ถนนสายสุดท้าย (โบตั๋น) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 500.00 บาท 125.00 บาท
ประหยัด: 375.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1

 

 

 

 

หญิงวัยกลางคนผิวกร้านเกรียมแดด ใบหน้าแก่เกินอายุ ค่อยๆผละจากงานร่อนทรายตรงหน้า เดินไปหาบุรุษร่างสูง

แต่งกายภูมิฐาน ซึ่งกำลังเดินตรวจงานอยู่รอบบริเวณก่อสร้าง พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกสองคน

“เถ้าแก่คะ ดิฉันขอความกรุณาพูดอะไรสักหน่อยค่ะ” นาง เอ่ยปากด้วยกิริยานอบน้อมเต็มไปด้วยความเกรงใจอย่างมาก

“จะเบิกเงินละซี” ถ้อยวาจานั้นมิได้ออกจากปากเถ้าแก่

หากออกจากปากผู้ติดตามคนหนึ่ง ชายคนนี้ผิวคล้ำ ผิวหน้ามี

รอยกร้านและรูพรุนด้วยหัวสิวเก่าๆ ริมฝีปากหนา นัยน์ตา

โปนและผมหยิกขอด “มีอยู่เรื่องเดียว”

 

 

 

 

 

“ใช่หรือเปล่า” เถ้าแก่ยิ้ม พูดช้าๆ เขาได้รับการเรียก

ขานว่าเถ้าแก่ก็จริงอยู่แต่รูปลักษณ์ของเขามิใช่เถ้าแก่อ้วนพุงพลุ้ย ผิวขาว ตาหยี แก้มห้อย คางสองชั้น เถ้าแก่คนนี้เป็นบุรุษผิว

สองสี จมูกโด่ง ท่าทางเป็นคนไทยแท้มากกว่าจะมีเชื้อจีนปน

อยู่แม้เพียงสิบในร้อย รูปร่างของเขาสูงใหญ่ แต่ไม่อ้วน เสื้อ

กางเกงที่สวมราคาแพง เหมาะกับนักธุรกิจ ออกจะหรูเกินเถ้า

แก่รับเหมาก่อสร้างด้วยซ้ำ แต่รูปร่างของเขาดี บุคลิกดีจึงไม่

ดูขัดตา อายุของเขาอยู่ในราวสี่สิบหรือกว่านั้นเล็กน้อย

“เปล่าค่ะ” หล่อนปฏิเสธ “เรื่องอื่น”

“เรื่องอะไรล่ะ” เถ้าแก่ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง

กว่าเสียงกระโชกของคนสนิทผู้เดินตามหลังเขามาด้วยซ้ำไป

“คือดิฉันมีหลานสาวคนหนึ่ง เพิ่งมาจากบ้านนอก ไม่มี

งานทำ ดิฉันอยากขอความกรุณาเถ้าแก่รับมันเข้าทำงานสักคน

ทำอะไรก็ได้ค่ะ ช่วยหิ้วปูน ร่อนทราย หัดผูกเหล็ก”

“อายุเท่าไหร่แล้ว” เถ้าแก่ซัก “แข็งแรงพอจะทำงาน

ก่อสร้างหรือ ประเดี๋ยวไม่เคยทำงานมาทำงานหนักตากแดด

จะเจ็บป่วยเสียนะ แม่ถวิล”

“มันแข็งแรงหรอกค่ะ เด็กบ้านนอก ทนแดดทนฝน ทำ

นาก้มๆเงยๆทั้งวันยังไหว” แม่ถวิลรับรองคุณภาพหลานสาว

“อายุก็สิบแปดแล้ว โตแล้วค่ะ”

“งั้นก็ให้มาทำได้ มาช่วยหิ้วปูนก่อน จะสะดวกมาทำ

 

 

 

 

เมื่อไรล่ะ”

“พรุ่งนี้เลยได้ไหมคะ” นางถวิลหยั่งเสียงเจ้านาย

“ได้” เถ้าแก่พยักหน้า และหันไปทางบุรุษหน้าปรุ “นาย สอนช่วยจดบัญชีรายชื่อลูกจ้างใหม่ให้ด้วย ทดลองงานก่อน

ห้าสิบวัน ให้วันละสามสิบ พอพ้นห้าสิบวันแล้วทำงานต่อไป

ได้ก็ขึ้นเป็นวันละสี่สิบ”

เถ้าแก่เดินดูงานต่อไป ไม่สนใจนางถวิลอีก นายสอน

คนหน้าปรุจึงถามขึ้น

“หลานแม่ถวิลชื่ออะไรล่ะ จะได้จดบัญชีคนงานไว้ พรุ่ง

นี้จะมาทำแน่เรอะ”

“ชื่อแตง” นางถวิลตอบห้วนๆ รู้สึกเกลียดขี้หน้านาย

สอนเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ไอ้พวกนายว่าขี้ข้าพลอย ไม่ใช่มัน

แย่กว่านั้น นางถวิลหน้าบึ้งยิ่งขึ้น มันเป็นพวกเสนอหน้า พวก

แส่ หนอย ยังไม่ทันเอ่ยปากมันก็ดักคอหาว่าจะเบิกเงิน เสือก

รู้ดี

เถ้าแก่เสียอีกกลับไม่เคยพูดอะไรทำนองนี้

“ชื่อจริงหรือชื่อเล่น แตงอะไร แตงไทย แตงกวา อายุ

สิบแปดเรอะ สวยไหม” สอนถามต่อ “มีผัวเรอะยัง”

“ชื่อแตงก็แล้วกัน อย่าซักหน่อยเลย” ถวิลผละไปทำงานต่อ คันปากยิบๆ อยากจะด่าเจ้าสอนให้สมกับความเกลียด แต่หัก

ห้ามใจไว้ได้ ถวิลไม่อยากมีเรื่อง นายสอนเป็นคนสนิทของเถ้าแก่

 

 

 

บางครั้งนายสอนทำหน้าที่จ่ายค่าแรงคนงานแทนเถ้าแก่ หาก

มีเรื่องกับนายสอนก็เห็นจะลำบาก นายสอนนั้นเท่ากับเป็น

หัวหน้าคนงาน แม้จะมิได้มีการแต่งตั้งอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

ก็ตามที

“หน้าเป็นตวักเชียว มีอะไรหรือวะ” เพื่อนร่วมงานคน หนึ่งถามขึ้น แม้ปากจะคุยแต่มือก็ทำงานผูกเหล็กไว้หล่อเสา

รั้วอย่างขะมักเขม้น หากเอาแต่คุยไม่ทำงานจะต้องถูกตำหนิ

เป็นแน่ พวกคนงานอื่นๆก็เช่นกัน จะตะโกนโหวกเหวก ร้อง

เพลง หรือด่ากันก็ไม่มีใครว่ากระไร อย่าหยุดทำงานก็แล้วกัน

“เกลียดไอ้ห่าสอนมัน หนอย กูยังไม่ทันพูดอะไรมันก็

ทำใหญ่ หาว่าจะเบิกเงินละซี ยิ่งกว่าเถ้าแก่เองเสียอีก เถ้าแก่

ยังไม่ทันว่าอะไรเลย” นางถวิลทำปากหมุบหมิบด่านายสอนต่อ

“มันไอ้พวกสอพลอ ไม่รู้เถ้าแก่ชอบมันได้ยังไง คนงาน

ทนปากมันไม่ไหวออกไปเพราะมันก็หลายคนแล้ว วันก่อนเจ้า

พงษ์มันจะฟาดปากเอา” นางอ้วนเล่า “เสือกไปก้อร่อก้อติก

ลูกสาวมันเข้า ไม่เจียมตัว เด็กมันเพิ่งสิบห้า ตามพ่อมาดูงาน

เผื่อจะทำบ้าง พอเห็นมันจัดแจงทาบเลย”

“หน้าปรุเหมือนรองเท้าถูกหมากัด”

“แหม ถวิล เอ็งนี่ช่างเปรียบเทียบ” นางอ้วนหัวเราะคิก

“เหมือนรองเท้าถูกหมากัด จริงเสียด้วยซี ข้านึกมานานแล้ว

ว่าไอ้หน้าปรุหัวหยิกนี่มันเหมือนอะไร”

 

 

 

 

 

“เมื่อกี้มันก็อดไม่ได้ ถามว่านังแตงมันเอาผัวแล้วยัง” นาง ถวิลเล่า

“จะเอามันมาทำงานแน่เรอะ เออ หน้าตาสวยๆ ระวัง

ไอ้เวรสอนมันยุ่งด้วยนา งานก็หนักเอาเรื่องอยู่นะ มันจะทำ

ไหวรื้อ”

“ทำไงได้เล่า เรามันคนจน จะเลี้ยงมันอีกปากเปล่าๆได้

ยังไง มาช่วยหิ้วปูนวันละสามสิบก็ยังดี อยู่บ้านนอกงานก็ไม่มี

ทำ นาก็ล่ม อดอยากปากแห้ง เรื่องไอ้สอนเราก็ระวังเอา มัน

ไม่กล้าจริงหรอกได้แต่ทำหมาหยอกไก่ไปงั้นเอง”

“ค่ารถค่ากินก็หมดแล้ว ไหนว่าค่าแรงขั้นต่ำวันละหก

สิบเจ็ดสิบ เกิดมาก็ไม่เคยได้ถึงสักที” นางอ้วนบ่น “งานชั่วคราว งานก่อสร้างอย่างพวกเรา รัฐบาลหน้าไหนมันกำหนด ค่าแรง

ขั้นต่ำไม่เคยได้ แล้วไม่มีหน้าไหนมันทำอะไรได้เล้ย ให้

สามสิบจะเอาไม่เอาก็ตามใจ ไม่เอาก็เชิญอดไปซี คนตกงาน เยอะแยะ หาเอาเมื่อไหร่ก็ได้ ผู้หญิงอย่างเราแย่ที่สุด พวก

ผู้ชายยังมีทางได้เลื่อนได้ขึ้น”

“บ่นไปก็งั้นแหละวะ เขาก็ไม่ฝึกงานฉาบปูนปูกระเบื้อง

ให้เราเสียด้วย จะได้ได้ค่าแรงวันละร้อยสองร้อยอย่างกะเขามั่ง

พวกผู้ชายมันยังมีทาง แรงงานผู้หญิงเป็นได้ก็แค่ลูกมือ ทำ

พอแลกค่าแรงกันตายไปวันๆ ดีกว่าไม่มีงานทำ”

“แลกค่าแรงนี่บางทียังโดนโกงอีกนะ มันไม่จ่ายค่าแรง

เสียเฉยๆงั้นแหละ งานเสร็จไอ้เถ้าแก่มันเบิกเงินมาแล้วหนี

 

 

 

 

 

หลบหน้าไปเลย ปล่อยพวกเราห้าหกสิบคนเกือบอดตาย มัน

ทำได้ลงคอ”

“นั่นสิ หยาดเหงื่อแรงงานเรา ทำงานปางตายค่าแรงถูก

แสนถูกแล้วมันยังโกงค่าแรงเราได้ ยังงี้ถ้าหาตัวเจอะ มันน่า

บ้อมให้น่วม”

“ก็น่วมน่ะสิ ไปดักมันที่ซอยเข้าบ้านตอนค่ำๆ เอาเสา

ขวางถนนไว้เลย นึกเรอะว่านั่งรถยนต์แล้วจะรอด ตามทวง

เท่าไหร่มันก็หลบมั่ง ผัดมั่ง เมื่อนั่นเมื่อนี่ อ้างว่าผู้ว่าจ้างโกง

มั่งละ อ้างว่ายังเบิกเงินไม่ได้มั่งละ คราวนั้นพวกผู้ชายมัน

ซ้อมเสียหน้าปูด ฟันร่วงหลายซี่ พอตามไปทวงอีกที มันหนี

ย้ายบ้านหนีเลยแหละวะ กูละเหลืออด”

“ลงทุนย้ายบ้านหนีเชียวหรือ ผู้รับเหมาอะไรกระจอกนัก เงินกี่หมื่นกี่แสนวะ”

“ไม่กี่หมื่นหรอก แต่มันก็ลงทุนหนีเข้ากรุงเทพฯ”

“อ้อ เกิดเรื่องบ้านนอกรึ ตามธรรมดาพวกเราคนบ้าน

นอกบ้านนาไม่ทำกัน มันคงคนต่างถิ่นละซี ถึงกล้าทำยังงั้น

แล้วก็ย้ายบ้านหนีได้ง่ายๆ”

“เออ คนต่างถิ่น เรื่องก็หลายปีแล้วละ”

“คนต่างถิ่นนี่ไว้ใจไม่ได้เลยนะ” นางถวิลพึมพำ “มัน

ร้ายนัก ของแกนี่โกงค่าแรง แต่ที่ฉันเจอมามันไม่ใช่เรื่องเงินหรอก แต่เรื่องผู้หญิง”

 

 

 

 

 

นางถวิลไม่พูดต่อ ก้มหน้าร่อนทราย นิ่วหน้าขมวดคิ้ว

คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีต ไม่ใช่เรื่องของนางถวิลเอง แต่

เป็นเรื่องของพี่สาว แม่ของแตง

แม่ของแตงเป็นคนสวย เป็นดาราประจำตำบลทีเดียว

และแม่ของแตงยังได้ร่ำเรียนหนังสือสูงกว่าสาวอื่นในตำบล เพราะ แม่ของแตงได้เข้าไปเรียนในตัวจังหวัดจนจบชั้นมัธยม

แม่ของแตงชื่อบังอร

สมัยนั้นข้าวไม่ยากหมากไม่แพง นาสามสี่สิบไร่ก็พอทำ

มาหาเลี้ยงครอบครัว พอส่งลูกเรียนหนังสือ ถวิลเองก็เรียน

จบชั้นมัธยมเหมือนกัน

บังอรเรียนจบแล้วไม่ได้เรียนต่อหรือทำงานอะไรเพราะ แต่งงานเสียก่อน บังอรแต่งงานตั้งแต่อายุสิบเจ็ด แต่งได้ปีเดียว

ก็มีแตง พ่อของแตงเป็นครู ตำแหน่งหน้าที่ไม่เลวนักเพราะ

เป็นผู้ชวยครูใหญ่ในโรงเรียนประจำอำเภอ

อีกปีหนึ่งต่อมาแตงก็ได้น้องผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ตั้งแต่มี

ลูกสาวคนที่สองบังอรอารมณ์เสีย เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่

พอใจอะไรไปเสียทุกอย่าง ข้อสำคัญเงินเดือนครูของสามีเริ่ม

ไม่พอใช้จ่ายในบ้าน นอกจากใช้จ่ายเรื่องลูกแล้วบังอรยังชอบ แต่งตัว เข้าร้านเสริมสวยบ่อยๆ จ้างคนใช้มาช่วยงานบ้าน ไม่

ยอมทำเอง ลูกเต้าสองคนก็ไม่ค่อยดูแล ทิ้งเป็นหน้าที่ลูกจ้าง

หมด

 

 

 

 

 

ถวิลยังจำได้ว่าเมื่อตอนเกิดเหตุแตงอายุได้สามขวบเศษ

น้องเล็กอายุยังไม่ถึงสองขวบบังอรหายไปจากบ้านพร้อมด้วย

เงินทองเครื่องประดับทั้งหมดที่มี พ่อลูกอ่อนอุ้มลูกคนเล็กจูง

ลูกคนโตมาที่บ้านแม่ยาย น้ำตานองหน้า

“อรเขาไปแล้วละ แม่” เมื่อพ่อร้องไห้ ลูกสาวสองคนก็

พลอยร้องไปด้วยทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรนัก การที่แม่หายไปไม่ใช่

เรื่องแปลกสำหรับเด็กสองคนนี้

“มันไปกับใคร” แม่ยายถาม ไม่แสดงความแปลกใจ

อะไรนัก เพราะวี่แววในเรื่องนี้มีมานานแล้วหากคาดไม่ถึงว่า

จะกะทันหันอย่างนี้ “ช่างทิ้งลูกไปได้ลงคอ”

“จะมีกับใคร ก็ไอ้ช่างทาสีชื่อดิษฐ์คนนั้นแหละ คนที่มี

คนเห็นแอบไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ”

“แน่ใจเรอะ”

“มีคนเห็นมันขึ้นรถขนส่งเข้ากรุงเทพฯไปด้วยกัน”

ทุกคนที่รู้เรื่อง ประณามหยามเหยียดบังอรว่าชั่วชาติ เป็น นางกากี เป็นผู้หญิงร่านราคะ และชั่วช้าต่างๆนานา ญาติ

ผู้ใหญ่บางคนเลยเถิดไปกระทั่งว่ากระทบเด็กหญิงตัวน้อยๆสอง

คนนั้นด้วยว่าคงไม่พ้นเหมือนแม่ มีอยู่คนเดียวที่ไม่ด่าว่าบังอร

คือครูชด สามีของบังอรเอง

“ผมให้ความสุขเขาไม่เพียงพอ ทั้งด้านการเงินและ

ความสุขทางเพศ” ใบหน้าของเขาเศร้าซึม

 

 

 

 

 

ถวิลไม่เข้าใจคำพูดของพี่เขย เพิ่งนึกออกว่าเขาหมาย

ถึงอะไรก็เมื่อตนเองแต่งงานแล้ว

แตงกับน้องเล็กโยกย้ายมาอยู่กับตายาย ถวิลช่วยดูแล เด็กหญิงทั้งสองอยู่หลายปี ครูชดส่งเสียลูกสาวเป็นเวลา

ประมาณสิบปี เขาไม่ได้แต่งงานใหม่ หากสละโลกสู่พระศาสนา

ในยามแก่ ครูชดยังอายุไม่มากถึงกับจะเรียกว่าแก่ แต่เขาแก่

ความทุกข์ความเศร้าหมองจนหน้าตาแก่เกินอายุ ครูชดรับ

บำเหน็จจากทางการมาก้อนหนึ่งมอบให้แม่ยายไถ่นาที่จำนอง

ไว้ตอนฝนแล้งนาล่ม นาที่ไถ่มาไม่ได้ช่วยอะไรครอบครัวได้เลย เพราะปีต่อมาน้ำท่วมหนัก ไม่ได้ข้าว เงินทองแทบไม่มีติดบ้าน

ถวิลเองก็แต่งงานแยกครอบครัวมาอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ถวิล

อาศัยสามีหาเลี้ยงได้ไม่กี่ปีก็ต้องหางานทำเลี้ยงตัวเอง ค่าแรง

ของผัวนั้นหมดไปในวงเหล้าหลังงานเลิก มาถึงมือถวิลเดือน

หนึ่งๆไม่กี่ร้อยบาท

ถวิลจึงไม่อาจช่วยอะไรพ่อแม่ได้ ความรู้ชั้นมัธยมยุค

เก่าแก่ของถวิลก็ช่วยอะไรไมไล้ ถวิลอยู่บ้านทำงานบ้านจนลืม

วิชาการไปหมดแล้ว งานที่หล่อนพอจะหาทำได้ก็คืองานก่อสร้าง ค่าแรงวันละไม่กี่สิบบาท พอช่วยให้อิ่มท้องไปได้วันๆ

เมื่อแตงแสดงความจำนงจะมาอยู่ด้วย ถวิลหนักใจมาก

แต่แตงบอกมาว่าหล่อนจำเป็นต้องเลิกเรียนหนังสือตั้งแต่จบชั้นประถมปลายเพี่อให้น้องได้เรียน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตายายส่งเสียให้เรียนสองคนไม่ไหว แตงแข็งแรง ทำงาน หนักไหว ไม่ต้องเรียนก็ได้ น้องเล็กสุขภาพไม่ดี ทำงานหนัก

ไม่ไหว น้องเล็กควรจะได้เรียนมากกว่าแตง แตงช่วยตายาย

ทำนามาหลายปีแล้ว แต่นาแห้งบ้าง น้ำท่วมบ้าง ไม่ได้ผลเลย

แตงไปหางานทำในตัวเมือง มีแต่งานคนใช้ตามบ้าน แตงทน

ทำอยู่ได้ปีกว่า คิดว่ามากรุงเทพฯ อยู่กับน้าถวิลคงจะได้

ค่าแรงมากกว่าทำงานคนใช้บ้านนายอำเภอหรือบ้านสารวัตร

จะได้ส่งเงินไปให้ตายายบ้าง แตงจะส่งน้องเล็กเรียนครู ที่บ้าน

เราก็มีวิทยาลัยครู น้องเล็กเรียนหนังสือดีมากสอบได้คะแนนดี

น้าถวิลสงเคราะห์แตงเรื่องที่อยู่ด้วย”

ถวิลจึงต้องรับแตงมาอยู่ด้วย แต่งานที่ถวิลหาให้แตง

ทำได้ก็คืองานก่อสร้าง ค่าแรงขั้นต้นฝึกงานวันละสามสิบบาท

เพียงครึ่งเดียวของค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น เมื่อแตงเต็มใจจะทำ

ถวิลก็ต้องฝากให้

“ยังไงๆ ก็คงดีกว่าทำงานคนใช้ให้นายผู้ชายคอยจ้อง” แตง บอก ถวิลมองหน้าหลานสาวแล้วก็ยิ้ม มันสวยนักนี่ นาย

ผู้ชายจ้อง นายผู้หญิงหึง มันจะทำงานคนใช้ตามบ้านเจ้านาย

ได้อย่างไร ทำงานก่อสร้างอยู่ร่วมกับผู้ชายหมู่มาก ไม่แคล้ว

เรื่องพรรค์อย่างนี้เหมือนกัน แต่ถ้าแตงวางตัวดีเห็นจะไม่มี

อะไรหนักใจ


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (77 รายการ)

www.batorastore.com © 2024