เจ้าสาวสิบแปด (นางแก้ว) (EBOOK)

เจ้าสาวสิบแปด (นางแก้ว) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: เจ้าสาวสิบแปด
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอน 1 ใครลิขิต

 

            ที่บ้านไม้ยกพื้นหลังเล็ก อยู่บนเนื้อที่เช่าของวัดต้นไทร อยู่ก้นซอยซึ่งเป็นซอยตัน ในตัวบ้านมีหนึ่งห้องนอน ซึ่งสายสุดาผู้เป็นมารดายกให้กับลูกสาวฝาแฝด ธูปหอม เทียนสว่างได้พักพิง ส่วนตัวนางเอง อยู่มุมหนึ่งซึ่งใช้ตู้เก็บเสื้อผ้ากั้นแทนฝาผนัง ถัดมา เป็นที่ตั้งจักรทำงานตัดเย็บ บางที่รับงานนอก ซึงเป็นทั้งติดพวกดอกไม้เป็นพลาสติกรอบนอก ทั้งพวงงานแต่งหรือหรีดงานศพ สามแม่ลูกรับงานทำทุกอย่างเพื่อเสริมรายได้

มีครัวเล็กๆ สร้างเป็นส่วนยืนออกไปเป็นพื้นลด กั้นฝาด้วยไม้ระแนง ภาพที่เห็นคือสองเด็กสาวกำลังช่วยกันจัดทำเมนูเด็ดเตรียมไว้เป็นมื้อเย็น ซึ่งยังไม่ถึงเวลารับประทาน แต่ความที่เป็นคนขยัน เมื่อว่างงาน เป็นต้องหยิบจับทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ

                เสียงตะหลิวโขกกระทะคล่องแคล่วราวกับแม่ครัวเอก ภาพที่เห็นคือสองพี่น้องฝาแฝด ร่างโปร่งบางตามสมัยนิยมของวัยรุ่น หน้าตาน่ารัก ดูสวยใสสมวัยย่างสิบแปดปี ทั้งสองกำลังช่วยกันทำกับข้าวกันอย่างขะมักเขม้นโดยแฝดพี่ลำเลียงของใส่กระทะ แฝดน้องตั้งหน้าตั้งตาผัดและโขกวัตถุดิบซึ่งติดตะหลิวให้หลุดออก

                คนพี่เป็นคนนิ่ง กล้าคิด กล้าทำ คนน้องช่างสงสัย อยากรู้อยากเห็นและอยากลองไปเสียทุกเรื่อง

                “เขาเรียกคนสอดรู้สอดเห็น” แฝดพี่ว่าน้องสาว ซึ่งอยากรู้เรื่องของเพื่อนๆ ในขณะที่ธูปหอมเก็บตัวมากกว่า

                “แหม อยากรู้ไม่ใช่สิ่งผิดนี่นา”

                “แต่เทียนก็ชอบลอง ชอบเถียงอีกด้วย”

                “การแสดงความคิดเห็นก็ไม่ใช่สิ่งผิด”

                “แต่การช่างจ้อ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป ว่ามั้ย”

                “ทำไงได้ เวลาเหตุผลมันเยอะ มันหยุดเถียงไม่ได้นี่นา อย่าถือนักเลยพี่สาวสามนาที”

                เทียนสว่างตอบพี่สาวแล้วพากันหัวเราะคิกคัก ร่าเริง

                ที่ด้านนอกครัว ผู้เป็นมารดาคือสายสุดา กำลังเย็บผ้าเหมา ได้ยินเสียงทำครัวและเสียงหัวเราะกันคิกคัก เป็นความลับที่คุยกันตามลำพังสองคน หญิงม่ายยิ้มให้กับตัวเองในความน่ารักของลูก นอกจากทั้งสองจะเป็นเด็กเรียบร้อยแล้ว ยังเป็นแม่ศรีเรือนตั้งแต่อายุน้อย ๆเรื่อยมายิ่งเติบโตยิ่งเชี่ยวชาญงานครัว

                “ถ้าขาดลูกไปเสียคนคงแย่”

                คิดขึ้นมาแล้วใจหาย เรื่องอะไรมีความคิดร้าย ๆ ผุดขึ้นมาได้นะ สายสุดาส่ายศีรษะปฏิเสธความคิดร้ายซึ่งรุกรานตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ สิ่งที่เกิดกับนางนี้เองที่เรียกว่าลางสังหรณ์

                “แม่ขา กับข้าวเสร็จแล้วค่ะ แม่จะกินขนมอะไรหรือเปล่าคะ” คนพี่ถามก่อน

                “เทียนกับธูปจะไปซื้อให้ค่ะแม่” คนน้องต่อ

                “อะไรก็ได้เอามาคนละถุง แล้วขี่จักรยานดี ๆ ล่ะ”

                สายสุดาส่งเงินให้ลูกสาวพร้อมกำชับให้ระวัง คู่แฝดยิ้มรับ ยิ้มใส ธูปหอมเดินไปยังที่จอดรถยานแสนเก่า เธอขยับจูงออกมา เสียงกึก จักรยานหยุดกะทันหัน แฝดพี่จึงก้มมอง ปรากฏว่าโซ่ขาดจากกัน เธอบ่นให้น้องสาวได้ยิน

                “โซ่ขาดแล้ว”

“มาขาดตอนที่จะออกจากบ้านเสียด้วย”

“เดินไปกันก็ได้ใกล้แค่นี้เอง”

                “ข้ามถนนระวังนะลูก”

                “ค่ะ” ทั้งสองรับคำพร้อมกัน

                สายสุดามองลูกแฝดด้วยความรักดังดวงใจ ทั้งคู่คือชีวิตที่ทำให้นางมีกำลังใจยืนหยัดอยู่บนโลกแห่งการแบ่งชนชั้นใบนี้ได้อย่างขยันขันแข็งกว่าเมื่อครั้งครอบครัวอยู่พร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก

หลังจากสามีถูกรถชนตายสายสุดาต้องเย็บผ้าโหล่มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อเลี้ยงดูลูกแฝดให้ได้เรียนสูงดั่งใจ แม้จะขัดสนเงินทองอยู่บ้าง แต่ครอบครัวเล็ก ๆนี้ยังอบอุ่นมีความสุขในบ้านไม้ท้ายวัดชานเมือง ห่างจากคฤหาสน์หลังงามของปวีณซึ่งอยู่กลางซอย ในพื้นที่ ที่แบ่งว่ากันว่าเป็นของคนรวย

สองพี่น้องเดินผ่านมาได้ครึ่งซอย มีทางเลี้ยวลัดไปยังอีกซอยหนึ่ง ซึ่งซอยนั้นเป็นที่ตั้งของบ้านมหาเศรษฐี ที่กลุ่มคนยาก ได้เห็นแล้วต้องอิจฉาชีวิตหรูหราของคนในบ้านนั้นทุกคน

                “ธูปอยากอยู่บ้านหลังนั้นบ้างมั้ย” แฝดน้องชี้ คฤหาสน์ร้อยล้าน พลางถามพี่สาว

                “อยู่กับแม่ก็มีความสุขอยู่แล้ว เทียนอยากอยู่ที่นั่นหรือ”

เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อแฝดพี่ย้อนถาม

                “เทียนไม่อยากอยู่บ้านนั้น แต่เทียนอยากมีบ้านอย่างนั้นสักหลังต่างหาก”

                “ฝันอะไรกลางแดดแบบนี้” พี่สาวต่อว่า “เกิดใหม่สิบรอบยังไม่มีบุญได้สร้างบ้านอย่างนั้นแน่ เชื่อเถอะ”

                “คำว่ามีบุญมีวาสนา ช่างขีดเส้นกั้นคนจริงๆเลยนะธูป”

                “เร่งทำบุญมากมากเผื่อชาติหน้าไงเพราะชาตินี้ไม่ทันแล้ว”

                “เช้าตักบาตร กลางคืนสวดมนต์ไหว้พระทันสิน่า เผื่อได้ใช้ตอนแก่” แฝดน้องแย้งตามเคย แฝดพี่รับคำ

                “ได้ตามนั้น” แฝดพี่เออออไปด้วย

                “บ้านปุณอยู่ที่ไหนไม่รู้นะธูป” เทียนสว่างเปลี่ยนเรื่องสนทนา

                “อยากรู้ฐานะของหวานใจหรือไงจ๊าาา” ธูปหอมลากเสียงสูงยาว

                น้องสาวร้อนวูบทั่วแก้ม คนพี่ยิ้มบางบนกลีบปากคู่สวย จูงมือน้องสาว แล้วบีบแน่น เทียนสว่างเกรงใจพี่สาวไม่น้อย เมื่อย้อนคิดไปถึงความรักที่ฝ่ายชายได้เลือก ดังนั้นจึงเอ่ยว่า

                “ทำไมปุณเลือกที่จะบอกเทียนตอนที่เรียนเต้นรำด้วยกันก็ไม่รู้นะ”

                “เขาแยกเราออกก็ดีแล้ว อย่ามาเสียใจเลย ธูปไม่เสียใจสักหน่อย”

                “ถ้าเขาชอบเราสองคนก็ดี”

                “ได้ไงล่ะเทียนก็...”พี่สาวเอ็ดเสียงเบา เทียนสว่างชายตามมองพี่สาวแล้วพยักหน้ายอมรับ

                “นั่นสิแม้เราจะไม่อิจฉากัน แต่เราก็ไม่อยากให้คนที่เราชอบมาชอบเราพร้อมกันใช่มั้ย”

                “เป็นความจริงที่เราเปิดอกคุยกันอยู่แล้ว เนอะ” พี่สาวเอ่ยเสียงหนัก อารมณ์ไม่อ่อนไหวเหมือนน้องสาว

                เทียนสว่างเหลียวกลับไปมองบ้านหลังใหญ่นั้นอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกคล้ายถูกฉุดกระชากจากภายใน จากสิ่งที่ตนเองไม่ทราบว่ามาจากอะไร และมีเหตุผลอะไรจึงได้เกิดความแปลกประหลาดเช่นนั้น หรือนั่นคือชะตากรรมได้กำหนดไว้แล้ว!!

 

                ในคฤหาสน์โอ่อ่าสไตล์หรูตั้งอยู่บนเนื้อที่หลายไร่ รายล้อมไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ตกแต่งอย่างเป็นระเบียบสวยงาม มีสระน้ำกว้างหรูหรา เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้เป็นชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาว ไรเคราเขียวครึ้มทำให้ดูคมคาย เป็นผู้อำนวยการบริษัทฐานการเงิน ระดับประเทศ ที่ชื่อว่า ปวีณ ความงดงามอลังการของคฤหาสน์หลังนี้ มีหลายชีวิตที่ด้อยกว่าต้องการเป็นเจ้าของ

                ชายหนุ่มผู้มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยในอันดับต้น ๆ ของประเทศ ปวีณเป็นผู้ชายที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมแห่งยุค เขาดูสง่างามด้วยใบหน้าและเรือนกายเวลานี้เขาเป็นหนึ่งในผู้ชายแถวหน้าเป็นที่ปรารถนาของหญิงสาวใหญ่น้อยในสังคมระดับเดียวกันและในระดับคนที่อยากเป็นหนูไต่ไปตกถังทองใส่ข้าวสารของชายคนนี้

                เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์รุ่นทันสมัยซึ่งชายหนุ่มเอาไว้ใกล้ตัว

                “ฮัลโหล” ชายหนุ่มทอดเสียงรับสำเนียงต่างประเทศชัด

                “แพนจะกลับเมืองไทยแล้วนะคะวีณ” หญิงสาวสวยผู้ที่ปวีณเคยใช้ชีวิตคู่ขากับเธอที่เมืองนอกโทรข้ามประเทศมาบอกกล่าว ชายหนุ่มย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า

“กลับมาสิแพน ผมยังเป็นเพื่อนของคุณอยู่เหมือนเดิม”

“เหมือนเดิมจริงหรือคะ” ดุสิดาลูกสาวมหาเศรษฐี เธอถามเสียงหวาน เขาตอบราบเรียบ

“มาเมื่อไหร่ก็บอกนะ ผมจะพาแหม่มให้ได้รู้จักกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอ้างไปถึงคู่ควงคนปัจจุบันซึ่งเริ่มคบหากัน

“แหม่ม...ผู้หญิงคนใหม่ของคุณหรือคะ”

“คบกันอยู่” ชายหนุ่มตอบเหมือนตัดเยื่อขาดใยกับอีกฝ่าย โดยที่ดุสิดาไม่ได้รู้ว่าลึกไปกว่านั้นว่าปวีณไม่ได้ให้ความรู้สึกไปถึงการแต่งงานกับพันทิวาด้วยซ้ำ

                หากวาจาที่ชายหนุ่มบอกเล่านั้นก็ทำร้ายใจคนที่กำลังขอพัดหวนกลับมาในชีวิตของชายหนุ่มยิ่งนัก เธอตัดพ้อกลับมาว่า

                “ใครย่างกรายเข้ามาในชีวิตคุณ ก็คงต้องโดนคุณปลอกเปลือกใช่มั้ย”

                “ผมไม่ได้บังคับใคร คุณก็รู้”

                “แล้วคุณกับเธอไปถึงขั้นที่เราเคยผ่านมาด้วยกันหรือยังล่ะ”

                ปวีณหัวเราะแทนคำตอบ เขาเป็นผู้ชาย ฐานะดีมาก ผู้หญิงที่เขาเลือกคบหาอยากก้าวล้ำเกินเพื่อน เขาไม่ปฏิเสธ หากเรื่องการใช้ชีวิตแต่งงานร่วมกันนั้นเขายังไม่รักใครถึงขนาดนั้นสักคนเดียว

                “จะแต่งงานแล้วหรือคะวีณ”

                “ยังไม่คิด แต่ผมไม่ชอบคบเผื่อเลือกคุณก็รู้”

                “ขอให้คุณรีบว่างเร็วๆก็แล้วกัน”ปวีณไม่ตอบคำ

 เสียงสัญญาณขาดไปแล้ว เขาจึงกดลบเบอร์ทิ้ง เพื่อป้องกันตัวเองระดับหนึ่ง

                ฐานะของปวีณ สามารถตักตวงความสำราญจากหญิงสาวที่มาเสนอตัวให้มากหลายร้อยชีวิต แต่เขากลับเป็นชายที่แปลก ตรงที่ตามใจตนเองด้วยการไม่ควงสาวหลายคนในช่วงเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะคนที่คิดเอาตัวมาหว่านเสน่ห์ เธอเหล่านั้นจะไม่สามารถพิชิตใจเขาได้นอกจาก ‘เสีย’ โดยเปล่าประโยชน์

 เวลานี้เขาควงคู่อยู่กับ พันทิวา ธิดาสาวคนเดียวของ คุณพรชัย และคุณปริศนา เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ราคาสูง เขาบอกตัวเองว่าอยากคบหาดูใจ กับหญิงสาวแสนสวยผู้เอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ

เมื่อปวีณทำท่าจะปลีกตัว พันทิวาจะรีบมาหา มาง้อเสมอ เมื่อเขาควงกับเธอเขามีเธอเท่านั้น จนกว่าเขาจะตัดสินใจไปด้วยกันได้หรือไม่ และถ้าไม่ เขาจะบอกลา ไม่นานเขาก็จะหาคนที่ถูกใจคนใหม่มาควงต่อไป

แม้ไม่อยากได้ชื่อว่าคาสโนวา แต่เขาก็ได้รับสมญานั้นไปแล้ว

                สี่เดือนแล้วที่เขาควงพันทิวา แหม่มคือชื่อเล่นของเธอ ซึ่งชีวิตของสองหนุ่มสาวโรยด้วยกลีบเงินกลีบทองมากค่า หรูหราตามรสนิยม ความพึงพอใจเป็นเครื่องนำทางความต้องการมากสิ่งที่ติดตามมา

 หญิงสาวต้องการผูกมัดและแต่งงาน หากไม่เคยออกปากบอก เพราะรู้ดีว่า ชายหนุ่มยังไม่พร้อมจะร่วมชีวิตกับใคร

                พันทิวาคิดไม่แตกต่างจากหญิงคนอื่นนั่นคือ อยากลงทุนเอาตัวเข้าพัวพัน เพื่อหวังว่าความงามอาจผูกมัดชายที่เธอพึงใจเอาไว้ได้  พันทิวาคิดว่าเวลาสี่เดือนนานพอแล้ว เธอลืมค่านิยมของสมัยใหม่ที่ว่า

หญิงต้องการผูกมัดผู้ชายจึงยอมนอนก่อน และผู้ชายยอมนอนด้วยเพื่อหนีทีหลัง

ผู้หญิงสมัยใหม่เห็นคุณค่าของตัวเองน้อยลงทุกที!!

 

                ห้องรโหฐานของปวีณตกแต่งหรูหรา ห้องนอนจัดเป็นสัดส่วน เตียงนอนกว้างมีโต๊ะขนาดเล็กอยู่ใกล้หัวเตียง เอาไว้วางสิ่งของมีค่าใกล้ตัว ซึ่งปวีณมักวางโทรศัพท์รุ่นล่าสุดไว้ใกล้เสมอ

บัดนี้ชายหนุ่มนั่งกึ่งนอน ยันแขนด้วยข้อศอก จับตามองไปยังปลายเตียง ปกติบนผนังมีจอภาพดิจิตอลไว้ชมรายการหรือหาความบรรเทิงส่วนตัว หากเวลานี้ ภาพที่เขาเห็นคือ ร่างงามกลมกลึงของหญิงสาวแสนสวย ยืนอยู่กึ่งกลางห้องนอน

ดวงตาคู่งามทอดมองเย้ายวนไปที่ชายรูปงาม พันทิวาชื่นชอบการแต่งกายอวดทรวดทรงงดงามของตนเองทั้งยามไปมาหาสู่ปวีณ หรืออยู่บ้าน หญิงสาวชอบที่จะนุ่งกางเกงหรือกระโปรงสั้น เสื้อเชิ้ตรัดอกติ้ว และชอบยิ่งนักคือไม่สวมชั้นใน ซึ่งเป็นความชอบส่วนตัวและเคยชินโดยที่ตัวเองไม่ฟังคำทักท้วงจากใครทั้งสิ้น

 นิ้วมือเรียวขาวของเธอ ลูบไล้ลำคอระหง ละเรื่อยลงมาที่กระดุมเสื้อรัดติ้ว ปลดออกทีละเม็ด อย่างช้า ๆ ยั่วยวน

เพียงกระดุมหลุดเม็ดเดียว อกงามหลามล้นดีดเด้งออกมาราวกับว่าซุกซ่อนภายในเสื้อผ้าอย่างอึดอัดมานานแล้ว ทรวงอิ่มงามเนียนขาวอมชมพู สะท้านใจชายหนุ่ม ซึ่งจ้องมองไม่กะพริบตา ความงดงามระริกไหวยวนยั่วอารมณ์ จนร่างสูงสุดทนได้ รีบผุดลุกเดินเข้าหาร่างงามดังถูกแรงมหาศาลของแม่เหล็กดึงดูดกระนั้น

                “แหม่ม” น้ำเสียงห้าวทุ้มสั่นพร่าแทบจำเสียงตัวไม่ได้

                หญิงสาวปลดกางเกงขาสั้นกุด เป้าตื้น ปิดเน้นส่วนกลางได้เท่านั้นจริงๆ เมื่อเจ้าตัวปลดซิบออก กางเกงหล่นร่วงลงไปอย่างไม่รักเจ้าของ เธอสลัดด้วยปลายนิ้วเท้า กางเกงตัวนั้นกระเด็นไปตกข้างเตียงอย่างได้จังหวะพอดี

                วงแขนแกร่งรวบร่างหญิงสาวในอ้อมอก จมูกโด่งคลอเคลียใบหน้างามสะดุดตาของเธอ น้ำเสียงสั่นพลิ้วยามกระซิบใกล้

                “ให้พี่จริงหรือแหม่ม” สัมผัสแผ่วหวานของริมฝีปากคู่สวย ส่งให้อารมณ์ชายหนุ่มกระเจิงไกลเกินหยุดยั้งไว้ได้

                มือใหญ่นุ่มอย่างคนไม่เคยทำงานหนักเล้าโลมไต่ตามเรือนร่างงดงาม ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนเองเหวี่ยงทิ้งไม่สนใจใยดี

                “ให้แล้วหรือ”ชายร่างใหญ่ถามย้ำ หญิงสาวคลี่ยิ้มหวานจัด หรี่ตากลมโตเหลื่อเพียงริบหรี่ หากเต็มไปด้วยเสน่ห์พราวพราย

                “ไม่อยากได้หรือคะ”

                “ถามอะไรอย่างนั้น”ปวีณเปล่งเสียงสั่นพร่า ผู้ชายคนไหนมองข้ามร่างเปลือยแสนสวยนี้ได้คงต้องไปตรวจภาวะจิตใจกันใหม่แล้ว

ปวีณ เบียดร่างเพรียวแกร่งและแข็งแรงของเขา แนบเข้ากับร่างเปลือยงดงามสอดขาแยกขาคู่เรียวแยกออกจากกัน วงแขนกลมกลึงโอบรอบแผ่นหลังกว้างยึดไว้พยุงตัวที่ซวนทรุดด้วยความรัญจวนใจ

 วงแขนแข็งแรงช้อนร่างของเธอนำพาสู่เตียงหนานุ่ม ทันทีที่ร่างงามบนเตียง ร่างใหญ่ตามประกบจนเตียงไหวยวบตามน้ำหนักที่ทิ้งลง พันทิวาพริ้มตาหลับเคลิบเคลิ้มสัมผัสที่อ่อนโยนกลับกระตุ้นให้รุ่มร้อนไปทั้งเรือนกาย นี่หรือความสุขที่ชายหญิงใฝ่ฝันในกันและกัน มือเรียวกอบกุมสองตูมตั้งงดงาม บีบคลึงอย่างนุ่มนวล มือเรียวยาวของชายหนุ่มค่อยเค้นแรง และแรงมากขึ้น จมูกโด่งงามซอนซอนสูดกลิ่นหอมจาก พวงแก้มระเรื่อยไปที่ติ่งหู ซูกไซร้ละเรื่อยลงไปทั่ว พันทิวาขนลุกซู่เสียวซ่าน ความรู้สึกเสียดทานราวกับว่าถูกโลมไล้ไปทั้งกายในคราวเดียว

 ชายหนุ่มสอดมือแทรกไปที่ก้อนผมยาว ช้อนท้ายทอยอีกฝ่ายขึ้นจูบรับรอยจุมพิตแผ่วหวาน หญิงสาวจูบตอบดูดดุนลิ้นชายหนุ่มเต็มที่ เสียงครางในลำคอด้วยความพอใจอย่างยิ่งยวด มือเรียวนุ่มของปวีณค่อยลูบไล้ลงที่เรียวขาของหญิงสาวก่อนวกเข้าส่วนกลางกลีบดอกไม้แสนสวย และคุมคามขึ้นมาส่วนบนอีกครั้ง หญิงสาวซ่านเสียวมิอาจทน เธอกำผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดขยุ้มกำเต็มมือหญิงสาวสู้รบกับธรรมชาติของตัวเองไม่ไหวอีกแล้ว

 ชายหนุ่มเจนจัดในเพลงรักมากนัก เขาวนเวียนปาดไล้ปลายลิ้นแสนเชี่ยวชาญลงบนสองปทุมกลมกลึง จนป้านวงชมพูผลิขยายเบ่งบาน ขณะที่ปลายนิ้วรุกรานเกสรสีชมพูจัด สัมผัสแรงเร้ากระตุ้นเตือนขยำขยี้แรงส่งให้หญิงสาวสะท้านทั่วมวลกายจากทุกอณูเนื้อ

                พันทิวาครางอื้ออึง แอ่นกายเหยียดหยัดรับการหยอกยั่ว

                ความเจ็บร้าวของพันทิวาถูกปลอบโยนด้วยความอ่อนหวานละมุนละไมเสียงกระซิบปลอบด้วยคำหวาน

                “สวยมากรู้มั้ยคนดี”

                เสียงสั่นของปวีณฉุดรั้งอารมณ์ตื่นของหญิงสาวให้ผ่อนคลาย

สะโพกของพันทิวาหยัดแอ่นขึ้นเมื่อมือหนึ่งของสามีลูบเรื่อยไปตามลำขา เขาจูบไล่เรื่อยตามมือลงไปจนมือนั้นไปหยุดลูบไล้บนลาดหน้าท้องเนียน กลิ่นกายเธอที่ฟ้องชัดถึงอารมณ์พิศวาสแรง ทำให้ปวีณสูดหายใจยาวลึกจุ่มนิ้วหนึ่งลงไปในความเปียกฉ่ำของหญิงสาว

เธอเผยอปากครวญครางรัญจวนใจ เปลือกตานั้นหลับพริ้มแทบจะหนีบกล้ามเนื้อกับนิ้วที่ชอกซอนลงไป

เขาพึมพำเสียงแผ่วงึมงำฟังไม่ได้สรรพ  พันทิวาหน้าแดงซ่าน

คราวนี้ปวีณคลึงนิ้วมือเร่งเร้า ชำนาญและชาญฉลาด แหล่งเก็บความหวานที่ซุกซ่อนอยู่ภายในกลีบดอกไม้แสนงามหลั่งรินดังฝอยฝนกระทบความร้อนให้อบอุ่น และสิ่งนั้นบ่งบอกว่าหญิงสาวมีความสุขลึกล้ำ

 “ชอบมั้ย”

“พี่วีณ อย่างแกล้งแหม่มสิคะ แหม่มจะขาดใจตายอยู่แล้ว”เธอครางตัดพ้อชายหนุ่มที่สรรหาวิธีมาให้เธอได้รับรู้ว่าอารมณ์ของหนุ่มสาว ผิดแผกแตกต่างจากที่เธอคิดว่าจะทำอย่างไรต่อกันบ้าง

ปวีณเต็มไปด้วยความต้องการเร่งเร่า หากภาคภูมิใจเยี่ยงชายชาตรีว่า รูปร่างงดงามดุจเทพธิดาของพันทิวานั้นเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มจะรัก ทะนุถนอม ใฝ่หาความสุขด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอปล่อยให้ชายหนุ่มเชยชมตามความพอใจ

ชายหนุ่มสำรวจทุกซอกเหลือบชมพูงามหยาดเยิ้ม ยิ่งจับสัมผัส ลูบไล้ ยิ่งปรารถนา นิ้วมือของปวีณ ลูบไล้ปลายยอดบัวงามทั้งคู่ที่เป็นสีชมพูเกือบแดงระเรื่อ นุ่มนิ่มเหมือนกลีบดอกไม้ หนุ่มหล่อจัดลากนิ้วลงไปตามร่องอกจนถึงลอนท้อง ในขณะที่เรียวลิ้นร้อนชื้น ปาดวน เชื่องช้า พร่างพรมจูบแน่นบนปลายยอดตูมตั้งกลมงาม ก่อนจะครอบครองดูดดื่มรสชาติแห่งความพิศวาส ซึ่งหวาน มัน เผ็ดร้อนกว่ารสอาหารใดในโลกหล้าแห่งนี้

สะโพกของพันทิวาหยัดแอ่นขึ้นเมื่อมือหนึ่งของชายหนุ่มลูบเรื่อยไปตามเรียวขา ชายหนุ่มจูบไล่เรื่อยตามมือลงไปจนมือนั้นไปหยุดลูบไล้บนลาดหน้าท้องเนียน กลิ่นกายเธอฟ้องชัดถึงอารมณ์พิศวาส ทำให้ปวีณ สูดหายใจยาว หญิงสาวเผยอปากครวญครางรัญจวนใจ หลับตาพริ้ม

“สวยจังเลย” ชายหนุ่มพึมพำเสียงแผ่วต่ำ หนุ่มรูปงามแนบหน้าเคล้าเคลีย บนแก้มคนรัก ถามเสียงแผ่ว

“ชอบมั้ย”

ปวีณลูบไล้ และจาบจ้วงยิ่งขึ้น ชายหนุ่มเก็บเกี่ยวความหอมหวาน จากนั้นพร่างพรมจุมพิตไปทั่ว เรือนกายของพันทิวา หญิงสาวตอบสนองต่อทุกสัมผัสและคำพูดของปวีณ

ชายหนุ่มโผลงไปหาดอกไม้แสนงามของเธอ เรียวลิ้นไล้เล่นซุกซน ระรัวใส่ตุ่มเกสรด้วยความฉ่ำใจ ภายในร่างของเธอสัมผัสกับความเขม็งเกลียวที่กระซับแน่นทุกขณะ สะโพกขยับเคลื่อนไหวเองอย่างคุมไม่อยู่ เธอยกรับการสอดเรียวลิ้นอุ่นชื้นผ่านเข้าไปภายในดอกไม้ซาบซ่านด้วยน้ำหวาน ชายหนุ่มหยัดเหยียดเป็นจังหวะ ดูดดุนปาดไล้ด้วยเรียวลิ้นระรัว หญิงสาวคร่ำครวญเว้าวอนยิ่ง น้ำเสียงนั้นกระตุ้นปวีณให้คลั่งไคล้ ความคับแน่นภายในกายของเธอซึ่งร้อนรัดรึงมีความปรารถนา สุดท้ายเธอวางใจที่จะให้ฝ่ายชายเป็นผู้นำทาง เรียวขาสะบัดออกกว้างเปิดทางให้ปวีณได้เชยชมสมใจ ชายหนุ่มไม่ยอมพลาดจังหวะที่เขารู้ดีว่า จะส่งพันทิวาให้พบความสุขหลายครั้ง เขาแทรกกายแกร่ง แค่ผ่านไปไม่เท่าไหร่กล้ามเนื้อภายในของเธอรัดรึงชายหนุ่มไว้แน่น ฉุดดึงชายหนุ่มให้เข้าสู่ห้วงแห่งความลึกล้ำ แต่กระนั้นปวีณพยายามควบคุมตัวไว้ แล้วโน้มตัวลงมาลูบไล้ปลายปทุมคู่สวยพร้อมกันก็กดตัวเองดันล้ำลึกเรียกเสียงครวญคราง ชายหนุ่มค่อยๆ ถอนออกช้าๆ แล้วสอดสลับกลับลงไปใหม่ กล้ามเนื้อบั้นท้ายแขม่วเกร็งกลั้นชะลอเวลา ยิ่งชายหนุ่มกดตัวเองลงลึกเสียดสี กับเกสรที่ไวต่อความสัมผัส เขาทราบว่า ปลายเกสรของสตรีนั้นหากเสียดสีคลึงเคล้าโดยแรงเร็วร่วมกันไป จะทำให้หญิงสาวซึ่งเป็นคู่รักถึงจุดแห่งความรื่นรมย์ยาวนาน

วินาทีสุดท้ายทั้งสองโผผวาเข้ากอดกันแนบแน่นราวเกรงว่าจะต้องพรากจากกันในช่วงสำคัญสุด

                ร่างใหญ่พลิกกายลงนอนแนบข้าง กอดร่างเธอไว้ในอ้อมอกรู้สึกรักอย่างสุดแสนเธอเป็นของเขาเป็นของเขาแล้ว ปวีณพร่ำในอกอย่างภูมิใจ พันทิวาซุกหน้านิ่งสะอื้นไห้เบา ๆ สับสนจับอารมณ์ตัวเองไม่ถูก ปวีณประคองดวงหน้าของเธอเพ่งพิศจนเต็มตา ดวงตาคู่สวยเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำใส ๆ หากแต่ริมฝีปากอิ่มมีรอยยิ้มเขิน หยิกทึ้งไปตามเส้นขนอ่อนที่ขึ้นกระจายเต็มแผ่นอก

                ปวีณจับมือนุ่มจุมพิตเบา ๆ ไล้เรื่อยไปทีล่ะนิ้ว พันทิวาชุนหัวเข้าซบกับอกเขาอีกครั้งหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

                “ตกลงดีใจหรือเสียใจกันแน่” เขาล้อ

“แต่งงานเลยนะ” เธออ้อน ปวีณหัวเราะดัง

                “ใจร้อนจัง”

                “ก็ได้แล้วนี่นา”

                “อ้าว แหม่มมายั่วพี่เองนะ” เขาว่าไม่จริงจัง ไม่คิดอยากแต่งงานแม้พึงพอใจอีกฝ่ายไม่น้อย พันทิวาแสร้งหยิกอีกฝ่ายเบาๆก่อน หัวร่อต่อกระซิกสลับคำพรอดพร่ำคำรักแก่กันอย่างไม่สนใจเวลาที่เคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว

                 หลังจากผ่านความรื่นรมย์อย่างที่พันทิวาเพิ่งรับรู้ หญิงสาวนอนเหม่อมองเพดาน ลูบท้องเป็นลอนพองามของตนเอง นัยน์ตาชวนฝัน หากเธอตั้งครรภ์คงงามหน้าละ…

                คิดพลางหัวเราะเบาๆ ไม่รู้สึกรับผิดชอบต่อสิ่งที่คิด ทั้งนี้เพราะเธอถูกตามใจมาก จนไม่เห็นสิ่งใดเป็นปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิต หญิงสาวเคยสร้างปัญหาใหญ่เกินแบกรับได้ ผู้ให้กำเนิดก็ลงมือนำอิทธิพลมาใช้ ให้รอดพ้น

 อย่างคดีขับรถชนคนตาย เจ้าทุกข์เอาเรื่องถึงที่สุด แต่พันทิวารอดพ้นด้วยศาลพิพากษาให้รอลงอาญาเท่านั้น เงิน และอำนาจ ทำให้พันทิวาเกรงใจคนน้อยมากทีเดียว แม้แต่คิดถึงเรื่องการตั้งครรภ์ หญิงสาวยังเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่รับเธอยังไม่คิดเอาไว้ ก็แค่ทำแท้ง…เธอคิดสั้นๆแค่นั้นเอง

 ปวีณโอบบ่าหญิงสาวเข้ามาสู่อ้อมกอด กระซิบถามอ่อนหวาน

                “คิดอะไร บอกได้มั้ย”

                “ไม่บอกค่ะ แหม่มไปอาบน้ำ แล้วกลับบ้านดีกว่า” เธอตอบ พลางผละออกจากอ้อมแขน ที่เธอไม่อยากจาก แต่ทำเล่นตัวเพื่อให้อีกฝ่ายได้ตามไป

                ปวีณ แอบยิ้มก่อนผุดลุกตามไป แต่หญิงสาวปิดประตู กระจกกั้นชายหนุ่มไว้ เขาหัวเราะ ทำหน้าชิดกระจกใส ซึ่งกั้น ระหว่างพื้นที่อาบน้ำกับการถ้ำมองไม่ได้เจ้าของทำกระจกให้ใสอย่างจงใจเพราะเป็นห้องส่วนตัว ส่วนพื้นที่แห้งมีม่านปกปิดกันอุจาดตัวเอง

 พันทิวายั่วยวนด้วยการชม้ายชายตาส่งมาให้ ชายหนุ่มทำนิ้วกระดิกเรียกอีกฝ่าย เธอหัวเราะดัง ก่อนเปิดน้ำจากฝักบังเพดาน ราดรดร่างตนเอง

                ม่านน้ำรินรดเรือนร่างสูงโปร่ง มีสัดส่วนได้รูปงดงาม ทำให้ปวีณตื่นตัว จนต้องระงับใจ หันกายเดินกลับไปยังห้องนอนกว้างส่วนตัว พันทิวาหันกลับไปมองแล้วทำบึ้งตึงเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก่อนเอ่ยเบาๆกับตัวเอง

                “มีดีอย่างนี้ถึงต้องจับให้อยู่”

                ต่อมา ปวีณตามเก็บเสื้อผ้าทั้งของเขาและของคนรักที่เหวี่ยงคนล่ะทิศล่ะทางมาพาดไว้ที่ขอบเตียง ปล่อยให้พันทิวาอาบน้ำชำระกายในห้องน้ำตามลำพัง

               

ในเวลาต่อมารถเบนซ์คันหรูแล่นออกจากคฤหาสน์

เมื่อเจ้านายคล้อยหลังจากไป สาวใช้สองคนซุบซิบนินทากันอย่างสนุกปาก โดยไม่ทันรู้ว่าแม่ครัวบ้านหลังใหญ่มาอยู่ข้างหลังอย่างเงียบกริบ

“วันนี้ได้เก็บผ้าปูที่นอนปนคราบแหงเลย”

“หายเงียบเข้าไปตั้งนาน ไม่น่าจะเหลืออะไรแล้ว”

“อาจจะไม่เหลือมานานแล้วก็ได้”

“แล้วทำไมไม่เหมือนในหนังในละครล่ะที่ต้องมีเลือดพรหมจรรย์”

“ของพรรค์นี้ต้องแยกเรื่องน้ำเน่ากับเรื่องน้ำดีให้ออก น้ำดีคือชีวิตจริง”

“แล้วคุณแหม่มเป็นน้ำเน่าหรือน้ำดีล่ะ”

                ละม่อมเอ่ยทางด้านหลังสองสาวใช้ อย่างไม่สามารถอดทนฟังต่อไปได้อีก เมื่อสองสาวใช้ลามปามคนรักของผู้เป็นนาย

“ฉันจะฟ้องคุณท่าน” พวกเธอทำหน้าเซียว “พวกแกเอาแต่นินทาว่าร้ายคุณแหม่ม”

                “หนูแค่ประเมินสถานการณ์กันเล่นๆเท่านั้น อย่าฟ้องเลยนะป้าม่อม”

                “เรื่องของท่านพวกเอ็งไม่ต้องแส่” ละม่อมสั่งสอนต่อ “พวกเอ็งก็เถอะฉันเห็นนะว่ากลางคืนชอบแอบไปคุยกับยามกับคนขับรถ”

                “แหม ก็เหนียงฉันยังไม่ยานนี่ป้า กิเลสตัณหามันก็ต้องมีล่ะ”

                “นางนี่” ละม่อมทำเสียงแว้ดไม่พอใจที่ถูกย้อนเข้าตัวอย่างจัง สองสาวใช้จึงชวนกันหลบแม่บ้านซึ่งปั้นหน้าเป็นยักษ์ไปเสียแล้ว

“ไปยกอาหารบ้านคุณท่านมาบ้านนี้”

ละม่อมสั่งตามหลังอย่างวางอำนาจ สองสาวใช้จึงต้องรับคำสั่งแต่โดยดี เพราะว่า ละม่อมแม่บ้านคนนี้ พูดสิ่งใด แม่เชื่อทุกครั้งไป ดังนั้นลูกน้องจึงต้องเกรงใจอย่างจำใจจริงๆ


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (74 รายการ)

www.batorastore.com © 2024