช่ลมเย็นชื่นใจ แต่มันช่วยลดดีกรีตวามรุ่มร้อนในใจลงได้บ้าง เขาจึงฮัมเพลงฝ่าสายลม
“ไปทะเลกันดีกว่า
ปล่อยใจให้สุขสันต์
ไปเล่นลมสู้คลื่น
สดชื่นและสมหวัง
.........................”
เมื่อได้ร้องเพลงทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้น เหมือนว่าร่างเขากำลังดำว่ายอยู่ในทะเลที่มีคลื่นซัดสาดเป็นระยะๆ
พอเขาควบรถจักรยานยนต์ข้ามสะพานข้ามแยกไปอำเภอบ้านบึงก็มาถึงทางสองแพร่ง ทางหนึ่งข้ามสะพาน อีกทางหนึ่งลอดใต้สะพาน เขาตัดสินไม่ขึ้นสะพานข้าม เลือกเส้นทางลอดใต้สะพาน เขาคิดว่าเมื่อจะไปทะเลก็ไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงพัทยา ไปแค่บางแสนก็พอ ทะเลก็งามพอกัน
เส้นทางไปชายหาดบางแสนนั้นเรียกว่าเป็นเส้นทางสายช็อปปิ้งก็ว่าได้ เมื่อมีห้างใหญ่ๆ ผุดขึ้นสี่ห้าแห่งทั้งสองฟาหฃกฝั่งของถนน 8 เลนที่คลาคล่ำไปด้วยรถ
การเกิดขึ้นอย่างมากมายของห้างระดับชาติในเมืองนี้ บ่งชี้ว่าเมืองนี้มีเงินสะพัดเหมือนมีคอยเทวดาโปรยปรายเงินลงมาไม่ขาดสาย ขึ้นอยู่กับว่าจะมีแรงไปแลกเงินนั้นมากน้อยแค่ไหน เงินที่โปรยปรายเป็นห่าฝนใหญ่ๆ มาจากโรงงานที่ผุดเต็มเมือง และอีกห่าหนึ่งก็มาจากการท่องเที่ยว ที่เรียกได้ว่าทะเลไม่เคยหลับก็ว่าได้
เอกพันธ์ต้องจากบ้านเกิดไกลกว่า 500 กิโลเมตรมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอุตสาหกรรมที่มีคนเดินเข้าออกวันละนับแสน เพราะกลิ่นเงินที่ติดตามตัวญาติพี่น้องและเพื่อนพ้องซึ่งขับรถกระบะกลับไปไกลบ้านในดินแดนที่ราบสูงช่วงสงกรานต์ช่างเย้ายวนใจ ใครจะปฏิเสธว่าเงินสามารถดลบันดาลอะไรได้หลายอย่าง ขนาดเรื่องของความรักแม้ว่าเรื่องของใจมาก่อน แต่ถ้าไม่มีเงินหล่อเลี้ยงความรักนั้นมีหรือจะยืนยาว
ชายหนุ่มเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พอรู้สึกตัวอีกทีมอเตอร์ไซค์ก็มาถึงสี่แยกหนองมนแล้ว เขาเลี้ยวขวาเข้าไปยังชายหาด ผ่านมหาวิทยาลัยและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทางทะเลที่มีคนมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย สำหรับชายหาดบางแสนนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นชายหาดราคาถูกที่อยู่คู่กับเมืองเมืองนี้มาช้านาน ทรายนุ่มเท้ามีมนต์เสน่ห์ให้หนุ่มสาวมาเดินจูงมือกันฝากรอยเท้าไว้ก่อนจะให้น้ำทะเลลบทิ้งไป
เขาเอารถไปจอดใต้ทิวต้นมะพร้าวที่ลมกระโชกใบปลิวไสว ลมทะเลพัดมาเย็นชื่นใจ แต่ขณะเดินลงไปรับลมทะเลบนหาดทราย ท้องก็ร้องจ๊อก...จ๊อก... เขาจึงเปลี่ยนแผน เดินตรงไปยังร้านไก่ย่างส้มตำรถเข็น เห็นไก่เนื้อเหลืองๆบนเตาถ่านแล้วน้ำลายสอขึ้นมาทันที
“ไก่ย่างไม้ละเท่าไหร่ครับป้า”
“ห้าสิบจ้ะพ่อหนุ่ม”
แม่ค้าสวมเสื้อสีเหลืองสดบอก ขณะที่มือหนึ่งของเธอยกสากตำๆ อีกมือหนึ่งเอากุ้งแห้ง เอาถั่วลิสงใส่ลงไปในครก
“ข้าวเหนียวล่ะ”
เอกพันธ์คิดว่าหากไก่ย่างมีข้าวเหนียวมาเข้าคู่น่าจะทำให้เขาอิ่มท้อง
“ถุงละสิบบาทจ้ะ”
“งั้นเอาไก่ย่างไม้หนึ่งกับข้าวเหนียวถุงหนึ่งนะป้า”
“จ้ะ รอแป๊บหนึ่งนะจ๊ะ”
แม่ค้าเอาส้มตำใส่จานกระดาษ แล้วยกให้เด็กชายวัยสักสิบขวบ
“เอาไปที่โต๊ะแรก ริมทางเดินนะลูก”
เธอสั่งเด็กชายแล้วหันมาพลิกไก่ที่มันหยดติ๋ง หยิบจานกระดาษมา เอาถุงน้ำจิ้มมาวางในจาน ยกไก่ที่เสีบบไม้ไผ่ผ่าซีกไม้หนึ่งวาง ต่อด้วยข้าวเหนียวอีก 1 ถุง
“ได้แล้วจ้ะ หกสิบบาท”
เมื่อจ่ายเงินเสร็จ เอกพันธ์เดินประคองจานหวังว่าจะข้ามทางที่เขาทำให้จักรยานขี่ เพื่อไปนั่งกินไก่ย่างบนขอบทางให้สบายอารมณ์
แต่ว่ายังไม่ทันข้ามพ้นเลนของจักรยาน เขาก็ต้องหงายหลังก้นจ้ำเบ้า ไก่ย่างกับข้าวเหนียวที่ประคองมาอย่างดีไม่ทันได้กินสักคำกระเด็นคลุกทราย ขณะที่มีร่างหนึ่งเซถลาไปกระแทกกับเหล็กกั้นทาง แล้วกองลงกับพื้น โชคดีที่เธอสะพายเป้อยู่ มันช่วยรองรับหลังของเธอเอาไว้ เมื่อเอกพันธ์ลุกขึ้นได้ก็พบว่าคนที่ชนเขาเป็นผู้หญิง หน้าตาไม่เหมือนคนไทยเสียด้วย เธอมีเลือดไหลออกมาจากศีรษะ
เอกพันธ์รีบเข้าประคองหญิงสาว แต่ว่าใบหน้าที่บ่งบอกว่าเป็นฝรั่ง ทำให้เขาอึกอักเหมือนกินข้าวติดคอ
“เอ้อ...เอ้อ...ขอโทษ...ซอรี่”
เขาพยายามจะพูดคำไทยปนคำฝรั่งตามที่พอจะนึกได้
หญิงสาวเหลือกตามองหน้าเขางงๆ มือยังกุมศีรษะที่มีเลือดไหลออกมา
“ขอโทษค่ะ”
คำพูดของเธอทำให้ชายหนุ่มต้องตาค้าง เพราะไม่คิดว่าเธอจะพูดภาษาไทยได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่สามารถพูดกับเธอรู้เรื่อง
“เอ้อ...เอ้อ...”
เอกพันธ์ไม่รู้จะพูดอะไรดี เมื่อเห็นว่าเลือดยังออกอยู่เขาจึงถอดเสื้อแจ๊กเก็ตดำออกแล้วถอดเสื้อสีครามตัวเก่งออกมาพันรอบศีรษะของเธอ เขาคิดว่าอย่างน้อยจะช่วยห้ามเลือดได้
ชายหนุ่มเหลือบดูใบหน้าหญิงสาว เธอไม่ใช่ฝรั่งธรรมดาแต่หน้าตาสวยเสียด้วย แถมยังมีตาสีดำเหมือนคนไทย เขารู้สึกว่าหญิงสาวยังงงๆ อยู่ น่าจะเป็นเพราะศีรษะของเธอฟาดกับที่กั้นทางอย่างรุนแรง เขาตัดสินใจว่าควรจะพาเธอไปหาหมอน่าจะดีที่สุด
“ไป...ไป...ไปหาหมอกัน”
ชายหนุ่มฉุดมือหญิงสาวลุกขึ้น พากึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่โคนต้นมะพร้าว เมื่อสตาร์ตเครื่อง ไม่รู้ว่าเป็นอุปาทานหรือเปล่า เขารู้สึกว่ามีชายกลุ่มหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา ชายหนุ่มคิดว่าหญิงสาวคงวิ่งหนีชายกลุ่มนี้มาแน่ๆ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะซักถามเรื่องราว เขาต้องรีบพาเธอหนีจากพวกนี้ไปก่อน และรีบไปหาหมอโดยเร็วที่สุด
พอหญิงสาวขึ้นนั่งซ้อนท้ายเรียบร้อย เขาบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์พุ่งออกไปทันที ทีแรกคิดว่าจะพาเธอไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่เขาใช้ประกันสังคมอยู่ แต่เมื่อคิดอีกที โรงพยาบาลนั้นหาง่าย พวกที่ตามเธอมาคงหาเจอแน่ๆ เขาจึงคิดว่าขี่มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะเข้าไปในเมือง เขารู้จักร้านหมอร้านหนึ่ง เป็นอาจารย์หมออยู่ในโรงพยาบาลของรัฐ แต่เปิดคลินิกรักษาในวันเสาร์-อาทิตย์ เขาเคยไปให้หมอช่วยเย็บแผลตอนมอเตอร์ไซค์คว่ำขาแหกเหวอะ ที่นี่น่าจะปลอดภัยกว่า แต่ทุกครั้งที่เขาเลี้ยวลัดเลาะตามซอย เขาอดไม่ได้ที่จะมองซ้ายมองขวาสำรวจตรวจตราว่ามีอะไรผิดสังเกตหรือไม่
ขณะที่หญิงสาวใบหน้าฝรั่งแต่พูดภาษาไทยได้นั่งเงียบ แรงกระแทกกับเหล็กกั้นทางคงทำให้เธอยังมึนงง เขาหวังว่าสมองของเธอคงไม่กระทบกระเทือนมากนัก เมื่อมอเตอร์ไซค์มาถึงคลินิก ก่อนจะจอดรถเขายังไม่วายมองว่าจะมีใครตามมาหรือไม่ แต่เมื่อไม่เห็นอะไรผิดสังเกต เขาจึงรีบพาเธอเข้าไปขางใน
เมื่อผลักประตูเข้าไปในร้านหมอ เจอหญิงสาววัยสี่สิบเศษ ผู้ช่วยของคุณหมอพอดี เธอรีบเข้ามาประคองหญิงสาวที่ศีรษะอาบเลือด
“ไปโดนอะไรมา รถล้มรึ”
ผู้ช่วยคุณหมอสอบถามอาการเบื้องต้น
“ไม่ใช่ครับ เธอวิ่งชนผมแล้วล้มไปถูกเหล็กกั้นทางครับ”
“อ้อ คุณรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวพี่จะพาเธอไปให้คุณหมอตรวจเลย”
ผู้ช่วยคุณหมอบอกแล้วพาหญิงสาวที่ใบหน้าเป็นฝรั่งหายเข้าไปในห้องคนไข้
เอกพันธ์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ ตอนนี้คนไข้ทยอยเข้ามาในคลินิกแล้วสองสามคน เขาแหงนดูนาฬิกาที่แขวนข้างฝา เกือบ 9 โมงเช้าแล้ว นั่งลงได้พักหนึ่ง เขานึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบเดินออกมานอกร้าน กวาดตามองไปยังรอบๆ ร้าน ไม่เห็นมีอะไรผิดปรกติ เขาถอนหายใจโล่งอก แล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า ผู้ช่วยของคุณหมอจึงเดินออกมาจากห้องคนไข้
“คุณหมอเย็บแผลให้แล้วค่ะ สงสัยว่าถูกขอบเหล็กบาด แม้ไม่ลึกนัก แต่ต้องเย็บแผลและฉีดยาแก้ปวดให้ ต้องให้นอนรอดูอาการอีกครึ่งชั่วโมงนะ เพราะคุณหมอบอกว่าหัวของเธอกระแทกเหล็กแรงอยู่เหมือนกัน”
ผู้ช่วยคุณหมอเล่าอย่างละเอียด
“ขอผมเข้าไปดูเธอหน่อยได้ไหม”
“พี่ว่าปล่อยให้เธอพักดีกว่า”
พูดจบเธอไปเรียกหญิงสาวที่มานั่งคอยอยู่ด้วยอาการไอตลอดเวลาเข้าไปข้างใน
ชายหนุ่มพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขากำลังเดินถือไก่ย่างเพื่อจะไปนั่งกินบนขอบเหล็กกั้นทาง แต่ยังไม่ทันได้กิน หญิงสาวก็วิ่งมาชนจนจานไก่ย่างซึ่งสับเรียบร้อยแล้วกระเด็นคลุกทราย ส่วนหญิงสาวเซถลาล้มลงหัวกระแทกกับขอบเหล็กจนเลือดไหลโกรก แต่เธอยังโชคดี เป้ที่สะพายหลังมารองการกระแทกของหลังไว้ มิฉะนั้นเธออาจจะเจ็บมากกว่านี้
“หวังว่าเธอคงไม่เป็นอะไรมาก”
ชายหนุ่มงึมงำ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความรู้สึกหิวกลายเป็นความรู้สึกตื่นเต้นตกใจ จนหายหิวโดยไม่รู้ตัว แต่ว่าตอนนี้เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายลง เขารู้สึกว่าท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ อีกแล้ว
“อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้นะ”
ชายหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ก่อนออกจากบ้านเช่า เขาวุ่นวายใจในเรื่องหนึ่ง แต่กลับต้องมาเจอเรื่องที่วุ่นวายอีกเรื่องหนึ่ง
วันนี้คงไม่ใช่วันดีของเขาแน่ๆ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะเจออะไรอีก นอกจากได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งในเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแล้ว
“เฮ้อ...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ไม่มีรู้ว่าความรู้สึกปลงนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือจะเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกเมื่อใดเห็นทุกข์เมื่อนั้นเห็นธรรม
ผู้ช่วยของคุณหมอเดินหายเข้าไปในห้องพักหนึ่งเธอก็เดินออกมาหาชายหนุ่ม
“คนเจ็บชื่ออะไรนะ พี่ขอรายละเอียดหน่อย”
“เอ้อ...เอ้อ...ไม่รู้เหมือนกันครับ”
ชายหนุ่มตอบ
“อ้าว ไม่รู้จักกันเรอะ”
ผู้ช่วยคุณหมอทำหน้าฉงน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเขาเล่าให้ฟังได้แล้ว เธอก็อมยิ้ม
“ขอโทษที พี่มันคนขี้ลืม พอดีคุณหมอท่านถาม”
ชายหนุ่มก็อดยิ้มไม่ได้ ถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่พามาหาหมอเป็นใคร อยู่ที่ไหน รู้แต่เพียงว่าสองคนพบกันเพราะอุบัติเหตุ
“ตอนนี้เธอกำลังหลับอยู่ คงต้องรอเธอตื่นก่อน”
ผู้ช่วยคุณหมอบอกแล้วเดินเปิดประตูเดินเข้าไปข้างในห้องที่หญิงสาวนอนอยู่
ชายหนุ่มคิดว่า เขาควรจะหลับตานิ่งๆ สักพัก อย่างน้อยจะไม่รู้สึกหิวมากนัก นั่งสัปหงกได้พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็เผลอหลับไป เขาฝันว่าได้ลงไปเล่นน้ำทะเล ว่ายโต้คลื่นออกจากฝั่งไปเรื่อยๆ ยิ่งว่ายไกลออกไปเขายิ่งรู้สึกว่าท้องทะเลยิ่งสวยงาม เขาอยากจะไปให้ถึงขอบฟ้าที่อยู่ลิบๆ โน่น
แต่ว่า...ขณะที่เขากำลังว่ายเข้าไปจะถึงเส้นขอบฟ้าก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น
ฉลาม... ฉลามฝูงใหญ่กรูกันมาทางเขา
ทำให้เขาตกใจตื่น