
แชมป์เปี้ยนสะบัดช่อ (เพ็ญศิริ)
ประหยัด: 52.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
แชมป์เปี้ยนสะบัดช่อ
เพ็ญศิริ
บทที่ 1
ภายในสนามมวยขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถจุผู้คนได้ไม่ต่ำกว่า พันคนขึ้นไป ผู้ชมนับไม่ถ้วนกำลังตั้งใจดูการชกมวยของสองนักมวยคู่เอก ฝ่ายแดงคือ ชนะพล เกียรติก้องภพ ส่วนฝ่ายน้ำเงินนั้นมี สมญานามในการชกว่า โผผิน ลุกชาวฟ้า
นักมวยทั้งสองกำลังออกจากมุมของแต่ละฝ่าย เดินรี่เข้าใส่กัน ทันทีที่เสียงระฆังดังกังวานขึ้น ทุกคนเห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของนักมวยทั้งสองที่กำลังเต้นจด ๆ จ้อง ๆ ดูชั้นเชิงกันเสียก่อน เพราะฝ่ายแดงนั้นรูปร่างหนากว่าฝ่ายน้ำเงินซึ่งมีหุ่นโปร่งบาง หน้าตานั้นเล่าก็ไม่มีเค้าว่าจะเป็นนักมวยกับเขาได้ เนื่องจากใบหน้าที่อ่อน ขาวสะอาด ปางบางระเรื่อ จัดว่าเป็นหนุ่มน้อยรูปหล่อคนหนึ่ง ขณะที่ฝ่ายแดงนั้นหน้าตาเหี้ยมเกรียมดุดันกระหายเลือดคู่ต่อสู้ดุหน้ากลัวอย่างยิ่ง
หลังจากจดจ้องมองทางกันครู่หนึ่ง ชนะพลก็ส่งกำปั้นให้คู่ชกของตนชนเข้าเต็มหน้า มีผลทำให้นักชกฝ่ายน้ำเงินผงะเต้นถอยกรูดออกวงนอกออกไป เรียกเสียงโห่เฮจากผู้ชมที่ยืนอยู่รอบ ๆ สังเวียนดังขรมครืน ทุกคนต่างคิดว่าคืนนี้ชนะพลเจอหมูอยู่ในอวยเข้าให้แล้ว
“ฝ่ายน้ำเงินถูกหมัดของฝ่ายแดงเข้าเต็มตาชนะพลไม่ปล่อยเวลาชักช้า เขายิงหมัดตรงเข้าใส่ลำตัวคู่ต่อสู่รัวถี่ยิบ ซ้าย ขวา… ซ้าย ขวาหลายชุด ทำเอาโผผินทำอะไรไม่เป็น ได้แต่ปิดป้องลำตัวเองแล้วถอยไปรอบ ๆ เวทีฝ่ายน้ำเงินตามเข้าไปใช้ท้าวถีบท้องคู่ชก จนโผผินล้มเค้เก้ลงไป กรรมการนับแล้วครับ”
พวกผู้ชมเฮกันรอบสนาม เมื่อกรรมการเริ่มต้นนับโผผินทันทีที่เขาล้มลง แต่นับได้แค่สาม โผผินก็ลุกขึ้นมาตั้งตัวได้ แต่ยังไม่ทันไร ชนะพลก็ลงเท้าถีบเข้ากลางลำตัวโผผินเต็มเปา ทำให้โผผินร่อนถลาหน้าจูบพื้นอีกครั้งหนึ่ง
“เฮ้…,”
ผู้ชมตบมือตะโกนกันลั่น แต่โผผินก็รีบยันกายลุกขึ้นมาตั้งรับการจู่โจมของนักชกคู่ต่อสู้ทันที ยังไม่ทันที่ชนะพลผู้ได้รับสมญานามว่า ขุนศึกหมัดไร้ปรานีจะรี่เข้าเผด็จศึกคู่ต่อสู้ตามเสียงเชียร์ของแฟนผู้ชมที่ร้องตะโกนสั่งอยู่รอบ ๆ เวทีว่า “เอาให้หลับ เอาให้หลับ” เสียงระฆังหมดยกก็ดังก้องขึ้นเสียก่อน
นักมวยทั้งสองกลับไปหามุมของตัวเอง พี่เลี้ยงสองคนโดดขึ้นดูแลนักมวยของใครของมัน ทั้งสองช่วยกันเอาน้ำละเลงบนเรือนร่างของนักมวย พี่เลี้ยงทั้งสองฝ่ายต่างสั่งสอนรูปแบบการชกแผนใหม่ให้นักมวยของตน ระหว่างบีบนวดเนื้อตัวให้กับนักมวย
“เอ็งอย่าเปิดลำตัวให้เขาซัดข้างเดียวซิวะ เจาะยางมันมั่ง ไอ้ชนะพลมันคงคิดไม่ถึงหรอกว่าเอ็งจะกล้าเจาะยางหรือไม่ก็ซัดข้อพับมันแบบนั้น ใครโดนเข้าจัง ๆ ก็ต้องล้มกันทั้งนั้นแหละ เอามั่งซิไอ่ผิน ไม่งั้นมึงแพ้เขาแน่”
เสียงพี่เลี้ยงกระซิบสั่งระรัว ระหว่างนวดฟั้นหลังไหล่และแข้งขาให้นักมวยของตน จนระฆังยกต่อไปกังวานขึ้นอีกครั้ง ชนะพลแทบจะกระโจนเข้ามากลางเวที ท่าทางหิวกระหายชัยชนะอย่างเหลือกเกิน
แผนเก่าถูกนักมวยผู้เป็นแชมป์ประจำรุ่นในขณะนั้นงัดออกมาใส่คู่ต่อสู้ เพราะขณะนั้นเข้าสู่ยกที่สี่ ซึ่งใกล้จะยุติการชกเข้ามาทุกทีแล้ว ตาคราวนี้โผผินย่อตัวหลบต่ำ เขาโยกตัวหนีแล้วเตะเข้าที่ต้นขานักมวยฝ่ายแดงดังพลั่ก เสียงโห่เฮของผู้ชมครืนขึ้น ชนะพลยิ้มเหี้ยมคงจะบอกเป็นนัย ๆ ให้โผผินรู้ว่ามึงกล้าเจาะยางกูหรือไว ไอ้น้องชาย แต่โผผินไม่สนใจ เขาตามเข้าไปควงกำปั้นตะบั้นใส่กลางลำตัวของคู่ชกบ้าง ทำให้ชนะพลซึ่งคิดไม่ถึงว่าคู่ชกของตนจะกล้าเข้ามาต่อกรแบบตาต่อตาเช่นนี้ต้องถอยออกวงนอกบ้าง
ทั้งสองเต้นกันไปรอบ ๆ เวที เสียงแนะนำของผู้ชมร้องบอกชนะพลว่าแทงเข่าซ้ายเข้าไป ชนะพลซึ่งเก่งทางเข่าอยู่แล้วผวาเข้าหาฝ่ายน้ำเงิน ทั้งสองกอดรัดกันข้างเวทีที่มีเชือกกั้นเอาไว้ ชนะพลโยนเข่าเข้าใส่ลำตัวและขาของคู่ชก ทำให้โผผินทำอะไรไม่ถนัด นอกจากตอบเข่ากลับไป ทั้งคู่จึงแลกเข่ากันตรงนั้น แต่ชนะพลจะชำนาญด้านการใช้เข่าและกดหัวคู่ชกไม่ให้ทำอะไรเขาได้มากกว่า งานนี้โผผินจึงกินเข่าของคู่ชกไปหลายอึ้ก จนเขาหน้ามืดตัวอ่อนเซไปตามแรงอัดของคู่ชก แทบจะยืนไม่ติดพื้น เสียงโห่ดังครืนจนไม่รู้ว่ามันดังมาจากฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน
“ไอ้ผิน ถอยออกมา”
พี่เลี้ยงร้องบอกทางอยูข้างมุม แต่โผผินทำไม่ได้ เพราะเขาถูกคู่ต่อสู้กอดเอาไว้แน่น จนกรรมการต้องเข้ามาจับแยก ครั้นสิ้นเสียงกรรมการสั่งให้ชก ชนะพลที่กำลังกับการถลุงคู่ต่อสู้ให้ล้มลงไปน็อกก็ตรงเข้าถีบขามวยน้ำเงินเต็มแรง แต่ชนะพลถีบพลาดเพราะโผผินเต้นหลบออกไป เป็นทีที่โผผินจะเห็นจุดโล่งบนใบหน้าที่เล็งมาช่วงล่างของเขานั้นได้ นักมวยหนุ่มหน้าอ่อนจึงซัดเข้าเต็มหน้าท้องของชนะพลจนมวยฝ่ายแดงหน้าผงะหงาย โผผินไม่รอช้าเพราะเวลาใกล้จะหมดยกเข้าทุกที เขารี่เข้าซัดกำปั้นรัวใส่ใบหน้าตลอดทั้งลำตัวของแชมป์ประจำรุ่น สะกดคนดูให้ตลึงกับสถานการณ์ที่พลิกผลันเปลี่ยนไป ทั้งคู่ยืนแลกหมัดกันกลางเวทีโดยที่โผผินไม่ยอมหลบหรือถอยหนีอีกแล้วถ้าเขาไม่สู้ในท้ายยกนี้กับยกหน้า เขาก็ต้องแพ้คะแนนชนะพลอยู่ดี สู้ยอมกัดฟันสู้แบบหนุมานถวายแหวนสักที แพ้เป็นแพ้ แต่ก็ยังไม่เสียใจ
ใบหน้าทั้งคู่แดงเถือกด้วยหมัดที่เสยใส่กัน เห็นได้ชัดว่าชนะพลเมื่อเจอคนจริงเข้าก็ยืนตัวเอนเป็นกิ่งมะขามลู่ลมพายุไปเหมือนกันเสียงพี่เลี้ยงและฝ่ายของโผผินตะโกนเชียร์สุดใจขาดดิ้นว่าต่อยแล้วฉีกซ้าย อย่าไปแลก นักชกหนุ่มหน้าอ่อนหันไปมองเลยถูกคู่ชกเตะที่ข้อพับลงไปก้นกระแทกพื้นดังพลั่ก ฝ่ายแดงจะซ้ำ แต่กรรมการห้ามและระฆังหมดยกพอดี
“เอ็งชกยกนี้ได้ดีมาก ผิน ยกหน้าเอ็งไม่ต้องแลกหมัดกับมันแล้ว แค่ยั่ว ๆ ให้มันโกรธแล้วฮุกกลางลำตัวมัน กับเจาะยาง แล้วฟันศอก แค่นี้ก็อยู่มือ รับรองรองว่าเอ็งน็อกไอ้ชนะพลลงแน่”
“ผมไม่รู้ว่าผมจะทำได้มั้ย พี่โทน”
นักมวยหนุ่มหน้าอ่อนที่เหยียดขาให้พี่เลี้ยงหนวดฟั้นพูดอย่างไม่มั่นใจ ผลคือถูกพี่เลี้ยงถลึงตาใส่
“เอ็งเอาความไม่รู้มาแลกกับความพ่ายแพ้หรือวะ ว่าเฮียเขาจะจัดให้เอ็งขึ้นชกกับไอ้ชนะพลได้น่ะมันยากแค่ไหน รู้ไม่รู้ เอ็งก็ต้องรู้แล้ว เพราะนี่มันคือยกสุดท้าย โอกาสสุดท้ายของเอ็ง”
คำพูดนั้นเองที่ปิดม่านที่คลุมเครือคาใจของนักมวยหนุ่นหน้าอ่อนซึ่งกล้าผยองขึ้นมาต่อกรกับแชมป์มวยประจำรุ่นอย่างชนะพล ครั้นระฆังดังขึ้นโผผินทำตามกลยุทธ์ไม้ตายที่พี่เลี้ยงทั้งสองให้เมื่อครู่นี้คือต่อยและเตะกวนอารมณ์คู่ชก ก่อนจะฉีกซ้ายฉีกขวาหลบหมัดกับแข้งของอีกฝ่าย ยั่วโทสะให้ชนะพลไล่ถลุงเขาไปรอบๆ เวที แต่ชนะพลก็ถูกคู่ชกเตะเข้าซี่โครงดังพลั่ก ทำให้ร่างหนากว่าของฝ่ายแดงหมุนคว้างกลางเวที โผผินเลยใส่ร่างที่เสียหลักนั้นด้วยปลายเท้าที่ลิ้นปี่ของชนะพลสองทีซ้อน เสียงร้องตะโกนไม่รู้ว่าใครพูดอะไรดังลั่น ทันใดนั้นเอง โผผินก็พลิกผันขึ้นมาเป็นฝ่ายนำนักมวยฝ่ายแดงในราคาห้าหมื่นอย่างเป็นเอกฉันท์
“ผินห้า - หนึ่ง ผิน ห้า - สอง”
เสียงกลองและปี่ ดนตรีประกอบข้างเวทีเชิดระรัวเร้าใจผู้ชม ละผู้เตะที่กำลังซดกันถึงพริกถึงขิง โผผินสังเกตว่าชนะพละกำลังหันหน้ามืดมองอะไรไม่เห็นอาจเพราะเมาตีนของคู่ชกหรือจุกเสียดไม่หาย นักมวยหนุ่มหน้าอ่อนจึงใช้ไม้เด็ดที่พี่เลี้ยงสอนมาก่อนจะถึงยกนี้ว่าให้เขาพุงตัวออกข้าง แล้วใช้หมัดกับเท้าเหวี่ยงออกไปพร้อม ๆ กับการลอยตัวเข้าไปหาคู่ชก ภาษามวยไทยเรียกว่ากลพระรามตีทัพ ชนะพลโดนไม้ตายไม้นี้เขาถึงกับสติแตก ล่วงลงไปเอาหลังกระแทกพื้นม่อยหลับสนิท ชนิดที่กรรมการนับยี่สิบก็ยังไม่ฟื้น
“เฮ้…โผผินชนะแล้ว…โผผินชนะแล้ว”
เสียงร้องตะโกนยอมรับชัยชนะอันขาวสะอาดของนักชกหนุ่มหน้าอ่อนดังกึกก้องภายในสนามมวย ทุกคนพร้อมใจกันชูมือยอมรับการเป็นแชมป์ประจำรุ่นคนใหม่ที่มาแทนที่ชนะพลของโผผินประสานเสียงเป็นเสียงเดียวกัน
กรรมการตรงเข้ามาชูมือให้นักชกหนุ่มเป็นผู้ชนะ ท่ามกลางรอยยิ้มของแฟนมวยที่แสนจะสะใจกับการชกชนิดถึงใจพระเดชพระคุณของคู่ชก ซึ่งพลิกตำนานการเป็นแชมป์หลายสมัยของชนะพลเสี่ยใหม่ไดอย่างเอี่ยมอ่อง
โผผินยิ้มเต็มหน้า เขาไหว้กราดไปทั่วเวที น้อมรับคำศรัทธาของแฟนผู้ชมที่ยังตะโกนเรียกชื่อโผผิน…
โผผิน…ไม่สิ้นสุด
***********************************************************
“น้องชาย…น้องชายกระเพาะปลาไม่ใส่ตับไม่ใส่เลือดสองถ้วย เร็วเข้า คนกำลังหิว”
เสียงดังระรัวดังขึ้นตรงหน้าจากผู้ชายสองคนที่มายืนเคาะช้อนกับชาม ทำให้รอยยิ้มฝันหวานบนใบหน้าหล่อของพ่อค้าหนุ่มต้องอันตรธานจากหายไป ทักษ์กระพริบตาถี่ไล่ภาพที่เพิ่งพรึงเพลิดขึ้นมากลางสำนึกให้จางหายไป และแล้วความเป็นจริงก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมาแทนที่
ภาพที่มีลูกค้ากำลังยืนสั่งกระเพาะปลาจากแผงลอยร้านอาหารที่เขาเป็นพ่อค้าคนขาย
“อะ…อะไรนะครับ พี่ชาย”
“กระเพราะปลาโว้ย คนกำลังหิวจะตายอยู่แล้ว มัวฝันอะไรอยู่ เมื่อกี้ฉันเห็นแกนั่งยิ้มตาลอยอยู่ได้คนเดียว ฝันถึงแฟนเรอะ”
“เอ้อ…ปละ…เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมทำให้เดี๋ยวนี้แหละครับ ไม่เอาอะไรบ้างนะครับ หมู ตับ ไส้”
“ไม่ใช่ ไม่เอาเลือดกับตับ นอกนั้นรับหมด ด่วนจี๋ เร็วที่สุด”
ทักษ์รีบหยิบชามมาตักเครื่องประกอบกับกระเพาะปลาในหม้อใบเขื่องทำให้ลูกค้าทั้งสอง ขณะที่ผู้ชมในสนามเริ่มทยอยพากันออกมาจากข้างในกันประปรายบ้างแล้ว หลังจากที่มวยคู่เอกคือชนะพล เกียรติก้องพิภพ แชมป์ประจำรุ่นจูเนียร์ฟลายเวด สามารถรักษาแชมป์เอาไว้ได้ โดยชนะน็อกนักมวยคู่ต่อสู้ คือ ศรเทพ ศิษย์บางประอินอย่างงดงาม
ร่างสูงระหงสวมชุดวอร์มสีตะกั่ว ขลิบข้างลายแดง มีสัญลักษณ์ลายน้ำกับสิงโตติดอยู่ด้านซ้ายของตัวเสื้อ กำลังวิ่งเหยาะ ๆ ตามร่างชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่าห้าหกคนที่พากันวิ่งออกมาจากหน้าค่ายมวย ‘สิงห์สาคร’ สู่ถนนสายเล็ก ๆ อันโค้งยาวเส้นนั้น ตัดผ่านบ้านของพวกชาวบ้านสู่สองข้างทางที่มีหญ้าคาเกิดขึ้นสลับกับบ้านช่องผู้คน
ผมหน้าม้าของหญิงสาวเคลื่อนไหวไปตามอิริยาบถของเจ้าของร่างที่ยังคงวิ่งซอยเท้าตามร่างเหล่านักมวยในค่ายของบิดาไปเรื่อย ๆ ดวงตาคมกริบกราดมองดูการวิ่งของนักมวยเหล่านั้นแทนสิ่งอื่น จนกระทั่งถึงลานปูนโล่งกว้างอยู่ข้างขวาของถนน ทุกคนก็เบนเส้นทางไปสู่ลานปูนนั่น เพื่อวอร์มร่างกายฟิตซ้อมออกกำลังกายกันต่อไป นักมวยทั้งหลายพากันกระโดดเชือก ปล่อยให้ชิดชนก ศิริสาคร ลูกสาวเจ้าของค่ายมวย ‘สิงห์สาคร’ หาร่มไม้นั่งจับเวลาดูทุกคนออกกำลังแข้งขา จนกระทั่งสายจัด หญิงสาวจึงได้ร้องสั่งทุกคนให้พากันวิ่งกลับเข้าคายมวย ‘สิงห์สาคร’กันอีกครั้ง
เมื่อกลับเข้าค่ายแล้ว ป้าสอน ผู้เป็นแม่บ้านก็รีบนำผ้าเย็นให้ลูกสาวเจ้าของค่ายใหญ่อย่างรู้ใจ หญิงสาวจัดการฉีกซองผ้าเย็นออกก่อนจะให้มันซับใบหน้าที่พราวไปด้วยเหงื่อนั้นช้า ๆ ปากก็อ้าเป่าลมระบายความเหน็ดเหนื่อยออกมาด้วยา
“เหนื่อยจังเลย ป๋ากลับมาหรือยังจ๊ะ ป้าสอน”
“ยังเลยค่ะ แต่เมื่อครู่นี้ คุณพิชิตโทรฯมาว่าให้คุณหนูอยู่ดูแลผู้นักมวยให้ฝึกซ้อมแทนท่านไปก่อน เพราะท่านอาจจะถึงบ้าเอาตอนบ่าย ๆ”
“ว้า แต่ว่านกก็มีธุระจะต้องออกไปทำเหมือนกันนะจ๊ะ ป้า”
สาวน้อยหน้ามุ่ย ร้องว้าออกมา เพราะเสียความตั้งใจแต่แรกไปเสียแล้ว เนื่องจากวันนี้ชิดชนกมีนัดกับพัสวี เพื่อนที่เรียนอยู่สถาบันการเรียนเดียวกัน ว่าเธอจะพาเขาไปติวเข้มภาษากับอาจารย์วรวิชยังที่บ้านของอาจารย์ เพราะว่าพัสวีกำลังมีแผนการจะต้องไปเรียนต่างประเทศตามความต้องการของบิดาของเขา ซึ่งอาจจะเป็นเทอมการศึกษาหน้า หรือว่าปลายปีนี้ก็ยังไม่แน่ชัด ทั้งสองนัดกันไว้เดิบดีแล้ว สาวน้อยจึงไม่สู้จะพอใจกับการที่เธอจะต้องเปลี่ยนนัดอย่างกะทันหันเช่นนี้นัก
“แต่ว่าป๋าคุณนกยังอยู่แม่กลองอยู่เลยคะ เห็นว่าธุระยังไม่เสร็จง่าย ๆ”
“ฮึ...ธุระอะไร้ ก็คงคุยเรื่องจะไปจัดมวยชกที่ไหนในไฟต์หน้าต่อนั่นแหละ”
หญิงสาวที่ยื่นปากออกมานิด ๆ ๆกิจการของบิดามีอยู่แค่อย่างเดียว คือธุรกิจเจ้าของค่ายมวยแห่งนี้ กับการตระเวนหาที่จัดชกมวยไปเรื่อย ๆ และเฟ้นหานักมวยดีมีแววมาเข้าสังกัดค่ายมวยของตัวเอง หลังจากที่นักมวยตัวเก่งกาจที่ค่ายปั้นขึ้นมาก็ถูกค่ายใหญ่กว่าซื้อตัวออกไปก็หลายคน มันเป็นวัฏจักรแสนธรรมดาสำหรับวงการหมัดมวย ที่จะต้องเจอกับเรื่องเหล่านี้ จนไม่มีใครเจ็บใจกันกันเท่าไหร่ หากว่านักมวยเด่นในค่ายต้องการจะโยกย้ายไปสังกัดค่ายที่ใหญ่กว่า ดังกว่าค่ายเดิมของตน
เหล่านักมวยซึ่งมีโปรแกรมจะขึ้นชกในเร็ว ๆ นี้ต่างออกกำลังกายดึงข้อกันบ้าง เล่นเบสกันบ้างเพื่อเพิ่มความกระชับแข็งแกร่งให้กับร่างกายตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมในนัดหน้า จนกระทั่งใกล้เที่ยง ชิดชนกซึงควบคุมการฟิตซ้อมของนักมวย จึงได้ร้องบอกให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนกันได้แล้ว
“ตอนสามโมงเย็น มาวอร์มร่างกาย และลงซ้อมกันทุกคนนะ”
เผด็จมารหนึ่งในนักมวยเด่นของค่ายยืนทำท่าละล้าละลังจด ๆ จ้อง ๆ มองหน้าชิดชนกดั่งมีธุระอะไรจะคุยด้วย ลูกสาวค่ายมวยซึงกำลังจะโทรศัพท์ถึงเพื่อนจึงหันมาและเลิกคิ้วมองหน้านักมวยหนุ่มดั่งฉงน
“มีอะไรเหรอ กี้ ทำไมยังไม่ไปหาข้าวปลากินล่ะ สายมากแล้วนะ”
“คือว่า…ผมมีธุระกับคุณนกนิดหน่อยครับ”
“ธุระกับฉัน มีอะไรเหรอ”
ชิดชนกพาร่างสูงสมส่วนลุกขึ้นยืน ชิดชนกตะหวาดนักมวยเด่นประจำค่ายออกไปอย่างไม่พอใจเอาเสียเลย
“มีอะไรก็ว่ามาซิ มัวแต่อึกอักอยู่นั่นแหละ ฉันจะได้ทำธุระของฉันบ้าง”
“เอ้อ…คือว่า…เย็นนี้ ผมขอขาดซ้อมสักวันได้มั้ยครับ คุณนก”
“ขาดซ้อม ทั้งๆ ที่เธอกำลังจะขึ้นชกอยู่ไม่กี่วันนี้แล้วน่ะหรือ”
ชิดชนกชักจะเดือกปุด ๆ ขึ้นมา หล่อนไม่อยากได้ยินเรื่องราวเหล่านี้เลย ในเมื่อนักมวยทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ในระยะเวลาสิบกว่าวันก่อนจะขึ้นชกจริงนั้น ทุกคนจะต้องซ้อมกันอย่างหนัก ทั้งฟิตซ้อมร่างกายให้เตรียมพร้อมในการขึ้นชก ตลอดทั้งน้ำหนักและด้านอื่น ๆ ทุกอย่าง
“เธอยังอยู่ในช่วงเก็บตัวอยู่นะ กี้”
“แต่ว่า…งานนี้ ผมก็ขาดไม่ได้เหมือนกันครับ”
นักมวยสมญานามว่า เผด็จการชักจะเสียงเข้มขึ้นมาบ้าง เมื่อถูกลูกสาวเจ้าของค่ายมวยตวาดใส่ต่อหน้านักมวยรุ่นน้องคนอื่น ๆ ๆทำให้เขาเกิดอาการเสียหน้าขึ้นมาอย่างยิ่ง
“งานอะไรที่เธอคิดว่ามันสำคัญกว่าการซ้อมของเธอ”
“งานวันเกิดเพื่อนแฟนผมครับ เธอบอกว่าผมจะต้องงานนี้กับเธอด้วยให้ได้”
“อะไรนะ แค่นี้น่ะหรือ ที่เธอถือว่าสำคัญจนปฏิเสธเขาไปไม่ได้น่ะ”
เพื่อน ๆ ๆนักมวยร่วมค่ายกันของเผด็จมารพากันหัวเราะขบขันออกมา นักมวยหนุ่มหันซ้ายหันขวาไปออกอาการพาลใส่เพื่อนนักมวย รวมทั้งชิดชนกที่เขาถือว่าทำให้เขาเสียหน้า ถูกเพื่อนหัวเราะเยาะใส่
“แฟนก็สำคัญเหมือนกันนะครับ คุณนก คุณไม่เคยมีแฟนคุณไม่รู้หรอกว่าเขาสำคัญแค่ไหน ผมไปแค่วันเดียว มันคงไม่เกี่ยวกับการแพ้ชนะไฟต์หน้าของผมหรอกครับ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ไปงานสังสรรค์ก็ต้องดื่มเหล้ายาปลาปิ้ง พรุ่งนี้ก็ต้องเสียงานไม่ได้มาซ้อมอีก แล้วร่างกายระยะนี้กินเหล้ายาได้ที่ไหน ป๋าสอนเอาไว้เธอจำไม่ได้เหรอ กี้ ว่ามีนักมวยตั้งมากมายแพ้เพราะเผลอไปเมาเหล้าก่อนจะขึ้นชกจริง”
“ผมไม่สนใจหรอก ในเมื่อผมจะแพ้ชนะมันขึ้นอยู่กับตัวผม ใครจะมารู้ดีกว่าตัวผมอีก ในเมื่อผมเป็นคนต่อย ไม่ใช่คุณนกนี่ครับ”
“กี้…เธอพูดอย่างนี้เท่ากับไม่เชื่อฟังกันเลย ถ้ารักจะอยู่ร่วมค่ายเดียวกัน ก็ต้องเชื่อฟังกันบ้าง ไม่งั้นมันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้”
ชิดชนกโพล่งออกไปอย่างเหลืออด หญิงสาวเคยเห็นเผด็จการเถียงพ่อของเธอแล้วแสดงอาการแข็งข้อต่อต้านความหวังดีของนายพิชิตเสมอมา นั่นอาจเพราะเขากำลังเหิมเกริมว่าตัวเองกำลังขึ้นหม้อ เด่นดังที่สุดในค่าย ‘สิงห์สาคร’ ในเวลานี้ก็เป็นได้
แต่ถ้าเอาความคิดนี้มาใช้กับชิดชนก เผด็จมารถ้าจะคิดพลาดไปถนัด เพราะคนอย่างชิดชนกไม่เคยง้อลูกน้องที่บิดาหล่อนปลุกปั้นมากับมือ โดยเฉพาะนักมวยที่กำลังพองตัวหลงตัวเองแบบนี้ หญิงสาวยิ่งมองเห็นความจำเป็นที่หล่อนจะต้องพูดดีด้วยเลย
“ก็เอาซิ ถ้าเธอคิดว่าเธอคิดดีแล้ว ก็ไม่ต้องมาอยู่ด้วยกันที่นี่อีก ถ้าเห็นว่าค่ายไหนเขาดีกว่า อยากจะไปอยู่กับเขา ก็เชิญไปได้เลย ฉันอนุญาต”