ทาสเสน่หาบัลลังก์ทะเลทราย (chineserose)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ


                ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีพื้นที่สีเขียวอันชอุ่มร่มรื่นของพืชพันธุ์ ที่แห่งนี้เป็นแหล่งโอเอซิสอันอุดมสมบูรณ์ แต่ว่าไกลออกไปสุดสายตามีแต่ทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตาและเม็ดทรายแต่ละเม็ดที่ดูดซับความร้อนระอุจากไอแดดอีกทั้งสะท้อนลำแสงแห่งความร้อนแรงที่ยากจะมีใครทานทนอยู่ท่ามกลางทะเลแอ่งความร้อนนั้นได้นาน นอกเสียจากว่าจะอยู่ในกระโจมหรือมีเครื่องนุ่งห่มอย่างดีไว้ป้องกันแสงแดด

                อาณาบริเวณของทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตานี้คือดินแดนของเคียร์ร่า เป็นประเทศเล็กๆ ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ปกครองประเทศระบอบประชาธิปไตยอันมีชีคราฟาเอล อัล เคียร์รา เป็นผู้นำสูงสุด

รายได้หลักของเคียร์ร่ามาจากอุตสาหกรรมน้ำมัน รองลงไปคืออัญมณี แม้เคียร์ร่าจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ก็มีความร่ำรวยมหาศาล ในขณะเดียวกันด้วยภูมิประเทศที่ซับซ้อนใจกลางทะเลทราย ยากแก่การเข้าถึงของประเทศผู้ล่าอาณานิคมมานานนับหลายร้อยปี จึงทำให้เคียร์ร่ายังคงความเป็นเอกราชและสงบเป็นเอกเทศมาจวบจนปัจจุบัน

                แต่ถึงกระนั้น ดินแดนแห่งนี้ก็มีคู่อริอยู่ประเทศหนึ่ง ที่ต่างก็ช่วงชิงความยิ่งใหญ่ในอาณาบริเวณกลางทะเลทรายนี้มานานนับสิบปี นั่นก็คือประเทศโนบส์ ทั้งสองประเทศนี้ ต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะในการรบ สลับกันไป

เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นจนต้องทำให้ระคายเคืองฝ่าพระบาทท่านชีคก็คือมีกองคาราวานไม่ทราบฝ่าย ไม่มีที่มาที่ไปผ่านมาทางทิศตะวันออกของเคียร์ร่า และที่ทำให้ท่านชีคต้องลงมาดูด้วยพระองค์เองนั่นก็คือทาสหญิงนางหนึ่ง ซึ่งภายนอกดูเหมือนเป็นนางรำธรรมดา แต่อาจหาญกล้าต่อกรกับผู้สูงศักดิ์อย่างองค์ราฟาเอล อัล เคียร์รา จนพระองค์พลั้งมือทำร้ายร่างกายทาสผู้พลัดหลงอย่างนาง

                “เจ้านี่มันพยศปกป้องศักดิ์ศรีเพื่อชายคนรักสุดชีวิตจริง! ทั้งที่เจ้าผู้ชายนั่นมันยังไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ ข้าชักนึกสนุกแล้วสิ!!” เสียงดุดันทรงพลังของท่านชีคราฟาเอลถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากหยักสวย ดวงหน้าหล่อเหลาคมคร้าม ดวงตาคมเข้ม รับกับจมูกโด่งคมสันทว่างุ้มส่วนปลายลงเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายสีน้ำตาลเข้ม มีแววดุดันเปี่ยมพลังน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

                ที่แห่งนี้ เป็นลายกว้างสุดลูกหูลูกตาของทะเลทรายในดินแดนเคียร่า ซึ่งท่านชีคผู้หล่อเหลาจะออกมาฝึกเหยี่ยวเป็นประจำ แต่ในตอนนี้กลับไม่ต่างจากแดนนักโทษกลางทะเลทรายสักนิด เมื่อทหารหาญนำเชลยทาสสาวนางหนึ่งที่ถูกจับได้มาเฝ้าท่านชีค เพื่อรอรับโทษ!

                “ท่านนึกสนุกอะไรไม่ทราบ!” เสียงเล็กตอบอย่างถือดี นางเป็นทาสพลัดถิ่นที่จัดว่าหน้าตาผิวพรรณงดงามจนไม่อยากจะเชื่อว่านางคือทาสที่หลงทางมา ถ้าบอกว่านางเป็นเจ้าหญิง ที่หนีออกจากวังจากเมืองใดสักแห่งยังจะน่าเชื่อมากกว่า หน้าตาผิวพรรณ แม้ว่าจะมอมแมมไปบ้างแต่นั่นก็มิได้ทำให้พระองค์มองข้ามความงามที่ซ่อนอยู่ในนั้น!

‘นางงดงาม... ช่างเป็นความงามที่สะกดปิศาจได้อย่างมิยากเย็น’
                “ข้าชักอิจฉาไอ้ผู้ชายคนรักของเจ้าน่ะสิ นี่ขนาดเจ้ายังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตนเจ้ายังดิ้นรนต่อสู้ข้าขนาดนี้ ข้าชักอยากเป็นชายคนรักของเจ้าจริงๆขึ้นมาแล้ว”
                “ทราม! ต่ำช้า!! ท่านไม่มีวันนั้นแน่!”
                “ฮะๆๆ เจ้าคงเกลียดข้ามากล่ะสินะ”ท่านชีคราฟาเอลยิ้มอย่างเหยียดหยัน
                “...” หญิงสาวเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะผลักไสอีกฝ่าย
                “ท่านจงไปเสียเถอะ! ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านอีก!
                “เจ้านี่มันเป็นทาสจอมพยศกล้าดีจริงๆ” พระองค์สบถเสียงอย่างดุดัน น่าเกรงขาม
                “ออกไป!” ทาสสาวแผดเสียงตอบโต้อย่างมิเกรงกลัว
                “เจ้าคงเกลียดข้ามาก” รอยยิ้มอย่างเยาะหยันปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา
                “แล้วท่านคิดว่าข้าจะปรารถนาและรักคนที่ใช้อำนาจกำลังข่มเหงข้างั้นหรือ?” นางเอ่ย ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาคลอคลอง อิสรภาพของนางได้ตายลงไปเสียแล้ว
                “งั้น นับจากนี้ข้าจะทำให้เจ้ารักข้า!”
                “ไม่มีวัน ข้าไม่มีวันรักคนเหี้ยมโหดอย่างท่าน! ออกไป๊!!” เชลยสาวยังไม่หยุดไล่เขา โดยมิได้เกรงกลัวต่ออำนาจของพระองค์แม้แต่น้อย

 

 

1
พยศ

 

ในสถานกักกันเชลยทาสสาว ราชองครักษ์หนุ่มเฝ้ามองเธอ แปลกที่ว่าทำไมเขาจึงสนใจนาง และเกิดเวทนาสงสารอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกกับเชลยทาสคนไหนเลย

                “เจ็บไหม?” เขาเอ่ยถามขณะยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่พกติดตัวเสมอให้กับนางไว้ซับเลือด นางแบบบางเหลือเกิน
                หญิงสาวแหงนหน้ามองเจ้าของเสียงทุ้มด้วยสายตาที่พร่าพรายไปด้วยน้ำตา ความเจ็บปวดที่เธอได้รับ ทำให้ร่างกายอันบอบบางต้องมีน้ำตาพรากพราย อีกทั้งหัวใจที่ตื่นกลัวเพราะแวดล้อมไปด้วยคนแปลกหน้า

“...”
                “ข้าถามเจ้าเพราะคาดหวังคำตอบ... ไม่ใช่ให้เจ้าเงียบ!” เขาหยุดจ้อง ก่อนเอ่ยต่อไปในน้ำเสียงเจือแววห่วงใย “ดูแล้วเจ้าคงระบมไปหมด” ชายหนุ่มแสดงความเห็นอกเห็นใจ พลางก็ยื่นผ้าบางที่เขาเองพกมันไว้สำหรับเช็ดหน้าและหยดเหงื่อ ทว่าแต่วันนี้ผ้าผืนน้อยที่ยังไม่ได้ใช้ เขาจึงเห็นว่าเป็นการเหมาะที่จะให้หญิงสาวใช้เพื่อซับเช็ดเลือดบางๆที่ไหลซิบริมเรียวปากสีชมพูบางนั่นของหญิงต่ำชั้นที่ร่างกายสะบักสะบอมมอมแมม!
                “เอ้า! เช็ดรอยเลือดที่มุมปากเจ้าเสียสิ แล้วหยุดร้องไห้ได้แล้ว” ราชองครักษ์หนุ่มออกคำสั่ง แปลกจริงอยู่ๆเขาก็นึกเห็นใจทาสนางนี้ขึ้นมา จะว่าไปนางก็ถือว่าเป็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มงดงาม แม้เขาเองจะไม่ค่อยได้เห็นหญิงสาวเชื้อสายเผ่าพันธุ์บ่อยนัก

แต่ความที่เป็นทายาทอันดับปลายแถวที่ถูกส่งตัวไปเรียนเมืองฝรั่ง เขาจึงรู้ว่า ดวงหน้าของหญิงทาสที่นั่งมอมแมมอยู่ตรงหน้าคงมีเชื้อสายยุโรเปียนอยู่บ้าง แต่ทำไมหญิงสาวผู้มีแววตาสีฟ้าดุจท้องฟ้ากระจ่างสดใส ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับมีสีผมสีดำไปทางคนเอเชีย

แต่นั่นเมื่อเขายิ่งพิศเพ่งมองดวงหน้าและดวงตาคู่นั้นของนาง ชายหนุ่มก็ยิ่งพบว่าไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่สวย ดวงหน้ากระจ่างใสได้รูป ปากสีชมพูระเรื่อเล็กรูปกระจับรับกับจมูกโด่งงดงามดุจคันศร และต้องหยุดจ้องที่ดวงตาสีฟ้าคู่งามราวตกอยู่ในมนต์สะกดทุกครั้งที่มองหญิงสาวผู้นี้ แต่นางเป็นใครมาจากไหน แล้วมาอยู่ในสภาพทาสของท่านชีคได้อย่างไร
                “ท่านมาทำดีต่อข้าไปเพื่ออะไร ในเมื่อผู้คนทั้งหมดในเมืองนี้ โดยเฉพาะนายของท่านชีค ต่างก็เกลียดข้าอย่างกับอะไร” นางถามขึ้นพร้อมเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ราวสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ นางเข้าแข็งเกินหญิง แม้ว่าเรือนร่างจะแบบบางขนาดนั้น
                “แล้วทำไมข้าต้องเกลียดเจ้าด้วยล่ะ เจ้าออกจะอ่อนแอ” เขาเอ่ยขึ้น ก็นางช่างเอ่ยคำไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
                “ฮึ!” ทาสสาวนึกฉุน
                “เจ้ายังไม่รับผ้าไปซับเลือดที่ริมฝีปากเจ้าอีก” เขายังย้ำ จนร่างบางเผยมือน้อยๆออกมารับผ้าผืนน้อยจากชายหนุ่มและมาซับรอยเลือกที่ไหลซิบๆตามคำว่าของชายหนุ่มอย่างว่าง่าย
                “ราฟัส เจ้ามัวชักช้าอะไรอยู่?” เสียงองครักษ์เพื่อนสนิทร้องถามเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังมัวโอ้เอ้อยู่กับนางทาสและไม่มีทีท่าว่าจะนำนางไปกักขังตามคำสั่งของจักรพรรดิ
                “เจ้าไม่เห็นหรือไงว่านางเจ็บอยู่?”
                “จะไปสนใจทำไม นางมันก็แค่ทาสพลัดถิ่น ไม่แน่ใจว่าเป็นพวกนางรำ นางโลมหรือพวกยิปซีเร่ร่อนกันแน่ ถึงจะเจ็บจะตายพวกเราไม่เคยสนใจอยู่แล้ว”
                “พวกเจ้าไม่มีมนุษยธรรมเลย”
                “ท่านน่ะใจอ่อนจนเกินไป ไม่เหมาะจะเป็นองครักษ์หมายเลขหนึ่งของท่านชีคด้วยซ้ำ นี่ถ้าไม่ติดว่าท่านเป็นพระญาติมีศักดิ์เป็นน้องชายของท่านชีคราฟาเอลแล้วละก็ ท่านคงไม่รุ่งในวงการองครักษ์แห่งเคียร์ร่าเป็นแน่” ทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งปรามาสขึ้นแต่แทนที่ราฟัสจะรู้สึกโกรธ แต่เขากลับใจเย็นและมองว่านั่นคือบททดสอบเขา ภายนอกจึงแสดงออกด้วยรอยยิ้มอย่างมีไมตรีและน้อมรับคำติติงของทหารผู้อาวุโสท่านนั้นอย่างมีมารยาท
                “ข้าพอรู้ว่าท่านชีคเข้มแข็งเลื่องชื่อ และเชี่ยวชาญทางการรบ แต่ไม่น่ารวมถึงสิ่งที่พวกเจ้าจะทำกับนาง ถึงจะเป็นทาสนางก็ไม่ได้ผิดอะไร”
                “นางอาจเป็นสายของศัตรูก็ได้ใครจะไปรู้” ท่านชีคสันนิษฐาน พระองค์ไม่เคยไว้ใจใครง่ายๆ ต่อให้เป็นอิสสตรีที่งดงามราวนางฟ้าก็ตาม
                “เรื่องนั้น ไว้ให้มีหลักฐานก่อนเถิด” ราฟัสยืนยัน ในใจเขาสงสารผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ตอนนี้อยู่ในต่างบ้านต่างเมืองที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนแปลกหน้า เขาสงสารนางด้วยหัวใจของคนที่มีมนุษยธรรมมากกว่าความรู้สึกอื่นใด
                “ฮึ!  หรือว่าท่านต้องตาต้องใจนางทาสนั่นเข้าให้แล้ว ว่าแต่ดูๆไปนางก็หน้าตาพริ้มเพราใช่เล่นนะ”
                “ท่านใช้อะไรคิด?” ราฟัสชักสีหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มดุและเริ่มแสดงอาการไม่พอใจจากที่ถูกเพื่อนองครักษ์พูดจาล่วงเกิน สิ่งที่เขาแสดงออกไปทำให้เพื่อนองค์รักคนเดิมเริ่มยำเกรงขึ้นมาทันทีเพราะรู้ตัวว่าตนล่วงเกินพระญาติเข้าให้แล้“เราจะพาเจ้าไปอยู่รวมกับทาสอื่นๆก็แล้วกัน”
                “ทาสอย่างหม่อมฉัน ท่านอยากจะทำอะไรก็ตามใจท่านเถอะ ข้าเป็นทาสมีสิทธิ์ต่อรองงั้นหรือ?” นางปากดีใส่ ทำเอาอีกฝ่ายส่ายหัวดิก ทว่าแววตาคมกริบคู่นั้นของราฟัสกลับฉายแววเอ็นดูนางขึ้นมาอย่างประหลาด


 

                เมื่อมาถึงกระโจมของพวกทาสที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย องครักษ์หนุ่มก็หันมามองยังทาสสาวสวยก่อนจะเอ่ยขึ้นเป็นคำสั่งว่า
                “เข้าไปสิ!” เขาบงการเสียงดุ
                “ข้าต้องอยู่ในนี้งั้นหรือ?” ทาสสาวเอ่ยถาม
                “เจ้าเป็นทาสที่เราจับตัวได้ระหว่างทาง ฉะนั้นระหว่างเดินทางเพื่อกลับดินแดนจักรวรรดิของพวกเรา เจ้าก็ต้องอยู่รวมกันกับทาสคนอื่นๆในนี้ล่ะ” ราฟัสบอก
                “ข้าไม่มีทางเลือกงั้นสินะ” เชลยทาสเอ่ยเสียงเศร้า
                “อีกไม่กี่วันเราก็จะถึงเมืองแล้ว เจ้าคงลำบากอีกไม่นานหรอก”
                “ทำไมท่านต้องมาใยดีข้าด้วย? ในเมื่อข้าเป็นเพียงเชลยทาส” หญิงสาวเอ่ย ดวงตาฉ่ำหวานมองเขาอย่างไม่วางใจนัก
                “เจ้านี่แปลกคน ที่ถามเช่นนี้เจ้าอยากให้ทุกคนที่นี่ร้ายต่อเจ้านักหรืออย่างไร?” องครักษ์หนุ่มย้อนให้ประโยคนั้นที่ทาสสาวได้ยินถึงกับทำท่างอนตุ้บป่องไม่กล้าเอ่ยอันใดเสริมต่อความกับชายร่างสูงโปร่งผู้มีเมตตาต่อนางอีกเลย จริงอยู่ท่านชายผู้นี้เป็นองครักษ์ เป็นนักรบแต่กับนางเขากลับมีแต่สายตาอันอ่อนโยนใจดีจนแคทเธอรีนสัมผัสได้
                “...” นางเงียบเสียงไม่มีความสามารถที่จะต่อกรเขา พลางก็หลุบสายตาลง
                “เจ้าเข้าไปพักผ่อนได้ เดี๋ยวถ้ามีการงานคงมีคนมาบอกให้เจ้าทำ” ราฟัสสั่งทว่าน้ำเสียงของเขายังเป็นมิตร จะว่าสงสารทาสสาวหน้าตางดงามคนนี้ก็คงใช่
                “ท่านทำเพื่ออะไร ทำไมต้องมาทำดีกับข้าด้วย?” แคทเธอรีนเอ่ยถามดวงตาเศร้าแม้ในใจจะรู้สึกซาบซึ้งที่องครักษ์หนุ่มคนนี้ช่วยนางไว้หลายครั้ง แท้จริงแล้วเขาต้องการสิ่งใดกันแน่
                “ข้าทำกับเจ้าก็ตามหลักมนุษยธรรมน่ะ ท่านชีคก็ทำกับเจ้าหนักหนาเกินกายหญิงจะรับได้ เอาเถอะ เจ้าไปพักเสีย แล้วค่อยว่ากันใหม่”
                จากนั้น หญิงสาวนัยน์ตาสีฟ้างดงามอย่างลึกล้ำ ก็เดินเข้าไปกระโจมหลังใหญ่ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ ข้างในก็พบ เชลยทาสทั้งชายหญิงหนาแน่นอยู่รวมกันจนแทบจะทะลักกระโจมออกมา นางจึงหามุมเล็กที่มีบริเวณพอที่จะนั่งนอนในเวลาหลายวันได้ ก่อนที่จะหย่อนตัวลงนั่งสักพักใหญ่ๆ จนกระทั่งเผลอหลับลงไปอย่างง่ายดายเพราะความเหนื่อยล้า...
                ท่ามกลางความระอุร้อนกลางทะเลทราย พระอาทิตย์เปล่งรัศมีแห่งแสงสะท้อนรอยทราย เป็นแสงทรายที่ระยิบระยับ เพียงไม่นานเมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำย่ำยามเย็นและจวนเวลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้าอีกด้านก็มืดครึ้มพร้อมๆกับอากาศที่เยียบเย็นแผกกันราวฟ้ากับดินในช่วงระหว่างวัน
                ยามทิวาราตรี ก็มีเพียงความสงัดเงียบเข้าครอบงำ จนกระทั่งรุ่งเช้าของอีกวัน ท้องฟ้าสดใสปรอดโปร่ง บริเวณไม่ห่างไกลจากกระโจมที่พัก กลุ่มชายฉกรรจ์ห้าถึงหกคน ออกทำกิจกรรมยามเช้าตามประสาหนุ่มวัยคะนอง
                “เมื่อวานเรียบร้อยดีไหม?” เจ้าของร่างสูงโปร่ง สง่างามทรงพลังอำนาจ แม้มองแต่ไกลก็รู้ว่าเขาน่าจะเป็นผู้นำของกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรังสีบารมีรวมทั้งท่วงท่าและน้ำเสียงทั้งหมดต่างเสริมกันให้ชายหนุ่มผู้นี้เพียบพร้อมสมบูรณ์อย่างไร้ที่ติ
                “ถ้าท่านกำลังหมายถึงทาสหญิงผู้นั้นละก็ ทุกอย่างถือว่าเรียบร้อยดี” ราชองครักษ์หนุ่มตอบด้วยดวงหน้าเรียบนิ่ง
                “แต่มีคนรายงานว่าเจ้า ดูเหมือนจะอิดออดอยู่กับนางอยู่ร่วมชั่วโมง” ชีคราฟาเอลยิ้มด้วยมุมปากเพียงข้างหนึ่งอย่างรู้ทัน ราชองครักษ์ผู้เย็นชามาโดยตลอดเผยรอยยิ้มกลั้วเสียงหัวเราะทันทีที่ถูกอีกฝ่ายมองอย่างรู้ทัน
                “ฮะๆ ท่านนี่เป็นจักรพรรดิที่หูตากว้างขวางชนิดที่สับปะรดยังคงต้องอาย”
                “ก็ข้าเป็นผู้นำที่นี่ ฉะนั้นใครทำอะไร ข้าจำเป็นต้องรู้ไม่ใช่หรือ?”
                “แต่ท่านวางใจได้ ข้าเพียงแต่รู้สึกเห็นใจนางเท่านั้น”
                “นางเป็นแค่เพียงเชลยทาส” ชีคราฟาเอลเอ่ย
                “ทาส มิใช่คนหรอกหรืออย่างไร ท่านอย่าลืมสิ ท่านเป็นผู้ครองประเทศ เป็นผู้นำสูงสุดควรมีความเมตตากรุณาต่อประชาราษฎร์ แม้จะกับคนที่ได้ชื่อว่าทาส ถ้าเรายังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่านางทำผิดอะไร ท่านผู้เป็นถึงท่านชีคก็มิควรรังแกนางอย่างที่ท่านได้กระทำลงไปเมื่อวันที่ผ่านมา?” ราฟัสตำหนิท่านชีคผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายจนผู้ถูกตำหนิเสียความมั่นใจใบหน้าถอดสีจนสังเกตได้ ขณะเดียวกันใจอันแข็งแกร่งของพระองค์ก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาก่อนเอ่ยถามกลับไปว่า
                “นางมีดีอะไร? ข้าไม่เคยเห็นเจ้าออกโรงปกป้องใครอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ตั้งแต่เล็กจนโต มีครั้งนี้ที่เจ้าแสดงออกจนดูกร้าวกับข้า เจ้าบอกข้ามาให้หายข้องใจหน่อยสิว่านางทาสนั่นมีดีอันใดเจ้าถึงปกป้องขั้นนี้?” ท่านชีคตั้งข้อสังเกต
                “ข้าไม่มีคำตอบ แต่เรามีทาสมากพอแล้ว กว่าจะถึงเมืองเราเกรงว่าจะเป็นภาระ” เหตุผลแสนเรียบง่ายขององครักษ์หนุ่ม
                “แต่นางหลงมาในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีเหตุผลเลย ใครจะรู้ว่านางอาจเป็นสายของฝ่าย ศัตรูที่ปลอมตัว และแสร้งว่าพลัดหลงมา” องคจักรพรรดิผู้มิอาจไว้ใจใครโดยง่ายกล่าวสันนิษฐาน ถ้าแม้ว่ามันเป็นความจริงขึ้นมา เคียร์ร่าจะตกอยู่ในภาวะอันตรายทันที
                “แต่ดูแล้วนางไม่น่าจะมีพิษภัย”
                “ยอดฝีมือ ทว่าพ่ายอิสตรี เจ้าคงไม่เคยได้ยินสินะ!” สิ้นคำ รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏบนใบหน้าชีคหนุ่มผู้ดุดัน หัวใจเขาเย็นชาอย่างยิ่ง หล่อ ทรงอิทธิพล และดุดันเย็นชา คือคุณสมบัติเด่นที่หลอมรวมขึ้นเป็นตัวตนของชีคราฟาเอล
                “ข้าไม่ได้วอกแวกขนาดนั้น ข้าเพียงเห็นใจหากนางไม่ใช่สายของศัตรู นางจัดว่าเป็นหญิงสาวที่น่าสงสาร ข้ารับรู้ได้จากแววตาของนาง” ราชองครักษ์ราฟัสแจง ดวงหน้าหล่อเหลาแน่วนิ่งไม่แสดงอารมณ์
                “แววตาพยศ ปากร้าย ถือดีนั่นน่ะหรือ?” ท่านชีคราฟาเอลค้านเสียงเข้มอย่างไม่พอใจนัก
                “ท่านใจร้ายเกินไปที่ทำร้ายนางแบบนั้น” ราฟัสองครักษ์หนุ่มผู้มีเชื้อสายเป็นน้องชายของท่านชีคกล้าเอ่ยเถียง เพราะทนเห็นพี่ชายแท้ๆ ทำร้ายร่างกายผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีทางสู้ต่อไปไม่ได้
                “ฮึ! สำหรับข้าไม่มีคำว่าใจร้ายหรือใจดี นางผยองไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ที่โดนไปนับว่าน้อย” สิ้นคำตรัสของท่านชีคราฟาเอล พระองค์ก็เหนี่ยวคันธนูมาสุดกำลัง ก่อนที่จะเล็งเป้าแล้วยิงมันออกไปข้างหน้า หมายล่าสิ่งมีชีวิตที่วิ่งหนีตายเบื้องหน้า ก่อนที่จะควบม้าไปอีกด้าน และเผยแขนหนาใหญ่ของตนเพื่อรองรับพญาอินทรีคู่ใจที่บินวนเวียนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใสและสุดท้ายมันก็ค่อยๆร่อนตัวลงมาเกาะที่บนลำแขนของผู้เป็นเจ้าของอย่างว่าง่าย
                “เจ้าทำดีมากลูกรัก ต้องอย่างนี้สิ” ราฟาเอลเอ่ยปากชมพญาอินทรีย์ก่อนที่จะควบม้านำเหล่าองครักษ์และผู้ติดตามชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ทั้งหลายกลับที่พัก


 

 

                ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุของไอแดดและแสงอันแรงกล้าที่แผดเผากลางทะเลทราย แต่ภายในกระโจมที่พักระหว่างการเดินทางกลับเย็น และภายในมีการเลี้ยงอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์อิ่มหนำ นี่คือการเดินทางเพื่อกลับกรุงอาร์ทอธ์ แห่งราชอาณาจักรเคียร์ร่า อาณาบริเวณที่ท่านชีคราฟาเอลปกครองดูแล เมืองนี้มีอาณาเขตที่พอเหมาะพอดี ไม่กว้างใหญ่ไพศาลเกินครอบครองแต่ก็ไม่เล็กคับแคบแร้นแค้น แม้กิตติศัพท์ร่ำลือถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตในการปกครองขององจักรพรรดิราฟาเอล แต่กระนั้นเหล่าพลเมืองชาวเคียร์ร่าต่างก็ภักดีสมัครใจอยู่ในการปกครองของท่านชีคราฟาเอล
                การเดินทางไปเยี่ยมต่างเมืองเพื่อสร้างสันธวไมตรีในครั้งนี้ ก็เหตุมาจากหัวเมืองฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเคียร์ร่า มีการสู้รบอย่างหนักเข้าขั้น ท่านชีคราฟาเอลต้องคุมกองทัพออกรบอย่างเนืองๆ และฝ่ายอริราชศัตรูก็ใช้วิธีสกปรกรวมหัวกับเหล่าหัวเมืองโดยรอบเพื่อหาแนวร่วมเข้ารวบตีเมืองไชราร์ หัวเมืองด่านน้ำย่านเศรษฐกิจหัวเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของเคียร์ร่า ภายใต้การปกครองขององค์ราฟาเอล
                เป็นการเจริญทางการทูตครั้งนี้ ก็เพื่อเจรจาอย่างสันติและปรามหัวเมืองยิบย่อยเหล่านั้นมิให้วอกแวกแกว่งไกวไปสนิทสนมกับฝ่ายศัตรู หรือถือหางฝ่ายนั้นให้พวกมันผยอง เพราะไม่อย่างนั้นราฟาเอลก็จะเปลี่ยนจากสันติวิธีเป็นเข้าตีชนิดรวบหัวรวบหางหัวเมืองน้อยใหญ่โดยรอบไม่ให้ทันตั้งตัว เพราะชื่อว่ากิตติศัพท์ของจักรพรรดิราฟาเอลแล้ว หากริจะรบ ผลต้องชนะ และชนะเท่านั้นตามคำเล่าลือ เพราะฝีมือเชี่ยวชาญด้านการรบนั่นเอง เมืองเคียร์ร่า จึงดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขมานับจนถึงวันนี้


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024