ซ่อนหัวใจในไฟเสน่หา (นางแก้ว) (EBOOK)

ซ่อนหัวใจในไฟเสน่หา (นางแก้ว) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ซ่อนหัวใจในไฟเสน่หา
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอน 1  สะพานข้ามฐานะ

 

รามปิดประตูห้องพัก ซึ่งเป็นห้องส่วนตัวที่พักตามลำพังกับศรุตา แต่ที่เขาไม่แยกไปกับศรุตา เพราะเขารู้ว่า ศรุตาชอบแสดงอำนาจกับเพื่อนๆของเขาว่าเธอมีฐานะสูงกว่า และรามยอมอยู่ใต้คำบัญชาของเธอ สิ่งนั้นศรุตาพอใจ และรู้ไม่เท่าทันรามว่าเขาได้วางหมากแห่งความพอใจไว้ให้เธอเดิน และถ้าเปรียบเป็นหมากรุก อาจเรียกได้ว่า รามยอมเดินแบบคนตาบอดทั้งที่รุกฆาตคู่ต่อสู้ได้ทั้งกระดาน

 หญิงสาวยังมีความเชื่อมั่นในความรักและซื่อสัตย์ของตนเองว่าได้ผูกใจชายรูปงาม ที่มีแรงสนองความปรารถนาของเธอได้ดังใจทุกครั้งที่ต้องการ ศรุตานั่งเท้าแขนไปข้างหลัง มีสีหน้าครุ่นคิดบางอย่างครู่หนึ่ง แล้วจึงเลื่อนสายตามองไปที่ร่างสูงซึ่งนั่งค้อมหลังบนเก้าอี้ตัวนุ่มข้างประตูห้อง เขานั่งก้มหน้ามองพื้น ราวกับว่าเขากำลังเสียใจ ซึ่งยิ่งทำให้ศรุตาใจอ่อนยะยวบด้วยความสงสาร

“มานี่สิคะราม”ศรุตาพยักหน้าเรียกชายหนุ่มให้เข้าไปหา รามเลือกที่จะนั่งคุกเข่าลงข้างเตียงที่ศรุตานั่งอยู่ ศรุตาโอบรอบศีรษะของชายหนุ่ม กดคางบนเรือนผมของเขา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากดวงตาเปล่งประกายแข็งกร้าว

“เราจะแต่งงานกันค่ะ”

รามเงยขึ้นมอง หญิงสาว เธอเจือยิ้มจางๆ ประกายตาเด็ดเดี่ยวมั่นคง เมื่อคิดถึงสิ่งที่เธอจะทำเพื่อชายผู้เป็นเจ้าของร่างกาย และจิตใจ  รามเลื่อนกายขึ้นนั่งเคียงคู่ จูบซอกคอ เลื่อนไปที่ริมหู ปลายลิ้นโลมเลียใบหูหอมๆของศรุตา เธอดึงร่างของเขาให้ทาบทับลงบนกายนุ่มแทนฟูกนอน ดวงตาหลับพริ้มด้วยความเคลิบเคลิ้มต่อสิ่งที่รามมอบให้อีกครั้ง...มันไม่เคยมากเกินพอสำหรับความต้องการที่ไม่มีขีดจำกัดของศรุตา...ธิดาเพียงคนเดียวของเจ้าสัวใหญ่ผู้ยืนอยู่แถวหน้าของเมืองไทย!

 

เวลาต่อมา รามเดินลงจากรถเบนซ์สีน้ำทะเลของศรุตา ที่หน้าคอนโด หรู ซึ่งราคาค่าเช่าค่อนข้างแพง ภายในห้องพัก มีเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องอำนวยความสะดวก ล้วนแล้วเป็นของมีราคาทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าลำพังเพียงเงินเดือนในตำแหน่ง ผู้ช่วยทนายความของบริษัท ไม่มี เงินเดือนมากพอที่จะจ่ายค่าที่พักหรูหราแห่งนี้  แต่เขายังมีเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างสบายมือจนใครๆต่างคิดว่าเขาลูกชายเศรษฐีมาจากต่างจังหวัด

รามวางกระเป๋าผ้าในมือลงบนพื้น ก่อนที่จะเดินไปเปิดตู้เย็นสีแดง ซึ่งตั้งชิดผนังห้อง และหยิบน้ำมาดื่ม บนหลังตู้เย็น มีภาพของพระภิกษุชรารูปหนึ่งจัดใส่กรอบทองราคาแพง รูปของท่านบอกถึงความมีเมตตาเต็มเปี่ยม รามวางขวดน้ำที่ตั้งใจจะดื่มกลับไปไว้ที่เดิม แล้วเขาจึงหยิบรูปหลวงตาขึ้นเพ่งพิศด้วยความตื้นตันใจ ความหลังของเขาผุดขึ้นมาในสมองราวกับเป็นเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นก็ไม่ปานกัน

“หลวงตา ผมกำลังทำให้หลวงตาผิดหวังใช่มั้ยครับ”รามรำพึงออกมาเบาๆ ความตื้นตันใจทำให้เขาร้อนผ่าวที่ขอบตา ก่อนจะกลืนมันให้หายลงไปในอก พร้อมกับวางรูปของหลวงตาไว้ที่เดิม แล้วจึงพาร่างสูงของตนเองไปล้มลงบนเตียงนอน สอดสองมือไว้ใต้ศีรษะแทนหมอนหนุน ดวงตาทอดเหม่อบนเพดานห้อง แล้วภาพความหลังจึงได้ฉายออกมาจากความทรงจำ

รามเป็นเพียงเด็กกำพร้า ที่ถูกทิ้งไว้ให้กับหลวงตาเลี้ยงที่วัดบ้านนอก ซึ่งหลวงตาไม่ได้ปิดบังว่า รามเป็นลูกของโสเภณี ที่ท้องไม่มีพ่อ และนำมาทิ้งไว้ให้ เพราะไม่สามารถเลี้ยงดูได้ หลวงตาก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เลี้ยงดูเด็กอ่อนได้จึงต้องนำรามไปฝากเลี้ยงที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กแรกเกิดจนถึงอายุสามปี โดยที่ระหว่างนั้นหลวงตาตกเป็นจำเลยของสังคมว่าเป็นพ่อของราม ซึ่งหลวงตาบอกรามแต่เพียงว่า ความบังเอิญไม่มีในโลก  และรามคงทำบุญมาดีแล้วจึงได้มาอยู่ในความดูแลของท่าน แทนที่คนเป็นแม่จะนำไปทิ้งข้างถนน และก็เป็นบุญของหลวงตาที่ได้รามมาเสริมบารมีให้เต็ม เพราะท่านต้องฟันฝ่าต่อน้ำคำคน จนกระทั่งต้องมีการพิสูจน์  ซึ่งท่านปฏิเสธ แต่ชาวบ้านไม่ยอม ทั้งร้องขอให้ท่านแสดงความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งท่านก็จำยอม เพราะไม่อยากให้อื้อฉาวจนถึงขนาดทำร้ายอนาคตของเด็กได้ หากออกจากสื่อไป และเมื่อผลการพิสูจน์ออกมาว่า รามไม่ใช่สายเลือดท่าน ชาวบ้านจึงเกิดศรัทธาในตัวหลวงตามากกว่าเดิม

แต่เมื่อชาวบ้านสอบถามที่มาที่ไปของราม หลวงตากลับปิดปากเงียบ บอกแต่เพียงว่า เก็บได้ที่โคนต้นโพธิ์ ซึ่งท่านไม่ได้มุสาสักนิด เพราะมารดาของรามนำมาวางไว้ที่ต้นโพธิ์ขณะที่หลวงตากำลังกวาดลานวัด และเล่าให้หลวงตาฟังถึงความจำเป็นอันใหญ่หลวงของนาง และที่หลวงตาจำต้องรับไว้ เพราะนางให้เหตุผลว่า

“อย่าให้เด็กคนนี้โตมากับซ่องเลยนะคะหลวงตา หนูไม่อยากให้มันเป็นแมงดา”

คำนี้หลวงตาพร่ำสอนจนรามรำคาญ เพราะไม่เคยคิดว่า ในที่สุด เมื่อหลวงตามรณภาพ ขณะที่เขาเรียนอยู่ปีสุดท้าย เขาจึงต้องดิ้นรนเพื่อมีอนาคตที่ดี เขาได้รู้จักกับศรุตา และเธอคือไม้หลักให้รามได้เกาะจนกระทั่งเรียนจบ พร้อมกับได้เงินใช้อย่างไม่ขาดมือ...แลกกับการสนองตัณหาให้เธอ แต่เพราะอำนาจเงิน และความสะดวกสบายที่ได้รับ ทำให้รามมองการณ์ไกล เพราะศรุตาเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัท ดังนั้นรามจึงเห็นอีกฝ่ายเป็นบันไดอย่างดีที่จะทอดให้เขาได้เดินขึ้นสู่ดวงดาว เดินขึ้นสูงเพื่อทิ้งอดีตที่ยิ่งนับวันเขายิ่งชิงชัง

...เด็กกำพร้า ลูกโสเภณี...เขาต้องกลบอดีตนี้ให้มิดชิด ด้วยคำบอกเล่าให้เพื่อนๆฟังว่า ผู้ให้กำเนิดของเขาเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำตายทั้งคู่ และเมื่อเขามีรูปหลวงตา ปรากฏอยู่ เขาก็ไม่อายที่จะบอกว่า เขาโตมากับหลวงตา ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของเขา และเขาใช้นามสกุลเดิมของหลวงตา...อัครเสนา...เป็นนามสกุลเก่าของขุนนาง ทำให้ภาพลักษณ์ของรามดีขึ้น จนห่างไกลคำว่า แมงดา

ทางด้านศรุตา ส่งกุญแจให้กับคนสวนรับไปนำรถไปเก็บยังโรงรถ ซึ่งมีจอดอยู่หลายคัน แต่ละคันราคาไม่ต่ำกว่าสี่ล้าน ตัวหญิงสาวเดินเข้าคฤหาสน์สีขาว ตัดลายทอง หรูหรา เป็นคฤหาสน์แบบผสม ทรงทันสมัย อย่างที่มองอกว่าเป็นเศรษฐีใหม่ เพราะมีการปลูกสร้างไม่เกินสิบห้าปี

 เธอเดินเข้าไปที่ห้องโถง ภายในจัดให้เห็นความเป็นคนเชื้อสายจีนอย่างแท้จริง  เพราะที่นั่งเป็นโต๊ะฝังมุก อย่างที่เศรษฐีเชื้อสายจันนิยมตกแต่งบ้าน ตู้กระจกตั้ง เทพเจ้า ต่างๆของจัน ที่ดุสวยและมีราคามากเพราะทำจากหยกเนื้อดี คือรูป ฮก ลก ซิ่ว ตั้งเด่นตระหง่าน ความสูงสองฟุต

เวลานี้ ชายร่างท้วม สวมชุดแพร นั่งหน้าเครียดด้วยความไม่พอใจที่ลูกสาวเพียงคนเดียวหายไปถึงสามวัน ส่วนหญิงกลางคน สวมชุดกี่เพ้าสีแดง ผิวขาวจัด ดวงตาเรียวแทบปิด มือถือพัดจีน โบกพัดอย่างคนติด มากกว่าจะร้อน เพราะ ว่าเครื่องปรับอากาศราคาเรือนแสนกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างเงียบๆ

“อาหมวย ลื้อไปเกือกกลั้วกับไอ้แมงดาคนนั้นอีกแล้วใช่มั้ย”

“เตี่ย”ศรุตาเรียกขานสรรพนามของบิดาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เพราะไม่พอใจที่ผู้ให้กำเนิด กล่าวหาว่ารามเป็นแมงดา

“อาหมวย”มารดาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเล็กๆ สำเนียงจีนชัดถ้อย “ลื้อเลิกคบกับไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายตีนคนนั้น แล้วหันไปสนใจลูกชายเจ้าสัวเฮงดีกว่า”

ศรุตาปิดปากเงียบ เพราะไม่อยากโต้เถียง แต่บิดากลับยื่นคำขาดออกมาว่า

“หากลื้อยังดื้อแพ่งอยู่อย่างนี้ อั๊วจะเฉดหัวไอ้รามออกจากบริษัทภายในวันพรุ่งนี้เลย”

“เตี่ย”ศรุตาอุทานด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ด หน้าถอดสีจนซีดขาว ก่อนจะผลุนผันวิ่งขึ้นไปข้างบน ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ให้กำเนิด เพราะไม่รู้ว่าลูกสาวอารมณ์ร้อนและเอาแต่ใจคนนี้คิดทำอะไรกันแน่!

“อีจะบ้าหรือไง”มารดาบ่น ผุดลุกชะเง้อมองไปทางบันได ซึ่งชั้นสองมี ชานบันไดจัดเป็นที่นั่งเล่นขนาดเล็ก

ครู่ใหญ่เสียงวิ่งของศรุตา ดังตึกๆ ก่อนจะลงมาจากห้องพักผ่อนส่วนตัว เธอยืนจังก้าที่ชานบันไดนั่งเล่น มือขวาถือปืนกระบอกเล็กจี้ที่ขมับตัวเอง  ภาพนั้นสร้างความตกตะลึงหัวใจของผู้ให้กำเนิดแทบหยุดเต้น มารดาของเธอเข่าอ่อนทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ขากรรไกรค้าง พูดอะไรไม่ออก ฝ่ายบิดา หน้าเผือดซีดอุทานอย่างตกใจ

“ลื้อเป็นบ้าอะไรอาหมวย ทิ้งปืนเดี๋ยวนี้นะ”

“อั๊วไม่ยอมให้เตี่ยกับม้าบังคับใจอั๊วอีกแล้ว”เธอประกาศเสียงแข็ง “เตี่ยเลือกเอาว่าจะให้อั๊วอยู่กับคนที่อั๊วรัก หรือเตี่ยต้องการเห็นอั๊วตายเดี๋ยวนี้”

“อาหมวย”มารดากรีดร้องเสียงหลง

“อย่าน่อ อย่า โอย ทำไมร้ายอย่างนี้ ทำไมไม่เห็นใจอั๊วบ้าง อั๊วหวังดีกับลื้อ ทิ้งปืนเดี่ยวนี้”

ศรุตากลืนก้อนแข็งที่แล่นมาจุกคอ น้ำตาแห่งความคับแค้นใจร่วงริน ง้างนกออก บิดาของเธอยกมือกุมอก เมื่อมันเต้นแรงจนหายใจหอบ ชี้มือใส่ลูกสาวที่ไม่ยอมฟังความหวังดีของผู้ให้กำเนิด

หากพวกเขาเอาทิฐิเข้าใส่ลูกสาวได้จริง

 ชีวิตของเขายังจะเหลืออะไรนอกจากซากศพของลูกสาว...การชนะบนความเจ็บปวด...ไม่ว่าใครได้เกิดมาเป็นพ่อแม่คนแล้วสิ่งที่พวกเขาคิดได้ก่อนอย่างอื่นคือ...ชีวิตของลูก

“อาหมวย ยอม เตี่ยยอมลื้อยอมแล้ว”

“เตี่ย”ศรุตาทรุดกายลงคุกเข่า มือตก หากไกปืนค้างก่อนระเบิดเสียงออกมา

เปรี้ยง

“กรี๊ด อาหมวย”

สองผู้ให้กำเนิดหอบสังขารวิ่งขึ้นหาลูกสาวที่ชานบันได ศรุตาก้มหน้าร้องไห้ มารดาเข้าไปจับเนื้อจับตัวลูกสาวด้วยความห่วงใย เกรงว่าคมกระสุนจะชำแหละร่างของลูกไปแล้ว ศรุตาโผกอดมารดาแนบแน่น ฝ่ายบิดาสะอื้นออกมาอย่างแรงก่อนรำพันด้วยความน้อยใจในการกระทำของลูกสาวเพียงคนเดียว

“บาปกรรมที่ลื้อทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจในครั้งนี้ มันจะสนองลื้ออาหมวย”

ถ้อยวาจานั้นคงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เพราะมันยังก้องกังวานแม้ว่าจะผ่านมาถึงสิบปีแล้วก็ตามที

ร่างหญิงสาวที่นั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้ยาวปรับเอนได้ ซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งของสนาม ใต้ต้นตะแบกซึ่งออดดอกสีม่วงเต็มต้น เธอขดตัวกระชับผ้าไหมสีม่วงอ่อนที่ห่มคลุมช่วงล่าง ถูกดึงขึ้นมากระชับที่อก เพราะเธอรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาจากภายในอย่างบอกไม่ถูก

กระแสเหยียดหยามอย่างรุนแรงตามมาจากเครือญาติของศรุตา พวกเขาไม่นับรามมาเป็นญาติ และเมื่อบิดามารดาของเธอเสียชีวิตหลังจากที่รามก้าวเข้ามาเป็นลูกเขยได้ห้าปี  ญาติพี่น้องของศรุตาเข้ามามีบทบาทในการจัดการเรื่องของบริษัท หากรามคัดค้านอย่างหัวชนฝา ไม่ยอมให้พวกเขาเข้ามาดำเนินการได้เต็มที

“จริงใช่มั้นรามที่เฮียฮงบอกรุตาว่าคุณมีอะไรกับนักร้องชื่ออิง”

คำกล่าวหาของศรุตาสร้างความไม่พอใจให้กับรามเป็นอันมาก แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมา ศรุตายิ่งฉุนเฉียวเพราะเข้าใจว่าเรื่องที่ญาตินำมาพูดเป็นเรื่องจริง เธอฉวยได้หมอนใบหนึ่งขว้างใส่ราม เขาปัดกระเด็นไปทางหนึ่ง บดกรามจนเป็นสันนูนกลั้นอารมณ์โกรธ ศรุตายิ่งโมโหจนไม่อาจระงับได้ เธอกระโจนเข้าไปทุบตีสามีเต็มแรง

“มันเป็นความจริงใช่มั้ย ไอ้ราม ไอ้คนข้างถนน ไอ้คนเลี้ยงไม่เชื่อง”เธอตระโกนบริภาษรุนแรง

รามเงื้อมือใส่ คิดฟาดลงที่แก้มอีกฝ่ายสักฉาดด้วยความโมโห  แต่เขาต้องรีบลดมือลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเหลือบเห็นเด็กชายวัยหกขวบวิ่งเข้าไปกอดขาของเขา พร้อมเงยหน้าขึ้นถามด้วยความตกใจ

“คุณพ่อจะตีคุณแม่หรือครับ”

“ปละ เปล่าหรอกจ้า”เขารีบปฏิเสธ

“จ้ามานี่”ศรุตาถลันเข้าไปคว้าลูกเข้ามาหาตน สั่งสอนเด็กชายด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

“แกไม่ต้องไปฟังพ่อข้างถนนของแก แกเป็นลูกของแม่คนเดียว แกจำไว้ พ่อแกมันคนเลี้ยงไม่เชื่อง แม่เลี้ยงมันมา แต่มันทรยศ หักหลังแม่ มันไปมีคนอื่น”

“รุตา คุณจะบ้าหรือไง ทำไมคุณพูดกับลูกอย่างนั้น”รามตวาดอีกฝ่าย พลางจะคว้าร่างของลูกชาย หาก ศรุตาดึงมารุตไปไว้ข้างหลัง ตะเบ็งเสียงขับไล่อีกฝ่าย ซึ่งมันเป็นเช่นนี้ทุกครั้งนับตั้งแต่รามก้าวเข้ามาเป็นสามีตามกฎหมายของศรุตา ถึงแม้เขาจะทำงานหนัก และสามารถสร้างผลงานให้พ่อตาแม่ยายได้เห็นจนพวกท่านยอมทานข้าวร่วมโต๊ะอย่างไม่มีความรังเกียจหลงเหลืออยู่ บางครั้งพ่อตายังนำโครงการใหม่ๆมาปรึกษาหารือ และรามได้ช่วยเรื่องกฎหมาย อุดไว้ไม่มีช่องโหว่

 สองปีมีเรื่องเกิดขึ้นจริง แต่บริษัทอากง ลอยตัว ด้วยกฎหมายแน่นมาก การเดินเข้าสู่บริษัทมหาชนจึงเดินได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ขณะที่เขาได้รับการยอมรับจากพ่อตา แม่ยาย แต่กับศรุตากลับแสดงเป็นตัวตนออกมาให้เห็นชัดมากขึ้น เขารู้มาก่อนว่าเธอเป็นหญิงโมโหร้าย เอาแต่ใจ แต่รามพึ่งรู้ว่าเธอปากจัด ด่าได้ไม่แพ้แม่ค้ากลางตลาด และที่สำคัญศรุตาทำให้รามเห็นชัดว่า เธออิจฉาที่บิดามารดาของเธอไว้ใจเขามากกว่าลูกในไส้ ดังนั้น รามจึงโดนประณาม ช่วงแรกด่าแต่ในบ้าน แต่ต่อมา ศรุตตาด่าได้ต่อหน้าทุกคนไม่เว้นใคร ด้วยคำพูดที่รามอยากจะวิ่งเอากำปั้นไปอุดปากร้ายๆนั้นสักหมัดสองหมัด

“แกมันชาติหมาไอ้ราม แกไปเกลือกกลั้วนังผู้หญิงขายตัว แกไสหัวออกจากบ้านฉันไปเดี๋ยวนี้”

“คุณมันโง่ โง่จริงๆศรุตา คุณโดนญาติหมาๆของคุณมันหลอกแล้วรู้มั้ย”

“จะปฏิเสธว่าไม่จริงใช่มั้ย”

“ใช่ มันไม่ใช่ความจริง แต่วันนี้คุณก็ทำให้ผมได้รู้แล้วว่า คุณเห็นผมเป็นแค่แมงดามาตลอดเวลา ทั้งที่พ่อแม่คุณเลิกมองผมตั้งแต่ท่านรู้ว่าผมเป็นแค่คนจนที่อยากสร้างอนาคต และท่านยอมรับเมื่อผมทำงานอย่างจริงจังให้ท่านเห็น ผมรักท่านจากใจจริง แต่ผมพึ่งรู้ชัดๆและแน่ใจว่าสิ่งที่ผมทำทุกอย่างเพื่อคุณ มันไม่เคยลบล้างความยากจนและการต้องการโอกาสของผมเลย คุณถึงได้ตอกย้ำเรื่องเก่าๆ เรื่องเดิมๆ เอาล่ะรุตา”น้ำเสียงของรามเยือกเย็น ดวงตาแสดงความเย็นชา และดูเอาจริงอย่างที่ศรุตาจงเกลียด จงชัง หากแฝงเร้นด้วยความหวาดกลัว

“คุณเห็นผมเป็นแมงดา ข้อนั้นผมไม่อาจโกรธความคิดของคุณได้หรอก แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่มีวันให้อภัยคุณ ก็เพราะคุณบังอาจประณามผมต่อหน้าลูก”

ศรุตาปากสั่นระริก ทั้งเสียใจ และโกรธ แต่ที่เธอไม่เคยทำมาก่อนเลยคือการขอโทษ ถึงแม้เวลานี้จะสำนึกตัวแล้วว่าเธอไม่ควรต่อว่าเขารุนแรงอย่างนั้น แต่ความมีทิฐิมาก ทำให้เธอไม่สามารถกล่าวถ้อยคำง่ายๆออกมา ด้วยความคิดแย่ๆว่า กลัวอีกฝ่ายจะเหลิง เธอจึงกัดเม้มริมฝีปากแน่น ราม ตวัดสายตาดุดันมาที่ ศรุตาอีกครั้งก่อนเอ่ยเสียงหนัก

“อย่าได้ไล่ผมอีกจำไว้รุตา เพราะเมื่อผมไปจริง แต่ไม่ใช่ไปอย่างที่คุณเข้าใจคุณนั่นแหละจะเจ็บปวดตลอดชีวิต”

“อย่ามาขู่คนอย่างฉันนะราม”เธอยังปากกล้าใส่ หากรามไม่ต่อปากต่อคำ เขาหันไปมองมารุต ซึ่งทำท่าจะวิ่งไปหาเขา แต่ถูกศรุตายึดตัวไว้ แล้วเชิดหน้าไม่สนใจในการจากไปของราม แต่เมื่อสามีไปจนพ้นแล้ว เธอ ถึงกับทรุดตัวลงกอดลูกชายไว้เป็นที่พึ่ง เด็กชายหน้าคมคาย เงยหน้าถามมารดาด้วยความไร้เดียวสา

“คุณแม่ว่าคุณพ่อทำไมครับ ทำไมคุณแม่ต้องด่าคุณพ่อ”

  เมื่อเธอโกรธจึงมักเป็นเช่นนี้เสมอ แต่เธอก็ต้องแก้ตัวกับลูกชายเพื่อให้เขาเข้าใจเธอ โดยการกอดแน่นๆ และพูดประโยคที่คิดว่าลูกจะเข้าใจ

“คุณพ่อไม่รักแม่ เขารักแต่สมบัติของแม่ เขาต้องการแค่นั้น เขาไม่รักพวกเรารู้มั้ยจ้า”

“คุณพ่อไม่รักจ้าเลยหรือครับ”น้ำเสียงของเด็กชายเศร้านัก แววตาเต็มไปด้วยความน้อยใจ และผิดหวัง และยิ่งศรุตายืนยันคำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบของตนเองมันจึงทำร้ายลูกชายโดยที่ศรุตาก็ไม่รู้

“ใช่ มันรักแต่ตัวมันเอง มันรักสมบัติของแม่เท่านั้น มันไม่รักเราแม่ลูกหรอกจ้า”

“คุณแม่”มารุตกอดมารดาแน่น ร้องไห้ออกมาอย่างเงียบงัน ในดวงใจน้อยๆนั้นเหลียวหาบิดาที่เขาเคยคิดว่ารักเขามาก หากยามนี้ มารดาของเขา ยืนยันออกมาแล้วว่า บิดาของเด็กชาย ไม่เคยรักเขาเลย

...โอ้ เขาเสียใจเหลือเกิน ทำไมพ่อไม่รักเขาเช่นที่เขารักท่านเล่า!

ความผิดปกติ และเห็นแก่ตัวของศรุตา ได้สร้างช่องว่างให้เกิดในจิตใต้สำนึกของมารุต โดยที่เธอไม่รู้เลยว่ามีนเป็นบาดแผลที่อันตรายยิ่งนักในอนาคต บาดแผลแห่งความเหงาแปลกนแรงทางอารมณ์

มารุตเหมือนผ้าขาว ที่โดนมารดาเอาสีประหลาดมาป้ายจนเลอะเทอะ  มารุตเป็นเด็กที่น่าสงสารเหลือเกิน เขาอยู่กับความร่ำรวยที่ไม่มีรู้จักความสุขอย่างแท้จริงสักนิด

                       

อาฮง ญาติของศรุตา นำภาพถ่ายปึกหนึ่งมาให้กับศรุตาที่คฤหาสน์อากง เมื่อเธอได้รับภาพถ่ายของรามและหญิงอีกคนหนึ่ง มันเป็นภาพการประคองกอดกันอยู่หน้าโรงแรมระดับห้าดาว

ศรุตาโกรธจนตัวสั่น ฮงเอ่ยว่า

“นี่ถ้าหุ้นเป็นชื่อมันล่ะก็ เฮียคิดว่ามันต้องถ่ายโอนเป็นชื่อของเมียน้อยมันแน่ๆ เพื่อจะให้ไม่มีผลทางกฎหมาย

“ไม่ ฉันไม่ยอมให้เป็นชื่อมันเด็ดขาด”ศรุตาตอบ ลำคอแห้งผากด้วยความเจ็บช้ำ ฮงหรี่ตาซึ่งเรียวเป็นชั้นเดียวอยู่แล้วให้ปิดลงไปมากกว่าเดิมอีก เขาเหยียดมุมปาก เอ่ยเสียงหนัก เต็มไปด้วยเหตุผล

“ลื้อจดทะเบียนสมรสกับมัน ลื้อจะทำอะไรกับมันได้”

ศรุตานิ่งอึ้งไป

“แม้ลื้อจะหย่ากับมันในตอนนี้ ลื้อก็ถูกมันแบ่งสมบัติไปเลี้ยงเมียน้อยครึ่งหนึ่งอยู่ดี”ฮงพยายามย้ำคำว่าเมียน้อยบ่อยๆ และเขาก็ได้เห็นหน้าขาวยิ่งเผือดจนไร้สีเลือด

สองมือของเธอประสานกันไว้บนตัก แล้วจิกมันจนแน่น ศรุตาไม่รู้ความเจ็บที่เล็บกดลงบนฝ่ามือ แต่เธอกำลังเจ็บที่ใจมากกว่าที่ร่างกายเป็นร้อยเท่า คำเดียวที่เธอได้ยินคือ คำว่า ทรยศ

“คิดดูนะรุตา”

“แล้วฉันควรทำยังไงดีล่ะเฮีย”เธอเงยขึ้นขอความคิดเห็นจากญาติผู้พี่ ฮงทำนิ่งคิด ทั้งที่เขานั้นคิดมาจากบ้านอยู่แล้ว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงความใจดีต่อญาติผู้น้องว่า

“ลื้อขายฝากมาให้กับเฮียก่อน แล้วจะขอคืนเมื่อไหร่ก็ได้”ศรุตาถึงกับนิ่งอึ้งด้วยความหวาดระแวง แต่ฮงรีบพูดย้ำความสัมพันธ์ทางสายเลือดว่า

“ลื้อกับเฮียนามสกุลเดียวกัน ลื้อจะกลัวทำไมกัน อย่าลืมสิรุตา เรายังมี ญาติอีกตั้งหลายคน หากลื้อคิดว่าเฮียจะหักหลังลื้อ แล้วญาติเราจะปล่อยเฮียหรือไง”

ศรุตาก้มลงมองมือตัวเอง นิ่งอย่างใช้ความคิดหนัก ฝ่ายฮงเหลือบตามองความลังเลของอีกฝ่าย เห็นว่าอาจจะลดความโกรธลงแล้ว เพราะใครๆต่างก็รู้ทั้งนั้นว่าศรุตาหลงใหลสามีอย่างหัวปรักหัวปรำ

แต่ความร้ายกาจอันเป็นสันดานเดิม ทำให้เธอชอบด่ารามต่อหน้าคนอื่น เพื่อกดเขาไว้ให้อยู่ใต้กระโปรงเธอเท่านั้น ทั้งที่แท้จริง เธอรักเขามาก และอาจจะมากขนาดคิดยิงรามทิ้งก็เป็นได้ สิ่งนี้ฮงคาดหวังให้เกิดขึ้นมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด เพราะศรุตาไม่มีใครอยู่แล้ว ถ้ารามตาย ศรุตาติดคุก มารุตซึ่งเป็นแค่เด็กวัยห้าขวบก็ต้องตกอยู่ในความดูแลของญาติคนใดคนหนึ่ง...แล้วสมบัตินับร้อยๆล้านจะไปไหนได้เล่า!

“ลื้อคิดดูนะรุตาว่า ลื้อเลี้ยงผัวคนเดียวไม่พอ แต่ผัวลื้อกำลังเลี้ยงเมียน้อยและญาติของเมียน้อยอีกโขยงหนึ่ง และถ้าลื้อนึกภาพไม่ออก ลื้อก็คิดว่าลื้อถูกฝูงแร้งรุมทึ้งแย่งเนื้อลื้อกินก็แล้วกัน”

ฮงกล่าวจบก็ทำท่าจะลุก ทั้งที่ยังหวังว่าศรุตาจะเปลี่ยนใจ ตี่เมื่ออีกฝ่ายนั่งคิ้วขมวด สีหน้าเครียด นิ่งเหมือนเป็นใบ้เขาจึงต้องผุดลุกโดยปริยาย เขาพาร่างสูงเดินไปจนเกือบถึงประตู ศรุตาก็เงยหน้าขึ้นเรียกรั้งเขาไว้

“ตกลงเฮีย ฉันจะขายหุ้นในส่วนของรามให้กับเฮีย”

“รับรองเลยรุตาว่าเฮียจะเก็บมันไว้คืนให้กับลื้อยามที่ลื้อต้องการ”

 

ข่าวการโอนหุ้นให้กับฮงกระจายกันในการประชุมในวันรุ่งขึ้น ซึ่งรามได้เข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมการคนหนึ่ง เขาถึงกับชาไปทั้งตัวเมื่อได้ยินและเห็นการส่งมอบซองน้ำตาลจากมือของศรุตาให้กับฮง เขาอยากคัดค้าน แต่ว่า ในที่ประชุมเขามีปากเดียว เสียงเดียว นอกนั้นเป็นญาติของศรุตาหมดทุกคน รามมองกราดไปที่บรรดาญาติของหญิงสาว สุดท้ายมาจบลงที่ศรุตา  ซึ่งเธอเหยียดยิ้มมุมปาก มันเป็นรอยยิ้มที่รามชิงชังที่สุด เพราะเขารู้ความหมายดีว่า นั่นคือสิ่งที่ศรุตาต้องการบอกว่า เธอคือผู้ชนะ

..โง่..รามกระแทกเสียงดังๆในใจ มิอาจระบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย

เงินสิบล้าน ศรุตายกไปให้กับญาติกระหายหิวของตนเองอย่างง่ายดายโดยไม่ปรึกษาเขาผู้เป็นสามี

สามี..รามนึกถึงคำนี้แล้วเจ็บใจ ใช่ เขาคิด ในสายตาของภรรยาของเขานั้น รามคือแมงดาทะเลตัวผู้ซึ่งต้องเกาะหลังแมงดาตัวเมียไปหากิน เพราะว่าแมงดาตัวผู้มันตาบอด  แต่นั่นในแมงดา ที่มาของคำกล่าวตำหนิโทษผู้ชาย แต่รามเป็นคน ถึงจะจนมาก่อน แต่เมื่อมีโอกาสทำงาน เขาก็ทำด้วยความซื่อสัตย์ หากสิ่งที่เขาได้รับจากศรุตาคือ เธอไม่เห็นค่าความเป็นคนของเขาเลยสักนิดเดียว...แต่ถ้าไม่พูดอะไรเสียบ้าง สักวัน มารุตลูกชายเพียงคนเดียวของเขาจะเหลืออะไรไว้เป็นอนาคต เพราะแม่ของมารุต โง่เง่าเหลือเกิน!

วันนั้นรามจึงกลับบ้านแต่วัน และเปิดปากต่อว่าศรุตาที่ห้องรับแขกทันทีถึงเรื่องการโอนหุ้น แต่ศรุตาก็ลำเลิกรามขึ้นด้วยการเชิดหน้า เหยียดมุมปากอย่างที่เธอชอบทำเวลาจะหยันเยาะใครสักคน หล่อกล่าวเรียบเย็น แต่ความรู้สึกภายในร้อนระอุ เพราะพาลนึกเห็นแต่ภาพรามพาฝูงแร้งมารุมทึ้งเธอ

“เงินที่ซื้อเป็นเงินของฉัน ฉันจะทำยังไงกับมันก็ได้”

“คุณโดนญาติคุณหลอกแล้วรู้มั้ย”

“ฮึ”เธอทำเสียงขึ้นจมูก “พี่น้องฉันหวังดีกลัวฉันจะโดนปอกลอกจากแมงดาอย่างแกต่างหาก”

“รุตา”รามโกรธจัดจนอยากเข้าไปบีบคออีกฝ่ายให้ตายคามือเสียนัก หากเขาต้องยั้งอารมณ์ร้อนไว้สุดฤทธิ์ เมื่อตัดใจได้ว่า จริงที่ ศรุตาบอกว่าเป็นเงินของเธอ ดังนั้นเขาจึงคิดจะยุติเรื่องหุ้น จึงหมุนกายจะจากไป แต่ ศรุตายิ่งโกรธจัด เพราะเข้าใจว่าเขายอมรับผิด และเมื่อเหลือบไปมองปึกภาพถ่ายบนโต๊ะ เธอยิ่งไม่อาจระงับอารมณ์หึงหวงไว้ได้จึงคว้าแจกันขว้างใส่ศีรษะของราม เต็มแรง

...แม่นเหมือนจับวาง แจกันแก้วกระทบศีรษะรามอย่างถนัดถนี่

“เพล้ง”

“โอ๊ย”รามกุมศีรษะทางด้านหลัง รับรู้ความอุ่นจากของเหลว เมื่อเขายกมือขึ้นดูจึงเห็นว่าเป็นเลือดสดๆ ใบหน้าเขาถอดสีซีดเผือด เขาหันไปด่าเสียงดัง ดวงตาแข็งกร้าว

“คุณเป็นบ้าไปแล้ว บ้าเอ๊ย”

“ไอ้ราม”เธอจิกเรียก พร้อมฉวยหยิบปึกภาพถ่ายขว้างใส่หน้ารามซ้ำไปอีกครั้ง “นี่ไงหลักฐานที่แกเลี้ยงไม่เชื่อง แกหลอกเอาเงินฉันไปเลี้ยงนังผู้หญิงคนนี้เท่าไหร่แล้ว ทีนี้รู้ล่ะสิทำไมฉันจึงเชื่อญาติมากกว่าเชื่อคนสับปลับอย่างแก”

“โง่ที่สุด เอาเลย อยากบ้าก็บ้าไปเลย บ้าขนสมบัติไปให้ญาติบ้าๆของคุณได้เลย”

“แก แกมีอะไรกับอีคนนั้นจริงๆใช่มั้ยไอ้บ้า”

“ผมไม่เคยมีใคร แต่หลังจากนี้ ไม่แน่ หรอก อาจจะเป็นผู้หญิงในรูปคนนี้ก็ได้”

“แก ไอ้ราม ไอ้สันดานหมาชอบกินอาจม แกมันไอ้คนเนรคุณ”ศรุตาหันรีหันขวาง ฉวยหยิบข้าวของบนโต๊ะทำงานขว้างปาเข้าใส่รามอย่างไม่ยั้ง แต่เขารีบสาวเท้าออกจากห้องนั้นไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกับที่เลือดหยดจากบาดแผลเปรอะเปื้อนเสื้อขาวที่เขาสวมใส่เป็นดอกดวง

...สมควรแล้วใช่มั้ยกับการที่เขาขายชีวิตเพื่อแลกความสุขสบาย...แต่เขาไม่เคยหักหลัง ศรุตา แล้วทำไม รามพยายามทบทวนเหตุร้ายที่ศรุตา เข้าใจเขาผิดอย่างมากมาย แล้วที่มาของภาพของเขากับผู้หญิงอื่น ทำไมจึงมาอยู่ในมือของศรุตาได้


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (80 รายการ)

www.batorastore.com © 2024