มรสุม (ฉมังฉาย)
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ภาค ๑
๑
มีใครบางคนตะโกนบอกให้ไปตามลุงพวนดังเล็ดลอดออกมาจากบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนสองชั้นหลังหนึ่ง ที่ซุกตัวอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้หลากหลายชนิด แต่ยังไม่ทันมีใครปฏิบัติตามคำสั่งนั้น หญิงสาวผิวคล้ำวัยสามสิบปลาย ๆได้ร้องทัดทานขึ้น ป้าหยกจะเอายังงั้นหรือ หญิงสูงวัยที่ถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน ไล ป้าเห็นคนเป็นแบบนี้มามากต่อมากแล้วนะ ถ้าไม่ตามหมอผี แล้วจะให้ตามใคร
แม้ระอุแดดที่แผ่กระจายอยู่นอกบ้านผ่อนคลายลงด้วยสายลมวูบใหญ่แล้วก็ตาม ทว่าภายในบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้หลังเดิมกลับร้อนแรงยิ่งขึ้น เมื่อชายหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่งส่งเสียงร้องเอะอะโวยวายขึ้น และบางครั้งพึมพำออกมาไม่เป็นภาษา ซ้ำร่างกายนั้นก็สั่นเทิ้มอย่างหนัก พิไลลักษณ์มองเขาด้วยความรู้สึกสงสารและเวทนายิ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับป้าหยก ไลว่าพาไปโรงพยาบาลดีกว่ามั้ง แต่ไม่วายถูกคัดค้านจากหญิงสูงวัย
พิไลลักษณ์เกิดความลังเลใจ ตัดสินใจไม่ได้ว่าระหว่างจะนำสามีไปหาหมอหลวง กับจะนำหมอผีมารักษา เธอต้องเลือกสิ่งใด ในขณะที่กำลังชั่งใจอยู่ เธอเหลือบไปมองชายชราที่นั่งอยู่ตรงมุมบ้านประหนึ่งว่าจะขอฟังความคิดเห็นของแกให้ได้
เมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวเข้าบดบังพระอาทิตย์ เกิดเงาเทาๆทอดลงทาทาบพื้นโลก ทำให้อากาศมืดครึ้มทันที ชายหนุ่มยกมือขึ้นทั้งสองข้าง และกางนิ้วหราในอากาศพลางละลักละล่ำพูด อย่า อย่า อย่าเอาชีวิตผมไปเลย ผมยังมีลูกเมียต้องดูแล อย่า...อย่า...โอ ชายชราที่นั่งมองอย่างสงบนิ่งในตอนแรกจึงตวาดขึ้นเสียงแข็งกร้าว มึงเป็นบ้าอะไรวะ
ชายหนุ่มเมื่อถูกตวาดก็หันมามองชายชรา แล้วจึงชี้และพูด ป๋า ป๋าไม่เห็นหรือ มันยืนอยู่ตรงประตูนั่น ชายชราหันไปมอง แต่พบกับความว่างเปล่า หาได้มีร่างของใครยืนตระหง่านอยู่ที่ประตูไม่ แกส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยความอ่อนล้าจิตใจเหลือเกิน
บนท้องฟ้าเมฆคลายพระอาทิตย์ออกแล้ว แสงสว่างส่องลงทาบพื้นดิน แต่ภายในบ้านยังเต็มไปด้วยความมืดมน พิไลลักษณ์ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่กลับมาจากการเข้าค่ายพักแรมลูกเสือและเนตรนารีของโรงเรียนที่เธอและสามีสอนอยู่ สามีเริ่มตกอยู่ในอาการซึมเศร้า และบางครั้งพูดจาในเรื่องแปลก ๆ ซึ่งมองไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนไม่พูด หรือเชื่อในสิ่งที่กำลังพร่ำฝอยอยู่ แต่หลังจากเกิดพฤติกรรมผิดเพี้ยนนั้นได้ไม่นาน เขากลับสู่สภาพปกติ
ทว่าเวลาผ่านไปได้เพียงสองวัน ก็เข้าสู่ความผิดปกติอีกครั้ง และในครั้งนั้นไม่เพียงแต่พูดจาเลอะเทอะเปรอะเปื้อน พูดเฉพาะสิ่งลี้ลับ แต่กลับมีอาการสั่นสะท้านเข้ามารุมเร้าเขาอย่างหนักอีกด้วย เมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เวลาเนิ่นช้าออกไป สามีอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์สายเกินแก้ เธอจึงนำเขาไปพบหมอที่คลินิกใกล้บ้าน
จากการตรวจอาการของหมอ หมอสันนิษฐานว่า จิตใจของสามีของเธออาจตกอยู่ในภาวะตึงเครียดจนป่วยไข้ ซึ่งเธอก็เชื่อตามที่หมอวินิจฉัย เธอทราบดีว่าในระยะไม่กี่เดือนมานี้ สามีซึ่งมีตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่ทำงานหนักมาก เนื่องจากมีการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาลของรัฐบาลอย่างใหญ่หลวง
หมอที่คลินิกจัดยาลดไข้และยาผ่อนคลายความตึงเครียดให้ และหลังจากไปพบหมอ อาการป่วยของเขาก็ทุเลาลง แต่ยังไม่ทันข้ามสัปดาห์ อาการเดิมๆก็กลับมาสำแดงอีกหน
พิไลลักษณ์เดินเข้าไปหาชายชราตรงมุมบ้านแล้วเอ่ยถามเบา ๆ ป๋า ว่ายังไง ไลว่ามันชักจะไม่เข้าท่าแล้วนะคะ ชายชราแม้จะผ่านกาลเวลามาเกือบเจ็ดสิบ แต่ด้วยว่าในวัยเด็กถึงวัยหนุ่มถูกเลี้ยงดูมาอย่างมีเหตุมีผล และได้รับการศึกษาในโรงเรียน กระทั่งมีอาชีพเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แกเป็นคนหัวก้าวหน้า ไม่ค่อยเชื่อถือหรืองมงายในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ จึงเอ่ยปากสั่งลูกสาว เอาไอ้เมธไปโรงพยาบาลเถอะ
หญิงสูงวัยเมื่อได้ยินคนแก่สั่งความเช่นนั้นจึงแสดงความคิดอีกครั้ง ถ้าพี่เชย คิดแบบนั้นก็ตามใจนะ แต่สำหรับฉัน ฉันอยากให้พี่พวนมาดูอาการสักหน่อย
พิไลลักษณ์มองหน้าป้าหยกด้วยความรู้สึกเป็นกลาง ไม่ได้นึกเหยียดหยาม หรือดูถูกดูแคลนในความคิดเห็นของแกเลย ซึ่งเธอรู้ดีว่าป้าหยกรักและเอ็นดูเธอกับสามีมากขนาดไหน แต่หากเธอตัดสินใจกระทำตามที่ป้าหยกเชื่อและแนะนำ เธอเกรงว่าจะสายเกินแก้
สายลมกวัดแกว่งใบต้นมะม่วงหิมพานต์พลิกไหวดังกรากแกรกอยู่ครู่ใหญ่ แล้วเงียบเสียงลง ชายหนุ่มตะโกนออกมาเสียงดัง มันมาอีกแล้ว นั่นๆ ตัวใหญ่อยู่ตรงขวามือ ตัวเล็กอยู่ด้านซ้ายมือ ขอร้องเถอะ ไว้ชีวิตผมด้วย ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ในขณะที่พร่ำขอชีวิต มือข้างซ้ายก็พยายามจะรูดแหวนหลวงปู่ทวดออกจากนิ้วกลางขวา แต่การรูดเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะตัวเขาเองพยายามจะขัดขืน โดยหักงอนิ้วกลางและออกแรงต้านตลอดเวลา
พิไลลักษณ์น้ำตาซึม มองร่างสามีด้วยความหดหู่ใจและคิดคำนึง หากลูก ๆ มาเห็นสภาพของพ่อของพวกเขาในขณะนี้จะไม่รู้สึกหวาดกลัวเชียวหรือ ลูก ๆ คงตกอยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวน นับว่าโชคดีแล้วที่พวกเขาไปเล่นกับเพื่อน ๆ ในสนามหญ้าที่โรงเรียน ไกลจากบ้านครึ่งกิโลเมตร
ชายชราเห็นท่าจะไม่ดีจึงเอ่ยปากบอกลูกสาวให้ไปตามเพื่อนบ้านคนหนึ่งเพื่อมาช่วยขับรถกระบะนำตัวลูกเขยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดอย่างเร่งด่วน
ทิวทัศน์ข้างทางไหลเลื่อนไปด้านหลังได้ไม่เร็วนัก ลุงเถียรปรารถนาเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว แต่ก็ไม่กล้ากระทำ สายตาของคนชราไม่ค่อยสู้ดีเลยในยามวิกาล ลุงเถียรเหลือบมองเบาะหลังเห็นพิไลลักษณ์นั่งประคองร่างสามีด้วยความหวาดวิตก ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลาและปากพร่ำแต่สิ่งที่มองไม่เห็น
พิไลลักษณ์เอ่ยปากเร่งให้คนขับเพิ่มความเร็ว คนขับรู้สึกหวั่นเกรงว่าจะไม่ทันการรักษา จึงจำยอมกดคันเร่งลงไปอีก รถวิ่งมาถึงสี่แยกแห่งหนึ่งจำต้องชะลอและหยุดรอสัญญาณไฟ ความกระวนกระวายรุมเร้าอย่างหนักหน่วง เธอกวาดสายตามองถนนอีกสามสายที่มาบรรจบกันตรงสี่แยก ถนนด้านซ้ายมีรถเคลื่อนผ่านไฟเขียวมาไม่ขาดสาย ส่วนถนนอีกสองสายมีรถจอดรอสัญญาณอยู่ปริมาณไม่น้อย เธอตัดสินใจบอกลุงเถียรให้เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินขอทาง กว่าจะหลุดจากสี่แยกแห่งนั้นมาได้ ก็ต้องระไวระวังยวดยานวิ่งสวนมาเป็นพิเศษ และนับว่ายังโชคดีไม่น้อย เพราะผู้คนที่ขับยวดยานบนท้องถนนในเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ยังคงเหลือน้ำใจไว้แบ่งปันให้กับคนที่ทุกข์ร้อน
รถกระบะแล่นฉิวไปตามถนนเส้นหนึ่ง ลุงเถียรเอ่ยถามพิไลลักษณ์เพื่อตอกย้ำความมั่นใจ ไปโรงพยาบาล...ใช่ไหมไล เธอพยักหน้าพร้อมตอบ ใช่แล้ว เหตุที่เธอเลือกนำสามีไปส่งโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น เพราะเธอเชื่อมั่นในการให้บริการ ในนาทีแห่งความวิกฤติ คุณภาพของการรักษาต้องเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ประกอบกับฐานะทางการเงินของเธอ แม้ไม่ถึงขั้นร่ำรวยประเภทมีเงินถุงเงินถัง แต่ก็สามารถจะจ่ายเพื่อเยียวยาสามีได้
นับว่าเป็นเรื่องโชคดีอีกครั้ง สัญญาณไฟจราจรหน้าโรงพยาบาลเป็นสีเขียวทันทีที่รถกระบะของลุงเถียรแล่นมาถึง ลุงเถียรสาวพวงมาลัยเลี้ยวปราดเข้าไปทางประตูรั้วหน้าของโรงพยาบาล ความวิตกกังวลที่ถมทับเธออยู่ก็บรรเทาผ่อนคลายลงไปบ้าง เธอมองหน้าสามีแล้วยิ้มปลอบใจพลางบอก พี่เมธถึงโรงพยาบาลแล้ว อดทนหน่อยนะคะ สามีของเธอพยักหน้าหงึกหงักไม่พูดจาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่วายกรอกดวงตาเหลือกลานมองออกไปนอกรถ
รถกระบะเบรกดังเอี๊ยดตรงหน้าประตูห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ดันรถเข็นมาเทียบอย่างด่วนจี๋ ลุงเถียรก้าวพรวดลงจากรถหมายจะเปิดประตูอีกด้านหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่กระชากประตูออกอย่างรวดเร็วตัดหน้าไปเสียก่อน พิไลลักษณ์ผลักเบาะนั่งด้านหน้าไปข้างหน้า แทรกร่างออกมา จากนั้นดึงสามีออกมาจากตัวรถ
เธอประคับประคองร่างของเขามานั่งบนรถเข็น ก่อนเจ้าหน้าที่จะเข็นรถออกไปอย่างฉับพลัน ส่วนลุงเถียรกึ่งเดินกึ่งวิ่งอ้อมไปทางด้านหน้ารถ เบี่ยงกายเข้าไปนั่งภายใน จากนั้นเคลื่อนรถกระบะออกไปจอดบนลานจอดรถ ซึ่งไม่ไกลเลยด้วยความโล่งใจไปอีกเปลาะหนึ่ง
หัวใจของเธอแทบแตกสลาย เมื่อหมอบอกว่าไม่สามารถรับสามีของเธอไว้เป็นคนป่วยของโรงพยาบาลได้ เธอหูอื้อตาลาย เกิดความสงสัยทำไมหมอถึงบอกปฏิเสธด้วยเหตุผลแค่นั้น ความคิดของเธอ ขณะนี้สามีตกอยู่ในอาการวิกฤติ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที อาจอันตรายถึงขั้นชีวิตได้
นี่รึโรงพยาบาลเอกชน เธอตั้งคำถามอยู่ในใจเงียบ ๆ น้อยเนื้อต่ำใจเป็นที่สุด น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม เรี่ยวแรงที่จะฉุดพาร่างไปข้างหน้าใกล้หมดกำลังแล้ว เธอกัดฟันฝืนความรู้สึกรันทดนั้น เดินตามเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังเข็นสามีออกไปทางประตูห้องฉุกเฉิน เพื่อขึ้นรถกระบะซึ่งลุงเถียรได้นำมาจอดรออยู่แล้ว
ขอโทษนะครับที่ไม่สามารถรับสามีของคุณไว้เป็นคนป่วยของโรงพยาบาลเราได้ นั่นคือน้ำเสียงของหมอที่ปั้นออกมาให้ฟังดูนุ่มนวลปนเศร้าสร้อย แต่ถึงอย่างไรในความรู้สึกของเธอน้ำเสียงนั้นไม่แนบเนียนสักเท่าใดเลย
เธอรู้สึกประหลาดใจ ตอนแรกพยาบาลสาวโทรศัพท์เรียกหมอเวรเข้ามาทำการรักษาคนป่วย หลังจากเธอเล่าอาการผิดปกติของเขาให้หมอฟังอย่างละเอียด หมอขอตัวออกไปนอกห้องนานเกินปกติ ทิ้งไว้เพียงพยาบาลทำการตรวจอาการเบื้องต้นไปพลาง ๆก่อน หมอกลับเข้ามาห้องฉุกเฉินอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก และยังบอกอีกว่าหมอหมดปัญญา หมอไม่อาจตัดสินใจได้เองทุกเรื่อง หมอใหญ่แจ้งมาว่าทางโรงพยาบาลไม่มีนโยบายรับคนป่วยอาการบกพร่องทางจิตไว้ เพราะเกรงว่าขณะที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น หากคนป่วยมีอาการกำเริบหรือมีอาการเพี้ยนจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คนป่วยอาจตัดสินใจทำร้ายผู้อื่นหรืออาจกระโดดตึกเพื่อฆ่าตัวตาย นั่นหมายถึงว่าเหตุการณ์เหล่านั้นที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของคนป่วยเองจะนำพาความเสื่อมเสียมาสู่โรงพยาบาลเอกชนที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในช่วงนั้นโลกแทบหยุดหมุนเลยทีเดียว รอบกายเงียบสงัด เงียบจนเธอแทบไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจของตัวเอง หมอวินิจฉัยง่ายดายแบบนั้นเองเหรอ หมอลงความเห็นว่าสามีของเธอเป็นคนบ้า ทั้งที่ยังไม่ได้ตรวจอาการอย่างถี่ถ้วนเลย
เธอนึกเครียดแค้นใจพลางนึกตำหนิตัวเองที่คิดดูแคลนโรงพยาบาลประจำอำเภอ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน แล่นรถผ่านมาโดยไม่สนใจที่จะแวะ อุตส่าห์ดั้นด้นมาเป็นระยะทางร่วมสามสิบกิโลเมตร มาเพื่อพบกับความซอกช้ำทรวงแท้ ๆ
ไปไหนต่อ ลุงเถียรถามหลังทราบเรื่องราวหมดแล้ว เธอมองหน้าแกแล้วพูดด้วยน้ำตานองหน้า ไปโรงพยาบาล...ค่ะ ด้วยความห่วงคนป่วยผสมกับความขุ่นเคืองโรงพยาบาลทำให้ลุงเถียรลืมตัวไปชั่วขณะ กระชากรถกระบะออกจากโรงพยาบาลเอกชนอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังลั่น
รายละเอียด
ผลงานลำดับที่ 6 ของอัญญะสำนักพิมพ์
ชื่อหนังสือ มรสุม
ประเภท นิยายไทย
ผู้แต่ง ฉมังฉาย
พิมพ์ครั้งที่แรก 2552 โดย สำนักพิมพ์นานมีบุคส์เอโนเวล
พิมพ์ครั้งที่สอง 2560
เจ้าของ มนูญ ณ นคร
บรรณาธิการ พิกุล ณ นคร
ฝ่ายศิลปกรรม / รูปเล่ม ละอ่อนดง
พิสูจน์อักษร นพดล จี๋เอ้ย
จัดพิมพ์โดย อัญญะสำนักพิมพ์
สำนักงานเลขที่ 80/3 หมู่ 1 ตำบลบ้านสหกรณ์ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ 50130 โทร. 0896515060
e-mail:[email protected]
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
ราคา115 บาท