มรสุม (ฉมังฉาย)

มรสุม (ฉมังฉาย)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: มรสุม
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ภาค ๑

 

 

มีใครบางคนตะโกนบอกให้ไปตามลุงพวนดังเล็ดลอดออกมาจากบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนสองชั้นหลังหนึ่ง ที่ซุกตัวอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้หลากหลายชนิด  แต่ยังไม่ทันมีใครปฏิบัติตามคำสั่งนั้น หญิงสาวผิวคล้ำวัยสามสิบปลาย ๆได้ร้องทัดทานขึ้น  ป้าหยกจะเอายังงั้นหรือ หญิงสูงวัยที่ถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน ไล  ป้าเห็นคนเป็นแบบนี้มามากต่อมากแล้วนะ ถ้าไม่ตามหมอผี แล้วจะให้ตามใคร

            แม้ระอุแดดที่แผ่กระจายอยู่นอกบ้านผ่อนคลายลงด้วยสายลมวูบใหญ่แล้วก็ตาม ทว่าภายในบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้หลังเดิมกลับร้อนแรงยิ่งขึ้น เมื่อชายหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่งส่งเสียงร้องเอะอะโวยวายขึ้น และบางครั้งพึมพำออกมาไม่เป็นภาษา ซ้ำร่างกายนั้นก็สั่นเทิ้มอย่างหนัก พิไลลักษณ์มองเขาด้วยความรู้สึกสงสารและเวทนายิ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับป้าหยก  ไลว่าพาไปโรงพยาบาลดีกว่ามั้ง  แต่ไม่วายถูกคัดค้านจากหญิงสูงวัย 

พิไลลักษณ์เกิดความลังเลใจ  ตัดสินใจไม่ได้ว่าระหว่างจะนำสามีไปหาหมอหลวง กับจะนำหมอผีมารักษา เธอต้องเลือกสิ่งใด  ในขณะที่กำลังชั่งใจอยู่ เธอเหลือบไปมองชายชราที่นั่งอยู่ตรงมุมบ้านประหนึ่งว่าจะขอฟังความคิดเห็นของแกให้ได้

            เมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวเข้าบดบังพระอาทิตย์ เกิดเงาเทาๆทอดลงทาทาบพื้นโลก ทำให้อากาศมืดครึ้มทันที ชายหนุ่มยกมือขึ้นทั้งสองข้าง และกางนิ้วหราในอากาศพลางละลักละล่ำพูด   อย่า อย่า อย่าเอาชีวิตผมไปเลย  ผมยังมีลูกเมียต้องดูแล  อย่า...อย่า...โอ  ชายชราที่นั่งมองอย่างสงบนิ่งในตอนแรกจึงตวาดขึ้นเสียงแข็งกร้าว  มึงเป็นบ้าอะไรวะ 

ชายหนุ่มเมื่อถูกตวาดก็หันมามองชายชรา แล้วจึงชี้และพูด  ป๋า  ป๋าไม่เห็นหรือ มันยืนอยู่ตรงประตูนั่น  ชายชราหันไปมอง แต่พบกับความว่างเปล่า หาได้มีร่างของใครยืนตระหง่านอยู่ที่ประตูไม่  แกส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยความอ่อนล้าจิตใจเหลือเกิน

            บนท้องฟ้าเมฆคลายพระอาทิตย์ออกแล้ว แสงสว่างส่องลงทาบพื้นดิน แต่ภายในบ้านยังเต็มไปด้วยความมืดมน  พิไลลักษณ์ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่กลับมาจากการเข้าค่ายพักแรมลูกเสือและเนตรนารีของโรงเรียนที่เธอและสามีสอนอยู่  สามีเริ่มตกอยู่ในอาการซึมเศร้า  และบางครั้งพูดจาในเรื่องแปลก ๆ ซึ่งมองไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนไม่พูด หรือเชื่อในสิ่งที่กำลังพร่ำฝอยอยู่ แต่หลังจากเกิดพฤติกรรมผิดเพี้ยนนั้นได้ไม่นาน เขากลับสู่สภาพปกติ

ทว่าเวลาผ่านไปได้เพียงสองวัน  ก็เข้าสู่ความผิดปกติอีกครั้ง  และในครั้งนั้นไม่เพียงแต่พูดจาเลอะเทอะเปรอะเปื้อน พูดเฉพาะสิ่งลี้ลับ  แต่กลับมีอาการสั่นสะท้านเข้ามารุมเร้าเขาอย่างหนักอีกด้วย  เมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เวลาเนิ่นช้าออกไป สามีอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์สายเกินแก้  เธอจึงนำเขาไปพบหมอที่คลินิกใกล้บ้าน

            จากการตรวจอาการของหมอ  หมอสันนิษฐานว่า จิตใจของสามีของเธออาจตกอยู่ในภาวะตึงเครียดจนป่วยไข้  ซึ่งเธอก็เชื่อตามที่หมอวินิจฉัย เธอทราบดีว่าในระยะไม่กี่เดือนมานี้ สามีซึ่งมีตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่ทำงานหนักมาก เนื่องจากมีการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาลของรัฐบาลอย่างใหญ่หลวง

หมอที่คลินิกจัดยาลดไข้และยาผ่อนคลายความตึงเครียดให้ และหลังจากไปพบหมอ อาการป่วยของเขาก็ทุเลาลง  แต่ยังไม่ทันข้ามสัปดาห์ อาการเดิมๆก็กลับมาสำแดงอีกหน  

พิไลลักษณ์เดินเข้าไปหาชายชราตรงมุมบ้านแล้วเอ่ยถามเบา ๆ  ป๋า ว่ายังไง  ไลว่ามันชักจะไม่เข้าท่าแล้วนะคะ  ชายชราแม้จะผ่านกาลเวลามาเกือบเจ็ดสิบ แต่ด้วยว่าในวัยเด็กถึงวัยหนุ่มถูกเลี้ยงดูมาอย่างมีเหตุมีผล และได้รับการศึกษาในโรงเรียน กระทั่งมีอาชีพเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แกเป็นคนหัวก้าวหน้า  ไม่ค่อยเชื่อถือหรืองมงายในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ จึงเอ่ยปากสั่งลูกสาว  เอาไอ้เมธไปโรงพยาบาลเถอะ

            หญิงสูงวัยเมื่อได้ยินคนแก่สั่งความเช่นนั้นจึงแสดงความคิดอีกครั้ง  ถ้าพี่เชย คิดแบบนั้นก็ตามใจนะ แต่สำหรับฉัน ฉันอยากให้พี่พวนมาดูอาการสักหน่อย 

            พิไลลักษณ์มองหน้าป้าหยกด้วยความรู้สึกเป็นกลาง ไม่ได้นึกเหยียดหยาม หรือดูถูกดูแคลนในความคิดเห็นของแกเลย  ซึ่งเธอรู้ดีว่าป้าหยกรักและเอ็นดูเธอกับสามีมากขนาดไหน แต่หากเธอตัดสินใจกระทำตามที่ป้าหยกเชื่อและแนะนำ  เธอเกรงว่าจะสายเกินแก้ 

            สายลมกวัดแกว่งใบต้นมะม่วงหิมพานต์พลิกไหวดังกรากแกรกอยู่ครู่ใหญ่  แล้วเงียบเสียงลง  ชายหนุ่มตะโกนออกมาเสียงดัง   มันมาอีกแล้ว นั่นๆ ตัวใหญ่อยู่ตรงขวามือ  ตัวเล็กอยู่ด้านซ้ายมือ  ขอร้องเถอะ ไว้ชีวิตผมด้วย ผมจะไม่ทำอีกแล้ว  ในขณะที่พร่ำขอชีวิต มือข้างซ้ายก็พยายามจะรูดแหวนหลวงปู่ทวดออกจากนิ้วกลางขวา แต่การรูดเป็นไปด้วยความยากลำบาก  เพราะตัวเขาเองพยายามจะขัดขืน โดยหักงอนิ้วกลางและออกแรงต้านตลอดเวลา

            พิไลลักษณ์น้ำตาซึม มองร่างสามีด้วยความหดหู่ใจและคิดคำนึง  หากลูก ๆ มาเห็นสภาพของพ่อของพวกเขาในขณะนี้จะไม่รู้สึกหวาดกลัวเชียวหรือ ลูก ๆ คงตกอยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวน นับว่าโชคดีแล้วที่พวกเขาไปเล่นกับเพื่อน ๆ ในสนามหญ้าที่โรงเรียน ไกลจากบ้านครึ่งกิโลเมตร

            ชายชราเห็นท่าจะไม่ดีจึงเอ่ยปากบอกลูกสาวให้ไปตามเพื่อนบ้านคนหนึ่งเพื่อมาช่วยขับรถกระบะนำตัวลูกเขยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดอย่างเร่งด่วน

 

ทิวทัศน์ข้างทางไหลเลื่อนไปด้านหลังได้ไม่เร็วนัก  ลุงเถียรปรารถนาเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว แต่ก็ไม่กล้ากระทำ  สายตาของคนชราไม่ค่อยสู้ดีเลยในยามวิกาล  ลุงเถียรเหลือบมองเบาะหลังเห็นพิไลลักษณ์นั่งประคองร่างสามีด้วยความหวาดวิตก ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลาและปากพร่ำแต่สิ่งที่มองไม่เห็น  

พิไลลักษณ์เอ่ยปากเร่งให้คนขับเพิ่มความเร็ว  คนขับรู้สึกหวั่นเกรงว่าจะไม่ทันการรักษา จึงจำยอมกดคันเร่งลงไปอีก  รถวิ่งมาถึงสี่แยกแห่งหนึ่งจำต้องชะลอและหยุดรอสัญญาณไฟ  ความกระวนกระวายรุมเร้าอย่างหนักหน่วง  เธอกวาดสายตามองถนนอีกสามสายที่มาบรรจบกันตรงสี่แยก  ถนนด้านซ้ายมีรถเคลื่อนผ่านไฟเขียวมาไม่ขาดสาย  ส่วนถนนอีกสองสายมีรถจอดรอสัญญาณอยู่ปริมาณไม่น้อย  เธอตัดสินใจบอกลุงเถียรให้เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินขอทาง   กว่าจะหลุดจากสี่แยกแห่งนั้นมาได้ ก็ต้องระไวระวังยวดยานวิ่งสวนมาเป็นพิเศษ  และนับว่ายังโชคดีไม่น้อย เพราะผู้คนที่ขับยวดยานบนท้องถนนในเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ยังคงเหลือน้ำใจไว้แบ่งปันให้กับคนที่ทุกข์ร้อน 

รถกระบะแล่นฉิวไปตามถนนเส้นหนึ่ง  ลุงเถียรเอ่ยถามพิไลลักษณ์เพื่อตอกย้ำความมั่นใจ  ไปโรงพยาบาล...ใช่ไหมไล  เธอพยักหน้าพร้อมตอบ ใช่แล้ว   เหตุที่เธอเลือกนำสามีไปส่งโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น เพราะเธอเชื่อมั่นในการให้บริการ  ในนาทีแห่งความวิกฤติ  คุณภาพของการรักษาต้องเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง  ประกอบกับฐานะทางการเงินของเธอ แม้ไม่ถึงขั้นร่ำรวยประเภทมีเงินถุงเงินถัง   แต่ก็สามารถจะจ่ายเพื่อเยียวยาสามีได้ 

นับว่าเป็นเรื่องโชคดีอีกครั้ง สัญญาณไฟจราจรหน้าโรงพยาบาลเป็นสีเขียวทันทีที่รถกระบะของลุงเถียรแล่นมาถึง ลุงเถียรสาวพวงมาลัยเลี้ยวปราดเข้าไปทางประตูรั้วหน้าของโรงพยาบาล ความวิตกกังวลที่ถมทับเธออยู่ก็บรรเทาผ่อนคลายลงไปบ้าง เธอมองหน้าสามีแล้วยิ้มปลอบใจพลางบอก พี่เมธถึงโรงพยาบาลแล้ว อดทนหน่อยนะคะ  สามีของเธอพยักหน้าหงึกหงักไม่พูดจาใด ๆ ทั้งสิ้น  แต่ไม่วายกรอกดวงตาเหลือกลานมองออกไปนอกรถ

รถกระบะเบรกดังเอี๊ยดตรงหน้าประตูห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ดันรถเข็นมาเทียบอย่างด่วนจี๋  ลุงเถียรก้าวพรวดลงจากรถหมายจะเปิดประตูอีกด้านหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่กระชากประตูออกอย่างรวดเร็วตัดหน้าไปเสียก่อน  พิไลลักษณ์ผลักเบาะนั่งด้านหน้าไปข้างหน้า   แทรกร่างออกมา จากนั้นดึงสามีออกมาจากตัวรถ 

เธอประคับประคองร่างของเขามานั่งบนรถเข็น ก่อนเจ้าหน้าที่จะเข็นรถออกไปอย่างฉับพลัน ส่วนลุงเถียรกึ่งเดินกึ่งวิ่งอ้อมไปทางด้านหน้ารถ  เบี่ยงกายเข้าไปนั่งภายใน จากนั้นเคลื่อนรถกระบะออกไปจอดบนลานจอดรถ ซึ่งไม่ไกลเลยด้วยความโล่งใจไปอีกเปลาะหนึ่ง

 

หัวใจของเธอแทบแตกสลาย  เมื่อหมอบอกว่าไม่สามารถรับสามีของเธอไว้เป็นคนป่วยของโรงพยาบาลได้  เธอหูอื้อตาลาย เกิดความสงสัยทำไมหมอถึงบอกปฏิเสธด้วยเหตุผลแค่นั้น ความคิดของเธอ ขณะนี้สามีตกอยู่ในอาการวิกฤติ  หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที  อาจอันตรายถึงขั้นชีวิตได้

นี่รึโรงพยาบาลเอกชน เธอตั้งคำถามอยู่ในใจเงียบ ๆ น้อยเนื้อต่ำใจเป็นที่สุด  น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม เรี่ยวแรงที่จะฉุดพาร่างไปข้างหน้าใกล้หมดกำลังแล้ว  เธอกัดฟันฝืนความรู้สึกรันทดนั้น เดินตามเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังเข็นสามีออกไปทางประตูห้องฉุกเฉิน เพื่อขึ้นรถกระบะซึ่งลุงเถียรได้นำมาจอดรออยู่แล้ว

ขอโทษนะครับที่ไม่สามารถรับสามีของคุณไว้เป็นคนป่วยของโรงพยาบาลเราได้  นั่นคือน้ำเสียงของหมอที่ปั้นออกมาให้ฟังดูนุ่มนวลปนเศร้าสร้อย  แต่ถึงอย่างไรในความรู้สึกของเธอน้ำเสียงนั้นไม่แนบเนียนสักเท่าใดเลย

เธอรู้สึกประหลาดใจ ตอนแรกพยาบาลสาวโทรศัพท์เรียกหมอเวรเข้ามาทำการรักษาคนป่วย หลังจากเธอเล่าอาการผิดปกติของเขาให้หมอฟังอย่างละเอียด หมอขอตัวออกไปนอกห้องนานเกินปกติ ทิ้งไว้เพียงพยาบาลทำการตรวจอาการเบื้องต้นไปพลาง ๆก่อน  หมอกลับเข้ามาห้องฉุกเฉินอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก และยังบอกอีกว่าหมอหมดปัญญา   หมอไม่อาจตัดสินใจได้เองทุกเรื่อง หมอใหญ่แจ้งมาว่าทางโรงพยาบาลไม่มีนโยบายรับคนป่วยอาการบกพร่องทางจิตไว้  เพราะเกรงว่าขณะที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น หากคนป่วยมีอาการกำเริบหรือมีอาการเพี้ยนจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คนป่วยอาจตัดสินใจทำร้ายผู้อื่นหรืออาจกระโดดตึกเพื่อฆ่าตัวตาย นั่นหมายถึงว่าเหตุการณ์เหล่านั้นที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของคนป่วยเองจะนำพาความเสื่อมเสียมาสู่โรงพยาบาลเอกชนที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในช่วงนั้นโลกแทบหยุดหมุนเลยทีเดียว รอบกายเงียบสงัด เงียบจนเธอแทบไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจของตัวเอง  หมอวินิจฉัยง่ายดายแบบนั้นเองเหรอ  หมอลงความเห็นว่าสามีของเธอเป็นคนบ้า ทั้งที่ยังไม่ได้ตรวจอาการอย่างถี่ถ้วนเลย

เธอนึกเครียดแค้นใจพลางนึกตำหนิตัวเองที่คิดดูแคลนโรงพยาบาลประจำอำเภอ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน แล่นรถผ่านมาโดยไม่สนใจที่จะแวะ อุตส่าห์ดั้นด้นมาเป็นระยะทางร่วมสามสิบกิโลเมตร มาเพื่อพบกับความซอกช้ำทรวงแท้ ๆ 

ไปไหนต่อ ลุงเถียรถามหลังทราบเรื่องราวหมดแล้ว  เธอมองหน้าแกแล้วพูดด้วยน้ำตานองหน้า ไปโรงพยาบาล...ค่ะ  ด้วยความห่วงคนป่วยผสมกับความขุ่นเคืองโรงพยาบาลทำให้ลุงเถียรลืมตัวไปชั่วขณะ กระชากรถกระบะออกจากโรงพยาบาลเอกชนอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังลั่น

รายละเอียด

ผลงานลำดับที่ 6 ของอัญญะสำนักพิมพ์

 

ชื่อหนังสือ       มรสุม

ประเภท           นิยายไทย

ผู้แต่ง               ฉมังฉาย

พิมพ์ครั้งที่แรก  2552 โดย สำนักพิมพ์นานมีบุคส์เอโนเวล            

พิมพ์ครั้งที่สอง    2560   

 

เจ้าของ             มนูญ   ณ นคร

บรรณาธิการ    พิกุล ณ นคร

ฝ่ายศิลปกรรม / รูปเล่ม           ละอ่อนดง

พิสูจน์อักษร     นพดล จี๋เอ้ย

 

จัดพิมพ์โดย     อัญญะสำนักพิมพ์

สำนักงานเลขที่  80/3  หมู่ 1  ตำบลบ้านสหกรณ์  อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ 50130   โทร. 0896515060 

e-mail:[email protected]

 

  สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

ราคา115 บาท


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (70 รายการ)

www.batorastore.com © 2024