ไฟสวาทชีคจอมเถื่อน (เทียนธีรา) (EBOOK)

ไฟสวาทชีคจอมเถื่อน (เทียนธีรา) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ไฟสวาทชีคจอมเถื่อน
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 179.00 บาท 44.75 บาท
ประหยัด: 134.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ชีคทะเลทราย

 

 

สาวน้อยเจ้าของรูปร่างอรชรสมส่วน ใบหน้าหวานใส ดวงตากลมโตดำขลับ ในชุดนักศึกษาแบบเสื้อพอดีตัว กระโปรงจีบรอบสั้น  แค่เข่า และรองเท้าหุ้มส้นสีดำถูกต้องตามระเบียบของมหาวิทยาลัย กำลังเปิดประตูรั้วไม้สีขาว ก่อนจะก้าวอย่างกระฉับกระเฉงเข้าไปในบ้านไม้หลังขนาดย่อมซึ่งทาสีขาวทั้งหลัง โดยรอบๆ นั้นถูกรายล้อมด้วยต้นไม้และสวนหย่อมเขียวขจี   ทำให้บรรยากาศดูร่มรื่นจนคนที่ผ่านไปผ่านมาต้องอิจฉา

วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย ‘แพรมุก มุกมนตรี’ สาวน้อยวัยยี่สิบสองปีมั่นใจว่าจะต้องสอบผ่านไปได้ด้วยดีถึงแม้ว่าเกรดจะไม่สวยนักก็ตาม แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอก็ไม่ต้องแต่งชุดนักศึกษาไปเรียนเหมือนสี่ปีที่ผ่านมาอีกแล้ว

เรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดีฉีกยิ้มกว้างจนเห็นรอย   ลักยิ้มมาแต่ไกลและกำลังจะเอ่ยปากบอกเรื่องการสอบของตัวเองให้ผู้เป็นพ่อและพี่ชายฟัง แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเธอเลยเพราะทั้งสองคนกำลังดูเทปบันทึกการแข่งขันม้ามาราธอนในหน้าจอโทรทัศน์อย่างใจจดใจจ่อ

ใบหน้าสวยหวานถึงกับง้ำงอลงเล็กน้อย จากนั้นก็พาตัวเองเดินไปบังหน้าจอและส่งเสียงให้ดังขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“พ่อคะ พี่เพชรคะ แพรกลับมาแล้วค่ะ” เจ้าของร่างอ้อนแอ้นยกมือขึ้นกอดอกในขณะยืนบังหน้าจอโทรทัศน์ ยังผลให้ทั้งพ่อและพี่ชายต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“เห็นแล้วน่าว่ามา รีบๆ หลบไปสิยัยแพรไม่เห็นหรือไงว่าพี่กับพ่อกำลังดูแข่งม้าอยู่” กฤชเพชรเอ็ดน้องสาวที่มาขัดจังหวะ ส่วนพิทยาผู้เป็นบิดายิ้มน้อยๆ อย่างเคยชินกับการป่วนของลูกสาวคนเล็ก เพราะแพรมุกมักจะทำเช่นนี้เสมอเวลาต้องการให้คนในบ้านสนใจตัวเอง

          “แล้วไม่มีใครคิดจะถามเรื่องสอบของแพรบ้างเลยหรือคะ”

          “ไม่ถามหรอก อย่างเราแค่ผ่านก็หรูแล้ว” กฤชเพชรพูดเรียบๆ ตามแบบของเขา ทำให้แพรมุกหน้าง้ำงอลงยิ่งกว่าเดิมแต่ในใจก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเพราะรู้ดีว่าทั้งพ่อและพี่ชายรักตนมากแค่ไหน

          “ที่แพรเรียนไม่เก่งก็เพราะพี่เพชรนั่นแหละ”

          “อ้าว เรื่องอะไรมาโทษพี่”

          “ก็พี่เพชรเอาความเก่งจากพ่อกับแม่ไปหมดคนเดียวจนไม่เหลือไว้ให้แพรน่ะสิ” แพรมุกหาเรื่องโทษพี่ชายไปตามประสา ทั้งนี้ก็เพราะกฤชเพชรนั้นเรียนเก่งมาก เขาเรียนจบสัตวแพทย์เช่นเดียวกับผู้เป็นบิดา ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง จากนั้นก็สอบได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทยังต่างประเทศ ก่อนจะกลับมาทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยและสัตวแพทย์ประจำฟาร์มม้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะเก่งแล้ว กฤชเพชรยังหล่อเหลาจนสามารถเป็นนายแบบหรือนักแสดงได้สบายๆ แต่กระนั้นพี่ชายของเธอก็ยังไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที

          “ยอมรับมาเถอะว่าที่เรียนได้แค่นี้ก็เพราะเรามันขี้เกียจ” กฤชเพชรพูดพลางเอนกายพิงพนักโซฟาตัวใหญ่เพราะตอนนี้โทรทัศน์ถูกบังจนเกือบมิด

          “แหมถึงยังไงแพรก็เอาตัวรอดจนจบมาได้นะพี่เพชร”

          “แน่ใจนะว่าจะไม่ต้องไปลงซ่อม”

          “แน่ใจล้านเปอร์เซ็นต์” แพรมุกเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เพราะถึงเธอจะเรียนได้เกรดไม่สวยแต่ไม่เคยมีประวัติเรียนติดเอฟหรือตกสักวิชา

          “แล้วพี่จะคอยดู แต่ตอนนี้หลีกไปก่อนพี่กับพ่อกำลังดูทีวีอยู่”

          “หลบก็ได้ แล้วพ่อกับพี่เพชรดูอะไรกันอยู่หรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้งหลังจากยอมหลบจากหน้าจอโทรทัศน์แล้วขยับไปนั่งลงข้างบิดา

          “ดูแข่งม้ามาราธอนน่ะลูก พอดีปีนี้ปรินซ์ธันเดอร์กับปรินซ์อาเธอร์จากฟาร์มของคุณน่านผ่านการคัดเลือกได้ไปแข่งม้ามาราธอนชิงแชมป์ยุโรปรอบสุดท้ายที่สาธารณรัฐเช็ก” พิทยาตอบลูกสาว ข่าวนั้นทำให้ดวงตากลมโตดำขลับของแพรมุกเป็นประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้นทันที เพราะฟาร์มของคุณน่านหรือหม่อมหลวงน่านนทีก็คือฟาร์มที่พ่อกับพี่ชายของเธอทำงานอยู่นั่นเอง

          “อย่างนี้พ่อกับพี่เพชรก็ต้องได้เดินทางไปกับคุณน่านสิใช่ไหมคะ”           แพรมุกถามแบบนั้นเพราะการแข่งขันม้ามาราธอนจะต้องมีสัตวแพทย์คอยดูแลเรื่องสุขภาพของม้าในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งถ้าหากม้าตัวใดตรวจสุขภาพและความแข็งแรงไม่ผ่านในระหว่างการแข่งขันก็จะถูกตัดสิทธิ์

          “ใช่ พ่อกับพี่เพชรก็ต้องไปด้วยลูก”

          “ถ้าอย่างนั้นขอแพรไปด้วยนะคะพ่อ”

          “ไปไม่ได้หรอกแพรเกรงใจคุณน่านเขา พ่อกับพี่ไปทำงานนะไม่ได้ไปเที่ยว” กฤชเพชรพูดขัดขึ้นทันที

          “แพรก็ไปช่วยทำงานไงคะ ให้แพรไปเป็นพนักงานวางถังน้ำคูลดาวน์ม้าก็ได้ค่ะ” สาวน้อยรีบหางานให้ตัวเองด้วยรู้ดีว่าการแข่งขันม้ามาราธอนนั้น    ม้าจะต้องมีการหยุดพักเพื่อให้น้ำเป็นระยะเนื่องจากม้าต้องวิ่งระยะไกลกว่าหกสิบกิโลเมตร

          “แต่พนักงานคูลดาวน์มีครบแล้วนะแพร” คนเป็นพี่ยังคงขัดน้องสาวอยู่เช่นเดิม

          “พ่อคะให้แพรไปด้วยนะคะ แพรไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว” คนถูกขัดใจรีบหันไปทางบิดาพร้อมกับทำเสียงอ้อนๆ เมื่อพี่ชายทำท่าจะไม่ยอมให้ตามไปด้วย

          “ไปก็ไปลูก” พิทยาเอ่ยปากอนุญาตลูกสาวแล้วหันไปทางลูกชาย   “ถือซะว่าเป็นของขวัญที่น้องเรียนจบก็แล้วกันนะเพชร อีกอย่างพ่อกับเพชรก็ไปด้วยไม่น่าจะมีปัญหาอะไร พ่อจะขออนุญาตคุณน่านเอง”

          “ไชโย! พ่อใจดีที่สุดเลยค่ะ” พออ้อนพ่อเสร็จก็หันไปย่นจมูกใส่พี่ชาย “ไม่เหมือนพี่เพชรหรอก ดุก็ดุแถมเจ้าระเบียบเป็นที่หนึ่ง มิน่าล่ะถึงไม่มีแฟนเสียที”

          “ทำเป็นพูดดีไปเถอะ ทำยังกับเรามีอย่างนั้นละ” กฤชเพชรย้อนให้บ้าง

          “อย่างแพรเขาเรียกว่าสวยเลือกได้ค่ะ ที่แพรไม่มีแฟนเพราะยังไม่เจอคนถูกใจต่างหาก” พอถูกพี่ชายย้อนแพรมุกก็หาข้ออ้างแบบข้างๆ คูๆ มาโต้แย้งจนได้

          “พี่ว่ากระโดกกระเดกขาดเสน่ห์จนไม่มีใครเอามากกว่า”

          “พี่เพชรน่ะ” สาวน้อยทำหน้ากระเง้ากระงอดและย่นจมูกใส่พี่ชายอย่างที่เคยทำเป็นประจำเวลาเมื่อถูกเขาขัดคอ

          “ดูทำหน้าเข้า แบบนี้ผู้ชายที่ไหนจะอยากได้ไปเป็นแฟน” คนเป็นพี่ตอกย้ำก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ

          “ไม่มีคนเอาก็ดีแพรจะได้เกาะพี่เพชรกินไปตลอด แพรไปอาบน้ำดีกว่าไม่อยากพูดกับพี่เพชรแล้ว”

          จบคำแพรมุกก็หยิบเอากระเป๋าสะพายแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปทันที    ถึงเมื่อครู่นี้จะทำท่าเหมือนงอนพี่ชายแต่พอเปิดประตูเข้าห้องตัวเองก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็ควานหาโทรศัพท์ออกมาโทร.หาหม่อมหลวงอนามิกาน้องสาวของหม่อมหลวงน่านนทีซึ่งสนิทสนมกับแพรมุกเป็นอย่างดีเพราะทั้งสองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยและชั้นปีเดียวกัน

          “ว่าไงแพร” ปลายสายเอ่ยทักทายมาอย่างคุ้นเคยหลังจากกดรับสาย

          “แพรจะโทร.มาถามว่า คุณนิจจะไปเช็กกับคุณน่านหรือเปล่าคะ”

          “เปล่าจ้ะแพร พี่น่านไม่ยอมให้นิจไปด้วย บอกว่าถ้านิจจะเรียนต่อปริญญาโทในประเทศก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นพี่น่านจะส่งไปเรียนที่อังกฤษ แพรก็รู้ว่านิจไม่อยากไป นิจเบื่อแล้วอยู่โน่นมาตั้งแต่เด็ก” อนามิกาตอบกลับมาเสียงเนือยๆ เพราะเธอเติบโตที่อังกฤษจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เรียนต่อในประเทศ

          “ว้าเสียดายจังค่ะ นึกว่าคุณนิจจะได้ไปด้วยกัน”

          “แพรจะไปด้วยหรือ”

          “ไปค่ะคุณนิจ แต่กว่าจะฝ่าด่านอรหันต์ของพี่เพชรได้เล่นเอาแพรเหนื่อยแทบแย่ รายนั้นไม่อยากให้แพรไปไหนมาไหนหรอกค่ะ”

          “พี่ชายของแพรก็คงจะเหมือนกับพี่น่านนั่นแหละ แต่นิจไม่ยอมเสียเปรียบแน่ๆ เอาไว้สอบเสร็จแล้วนิจจะไปเที่ยวบ้างดีกว่า เดี๋ยวนิจจะชวนแพรไปด้วยกันนะ”

          “ได้สิคะคุณนิจ แพรเรียนจบแล้วว่างตลอดค่ะ ยังไงก็ขอเที่ยวให้ฉ่ำใจก่อนแล้วค่อยทำงาน”

          “ถ้าอย่างนั้นฝากแพรเชียร์ทีมพี่น่านและก็เที่ยวเช็กเผื่อนิจด้วย”

          “ค่ะคุณนิจ เดี๋ยวแพรจะถ่ายรูปสวยๆ มาฝากนะคะ”

          แพรมุกจบการสนทนากับอนามิกาแค่นั้น อดที่จะถอนหายใจอย่างเสียดายนิดๆ ไม่ได้เพราะถ้าหากอนามิกาเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย เธอคงจะมีอิสระได้ออกนอกกรอบไปเที่ยวไหนต่อไหนกันตามลำพังกับอนามิกาบ้าง ด้วยรู้ว่าพ่อของตนคงจะเกรงใจอนามิกาในฐานะน้องสาวของเจ้านายอยู่ไม่น้อย

 

 

          อีกสามสัปดาห์ต่อมาคณะนักกีฬาและทีมงานจากฟาร์มของหม่อมหลวงน่านนทีก็เดินทางไปยังประเทศสาธารณรัฐเช็กเพื่อร่วมการแข่งขันม้ามาราธอนชิงแชมป์โลก ซึ่งก่อนหน้านี้ม้าแข่งและทีมงานบางส่วนเดินทางไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว แพรมุกตื่นเต้นไม่น้อยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางไปต่างประเทศ ทันทีที่เครื่องบินลงจอดที่สนามบิน ทั้งหมดก็เดินทางไปยังโรงแรมที่พักซึ่งเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่ทางผู้จัดการแข่งขันได้จัดเตรียมไว้ให้

          เช้าวันรุ่งขึ้นแพรมุกตามพ่อและพี่ชายไปยังสนามเพื่อเตรียมการแข่งขันโดยจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ กฤชเพชรแยกตัวไปช่วยดูแลการตรวจสุขภาพม้าตามที่ทางผู้จัดกำหนดให้มีการตรวจกล้ามเนื้อ จังหวะการเต้นของหัวใจ และความแข็งแรงของขาทั้งสี่ข้าง ส่วนแพรมุกไปช่วยทีมงานวางถังน้ำในเส้นทางที่จะนำม้าเข้ามาคูลดาวน์ เสร็จแล้วทีมงานก็พาเธอไปยังเต็นท์สีขาวที่กางเอาไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งจะต้องมีเต็นท์ที่พักแบบนี้ก็เพราะการแข่งขันม้ามาราธอนใช้เวลานานร่วมสิบสองชั่วโมงนั่นเอง

          เต็นท์ของทีมจากประเทศไทยเหมือนกับเต็นท์ของประเทศอื่นๆ     คือเป็นเสาสี่เหลี่ยมและมุงด้วยหลังคาผ้าใบสีขาว แต่มีเต็นท์สองหลังที่แตกต่างจากเต็นท์หลังอื่นๆ เพราะนอกจากจะมีขนาดใหญ่เท่าคฤหาสน์แล้วยังมีการอารักขาอย่างแน่นหนา จากที่แพรมุกประเมินด้วยสายตาก็พอรู้ว่าในการเนรมิตเต็นท์หลังงามนั้นคงจะมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่ายี่สิบล้านบาท แถมข้างในเต็นท์คงจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครันเป็นแน่

          “นั่นเต็นท์ของประเทศไหนหรือคะพ่อ ทำไมมันถึงได้แตกต่างกับเต็นท์ของประเทศอื่นๆ แบบนั้น” แพรมุกถามบิดาซึ่งนั่งอยู่ในเต็นท์ก่อนแล้ว

          “เป็นเต็นท์ของเจ้าชายและชีคจากประเทศตะวันออกกลางน่ะลูก”

          คำว่า ‘ตะวันออกกลาง’ สะกิดหัวใจดวงน้อยของแพรมุกจนกระตุกวูบ แต่ก็ปกปิดความหวั่นไหวของตัวเองอย่างมิดชิด สาวน้อยรีบฉีกยิ้มร่าเริงเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้ผู้เป็นพ่อรู้ว่าเธอกำลังรู้สึกเช่นไร

          “มีเจ้าชายกับชีคมาแข่งขี่ม้าแบบนี้ด้วยหรือคะพ่อ”

          “มีสิแพร แถบตะวันออกกลางเขานิยมเลี้ยงม้าไม่แพ้เลี้ยงอูฐเลยนะลูก แล้วม้าในแถบนั้นก็แข็งแรงและอึดมาก มาแข่งทีไรก็ติดหนึ่งในห้าทุกที”

          “แล้วทำไมแค่เต็นท์ที่พักมันถึงได้ใหญ่โตขนาดนั้นคะพ่อ เงินรางวัลที่ได้จะคุ้มค่ากับการสร้างเต็นท์หลังนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้”

          แพรมุกวิพากษ์วิจารณ์ตามที่ตัวเองสงสัย ซึ่งนั่นก็ทำให้พิทยาอดที่จะยิ้มไม่ได้ นี่แหละนิสัยลูกสาวของเขา คิดอะไรก็พูดออกไปเช่นนั้น แต่ถึงจะเป็นคนแบบนี้ก็ไม่เคยพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นแต่อย่างใด

          “ส่วนใหญ่เจ้าชายและชีคที่มาแข่งม้าไม่ได้หวังเงินรางวัลอะไรหรอกนะแพร ท่านแค่อยากนำม้าที่ท่านเลี้ยงไว้เข้ามาร่วมแข่งขันและทดสอบความสามารถของม้าเท่านั้นเอง”

          “ต้องลงทุนขนาดนั้นเลยหรือคะพ่อ”

          “แพรก็รู้ว่าประเทศในแถบตะวันออกกลางร่ำรวยมากแค่ไหน”

          “รู้ค่ะพ่อ แต่แพรก็ไม่เคยประจักษ์กับสายตาตัวเองสักครั้ง เพิ่งจะเห็นครั้งนี้แหละค่ะ แต่ตอนนี้แพรอยากเห็นเจ้าชายมากกว่าค่ะว่าจะหล่อเหมือนในนิยายที่แพรเคยอ่านหรือเปล่า” แพรมุกพูดติดตลกพลางทำหน้าเคลิ้มฝันขณะกวาดสายตาไปทางเต็นท์หลังใหญ่โดยหวังว่าจะได้เห็นเจ้าชายซึ่งเป็นเจ้าของเต็นท์สักครั้ง

          “ท่านคงกำลังซ้อมขี่ม้าอยู่ พรุ่งนี้แพรอาจจะได้เห็น” พิทยาตอบลูกสาวยิ้มๆ อย่างเอ็นดูระคนขบขันในท่าทีขี้เล่นของลูกสาว

          “แพรอยากให้ถึงพรุ่งนี้ไวๆ จังค่ะ เผื่อจะได้เห็นเจ้าชายตัวเป็นๆ ว่าแต่มาแบบนี้เจ้าชายพกสาวในฮาเร็มมาด้วยหรือเปล่าคะ” 

          “ไม่หรอก มีแต่องครักษ์ที่ติดตามมา เดี๋ยวพ่อจะไปดูพี่เพชรสักหน่อยนะ แพรรอพ่ออยู่นี่ก่อน”

          “ได้ค่ะพ่อ”

          พอคล้อยหลังผู้เป็นพ่อ แพรมุกก็มองไปทางเต็นท์สุดหรูนั้นอีกครั้ง ความอยากรู้อยากเห็นทำให้สาวน้อยลุกขึ้นและเดินตรงไปยังเต็นท์ขนาดใหญ่เท่าคฤหาสน์ของเจ้าชายจากตะวันออกกลางทันที

          เมื่อไปยืนใกล้เต็นท์หลังนั้นดวงตาคู่สวยก็สอดส่ายเข้าไปข้างใน แม้ว่าจะไม่ได้เห็นเจ้าชายแต่การได้มายลโฉมเต็นท์ที่มีราคาแพงลิบลิ่วใกล้ๆ แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน ไม่ใช่แต่เธอที่สนใจความอลังการของเต็นท์หลังงามนี้ หากยังมีสื่อมวลชนจากหลายประเทศกำลังทำข่าวเกี่ยวกับเต็นท์หลังนี้อย่างคึกคัก

          แพรมุกพบว่ารอบๆ เต็นท์ของเจ้าชายมีการอารักขาอย่างหนาแน่น ถึงแม้จะไม่มีใครแต่งเครื่องแบบแต่เธอก็รู้ดีว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นองครักษ์ฝีมือดีทั้งนั้น

          “เฮ้อ... คงจะเข้าใกล้ที่สุดได้แค่นี้ละ” เสียงหวานรำพึงกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวถอยห่างออกมา แต่เพียงแค่ก้าวแรก แผ่นหลังของเธอก็ปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างที่แข็งแรงราวกับกำแพงหินแกรนิต ทว่าให้ความรู้สึกทรงพลังและแน่นตึงชวนให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ     

          และทันทีที่หันกลับไปมอง สาวน้อยก็ถึงกับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ   ความร้อนวูบวาบแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าสวยหวานเมื่อสบประสานกับดวงตาซึ่งถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดสีชาที่กำลังจ้องมองมาแข็งเขม็งราวกับเธอเป็นผู้ร้ายคดีอุกฉกรรจ์ก็ไม่ปาน

          “คุณ!” เสียงหวานใสอุทานอย่างตกใจ ดีใจ แปลกใจ ปนเปกันไปหมดจนแยกแยะไม่ออกว่าความรู้สึกไหนเด่นชัดกว่ากันเมื่อได้เจอ ‘ชาฟากีย์  อารีฟ มูซัมมิน’ บุรุษที่อยู่ในห้วงความทรงจำของตัวเองตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมาอีกครั้งอย่างไม่คาดฝัน

          “บอกแล้วใช่ไหมแพรมุกว่าถ้าผมเจอคุณอีก ผมจะโยนคุณทิ้งเหมือนเศษขยะ” น้ำเสียงเขายังเกรี้ยวกราดเหมือนครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันไม่มีผิด

          “คุณยังไม่หายโกรธฉันอีกหรือคะ” แพรมุกถามออกไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโกรธเกลียดเธอเรื่องอะไร

          “ถ้าไม่อยากถูกโยนออกไปจากที่นี่ ก็รีบไปซะ” ชาฟากีย์เค้นเสียงลอดไรฟัน

          “บอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่าฉันทำอะไรผิด” เสียงหวานถามอย่างวิงวอน ปากคอสั่นไปหมดเพราะตั้งตัวไม่ทันกับการได้เจอเขาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่คิดตลอดมาว่าชาตินี้คงจะไม่มีโอกาสเจอเขาอีกแล้ว

          “ไปซะแพรมุก!”

          “ไม่ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าคุณจะบอกฉันว่าคุณโกรธเกลียดฉันเรื่องอะไร” แพรมุกส่ายหน้าดิก พลางยืนประจันหน้ากับเขาอย่างไม่หวาดหวั่น

          “ไม่ไปใช่มั้ย ได้!”

          ชาฟากีย์ตะคอกด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด และโดยที่แพรมุกไม่ทันได้คาดคิด ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวพรวดเดียวมาถึงตัว แล้วอุ้มเอาร่างเล็กกระจ้อยร่อยของเธอขึ้นไว้ในวงแขน

          “นี่ปล่อยฉันนะ คุณจะทำอะไร?” สาวน้อยอุทานระงม

“....” เขาไม่ตอบ แต่กลับอุ้มเธอเดินอาดๆ ไปจนพ้นอาณาเขตของเต็นท์หรู แล้วโยนร่างบางลงบนพื้นหญ้าอย่างไม่ปรานีปราศรัยท่ามกลางสายตาของคนนับสิบที่อยู่บริเวณนั้น

          “โอ๊ย! คนบ้าทำไมต้องทำรุนแรงแบบนี้ด้วย” แพรมุกร้องโอดครวญออกมาทั้งเจ็บทั้งอาย

          “ถ้าคราวหน้าผมเจอคุณอีก ผมจะไม่ทำแค่นี้แน่ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่าเสนอหน้ามาให้เห็นอีก” เขาขู่สำทับก่อนจะออกปากไล่ซ้ำ         “รีบไปให้พ้นหน้าผมซะ!”

          “คนป่าเถื่อน”

          ชาฟากีย์จ้องมองเธอด้วยสายตาชิงชังเย็นชาอยู่เพียงครู่หนึ่งแล้วก็หมุนตัวเดินหันหลังหนีไปจากตรงนั้น ปล่อยให้แพรมุกค่อยๆ ประคองตัวเองลุกขึ้นยืนอยู่คนเดียว

          มือเรียวเล็กปัดเศษฝุ่นเศษหญ้าที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามเสื้อผ้าออก ในขณะที่ร่างกายถูกอาการเจ็บแปล๊บๆ เล่นงานบริเวณบั้นท้ายและสะโพกซึ่งเป็นส่วนที่กระแทกกับพื้นหญ้าแรงที่สุดเมื่อครู่นี้ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น เพื่อระงับความเจ็บกายเจ็บใจและสกัดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ก่อนจะรวบรวมกำลังใจเดินกลับเต็นท์ด้วยความรู้สึกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับตอนมา

          เมื่อแพรมุกไปถึง พิทยาก็กลับมาแล้ว เขามองสีหน้าจ๋อยๆ และเนื้อตัวที่มอมแมมของลูกสาวพลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม

          “ไปไหนมาแพร แล้วทำไมถึงได้มอมแมมแบบนั้นล่ะลูก”

          “แพรไปเดินเล่นน่ะค่ะพ่อ พอดีซุ่มซ่ามหกล้มนิดหน่อยก็เลยเป็นแบบที่พ่อเห็นนี่ละค่ะ” สาวน้อยจำต้องปดบิดา เพราะไม่รู้จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังยังไง

          “หมดสวยเลยลูกสาวพ่อ” พิทยาเอ่ยพร้อมกับวางมือบนศีรษะของลูกสาวแล้วลูบเบาๆ

          “แล้วพี่เพชรกับคุณน่านเป็นยังไงบ้างคะ”

          “ไม่มีปัญหา ปรินซ์ธันเดอร์กับปรินซ์อาเธอร์ตรวจความแข็งแรงผ่านทั้งสองตัว”

          “ดีจังค่ะ พรุ่งนี้คงจะเข้ารอบได้สบายๆ” แพรมุกพยายามฝืนยิ้มให้ดูร่าเริงทั้งๆ ที่ตอนนี้หัวใจหนักอึ้งมึนชาไปหมด

          “ถ้างั้นกลับโรงแรมพร้อมพ่อดีกว่า แพรจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็พักผ่อนด้วย” พิทยาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของลูกสาวไม่ค่อยดีนัก

          เมื่อถึงโรงแรมแพรมุกก็แยกตัวเข้าห้องตัวเอง จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้น้ำไหลชโลมลงบนศีรษะจนเปียกปอน   ก่อนจะปล่อยน้ำตาที่สกัดกลั้นไว้นานเกือบสองชั่วโมงให้หลั่งรินออกมา         บาดแผลในใจที่เริ่มจะจางลงไปตามกาลเวลาถูกสะกิดเหวอะหวะอีกครั้งด้วยฝีมือของชาฟากีย์ อารีฟ มูซัมมิน ผู้ชายที่ทำให้เธอรู้จักความรัก แต่สุดท้ายเขาก็จากไปพร้อมกับความโกรธเกลียด สิ้นเยื่อขาดใย โดยไม่บอกกล่าวเหตุผลให้ล่วงรู้เลยสักนิดว่าเธอทำอะไรผิด

          แพรมุกใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าปกติ พอกลับออกมาก็จัดการเช็ดผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยท่าทางหงอยๆ จากนั้นก็ไปนอนคว่ำหน้าลงบนแขนทั้งสองข้างที่ไขว้ประสานอยู่บนหมอนอีกที เหตุการณ์ในอดีตเมื่อเกือบสองปีที่แล้วผุดพรายขึ้นมาในสมองอีกครั้ง...

          ตอนนั้นแพรมุกกับเพื่อนๆ อีกสามคนซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีสามสาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรมเหมือนกัน ได้ไปฝึกงานที่โรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่งซึ่งน่านนทีเจ้านายพ่อเธอเป็นเจ้าของ กลุ่มของแพรมุกประกอบด้วยสามสาวและอีกหนึ่งหนุ่มที่หล่อเหลาแต่กลับมีบุคลิกตุ้งติ้งและฝีปากร้ายกาจตามแบบฉบับของผู้ชายหัวใจหญิงซึ่งสามารถสร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆ ได้เสมอ

          ทั้งสี่คนได้ฝึกงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับ ซึ่งต้องประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์และไปดูแลความเรียบร้อยในห้องพักของแขกที่มาพักในโรงแรมเป็นบางครั้ง

          “นี่ยัยแพรฉันคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เรียนสาขานี้” ศุภโชคหันมากระซิบกระซาบกับแพรมุกเมื่อเห็นผู้ชายมากหน้าหลายตาเดินผ่านเคาน์เตอร์

          “เพราะหนุ่มๆ เหล่านั้นใช่ไหม” แพรมุกพูดอย่างรู้ทันพลางบุ้ยปากไปทางเป้าหมายที่เพื่อนชายกำลังเล็ง

          “มันใช่เลยแพร มีแต่หล่อๆ น่ากินๆ อะ”

          แพรมุกอมยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบนั้น อีกทั้งสายตาของศุภโชคก็เป็นประกายระยิบระยับแบบไม่ปิดบังท่าทียามที่มองหนุ่มๆ เหล่านั้น

          “โชคก็ลองลากไปกินสักคนสองคนสิ”

          “ตีซะดีไหมยัยแพร บอกแล้วว่าห้ามเรียกโชค เสียภาพพจน์หมด”  ศุภโชคหันมามองค้อน

          “จ้าๆ ลืมไปว่าต้องเรียกแพทตี้” แพรมุกหัวเราะคิกคักหลังจากได้แหย่เพื่อนชายเล่นๆ “แต่แพรว่าเรารีบเอาอาหารกับเครื่องดื่มขึ้นไปให้แขกดีกว่า ก่อนที่ผู้จัดการจะมากินหัวเอา”

          “เออ ใช่ๆ ลืมไปเลย”

          คนที่มองผู้ชายอย่างกะลิ้มกะเหลี่ยอยู่เมื่อครู่นี้มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแพรมุกพูดถึงผู้จัดการ ศุภโชครีบเดินไปยกถาดอาหาร   ส่วนแพรมุกยกถาดเครื่องดื่มเพื่อนำไปให้แขกของโรงแรมที่สั่งเอาไว้ สองหนุ่มสาวเดินตามกันไปยังลิฟต์แต่ยังไม่ทันจะเข้าลิฟต์ ศุภโชคก็อุทานออกมาเสียงดัง

          “โอ้ว! แม่เจ้า!”

          “เป็นอะไรเหรอแพทตี้” แพรมุกรีบหันไปถาม

          “หยิกฉันทีสิยัยแพร ฉันไม่ได้ตาฝาดหรือกำลังฝันไปใช่ไหม นั่นคนจริงๆ หรือเปล่าทำไมถึงได้หล่อเหมือนเทพบุตรอย่างนั้น รู้ไหมแพรว่าตอนนี้ฉันอ่อนระทวยไปหมดเหมือนกำลังจะละลาย ใครก็ได้ช่วยฉันที อร๊ายย!”

ศุภโชคเพ้อออกมาเป็นชุด ยืนตกตะลึงและก้าวขาไม่ออกอยู่ชั่วขณะ จนแพรมุกต้องหันไปทางต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนของเธอมีอาการแบบนั้น และก็พบว่าคนที่ศุภโชคทำท่าคลั่งไคล้เป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ความสูงของเขาราวๆ หกฟุตกว่าๆ ดูจากเค้าโครงหน้าของเขาแล้วแพรมุกเดาว่าคงจะเป็นคนที่มาจากประเทศแถบทะเลทราย เขาไม่ได้ใส่ชุดโต๊ปแบบชาวอาหรับอย่างที่แพรมุกเคยเห็น แต่แต่งกายด้วยเสื้อโปโลสีน้ำเงิน กางเกงสแล็คสีน้ำตาล อวดหุ่นล่ำสันสมชายชาตรีอันชวนให้สาวๆ น้ำลายไหลอย่างที่เพื่อนของเธอว่าไม่มีผิด ใบหน้าของเขาไม่ได้ใสอย่างนายแบบในนิตยสาร แต่โครงหน้าคมคร้ามนั้นประดับด้วยคิ้วหนาดกดำ ดวงตายาวรีสีน้ำตาลแอมเบอร์ จมูกโด่งเป็นสันรับด้วยริมฝีปากหยักได้รูป มีหนวดเคราขึ้นตามแนวสันคางทั้งสองข้างทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นคมเข้มน่าเกรงขามและมีเสน่ห์ชวนมองจนไม่อาจจะถอนสายตาได้ง่ายๆ

          แพรมุกเผลอมองสำรวจผู้ชายตรงหน้าอยู่นานหลายวินาที และชั่วขณะหนึ่งเหมือนคนที่ตกเป็นเป้าสายตาของเธอจะรู้ว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมอง จึงหันขวับมาทางเธอ สาวน้อยหัวใจกระตุกวูบเมื่อได้สบประสานกับสายตาคมดุและทะนงตนอยู่ในทีของขา

          “แพทตี้ไปกันเถอะ เขามองมาแล้วเห็นไหม” แพรมุกที่เพิ่งจะได้สติรีบสะกิดเพื่อนชายหัวใจหญิงทันที

          “ฉันก้าวขาไม่ออกน่ะแพร โอ๊ย นี่เขากำลังร่ายมนตร์สะกดใส่ฉันหรือเปล่า” ศุภโชคยังตกอยู่ในอาการเพ้อเช่นเดิม

          “ตั้งสติหน่อยแพทตี้ ถ้าเขาเอาเรื่องที่เราเสียมารยาทจ้องเขาขึ้นมา   เราสองคนไม่ผ่านฝึกงานแหงๆ”

          “แต่ฉันกำลังจะสติแตกนะยัยแพร” ชายหัวใจหญิงทำท่าสะดีดสะดิ้ง

          “สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วนึกถึงหน้าผู้จัดการกับอาจารย์เข้าไว้แพทตี้”แพรมุกกระซิบกระซาบและหาวิธีการมาทำให้ศุภโชคหายจากอาการเพ้อ แต่มันก็แทบจะไม่ได้ผลเลยจวบจนกระทั่งประตูลิฟต์เปิดออกแล้วตัวต้นเหตุก้าวเข้าไปในลิฟต์ นั่นแหละเพื่อนของเธอจึงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

          “โอย... คนอะไรหล่อไม่บันยะบันยัง เห็นแล้วอยากจะลากขึ้นเตียงไปนอนกอด นอนกก ชาตินี้ฉันจะมีโอกาสได้เจอผู้ชายอย่างนี้อีกเมื่อไหร่เนี่ย”  ศุภโชคพูดเปิดเผยตามประสาคนที่ปากพูดตรงกับใจคิด

          “ไปได้แล้วแพทตี้ ถือซะว่าเป็นอาหารตาชั้นเลิศก็แล้วกัน เราช้ามากแล้วนะ ขืนช้ากว่านี้โดนเฉ่งแน่ๆ”

          พูดจบแพรมุกก็เดินนำหน้าไปยังลิฟต์ ทำให้ศุภโชคต้องเดินตามไปติดๆ ทั้งสองนำอาหารและเครื่องดื่มไปให้แขกตามที่ได้รับมอบหมาย พอกลับออกมาก็เจอเพื่อนสาวอีกสองคนซึ่งขึ้นมาดูแลความเรียบร้อยของห้องพัก และดูเหมือนว่าสองสาวนั้นเองก็มีท่าทีตื่นเต้นเช่นเดียวกัน

          “เป็นอะไรไปน่ะ ผิง ป่าน” แพรมุกเป็นคนถามประโยคนั้น

          “เจอคนหล่อน่ะสิแพร เมื่อกี้เพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องสวีตที่ราคาแพงที่สุดในโรงแรม คนอะไรก็ไม่รู้นอกจากจะหล่อแล้วยังรวยอีกต่างหาก จะหาคนเพอร์เฟกต์ได้แบบนี้สักกี่คนในโลก” พลอยพิมลเป็นคนตอบ ซึ่งปานชีวาเองก็พยักหน้าสนับสนุน

          “ใช่คนที่สูงๆ ใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงิน หน้าตาหล่อๆ หรือเปล่าผิง” ศุภโชคแทรกถามขึ้นทันที

          “ใช่เลย” น้ำเสียงของพลอยพิมลยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

          “โอย... พ่อเทพบุตรของฉันนั่นเอง เมื่อกี้ฉันกับยัยแพรก็เพิ่งจะเจอเขาที่ชั้นล่าง”

          “ของฉันสองคนย่ะ” ทั้งพลอยพิมลและปานชีวาพูดขึ้นพร้อมกัน

          “ว้ายนังชะนีสองตัวนี่ เดี๋ยวตบเช็ดซะเลย” ศุภโชคจีบปากพูดเต็มจริต     “งานนี้ใครดีใครได้ย่ะ”

          “เอาละๆ ทั้งสามคน แพรขอเชิญไปเถียงกันต่อในลิฟต์นะ เพราะเถียงกันตรงนี้อาจจะเสียงดังจนแขกรำคาญเอาก็ได้ เชิญจ้ะ” แพรมุกรีบห้ามทัพของเพื่อนแล้วเดินไปกดลิฟต์รอ ทำให้ทั้งสามคนต้องเดินตาม และเมื่อประตูลิฟต์ปิดลงอีกครั้ง สองสาวกับอีกหนึ่งหนุ่มก็หันมาถกเถียงกันต่อราวกับนกกระจอกแตกรัง

          “เออฉันนึกอะไรออกแล้ว เรามาหาอะไรๆ สนุกเล่นกันช่วงที่เราฝึกงานกันดีไหม” ปานชีวาเป็นคนพูดประโยคนั้นหลังจากถกเถียงกันเรื่องหนุ่มหล่อในฝันไม่ลงตัว

          “เรื่อง?” ทุกคนมองมาที่ปานชีวาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เพราะจู่ๆ เธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่กำลังเป็นประเด็นหลักอย่างกะทันหัน

          “หนึ่งในสี่ของกลุ่มเรา จะต้องเป็นตัวแทนไปจีบสุดหล่อคนนั้น”    ปานชีวาบอกแผนการของตนออกมา พลางทำตาเจ้าเล่ห์

          “เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย” คนที่เห็นด้วยคือพลอยพิมลกับศุภโชค    ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยคือแพรมุก

          “กลุ่มเรามีกฎว่าเคารพเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นแผนนี้ต้องเดินหน้าต่อไปและคนที่เหมาะสมกับภารกิจนี้ก็คือ...”

          เพื่อนทุกคนหันมามองหน้าแพรมุกเป็นตาเดียวกัน สาวน้อยได้แต่ส่ายหัวไปมาพร้อมกับปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ๆ”

          “ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด” ปานชีวาใช้น้ำเสียงเผด็จการ

          “ทำไมจะต้องเป็นฉันด้วยล่ะ”

          “ก็เพราะเธอยังไม่เคยมีแฟนและไม่เคยมีความรัก ดังนั้นนี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทดสอบเสน่ห์และได้ฝึกกลยุทธ์การใช้มารยาหญิงซึ่งมีเป็นพันเล่มเกวียนให้เป็นประโยชน์”

          “ไม่เอาหรอก ยังไงก็ไม่ ไม่เด็ดขาด” แพรมุกยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียว

          “ต้องปฏิบัติตาม!” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกันและส่งสายตาจิกๆ มายังแพรมุกเป็นเชิงบังคับ

“ล้อเล่นใช่ไหม”

          “ไม่ได้ล้อเล่นเลยยัยแพร งานนี้พวกเราจริงจัง เอาน่าพวกเราไม่ให้เธอเหนื่อยฟรีๆ หรอก ถ้าเธอทำให้เขาขอเดตได้สักครั้ง พวกเรายินดีจะเลี้ยงข้าวเธอตลอดเทอมหน้า และที่สำคัญพวกเราจะทำรายงานกลุ่มเองทั้งหมดโดยที่เธอไม่ต้องช่วยแต่ประการใด แต่ถ้าหากว่าไม่สำเร็จ เธอจะต้องเป็นคนเลี้ยงพวกเราและต้องทำรายงานกลุ่มคนเดียว ตกลงไหม” คนที่เจ้าแผนการที่สุดในกลุ่มสรุปข้อเสนอและเงื่อนไขให้เสร็จสรรพ

          “โอ๊ย!! ไม่มีทาง... มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามอะไร และจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนก็ยังไม่รู้เลย” แพรมุกพยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธเพราะรู้ดีตั้งแต่ต้นว่างานนี้เธอไม่มีทางจะชนะพนันแน่ๆ

          “ข้อนั้นไม่เป็นปัญหา พวกเราจะสืบให้เอง และเธอมีเวลาจนกว่าเขาจะกลับ เป็นอันว่าตกลงตามนี้นะ สู้ๆ ยัยแพร”

          หลังจากปานชีวาสรุปอย่างพูดเองเออเองเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนในกลุ่มก็มีสีหน้าแช่มชื่นด้วยความตื่นเต้น ยกเว้นแพรมุกคนเดียวที่ทำหน้าเบื่อโลกราวกับถูกบังคับให้กินยาขม

          และหลังจากลงไปประจำที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ได้ไม่นาน ปานชีวากับพลอยพิมลก็บอกข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลเป้าหมายให้แพรมุกทราบอย่างครบถ้วน... เขาชื่อชาฟากีย์ อารีฟ มูซัมมิน เป็นมหาเศรษฐีชาวอาหรับ แต่ไม่รู้ว่ามาจากประเทศไหนเพราะเขาไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ชาฟากีย์มาที่นี่เพื่อพักผ่อน โดยเช่าห้องพักราคาแพงลิบลิ่วของโรงแรมแห่งนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน และสิ่งที่ศุภโชครวมทั้งคนอื่นๆ ในที่นี้ยังไม่รู้ นั่นก็คือบุรุษผู้นี้คือ ‘พญาเหยี่ยวแห่งทะเลทรายอัฟฟายาร์’

          แพรมุกรับฟังข้อมูลเหล่านั้นอย่างไม่ได้ยินดีเลยสักนิด จู่ๆ งานก็เข้า แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเพื่อนๆ ยัดเยียดให้เธอทำภารกิจอันแสนจะยากเย็นนี้เสียแล้ว เธอก็จำต้องทำให้ดีที่สุด เพราะมันไม่คุ้มเลยกับที่ต้องทำรายงานกลุ่มคนเดียว มิหนำซ้ำถ้าเธอชนะเธอยังจะได้กินข้าวฟรีอีกเป็นเทอม สาวน้อยพยายามคิดหาข้อดีเพื่อให้ตัวเองสบายใจ จากนั้นก็เริ่มคิดหาวิธีการเข้าถึงตัวชาฟากีย์โดยให้เขาประทับใจในตัวเธอมากที่สุด ทั้งๆ ที่เกิดมายังไม่เคยต้องใช้มารยาหญิงเล่มไหนในการยั่วยวนผู้ชายมาก่อน สุดท้ายก็ต้องโทร.ปรึกษาเพื่อนผู้ชายว่าเขาชอบผู้หญิงหุ่นแบบไหน และจบลงที่ต้องเสียเงินซื้อเสื้อชั้นในแบบที่โฆษณาในโทรทัศน์ว่าใส่แล้วทรวงอกจะตูมขึ้น แถมด้วยฟองน้ำอีกหลายอันเพราะเพื่อนผู้ชายที่เธอปรึกษาระบุมาเลยว่าผู้ชายส่วนใหญ่ชอบมองผู้หญิงที่หน้าอกอิ่มๆ และขาสวยๆ

          เช้าวันรุ่งขึ้นสาวน้อยผู้ได้รับภารกิจอันหนักอึ้งตื่นมาแต่งกายด้วยชุดของพนักงานโรงแรม โดยใส่เสื้อชั้นในตัวใหม่ที่เพิ่งจะซื้อมาและซักแห้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ร่างอรชรสมส่วนหมุนซ้ายหมุนขวาและก็ต้องหน้าแดงระเรื่อเมื่อพบว่าหน้าอกของตนเองอวบอิ่มขึ้นผิดปกติ แต่กระนั้นแพรมุกก็ยังอุตส่าห์ยัดฟองน้ำเสริมเข้าไปอีกชั้นเพื่อให้แน่ใจว่าส่วนนั้นของเธอจะเป็นที่สะดุดตาจริงๆ

          หากทว่าวันนั้นแทบจะทั้งวันแพรมุกก็ไม่มีโอกาสได้เริ่มปฏิบัติการของตัวเองเลยเพราะมีกรุ๊ปทัวร์มาลงที่โรงแรม ทำให้เธอและเพื่อนๆ ยุ่งเกือบตลอดทั้งวัน

          “แพรอย่าลืมเอาผ้าขนหนูไปเพิ่มให้แขกห้องเก้าศูนย์สามนะ แขกโทร.ลงมาเมื่อครู่นี้จ้ะ” พนักงานของโรงแรมซึ่งเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานของแพรมุกหันมาบอก

          “ค่ะพี่ริน” แพรมุกรับคำทั้งที่วันนี้เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่ก็ยังยิ้มสู้ เพราะตระหนักดีว่างานบริการรอยยิ้มต้องมาก่อน ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนหรือเหนื่อยมากแค่ไหนก็ตาม

          สาวน้อยรีบขอผ้าขนหนูกับแม่บ้านแล้วตรงไปยังลิฟต์ทันที ประตูลิฟต์เปิดออกก่อนหน้าที่แพรมุกจะเดินไปถึงไม่กี่ก้าว เธอมองเห็นใครคนหนึ่งเดินเข้าไปในลิฟต์ไวๆ และหลังจากนั้นประตูลิฟต์ก็ปิดลง

          “รอด้วยค่ะ รอด้วยค่ะ” เสียงหวานรีบร้องบอกคนในลิฟต์ทำให้ประตูเปิดออกอีกครั้ง เธอจึงรีบก้าวเข้าไปข้างในแล้วกล่าวขอบคุณคนที่อุตส่าห์มีน้ำใจรอเธอ

          “ขอบคุณนะคะ”

          “ไม่เป็นไรครับ คุณจะไปชั้นไหน” เขาตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ เสียงเข้มนั้นน่าฟังจนแพรมุกต้องหันไปมองเจ้าของเสียงเต็มตา และเมื่อพบว่าเขาคือชาฟากีย์เป้าหมายของเธอ แพรมุกก็เบิกตากว้างและเกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน

          “เอ่อ...ชั้นเก้าค่ะ” เธอตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะบ่นกับตัวเองเป็นภาษาไทยเบาๆ “ตายละหว่า เจอแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ดูสภาพเราสิโทรมจนแทบดูไม่ได้”

          ชาฟากีย์ยังคงยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น หากนัยน์ตาของเขาระริกไหวราวกับกำลังหัวเราะอะไรบางอย่าง แพรมุกไม่อยากจะคิดว่าเขาหัวเราะตัวเอง แต่ในลิฟต์ก็ไม่มีใครนอกจากเธอกับเขาสองคน นี่แสดงว่าสภาพของเธอคงจะดูไม่ได้จริงๆ ถึงได้ตลกในสายตาเขา ตายๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเห็นการแพ้แล้วรางๆ แพรมุกรีบก้มหน้างุดเพื่อซ่อนใบหน้าอันโทรมๆ ของตัวเองไม่ให้เขาจดจำได้นาน เพราะขืนชาฟากีย์ติดภาพเธอแบบนี้ เธอคงจะเรียกคะแนนลำบากแน่ๆ

          ติ๊ง!

          เสียงสัญญาณดังขึ้นเมื่อลิฟต์เลื่อนขึ้นมาถึงชั้นเก้า แพรมุกแอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เท้าเล็กๆ รีบก้าวออกจากลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิด อารามรีบร้อนทำให้ส้นรองเท้าสะดุดกับขอบพรมจนล้มหัวคะมำลงไปกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า

          “โอ๊ย!” เสียงหวานร้องโอดโอยทั้งเจ็บทั้งอาย

          “เป็นอะไรหรือเปล่า” ชาฟากีย์ซึ่งก้าวออกมาจากลิฟต์ย่อตัวลงแล้วเอ่ยถาม

          “มะ ไม่เป็นไรค่ะ”

          “ถ้าไม่เป็นไรจริงๆ ลองลุกขึ้นให้ผมดูหน่อยสิ” ชาฟากีย์พูดเหมือนสั่งกลายๆ ทำให้แพรมุกต้องเงยขึ้นมองใบหน้าของเขาพลางคิดว่าผู้ชายคนนี้คงจะออกคำสั่งจนเคยตัวถึงได้ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเธอ สาวน้อยไม่ค่อยชอบใจนักแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันเธอจึงยอมลุกขึ้นตามที่เขาบอก หากพอลุกขึ้นคนที่คิดว่าตัวเองไม่เป็นไรกลับมีอาการเจ็บแปล๊บๆ ที่ข้อเท้า ซ้ำร้ายไปกว่านั้นส้นรองเท้าของเธอยังหักอีกด้วย

          “อุ๊ย!” แพรมุกอุทานและทำท่าจะทรุดตัวลงนั่งใหม่เพราะยืนไม่ไหว  แต่เจ้าของร่างสูงขยับมาประคองเธอไว้เสียก่อน

          “คงจะเท้าแพลง แบบนี้ต้องรีบทายา ไปหายาทาก่อนเถอะ”

          “แต่ฉันต้องรีบเอาผ้าขนหนูไปให้แขกนะคะ”

          “แขกของคุณอยู่ห้องไหน”

          “ทำไมคะ”

          “ถามก็ตอบมาเถอะน่า” ชายหนุ่มทำเสียงดุๆ ทำให้แพรมุกชักจะหน้าตึงขึ้นมาบ้าง ถึงเขาจะเป็นแขกระดับวีไอพีของโรงแรมและเป็นเป้าหมายของเธอ ทว่าก็ไม่มีสิทธิ์มาวางอำนาจใส่เธอในเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้นี่นา

          “ห้องเก้าศูนย์สามค่ะ” เสียงหวานตอบออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก พอได้คำตอบชาฟากีย์ก็ดึงเอาผ้าขนหนูในมือของเธออย่างถือวิสาสะก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังห้องนั้นแล้วยื่นผ้าขนหนูให้กับแขกที่มาพัก คนในห้องค่อนข้างแปลกใจที่พนักงานของโรงแรมกลายเป็นหนุ่มหล่อแต่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นเชิงถูกใจ

          “ไปกับผม” ชาฟากีย์ประคองร่างอรชรขึ้นหลังจากที่เขากลับมา

          “ปะ...ไปไหนคะ?”

          “ไปทายาสิ จะปล่อยไว้แบบนี้หรือไง”

          “ฉันหาทาเองได้ค่ะ ไม่รบกวนคุณดีกว่า”

          “มาเถอะน่าอย่าเรื่องมาก”

          ชาฟากีย์ไม่ยอมให้แพรมุกโต้เถียงใดๆ อีก เขาประคองเธอเข้าไปในลิฟต์แต่หญิงสาวเดินกะเผลกๆ เพราะเจ็บที่ข้อเท้า อีกทั้งความสูงของรองเท้ายังไม่เท่ากันทำให้ชาฟากีย์ถอนหายใจคล้ายรู้สึกรำคาญ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างเล็กขึ้นไว้ในวงแขนแล้วพาเดินอาดๆ เข้าไปในลิฟต์

          “คุณ! ปล่อยฉันลงเถอะนะคะ!” แพรมุกอุทานอย่างตกใจระคนเขินอายที่จู่ๆ ก็ถูกคนแปลกหน้าอุ้ม ถึงแม้เขาจะเป็นเป้าหมายของเธอก็เถอะ แต่นี่มันไม่ได้อยู่ในแผนของเธอเลยสักนิด

          “เงียบๆ น่า ผมไม่ชอบผู้หญิงขี้โวยวาย” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของเขาดุดันไม่แพ้กัน จึงทำให้แพรมุกต้องสงบปากสงบคำทั้งๆ ที่ในใจค้านว่านี่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

          ชาฟากีย์เอียงข้างไปกดลิฟต์ชั้นที่เป็นห้องพักของเขา จากนั้นเขาก็ยืนเงียบ หัวใจของสาวน้อยเต้นแรงโลดดุจจะทะลุออกมานอกทรวงขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาอุ้มเธอเข้าไปในห้อง เจ้าของห้องวางร่างอรชรลงบนโซฟาหนานุ่ม ก่อนจะเดินไปหยิบยาในกระเป๋าเดินทางของเขาแล้วกลับมาหาเธออีกครั้ง

          “นี่ยา ทาซะ” เขายื่นหลอดยาให้พร้อมกับออกคำสั่ง

          “ขอบคุณค่ะ” แพรมุกรับยาจากมือเขา จากนั้นก็ถอดรองเท้าออกและบีบยาใส่ในมือพลางก้มลงไปทาบริเวณข้อเท้าโดยมีชาฟากีย์ยืนกอดอกมองอยู่ไม่ห่าง

          “ทาแบบนั้นมันจะหายปวดได้ยังไง”

          “แล้วต้องทาแบบไหนล่ะคะ”

          “ส่งยามานี่เดี๋ยวผมทาให้เอง”

          “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทาเองได้” สาวน้อยรีบบอก หากแต่ชาฟากีย์ไม่ฟัง  เขาดึงหลอดยาจากมือเธอแล้วบีบลงบนฝ่ามือใหญ่ก่อนจะทาลงบริเวณเดียวกันกับที่เธอทาเมื่อครู่นี้ กิริยาและท่าทางนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะเขาไม่ได้ทาเฉยๆ แต่ยังนวดเบาๆ จนอาการเจ็บแปลบๆ ทุเลาลงราวกับเป็นยาวิเศษ

          ดวงตากลมโตลอบมองใบหน้าคมคร้ามสลับกับมือใหญ่ที่กำลังบีบนวดอยู่บนข้อเท้าของเธอ ตอนนี้อาการเจ็บแปลบๆ ถูกแทนที่ด้วยอาการซ่านสยิวแปลกๆ ที่แล่นพล่านจากข้อเท้าขึ้นไปรวมตัวกันที่ท้องน้อยของเธอ และมันก็มากขึ้นๆ จนแพรมุกเกือบจะหลุดเสียงครางออกมาให้ได้อาย มันเป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายของเธอตอบสนองสัมผัสของเขาในแบบที่น่าตกใจอยู่ไม่น้อย

          “พอแล้วค่ะ ฉันหายเจ็บแล้วค่ะ” เสียงหวานใสรีบเอ่ยห้ามก่อนที่ตัวเองจะควบคุมอารมณ์ซึ่งกำลังถูกปลุกให้เตลิดเอาไว้ไม่อยู่

          “แน่ใจนะ” เขาเงยหน้าพลางเลิกคิ้วขึ้น ซึ่งแพรมุกสารภาพกับตัวเองอย่างไม่อายว่าชาฟากีย์ช่างเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาน่ามองไปทุกอิริยาบถจริงๆ

          “แน่ใจค่ะ ยังไงฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ ขอบคุณมากสำหรับความมีน้ำใจของคุณค่ะ” ร่างอรชรรีบลุกขึ้นยืนและสวมรองเท้าเพื่อจะได้ออกไปจากห้องของเขาไวๆ หากทว่าปัญหาของเธอก็ยังไม่จบเพราะส้นรองเท้าที่หักข้างหนึ่งทำให้ไม่สามารถรีบร้อนได้อย่างที่คิด

          “รองเท้าแบบนั้นจะใส่เดินได้ยังไง นั่งลงก่อนสิ” เสียงเข้มออกคำสั่งอีกครั้ง

          แพรมุกจำต้องนั่งลง ชาฟากีย์จัดการถอดรองเท้าด้านที่ไม่หักออกจากเท้าของเธอ แล้วใช้มืออันแข็งแรงของเขาหักส้นรองเท้าข้างนั้นออกแล้ววางลง

          “ใส่แบบนี้น่าจะสบายกว่านะ”

          สาวน้อยมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ผู้ชายคนนี้ไม่ได้แค่หล่อเหลา แต่ยังมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ทำเอาคนอยู่ใกล้ๆ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ แบบนี้ถ้าอยากได้สาวคนไหนมาเคี้ยวเล่นเป็นอาหารมันไม่ง่ายยิ่งกว่ากระดิกนิ้วหรอกหรือ

          “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี” เสียงหวานเอ่ยอย่างจริงใจ เพราะอย่างน้อยเขาก็มีน้ำใจต่อเธอ

          “ถ้าอยากตอบแทน พรุ่งนี้เช้าผมขอกาแฟหอมๆ สักแก้วก็แล้วกัน”

          “ตกลงค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะเอากาแฟมาเสิร์ฟให้คุณทันทีที่ฉันมาถึงโรงแรม และรับรองว่าฉันจะชงกาแฟมาให้คุณอย่างสุดฝีมือ” แพรมุกบอกด้วยเสียงสดใสและยิ้มให้เขาอย่างมีไมตรีจิตอันดี แม้จะเขินๆ อยู่บ้างก็ตาม

          “ผมจะรอ”

          “ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้คุณรอเก้อค่ะ”

          แพรมุกรับปากอย่างหนักแน่น ก่อนจะลุกขึ้นแล้วก้าวไปยังประตู    โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมากล่าวขอบคุณและส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง

รายละเอียด

ชาฟากีย์ อารีฟ มูซัมมิน ชีคหนุ่มผู้ที่ได้รับฉายาว่า 'พญาเหยี่ยวแห่งทะเลทรายอัฟฟายาร์' เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มน่าเกรงขามภายใต้ดวงตายาวรีสีน้ำตาลแอมเบอร์ ทั้งโหด ทั้งดุดันทั้งแข็งแกร่งทุกสัดส่วน และมีเสน่ห์ชวนมองจนบรรดาเหล่าอิสตรีทั้งหลายที่เห็นต่างมิอาจถอนสายตาไปจากชายผู้นี้ได้ง่ายๆ ว่ากันว่า...หญิงใดที่ได้ประสานสายตากับเขาจะมีความรู้สึกร้อนวูบวาบราวกับโดนเปลวเพลิงเผาผลาญให้มอดไหม้ไปทั่วทุกอณูเนื้อ

แต่กระนั้นก็ยังมีหนูหริ่งน้อยอย่าง แพรมุก มุกมนตรี ริอ่านเอาเขาไปเป็นตัวพนันขันต่อคล้ายดั่งว่าบุรุษผู้น่าเกรงขามเช่นเขามีราคาค่างวดแค่เศษเงินค่าอาหารไม่กี่บาทของเธอเท่านั้นแล้วเมื่อแม่สาวมากเล่ห์กระเด็นเข้ามาสู่เงื้อมมืออีกครั้งมีหรือชีคจอมเถื่อนจะละเว้นโอกาสสั่งสอนให้เธอได้ลิ้มรสชาติป่าเถื่อนอันน่าสะพรึงกลัวที่ต้องจดจำไปจนตาย!

 

“นี่หมายความว่าแม้แต่ศพฉันคุณก็จะไม่ส่งกลับบ้านงั้นเหรอ”

“แล้วจะส่งกลับไปทำไมทิ้งให้สัตว์ทะเลทรายกินเป็นอาหารมันจะไม่มีประโยชน์กว่าหรือ” เขาตอบหน้าตายเช่นเคยแต่ฟังดูป่าเถื่อนโหดร้ายมากที่สุดในความคิดของแพรมุก

“คนป่าเถื่อน! โหดร้าย! ไร้หัวใจ!”

“คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าความป่าเถื่อนของผมมันเป็นยังไงแต่ถ้ายังไม่ชัดพอเดี๋ยวผมจะย้ำอีกครั้ง”

ลำแขนแกร่งตวัดมาสอดพรวดเข้าที่เอวเล็กแล้วลากร่างบางเข้ามาหาอย่างรวดเร็วแพรมุกสะดุ้งโหยง หันขวับไปมองใบหน้าที่มีเครารกครึ้มอย่างอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง และก็ต้องหน้าร้อนร้อนวูบเมื่อเขาก้มต่ำลงมาหา

“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ” แพรมุกรีบร้องห้ามเสียงหลงพลางดิ้นขลุกขลัก

“ถ้ากลัวก็หุบปาก แล้วนั่งนิ่งๆซะแพรมุก”

สาวน้อยอ้าปากขึ้นเตรียมจะโต้ตอบเขาแต่พอเห็นแววตาดุๆ ที่บ่งบอกว่าพร้อมจะเอาจริงนั้น ก็ทำให้เธอชะงักคำพูดเอาไว้แค่ริมฝีปากตัวเองเท่านั้น

 

 

 

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน

            มาแล้วค่ะ…สำหรับสาวๆ ที่ถามหาภาคแรกของคะนึงรัก และสาวๆ ที่สงสัยว่าความเป็นมาของพี่เพชรกับคุณนิจเป็นอย่างไร มีเฉลยในเล่มไฟสวาทชีคจอมเถื่อนนี้นะคะ

            ไฟสวาทชีคจอมเถื่อนเป็นเรื่องราวของแพรมุกที่ริอ่านลองของเลยเจอบทลงโทษสุดโหดหื่นของชีคจากทะเลทราย เคยวางขายแล้วทั้งในรูปแบบรูปเล่มและอีบุ๊ค ซึ่งก่อนหน้านี้ดูแลโดยสำนักพิมพ์วาเลนไทน์ แต่ตอนนี้นิยายเรื่องนี้หมดสัญญาแล้ว นานาจึงนำมาลงในไอดีเทียนธีราให้ได้ดาวน์โหลดกันค่ะ

            อย่าลืมดูที่ตู้หนังสือของท่านนะคะว่ามีแล้วหรือยัง ถ้ามีแล้วไม่ต้องดาวน์โหลดซ้ำเน้อ เพราะนานาไม่ได้เพิ่มเนื้อหาอะไร แค่ตรวจคำผิดและจัดรูปเล่มใหม่เท่านั้นเองจ้า


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (79 รายการ)

www.batorastore.com © 2024