กาลครั้งหนึ่ง รวมเรื่องสั้น (ข้าพเจ้า)

กาลครั้งหนึ่ง รวมเรื่องสั้น (ข้าพเจ้า)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: กาลครั้งหนึ่ง
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 200.00 บาท 50.00 บาท
ประหยัด: 150.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

จากสำนักพิมพ

จริงๆ รู้จักเรื่องสั้นของคุณข้าพเจ้ามาก่อนเรื่องยาวค่ะ อ่านแล้วก็ชอบมากเหลือเกิน เพราะนานๆ ทีจะมีคนเขียนเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับประเด็นญรญ.ที่อ่านสนุกแบบนี้ (หมายความว่ามีทั้งอารมณ์ขัน และมีทั้งประเด็นให้คิดต่อ และนอกจากนั้นก็เป็นเรื่องภาษาอันชวนติดตามค่ะ)

เมื่อเจอจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษค่ะ เรื่องสั้นทั้งหลายใน 22 เรื่องนี้ ไม่มีเพียงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เท่านั้นค่ะ แม้จะเกี่ยวกับความเป็นหญิงรักหญิงซึ่งเป็นประเด็นหลัก แต่ก็นั่นแหละนะคะ ยังมีมากกว่าเรื่องรักในชีวิตของคนเราค่ะ

เป็นหนังสืออีกเล่มที่สะพานภูมิใจนำเสนอค่ะ แม้จะไม่ใช่นิยายรักหวานซึ้ง อ่านง่ายตามขนบการเขียนนิยาย/เรื่องสั้นสักเท่าไร และสิ่งนี้แหละค่ะคือเสน่ห์ในตัวหนังสือของคุณข้าพเจ้า

และที่สะพานภูมิใจนำเสนอ

สุขสันตในการอานนะคะ

บ.ก.

จากนักเขียน

ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าไม่รู้จะเขียนคำนำอย่างไร ข้าพเจ้าลังเลว่าจะเล่าเรื่องสั้นหญิงรักหญิงเรื่องแรกของข้าพเจ้าซึ่งเกี่ยวกับแม่บ้าน ผู้หนีตามโจรผู้หญิงในคืนที่สามีไม่อยู่ หรือจะเล่าถึงเรื่องจริงตอนจบของเรื่องฉันเกลียดหล่อน ที่ข้าพเจ้าทราบมาว่าเลิกกันแล้วในที่สุด

หรือจะอวดว่าหน้าตาอย่างข้าพเจ้าก็มีสาวสวยผู้สวมรองเท้าสีนํ้าเงิน มาเลี้ยงกาแฟและหักมุมตรงที่สุดท้ายหล่อนชวนทำขายตรง หรือข้าพเจ้าอาจบอกด้วยก็ได้ว่า แอบชอบคนนั้นคนนี้มากเท่าเรื่องสั้นที่แต่ง

ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าเลือกไม่ได้ก็เล่าทุกเรื่องนี่แหละ แต่ครูภาษาไทยก็ยํ้าว่า คำนำควรกระชับและให้ได้ใจความ

ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองและปรึกษาครูคนดังกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตนั่งพับเพียบลงกับพื้นอย่างที่ครูภาษาไทยสอน (เก็บเท้าให้มิด หลังตรง วางมือซ้ายบนมือขวา ไม่ใช่ค่ะนักเรียน มือต้องวางบนหน้าขาซ้ายเสมอนะคะ หลังตรงค่ะ) เพื่อแสดงความขอบคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ผู้เกี่ยวข้อง แต่ถ้าจะหาที่สุดให้ได้ ก็คงเป็นหว่างอกของผู้อ่าน ซึ่งนิ้วมือเรียวงามของข้าพเจ้าพนมกราบลงไป หลังจากนั้นท่านจะลูบหัว ลูบไหล่ ก็สุดแท้แต่จะกรุณา

ทั้งนี้ผู้อ่านก็อาจจะไม่ได้อ่าน หากไม่ได้รับโอกาสตีพิมพ์ กราบครั้งต่อมาจึงเป็นบนตักของสำนักพิมพ์สะพาน และก้มค้างไว้ 10 วินาที 3 วินาทีแรกขอบคุณสำหรับการพิมพ์เรื่องยาว The Village 3 วินาทีหลัง สำหรับรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ และอีก 4 วินาที แถม

อีกกราบหนึ่ง ข้าพเจ้ามอบแด่ครอบครัวซึ่งสนับสนุนทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ หรือกำลังจะทำ แม้จะไม่สมเหตุสมผลเพียงใดก็ตาม

ข้าพเจ้ายังพบข้อบกพร่องอยู่ จึงขอจบด้วยประโยคเชยๆ ของคำนำโดยทั่วไปว่า หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

 

ข้าพเจ้า

 

สารบัญ

123.............................................................................9

456............................................................................27

เกลียดเด็ก....................................................................50

ฉันเกลียดหล่อน .........................................................60

กาลครั้งหนึ่ง...............................................................69

ความผิด ...................................................................83

คำรัก...........................................................................87

จงรัก..........................................................................99

ชายชู้ ......................................................................104

ณ เชียงใหม่..............................................................113

ณ น่าน......................................................................116

มาเฟียที่รัก...............................................................123

เมียครูดอย................................................................139

แมว หมาและคน........................................................145

ไม่หวือหวา...............................................................159

ยามบ่าย..................................................................161

รักการอ่าน..............................................................169

เรียกร้อง....................................................................181

สมพร........................................................................195

สมมติ........................................................................207

สมศรี.........................................................................216

สมหญิง....................................................................223

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

123

1. ฉันเห็นหล่อนก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าบ้าน อยากเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกในใจให้เหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่รู้อายุจริงหล่อน

บางทีอาจต้องเรียกป้าด้วยซั้า แม้ฉันจะไม่ได้ละอ่อนขนาดนั้นก็ตาม แต่เท่าที่ฉันยังจำได้สมัยเด็กๆ หล่อนก็ทำงานนานแล้ว พี่ชายต่างพ่อที่ห่างฉันเกือบสิบปีเรียกหล่อนว่าพี่ ฉันก็ยึดตามนั้นตลอดมา ตอนนี้ฉันก็คิดว่าไม่ควรเปลี่ยน

สายยางถูกลากออกมาถึงถนน หล่อนฉีดนํ้าข้ามมาถึงบ้านฉัน รดแนวต้นดอกเข็มและชาทองที่ปลูกติดหน้ารั้ว เห็นหน้าหล่อนได้ชัด โทรมลงกว่าที่ฉันยังเด็ก ไม่ใช่ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ปรากฏอยู่ เป็นความเหนื่อยหน่ายอ่อนแรงมากกว่า สุขภาพหล่อนอาจกำลังแย่ ซึ่งคงไม่เกี่ยวกับอายุ

“ต้นจำปีตรงนี้ยังไม่ได้รดเลยพี่” ฉันตะโกนไปก่อน ปิดแก๊สค่อยเดินออกไป

“รดนํ้าบ้างสิแก้ม หญ้าก็เขียวตรงแค่ที่พี่รดถึงเนี่ย”

“พี่กินข้าวยัง” ฉันไม่ได้เปิดประตู รั้วเตี้ยพอให้เกาะยืนคุยกันได้

“ยัง ก็มารอลุ้นอยู่ว่าวันนี้แก้มจะถามพี่มั้ย” หล่อนยิ้มฉบับที่มีในตาหล่อนตลอดเวลา เมื่อก่อนหล่อนผมสั้น ดูทะมัดทะแมงกว่านี้นิดหน่อย และรอยยิ้มอย่างนี้ก็ดูยียวนทีเดียว

“ถ้าจะขนาดนั้น ไม่ต้องมาฟอร์มรดนํ้าต้นไม้ก็ได้ ล้างมือแล้วเดินเข้ามาเลยเหอะ”

“เปล่า วันนี้พี่จะมาบอกว่ามีกับข้าวแล้ว กินของแก้มมาหลายวันแล้ว เกรงใจ”

ฉันอุตส่าห์ตุ๋นซี่โครงอ่อนตั้งแต่บ่าย “ค่อยเกรงใจวันพรุ่งนี้ได้มั้ย แก้มทำเผื่อพี่ไปแล้ว”

“แก้มก็เก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้ พี่ซื้อกับข้าวมาแล้ว ถ้าไม่กินเย็นนี้เดี๋ยวมันจะเสีย”

“พี่ก็เอามากินด้วยกันที่นี่ก็ได้”

ฉันไม่น่าพูดออกไป ไม่อยากทำให้หล่อนลำบากใจที่ต้องปฏิเสธ ฉันจึงรีบต่อ “ไม่เป็นไรพี่ มันเก็บได้หลายวันอยู่แล้ว”

“โทษทีนะ แก้ม”

ฉันกลับไปนั่งต่อหน้าโทรทัศน์ เห็นหล่อนพยายามฉีดนํ้ามาให้ถึงต้นจำปี แต่แรงนํ้าก็สิ้นสุดลงที่กระถางดอกกระดิ่ง

บักกุ๊ดเต๋ของฉันก็สิ้นสุดลงแค่ที่มันได้เกิดเป็นบักกุ๊ดเต๋ ฉันก็เข้าใจหรอกที่หล่อนปฏิเสธกัน ความผิดฉันเองไม่โทษใคร ทะลึ่งไปชอบเขาอย่างโจ่งแจ้งเอง ถ้าเข้าไปอย่างแนบเนียนก็คงเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกันได้อยู่ หล่อนคงเข้าใจว่าฉันใจง่ายตามประสาวัย ปฏิเสธไปเรื่อยๆ ฉันก็เบื่อเอง

หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นรักแรกของฉัน และมันดำเนินอย่างนั้นมายี่สิบกว่าปี หล่อนอาจเป็นแค่ความทรงจำซื่อบริสุทธิ์ของฉันหรือฝันในบางคืน แต่ในเมื่อฉันต้องกลับมาอยู่บ้านหลังเดิม และหล่อนก็ยังอยู่หลังเดิม ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

จำได้ว่าตอนนั้นฉันยังเด็ก พุงโล ขี้มูกย้อย ขี้ไคลเขรอะ ฉันจำได้ว่ากำลังแคะขี้มูกอย่างมีความสุขอยู่หน้าบ้าน ส่วนหล่อนออกมาทำอะไรสักอย่างที่ฟากตรงข้าม ฉันนึกว่าหล่อนเป็นผู้ชายมาโดยตลอด พอเห็นใกล้ๆ อย่างนั้นก็ตกใจว่าทำไมมีนม ฉันวิ่งเข้าไปจิ้มหน้าอกหล่อน ร้องอย่างตกใจว่า พี่เป็นผู้หญิง ฉันว่าหล่อนก็คงตกใจเหมือนกันและคงโกรธพอสมควร ตอนเด็กฉันไม่น่ารักเลย และหล่อนก็เกลียดเด็กเสียด้วย

หล่อนฝืนยิ้ม ตอบรับว่า ใช่ค่ะ พี่เป็นผู้หญิง คํ่าแล้วยังไม่เข้าบ้านหรือคะ

ฉันพูดต่อ “พี่หนูบอกว่าพี่มีแฟนเป็นผู้หญิง”

หล่อนไม่ตอบ ฉันถามต่อ “ทำไมพี่เหมือนผู้ชาย ทำไมพี่ไม่เหมือนผู้หญิง”

หล่อนไม่ตอบ ฉันพูดต่อ “ผู้หญิงต้องเป็นแฟนกับผู้ชาย”

“หนูรักแม่มั้ย” หล่อนพูดในที่สุด

ฉันเอานิ้วยัดปากแล้วพยักหน้า

“ถ้าแม่หนูตัดผมสั้น หนูยังรักอยู่มั้ย” หล่อนถาม ฉันพยักหน้า ก็ยังไงก็ยังเป็นแม่

“แล้วถ้าแม่หนูไม่มีหน้าอก ไม่ใส่กระโปรง ไม่แต่งหน้า ยังรักอยู่หรือเปล่า”

ฉันไม่เข้าใจ ฉันก็รักแม่ฉันทุกวัน เสาร์อาทิตย์ฉันก็รัก ถามทำไม

“ถ้าแม่หนูมีหนวด มีกล้าม เสียงห้าวเหมือนผู้ชาย ก็ยังรักใช่มั้ย”

ฉันยัดอีกนิ้วเข้าปาก หล่อนพูดต่อ “ยังมีอะไรอีกมากที่เป็นมากกว่าที่หนูเคยเห็น บางครั้งผู้ชายก็เป็นแฟนกับผู้ชาย ผู้หญิงก็เป็นแฟนกับผู้หญิง เพราะว่าเขาก็รักกันเหมือนผู้ชายเป็นแฟนกับผู้หญิง เหมือนที่พ่อแม่หนูรักกัน”

หล่อนมองหน้าฉันแล้วถอนหายใจ กลับเข้าบ้าน ส่วนฉันแคะขี้มูกต่อ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น

หล่อนจำเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ไม่อยากให้จำด้วย เพราะฉันโตแล้ว สวยแล้วด้วย ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอื่นใด นอกจากปรารถนาให้หล่อนมีความสุข ถ้าได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้นก็ดี แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้ามีเรื่องทุกข์ฉันอยากช่วยบรรเทาหรือยืนอยู่ข้างๆ เฉยๆ ก็ยังดี ฉันอาจจะอยากนอนกับหล่อนด้วย แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็แค่นั้น ไม่เห็นต้องตัดรอนกันเลย

หน้าต่างห้องนอนหล่อนมองเห็นได้จากระเบียงห้องนอนใหญ่ที่เคยเป็นห้องของพ่อกับแม่ ฉันอยากย้ายมาอยู่เหมือนกันแต่ทำใจไม่ได้ ความสูญเสียมักยากลำบากเสมอแม้จะผ่านมานาน ฉันแวะหารูปพ่อแม่ในห้องนั้นก่อนนอน และเผื่อถึงหล่อนด้วย เห็นยังเปิดไฟสว่าง จะทำอะไรอยู่คนเดียวก็ไม่อาจเดาได้ อย่างไรคืนนี้ที่หล่อนหลับฝัน ก็ขอให้เป็นเรื่องดี

2. ฉันกำลังนอนกลางวันอยู่ที่โซฟา หล่อนมาตะโกนเรียกหน้าบ้าน แดดเปรี้ยงแสบตาและร้อนระอุ

“ว่างมั้ยแก้ม พี่วานหน่อยได้มั้ย”

ฉันตามหล่อนไปที่บ้าน ยังไม่เคยเข้ามาสักครั้ง มากสุดก็หยุดอยู่ที่พุ่มกุหลาบ เคยลอบมองเข้ามาบ่อยๆ แต่ไม่นึกว่าจะกว้างขวางได้เหมือนกัน

“ตู้เย็นมันเสียแล้ว พี่อยากย้ายไปเก็บของหลังบ้าน แต่คนเดียวพี่ก็ยกไม่ไหว”

“แล้วสองคนจะไหวเหรอพี่ เรียกลุงยามมาไม่ดีเหรอ”

“ตอนขนมาพี่ก็ยกกันสองคนนี่แหละ” หล่อนเว้นวรรค “ดูมันใหญ่แต่ความจริงไม่หนักหรอก”

หนักสิ มันหนักเป็นบ้า เราเคลื่อนมันไปทีละก้าวอย่างทุลักทุเล ชาติหน้าถ้าจะเป็นเกย์ ฉันขอเป็นเกย์ผู้ชาย

“ขอบคุณมากนะ ช่วงนี้รบกวนหลายเรื่องเลย”

ตู้เย็นยังไม่ถึงที่หมาย เราพักครึ่งทาง มือฉันแดงเป็นรอยขอบขาตั้ง

“มีติดต่อมาบ้างหรือยัง”

ฉันส่ายหน้า อุตส่าห์พยายามไม่คิดเรื่องนี้

“ใจเย็นๆ ตอนพี่จบใหม่ๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่พอได้งานก็อยากกลับมาอยู่เฉยๆ ยังไงมันก็ต้องมีสักที่ที่รับเรา มันมีงานอยู่แล้วแค่เรายังไม่เจอ ตอนนี้ก็ถือซะว่าได้ปิดเทอมเป็นครั้งสุดท้าย พักผ่อนสบายๆ ไม่ต้องคิดมาก”

หน้าฉันคงแสดงความรู้สึกเกินจริงไป หล่อนเอื้อมมือมาตบไหล่

“อย่าคิดมาก ตกงานไม่ใช่เรื่องใหญ่ เศรษฐกิจอย่างนี้มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเบื่อๆ ว่างๆ ทำพาร์ทไทม์ไปก่อนก็ได้นี่”

ปัญหาไม่ใช่ไม่มีงาน ปัญหาอยู่ที่ฉันเกรดแย่ คุณสมบัติเบาโหวง ไม่มีความอดทน รักสบาย และ ฯลฯ ฉันไม่อยากคิดตอนนี้

“ป่ะพี่ หายเหนื่อยแล้ว อีกนิดเดียว”

เรามาถึงหลังบ้านในที่สุด แต่ยังตัดสินใจตำแหน่งไม่ได้ หล่อนคะเนพื้นที่พลาด ต้องย้ายกระถางออกหรือยกข้ามไปไว้อีกฟากที่ติดกำแพง

“กระถางกับตู้เย็น แก้มว่าอันไหนหนักกว่ากัน” หล่อนถาม

“ย้ายกระถางดีกว่านะแก้มว่า พี่อยากให้ไว้ตรงนี้แต่แรกก็ให้มันอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวไปไว้ตรงโน้นแล้วพี่ไม่ชอบขึ้นมาก็ย้ายอีกอยู่ดี”

ฉันไม่ได้หงุดหงิดที่มายกของหนัก แค่เผลอคิดไปว่าถ้าวันนี้ฉันไม่อยู่บ้าน หล่อนจะวานเรียกใคร เผลอรู้สึกไปว่าตู้เย็นหลังนี้ต้องอยู่ในที่ที่ฉันยกไปวางเท่านั้น ฉันรีบพูดต่อ

“แต่ถ้าพี่อยากวางตรงโน้นก็ได้นะ แก้มแค่กลัวฝนจะสาด”

“พี่ก็ว่างั้น”

เราช่วยกันดันกระถางออก หันทิศทางตู้เย็นให้ถูกต้อง แต่พอตู้เย็นเข้าที่ กระถางก็เป็นปัญหาอีก หล่อนจะย้ายไปวางหน้าบ้านเพราะมันเกะกะทางเดิน

“พี่ยกตู้เย็นไปซ่อมแล้วเอากลับไปไว้ที่เดิมเหอะ” ฉันพูดจริง กระถางหนักกว่าตู้เย็นอีก “ไม่ก็ทุบทิ้งแล้วเอาแต่ต้นมันไปปลูก”

“พี่ก็คิดมานานแล้วว่าจะเอาลงดิน”

หลังบ้านไม่มีฝ้าเพดาน ไอแดดแผ่มาจากด้านข้าง ยังแผ่เข้าอีกข้างบน ฉันเหงื่อท่วมหน้าและไม่อยากปลูกอะไรทั้งนั้นกลางแดด

“อือ โอเค ทุบกระถางกับเอาลงดินนี่พี่ทำคนเดียวได้ แก้มพักกินนํ้าข้างในก่อนป่ะ”

หล่อนเปิดแอร์ให้ ชงชาใส่นํ้าแข็งให้ ยื่นรีโมตให้ ส่วนตัวเองออกไปขลุกอยู่หลังบ้านต่อ ไม่รู้ว่าหน้าฉันมันแสดงอะไรออกไป ฉันก็ไม่อยากร้อน พอๆ กับไม่อยากให้หล่อนเหนื่อย ฉันเปิดทุกอย่างทิ้งไว้แล้วออกไปช่วย เราทุบกระถางที่เป็นโอ่งมังกรขนาดย่อมๆ จับลำต้นส้มจี๊ดช่วยลากกันไปหน้าบ้าน แต่พอได้สัมผัสแดดไม่ถึงนาทีหล่อนก็ไล่ให้ไปพัก

“เย็นๆ ค่อยว่ากัน แก้มดูทีวีในบ้านไปก่อนนะ พี่จะเลี้ยงส้มตำไก่ย่าง โอเคมั้ย หรืออยากกินอย่างอื่น”

“ได้หมดแหละ พี่จะออกไปข้างนอกเหรอ”

“อือ เอาจักรยานไป ขี้เกียจเอารถออก”

“แดดอย่างนี้เนี่ยนะ”

“แป๊บเดียวเอง ปากซอยตรงนี้แหละ”

“เอามอไซค์แก้มไปเหอะ”

ฉันลุกพรวดพราดไป ไม่หยุดฟังคำรั้งของหล่อน ใส่ทั้งเสื้อแขนยาว ทั้งหมวกกันน็อค หล่อนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่คล่อง ถึงคล่องฉันก็ยืนยันจะไปส่ง

เพิงที่ขายส้มตำมุงสังกะสี ร้อนพอกับยืนตากแดด แต่ลูกค้าก็ยังแน่นร้าน ส่วนแม่ค้ามือตำก็ยังรักษาความเร็วคงที่ ค่อยหั่นมะเขือเทศ ค่อยหั่นถั่วฝักยาว ชิมแล้วชิมอีก

“แก้มอยากเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นมั้ย” หล่อนถาม

“พี่อยากกินส้มตำ ก็ส้มตำนี่แหละ”

ถึงแม้เราจะได้กลับมาเอร็ดอร่อยกันในอุณหภูมิยี่สิบห้าองศาเซลเซียส ฉันก็คิดอยู่ดีว่าจะไม่ไปซื้อร้านนั้นอีกเด็ดขาด และเราก็ไม่ได้ปลูกต้นส้มจี๊ดในเย็นนั้นแต่อย่างไร หล่อนมีธุระที่ต้องรีบออกไป ส่วนฉันกลับบ้านดูโทรทัศน์ช่องเดิม ตามประสาคนไม่มีอาชีพ

ฉันได้แต่หวังว่าตู้เย็นหลังนั้นคงไม่ได้ย้ายไปไหนอีกและต้นส้มจี๊ดยังไม่ตาย

 

3. ฉันไม่เจอหล่อนมาเดือนกว่า อย่างที่หล่อนบอกนั่นแหละ อย่างไรก็ต้องมีสักบริษัทรับฉันทำงาน

แต่หล่อนไม่รู้ว่าฉันความอดทนตํ่าแค่ไหน เดือนเดียวฉันก็ไม่ตื่นไปบริษัทเอาดื้อๆ เพื่อนร่วมงานทำตัวน่ารังเกียจและมีแต่ระเบียบไร้สาระ ห้ามดื่มนํ้าจากขวด ห้ามใส่เสื้อรัดรูป ห้ามใส่รองเท้าแตะฟองนํ้า ห้ามใส่กางเกงเข้าประชุม แต่ตัวระบบดำเนินงานจริงๆ แทบไม่มีอะไรเป็นระเบียบ ใบเสร็จอยู่ไหนไม่รู้ ใบส่งของอยู่ไหนไม่รู้ ใครรับคำสั่งไปไม่รู้ ฉันทนมาได้ถึงเดือนก็นับว่าเก่งอยู่ แต่ที่น่าเจ็บใจคือต้องสละเวลานั่งเฉยๆ ไปทำงานพวกนั้น โดยไม่ได้เหลือให้ว่างพอจะส่องไปบ้านตรงข้าม หรือทำกับข้าวเพื่อหาเรื่องไปกดกริ่งเรียก ทั้งที่ดอกเข็มและชาทองหน้าบ้านดูอิ่มนํ้ากันดี

ตอนนี้ฉันตกงานอีกรอบ และมีเวลาเหลือเฟือให้ฟุ้งซ่านเรื่องหล่อนเหมือนเดิม ฉันคิดวนไปวนมาที่ประเด็นอายุ สามสิบห้า อย่างตํ่าที่สุด สี่สิบสอง เท่าที่จะเป็นไปได้ จะห้าสิบหกฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ฉันก็ไม่มีวันรู้ว่ายี่สิบปีที่ฉันยังไม่เกิดหล่อนเจออะไรมาบ้าง และอีกยี่สิบปีหลังที่ฉันยังเตาะแตะ หล่อนเชี่ยวชาญมาสักกี่อย่างแล้ว

ฉันไม่รู้ หล่อนแก่แล้วด้วยสายตาอันซื่อสัตย์ที่มองไป ความหนุ่มสาวที่ฉันรู้จักเหลืออยู่อย่างจางๆ แสงเงาที่แยงเข้าลูกตาเป็นภาพหญิงสาวที่ห่างไกลจากวัยฉัน ทั้งที่เมื่อภาพนั้นแปรเข้าสมอง หล่อนยังเป็นผู้หญิงเท่ๆ เกลียดเด็ก ชอบยิงมุกฝืดและยังอยู่ในโลกเดียวกัน ไม่ว่าส่วนไหนในร่างกายที่หล่อนปรากฏอยู่ สมอง หัวใจ หรือสายตา ไม่ใช่ข้อกังขาที่ทำให้ต้องระงับความรู้สึกที่มีต่อหล่อน ถึงต้องทำ ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าทำอย่างไร

เสียงรถยนต์มาจอดหน้าบ้าน ฉันยืดคอไปดูเห็นเป็นรถแปลกหน้า ผู้ชายกลางคนเปิดประตูมายืนคุยขณะหล่อนไขกุญแจ ชาวบ้านไม่รู้หรอกว่าหล่อนนิยมสตรี แต่ฉันอาจไม่รู้ก็ได้ว่าหล่อนนิยมบุรุษ ฉันเฝ้าดูต่อไปว่าชายจมูกโด่งผู้นั้นจะถูกเชิญให้เข้าบ้านหรือไม่ และแกงกะหรี่ไก่ของฉันจะเป็นหมันหรือเปล่า

ฉันไม่ได้เดาไว้เลยว่าหล่อนจะมาชวนกันไปทานข้าวที่บ้าน

“พี่ไม่อยากอยู่กับเขาสองต่อสอง มันมีเบียร์มีเหล้าด้วยไง เขาก็มีลูกมีเมียแล้ว เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิด”

“อยากให้แก้มแกล้งเป็นแฟนพี่ด้วยป่ะล่ะ”

หล่อนไม่เล่นด้วย “ตลกละ ตกลงมาใช่มั้ย ก็มาเลย”

ในระยะห่างโต๊ะหนึ่งตัว ชายผู้นั้นก็ดูดีทีเดียว เป็นแบบฉบับพ่อที่ดีของลูกซึ่งอ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้าพร้อมกับจิบกาแฟขณะที่เด็กๆ ก็ตักโจ๊กรอไปโรงเรียน ฉันนึกภาพออกอย่างนี้จริงๆ

แต่หลังจากเขาคุยกับฉันพอเป็นพิธี พวกเขาก็ว่ากันเรื่องงานต่อ ฉันจับใจความได้ว่าหล่อนอยากออกจากงานมาทำธุรกิจส่วนตัว ขายต้นไม้ทำนองนั้น ส่วนคุณพ่อคนนั้นก็ไม่เชิงขัดหรอก เขาข่มด้วยประสบการณ์โน่นนี่นั่นสารพัดจะเจอปัญหา งานประจำก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางก้าวหน้า ไปๆ มาๆ ก็วิจารณ์การบริหารของหัวหน้ากัน ฉันไม่มีอะไรจะเอามาคุยด้วย จิบเบียร์ไปเงียบๆ

สุดท้ายฉันกรึ่มอยู่คนเดียว จนหล่อนเดินไปส่งเพื่อนร่วมงานถึงหน้าบ้าน หิ้วเบียร์กลับเข้ามาอีก ร้านของชำปากซอยคงยังไม่ปิด

“นานๆ ทีก็ดีนะ ไหนๆ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปทำงาน” หล่อนว่าเทนํ้าแข็งใส่กระติก จุดยากันยุงเพิ่ม

“พี่จะลาออกเหรอ” ฉันฟังมานานแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป

“อือ เบื่อแล้วน่ะ จะให้ทำยังไงก็ไม่อยู่หรอก มันรู้หมดแล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ลงเอยยังไง เห็นเป็นฉากๆ เลย งานซํ้าๆ อยู่อย่างเดิมทุกวัน”

เป็นอีกเรื่องที่ฉันนึกไม่ออก มาเบื่องานที่ทำมาค่อนชีวิตเอาป่านนี้

“แล้วพี่จะออกมาทำอะไร”

“จะทำหน่อซาโยเต้ พี่เล็งมานานละ ไม่ค่อยมีใครทำช่วงนี้มีปัญหาไวรัสเริ่มเยอะ ถ้าจะเริ่มก็ต้องเริ่มช่วงนี้เลย”

ฉันไม่รู้จักหรอก ถามต่อไปก็ไม่รู้เรื่อง

“แล้วแก้มเป็นไง ได้งานที่ไหน”

หล่อนฉีกขนมเทข้างปลาหมึกย่าง ฉันบ่นให้ฟังจนหมดตั้งแต่หน้าตาเจ้าของร้านจนถึงพนักงานยกของที่เมาเหล้าตลอดเวลา

“ก็ดูเหมือนไม่มีระบบระเบียบอะไร แต่เขาก็ทำกันมาในแบบของเขา อบอุ่นดีนะ พี่ว่า ธุรกิจอย่างนี้มันเป็นครอบครัวรุ่นต่อรุ่น จุดแข็งเขาจะอยู่ที่ลูกค้าเก่า อยู่มานาน แก้มไม่ชอบแบบนี้ก็ออก ไม่เห็นเป็นไร”

“ด่ามาเหอะ พี่ ทำยังกะว่าแก้มเลือกได้ แค่เค้ารับก็บุญแล้ว พี่น่าจะตบหัวแก้มแล้วบอกว่าให้อดทนต่อไป ไว้เก็บสตางค์ได้เท่าพี่ค่อยลาออก”

หล่อนหัวเราะ “เออ ก็รู้ตัวนี่ มันเป็นอย่างนี้ทุกที่แหละ ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง ประเด็นมันอยู่ที่การปรับตัว ปีสองปีแรกลำบากหน่อย แต่ถ้าทนได้ก็ไม่มีอะไรแล้ว”

“พี่อายุเท่าไหร่”

“สี่สิบสาม”

ฉันแค่อยากเปลี่ยนหัวข้อ ไม่นึกว่าหล่อนจะตอบ แล้วต้องมานั่งอยากย้อนเวลา ตอนนี้ฉันเลยมีเรื่องต้องคิดเกี่ยวกับหล่อนมากขึ้นอีก

“สี่สิบสาม...” ฉันทวน

หล่อนดื่มแก้วตัวเอง “อือ ปลายปีนี้ก็สี่สิบสี่ละ”

“อายุสี่สิบสามแล้วรู้สึกไงบ้าง”

หล่อนมองต้นส้มจี๊ดเปลือยรากที่อิงกับกำแพง คงกำลังนึกถึงยุคสมัยที่ผ่านมา แฟชั่นแปลกตา ทรงผมเชยๆ เพจเจอร์ที่เอวเข็มขัด ดารานักร้อง ฉันนึกภาพไม่ออกเลย

“อือ ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วจัง อะไรที่อยากทำยังไม่ได้ทำมีเยอะเลย”

“เช่น?”

หล่อนฉีกปลาหมึกเคี้ยว “เช่น อายุสี่สิบสี่ แล้วแก้มล่ะ ยี่สิบเอ็ดแล้ว รู้สึกยังไง”

“ยี่สิบสาม” ฉันแก้ให้

“จะยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง ยี่สิบสามก็เหมือนกันแหละ ยังไงก็ตามพี่ไม่ทัน”

ไม่เถียงหรอก ยี่สิบปีที่หล่อนเกิดก่อนไม่เกี่ยวอะไรกับยี่สิบนาทีนี้ที่นั่งอยู่ด้วยกัน หล่อนจะเห็นอะไรมามากมายก็ตามแต่ แต่ตอนนั้นฉันยังไม่เกิด หล่อนไม่เคยรู้จักฉัน

“ไม่ได้อยากเกิดตามให้ทัน อยากเดินจับมือข้างๆ”

ฉันอุตส่าห์หยอดประกอบตาหวาน แต่หล่อนหัวเราะหึๆ เติมเบียร์ให้ตัวเอง

“อย่าเลยน้อง มุกอย่างนี้ พี่รู้ด้วยซํ้าว่าประโยคต่อไปน้องจะพูดว่าอะไร”

“ก็ดีพี่ จะได้ประหยัดเวลา ข้ามไปตอนที่รักกันไปเลย ขึ้นห้องเลยมั้ย บ้านพี่หรือบ้านแก้มดี”

“ข้ามไปอีก” หล่อนโบกมือ “ข้ามไปตอนที่เราทะเลาะกัน แล้วแก้มก็ย้ายของออกจากบ้านพี่ หลังจากนั้นก็มองหน้ากันไม่ติดอีกเลย”

“งั้นไปอีกหน่อย ตอนที่แก้มกลับมาง้อคืนดีพี่ แล้วเราก็มีอะไรกันทั้งนํ้าตา”

หล่อนหัวเราะตัวไหว “เออ จะเอาขึ้นเตียงให้ได้เลยใช่มั้ย”

“พี่ก็อะไรนักหนา ไม่เปิดใจอะไรเลย”

ฉันยกรวดเดียวหมด หล่อนถึงค่อยพูด “ก็ไม่ได้ปิดอะไร แต่แก้มเด็กเกินไป พี่ยังทันเห็นตอนแก้มอยู่ในท้องอยู่เลย”

“อย่ามั่วพี่ ครอบครัวแก้มย้ายมาอยู่นี่ก็ตอนแก้มสองขวบแล้ว”

หล่อนทำหน้าตายหูทวนลม “พี่ยังทันเห็นแก้มวิ่งเตาะแตะเตาะแตะอยู่หน้าบ้าน ทันได้อุ้มอยู่เลย”

“นี่ก็มั่วอีก พี่ย้ายมาทีหลัง ตอนแก้มอยู่ ป.3 แล้ว ป.3 นี่ก็เก้าขวบ บางที่ก็จับแต่งงานได้แล้ว”

“โอเค เก้าขวบก็เก้าขวบ”

หล่อนยอมเพราะไม่มีความจริงอย่างอื่นอีก แต่ฉันก็ไม่ได้ชนะ ความจริงที่ว่าตอนฉันอมหัวนมแม่ครั้งแรก หล่อนก็ผ่านของใครมาไม่รู้กี่คนแล้ว นั่นก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยน

“ตอนพี่อายุเท่าแก้ม พี่คิดอะไรอยู่”

หล่อนยิ้มมุมปาก “ก็คิดหลายอย่าง แต่ไม่เคยคิดจะชอบคนอายุสี่สิบสาม”

“แต่ตอนแก้มอายุยี่สิบสองกว่าๆ แก้มไม่เคยคิดว่าคนอายุสี่สิบสามจะใจร้าย”

คราวนี้ไม่มีรอยยิ้ม หล่อนพิงพนักพลางถอนหายใจยาว

“แก้มไม่เข้าใจ”

“ก็ใช่ แก้มไม่เข้าใจ” ฉันไม่คิดว่าอายุเป็นอุปสรรค ความคิดที่ว่าอายุเป็นอุปสรรคต่างหากที่เป็นอุปสรรค

“พี่ยังกล้าออกจากงานมาเสี่ยงทำธุรกิจเองเลย ทำไมพี่ไม่กล้าทำอย่างอื่นอีก”

“ไม่เหมือนกันหรอก พี่ศึกษามาดีแล้วถึงมาทำของตัวเอง”

“พี่ศึกษาแก้มแล้วเหรอ”

หล่อนทำท่ากลัดกลุ้ม ซึ่งฉันไม่ชอบเลย “ช่างมันเถอะพี่ แก้มพูดเล่น ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ บังคับกันไม่ได้”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” หล่อนพูดช้าๆ ใช้ความคิด “พี่เหนื่อยกับเรื่องอย่างนี้แล้ว อยากเอาแรงไปทำอย่างอื่น ถ้าพี่จะคบใครสักคน ก็อยากให้มันง่ายๆ ช่วยกันทำมาหากิน อยู่ด้วยกัน เรียบๆ ง่ายๆ นิ่งๆ กันไปเรื่อยๆ คุยกันรู้เรื่อง”

ฉันเติมนํ้าแข็งให้หล่อน ไม่ใช่ความห่างของวัยหรอก ทัศนคติหล่อนต่างหากที่ถ่างตัวเลขให้ไกลกัน ฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องหายใจนานกว่านี้แล้วถึงจะคุยกันรู้เรื่อง

“ถ้าแก้มสักสามสิบแปดสามสิบเก้านี่ พี่ไม่มีปัญหาใช่มั้ย”

“แก้มยังไม่รู้จักตัวเอง แก้มยังต้องเจออะไรอีกเยอะ มีทางเลือกอีกมาก ได้เจอคนใหม่ๆ อะไรหลายๆ อย่างที่แก้มกำลังจะเจอที่ทำให้แก้มไม่เป็นแก้มอย่างวันนี้” หล่อนรวบรวมความคิด ก่อนสรุปสั้นๆ “แก้มยังไม่เสถียร”

หล่อนถือเอาว่าเห็นโลกนี้มาก่อน ก็ตัดสินฉันไปแล้ว ฉันรู้จักตัวเองมานานกว่าหล่อนแน่ๆ ฉันยังไม่เคยคิดเลยว่าจะสรุปอะไรได้

“โอเค เข้าใจแล้ว” ฉันตัดบท แต่ก็อดพูดที่เหลือออกไปไม่ได้

“พี่อ่านหนังสือมาเยอะก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะรู้จักหนังสือทุกเล่ม บางเล่มก็เป็นความผิดพลาดของคนทำปกและกลไกตลาด”

หล่อนยิ้ม “เข้าใจเปรียบ แต่เป็นพี่น้องกันดีกว่า”

เราเปลี่ยนเรื่องคุย แต่บรรยากาศยังไม่เปลี่ยน ฉันออกไปซื้อเบียร์มาอีกรอบ กว่าจะได้กลับบ้านก็ตอนตีสองกว่า และต้นส้มจี๊ดก็ยังไม่ได้ลงดิน

4. ฤดูฝนผ่านไป ฉันรู้เมื่อริมฝีปากแห้งและกลางคืนต้องห่มผ้า กลิ่นต้นพญาสัตบรรณอวลไปทั่วถนนหนทาง

หล่อนคงต้องกลับมาทำกิจวัตรรดนํ้าต้นไม้ตามเดิม ต้นลีลาวดีเป็นโรคราสนิมยังไม่หาย แต่ก็คงไม่นานหรอกจะเขียวสดผลิใบใหม่ ต้นส้มจี๊ดอยู่ข้างๆ ดูเพลียๆ คงอยากให้ฉันเป็นคนนำมันลงดินมากกว่า

ฉันแอบดูหล่อนตื่นเช้าไปจ่ายตลาดด้วยจักรยาน หลังจากออกจากงานแล้วดูมีความสุขเพิ่ม บางวันก็เห็นซื้อดอกไม้มาเต็มตะกร้า หรืออาจเก็บมาข้างทางก็ไม่รู้ ไม่ได้คุยกันนับแต่นั้น ธุรกิจต้นไม้จะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เห็นมีใครมาแวะมาหา นอกจากแม่บ้านที่สนิทกันแถวนั้น ฉันไม่รู้ หนึ่งในป้าๆ ก็อาจจะเป็นแฟนหล่อนอยู่สักคน

ถ้าฉันอายุเท่านั้นแล้วมีเด็กมาติดพัน ฉันจะปฏิเสธเหมือนที่หล่อนทำหรือรับไว้พิจารณา แต่ตอนนี้ถ้ามีเด็กอายุสามขวบมาขอคบ อย่างน้อย... ไม่ ฉันจะเตะกระเด็นไปให้ไกลเลยเชียว หล่อนจะมองมาที่ฉันด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนเช่นนี้หรือเปล่า แต่ฉันบรรลุนิติภาวะแล้ว มีบ้าน มีงาน ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบ

หล่อนปั่นจักรยานกลับมา เห็นหางปลาทอดแลบออกจากถุงในตะกร้า ช่วงนี้หล่อนรับลูกหมามาใหม่ สีขาวล้วน เลี้ยงเก็บไว้ในบ้าน เป็นเจ้านายตัวเองแล้วก็คงมีเวลาดูแลสิ่งมีชีวิตอื่นได้ บางทีฉันน่าจะหามาเลี้ยงสักตัว ไหนๆ ก็ได้ทำงานที่บ้านสมใจ ลองหาตัวเมียพันธุ์ดีๆ มาไว้ เผื่อตัวของหล่อนติดสัดขึ้นมา อย่างน้อยฉันแห้วก็ยังมีหมาสองตัวนี้ที่ได้กัน

ฉันดูนาฬิกาและเริ่มลงมือหั่นมะเขือ ฉันได้งานเป็นแม่ครัวทำอาหารส่งมื้อกลางวันให้โรงเรียนอนุบาลละแวกนี้ เหตุเดียวที่ฉันได้รับเลือกเพราะเจ้าของเป็นเพื่อนแม่ นางแวะมาหาถามสารทุกข์สุกดิบแล้วก็บอกให้ทำกับข้าวไปส่ง นางชมว่าฉันได้รสมือยายมา ฉันไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่ที่ต้องปรุงอาหารในหม้อใหญ่ๆ แต่ก็เป็นงานที่ทำได้นานที่สุดขณะนี้

ประมาณสิบเอ็ดโมงฉันขนกับข้าวขึ้นรถเตรียมไปส่ง ชะโงกดูฝากตรงข้ามไม่เห็นรถหล่อนอยู่ ก็ยังไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่โรงเรียนอนุบาล ระยะที่เห็นไกลเกินกว่าจะทักทายได้ หล่อนจูงอยู่กับเด็กผู้ชายตัวอ้วน ไม่กล้าคิดว่าจะเป็นลูกหรอก แต่ฉันตามไปดูต่อไม่ได้ ต้องยกกับข้าวเข้าโรงอาหาร รอนักเรียนเข้าแถว รอล้างมือ รอสวดมนต์ รอกินข้าว รอกินของหวาน ฉันจึงค่อยหมดหน้าที่ในสัญญา ป่านนั้นหล่อนกับเจ้าอ้วนนั่นก็หายไปไหนไม่รู้

ครูท่านหนึ่งเดินมาหา บอกให้หาผลไม้ตามฤดูกาลมาด้วย ทำเป็นของว่างช่วงบ่ายอีกอย่างหนึ่ง ฉันไม่มีปัญหาหรอก แค่อยากรู้ว่าหล่อนกับเด็กมาทำอะไร ลองอ้อมๆ ถามได้ความว่ามาสมัครเรียน แต่จะเป็นแม่หรือญาติพามานั้นไม่รู้ แล้วฉันก็เกิดไม่อยากรู้ขึ้นมา ถ้าเป็นลูกหล่อนจริงๆ ฉันก็มีเรื่องคิดเกี่ยวกับหล่อนเยอะขึ้นอีก ที่พะวงหาทุกวันนี่ก็มากเกินพอ ฉันจึงไม่ถามไถ่อะไรต่อ เก็บหม้อเก็บทัพพีเตรียมตัวไปตลาดเพื่อทำกับข้าวสำหรับพรุ่งนี้ ฉันไม่เห็นรถหล่อนแล้วทั้งที่บ้านหรือที่โรงเรียน

กลับมาดูละครตอนบ่าย บังเอิญเป็นฉากพระเอกกำลังปฏิเสธนางรอง

“พี่รักดาว แต่รักอย่างน้องสาว พี่ไม่อาจคิดเชิงชู้สาวกับดาวได้เลย แต่อย่าไปโกรธเดือนเลย ไม่ใช่ความผิดของเดือน ไม่ใช่ความผิดของดาว เป็นความผิดของพี่ที่ไม่อาจบังคับใจตัวเองได้” เขาว่าอย่างนี้ แล้วเงยหน้ามองดวงจันทร์ นางรองจึงตัดพ้อ

“เป็นอย่างนี้เสมอแหละค่ะ ถ้าในคืนไหนที่มีดวงจันทร์ คืนนั้นจะไม่มีใครเห็นดาว ทั้งที่ก็ยังอยู่บนฟ้าเหมือนกัน ไม่ได้หายไปไหน”

อดเอามาเปรียบกับเรื่องหล่อนไม่ได้ ความผิดหล่อนที่ไหนกันกรณีนี้ ฉันต่างหากที่ไม่เจียมตัวเอง อายุไม่ใช่แค่ตัวเลข เป็นจำนวนวัน เดือน ปี ที่มากมายซึ่งบรรจุเหตุการณ์และความคิดมหาศาล หล่อนอาจเป็นแม่คนมาห้าปี เป็นรองผู้จัดการอีกยี่สิบปี เป็นคนรักของคนอื่นอีกไม่รู้กี่ปี ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ อีกเรี่ยราดที่ฉันไม่มีวันนึกออก เราอาจจะอยู่แค่ฝากถนนของกันและกัน แต่ฉันอาจไม่มีวันเข้าถึงอีกฟากของชีวิตหล่อนที่เกิดไม่ทันนั้นได้เลย

ได้ยินเสียงรถยนต์หล่อนกลับมา ไม่มีจิตใจหันไปดูหรอก พอแล้วสำหรับวันนี้

5. ฉันฝันถึงหล่อน ความรำคาญอย่างหนึ่งในชีวิตคือการฝันถึงหล่อน

ในนั้นเรารักกัน เราผสานมือกันเดินไปเรื่อยๆ ในร้านหนังสือ หรือตลาดนัดสักแห่ง ใบหน้าของหล่อนห่างจากไหล่ฉันแค่ฝ่ามือขวาง ใบหน้าที่มิได้งดงาม อ่อนเยาว์ หรือเรืองแสงได้ ใบหน้าที่ฉันเห็นอีกฟากรั้วนั่นแหละ ใบหน้านั้น แต่ในฝันฉันก็ฝังรอยจูบไว้แทบขาดใจ ฉันตื่นอย่างเลื่อนลอยและหลับตาบ่อยครั้งเพื่อระลึกถึง ก็เป็นทั้งหมดที่ฉันทำได้

การตกหลุมรักไม่ใช่ทางเลือก เราไม่มีทางเลือกได้เลยว่าจะรักใคร เช่นเดียวกับที่เลือกไม่ได้เลยว่าจะไม่รักใคร มันควรจะจบได้แล้วเรื่องหล่อนในหัวฉัน สิ้นสุดตรงที่ชาตินี้ฉันเกิดช้าไป เช้าวันใหม่มาถึงทุกๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมง ฉันก็แค่ต้องเลือกเอาสักวันเพื่อเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่ทุกเรื่องสั้นหรอกนะที่ตัวละครสมหวังหรือหักมุม สัจธรรมชีวิตไม่มีอารมณ์ขันอย่างนั้นหรอก

ฉันว่าฉันจะจบลงตรงนี้แหละ ตรงที่เช้าวันนี้หล่อนออกไปจ่ายตลาด ซื้อปาท่องโก๋ เจ้าหมาน้อยโตพอจะออกมาอยู่ข้างนอก ต้นส้มจี๊ดออกผลดกแข่งกับดอกลีลาวดีสีชมพูแดง ฉันยังคงอยู่ที่เดิมตรงนี้ มองออกไป

ไม่ว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นนิยายรักหรือรหัสคดี อย่างที่หล่อนบอก อย่างไรฉันก็ตามหล่อนไม่ทัน

 

456

6. เราไม่สามารถจบเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ แค่เพราะเราอยากให้จบ

“แก้ม แก้มอยู่บ้านหรือเปล่า”

หล่อนมาเรียกหน้าบ้าน นํ้าเสียงกำลังเดือดร้อน

“ขาวมันติดเข้าในบ้านแก้มหรือเปล่า พี่กลับมาก็ไม่เจอแล้ว นี่ก็หาตั้งแต่บ่าย แก้มเห็นอะไรบ้างมั้ย”

ฉันอยู่บ้านทั้งวันแต่ไม่เห็นอะไรผิดปกติ หล่อนว่าจะลองตระเวนหาดูละแวกนี้ นิสัยหมาถ้าจะหายไปติดสัดก็วันสองวันกว่าจะกลับมา อย่างไรฉันก็อาสาไปด้วย ใช้จักรยานของหล่อนปั่นไป มอเตอร์ไซค์ของฉันขายไปแล้ว

หล่อนตะโกนเรียกชื่อมันไปทุกตรอกซอกซอย จนแสงเริ่มหาย เวลาเย็นเปลี่ยนเป็นคํ่าและรํ่าๆ จะดึกขึ้นเรื่อยๆ หล่อนไม่สนใจฉันที่ปั่นจักรยานให้มาหลายชั่วโมง ชี้ซ้ายชี้ขวา เอาแต่ถามว่าเจ้าขาวมันจะไปอยู่ไหน ซอยนี้เราเลี้ยวไปหรือยัง วกกลับไปอีกครั้งได้ไหม ทำนองนี้ตลอดทาง

เราคงจะไม่หยุดถึงจะเป็นรุ่งเช้า ถ้าฉันไม่เสนอว่าให้กลับไปดูที่บ้าน มันอาจจะกลับมารออยู่ก็ได้

“อายุมันยังไม่ถึงช่วงติดสัดนะแก้ม ฤดูนี้ก็ไม่ใช่ฤดูติดสัด พี่ไม่เคยพามันออกมาถนน มันหลุดมาเองพี่ไม่รู้ว่ามันจะหลงไปถึงไหน”

“มันใส่ปลอกคอไม่ใช่เหรอพี่ ถ้าคนอื่นเจอก็คงประกาศตามหาเจ้าของให้ ไม่มีใครทำอะไรมันหรอก”

เรากลับถึงบ้านที่มืดสนิท ไม่ได้เปิดไฟไว้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววเจ้าขาว ฉันปลอบให้หล่อนพักผ่อนก่อน เช้าพรุ่งนี้ฉันจะช่วยหาต่อ ฉันนั่งเป็นเพื่อนหล่อนอีกสักพัก หล่อนถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกัน ตลาดวายหมดแล้วและเหนื่อยเกินกว่าจะฉีกซองเติมนํ้าร้อนไม่ว่ารสไหน เราจึงออกไปกินก๋วยเตี๋ยวที่หน้าซอยใกล้ๆ

ในที่สุดเราก็เจอเจ้าขาว เพียงแต่ไม่ใช่ในรูปลักษณ์ที่อยากจะเจอ พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวเล่าว่าเห็นมันนอนอยู่กลางถนนตั้งแต่เย็น ไม่รู้ว่าเป็นของใครจึงฝังให้ที่ลานโล่งรกๆ หลังหมู่บ้าน เก็บปลอกคอมันไว้เผื่อใครตามหา เขาเสริมอย่างปลอบใจว่า มันคงตายทันที ไม่ทันได้ทรมานอะไร

หล่อนเหมือนไม่เสียใจเท่าไหร่ ยังสั่งเส้นเล็กใส่ชามตามปกติ ฉันมารู้ว่าหล่อนเก็บอาการได้ดีก็เมื่อมาถึงบ้าน หล่อนร้องไห้ฮักๆ ทันทีที่เปิดประตู สะอื้นตัวโยนอยู่นาน ฉันยืนอยู่ข้างๆ อยู่ระหว่างคนแปลกหน้าและเพื่อนมนุษย์ เลิกสนว่าฉันอยากจะจบเรื่องหล่อนเท่าใด ฉันเพียงแค่รู้ว่ายามเคว้งคว้างแล้วมีไหล่ให้ยึดมันรู้สึกดีอย่างไร

ฉันไม่กล้าลูบหลังหรือแม้ขยับมือ นอกจากโอบหล่อนไว้ หล่อนกอดตอบและร้องไห้ต่อ

“ขอบคุณมาก ขอบคุณมากนะแก้ม” หล่อนสงบอารมณ์ได้ “เข้าบ้านก่อนมั้ยหรือแก้มอยากกลับเลยก็ได้”

“แก้มยังไม่อยากกลับ”

ฉันอยากมั่นใจว่าหล่อนสบายดีกว่านี้ หล่อนเปิดโทรทัศน์ช่องการ์ตูน นั่งลงข้างๆ

“ขอบคุณมาก” หล่อนว่าอีก

“แก้มยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

หล่อนไม่ได้พูดอะไรต่อ เรานั่งดูแมวในการ์ตูนไล่กวดหนูชื่อเจอร์รี่ อากาศหนาวของกลางคืนทำให้ฉันไม่คิดจะฝืนขยับตัวไปหาไออุ่นหล่อน ไม่นานไหล่เราก็เกยกัน หล่อนทิ้งนํ้าหนักอิงฉันเรื่อยๆ จนต้องชะโงกไปดูหน้าและพบว่าหล่อนหลับไปแล้ว

ฉันอยากให้เราอยู่กันท่านี้ถึงเช้า ตื่นมาด้วยกัน ชงกาแฟให้ ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมามองหน้ากันระหว่างกินปาท่องโก๋

ฉันปลุกตัวเองก่อนจะปลุกหล่อน “พี่อุ้ม พี่ไปนอนข้างบนดีมั้ย”

ขยับแขนข้างที่ชาออก หล่อนขยับตัวงัวเงียออกจากไหล่ฉัน

“อือ ขอโทษที บางทีพี่ก็นอนหน้าทีวีถึงเช้า”

“พี่จะนอนต่อก็ได้ แก้มแค่จะกลับแล้ว”

“ไม่ๆ พี่จะขึ้นไปนอนข้างบน”

หล่อนทำท่าจะไปส่งฉันที่ประตูรั้ว แต่ฉันยืนยันให้หล่อนขึ้นห้องไปเลย

“ขอบคุณมาก” หล่อนว่าอีกขณะเดินขึ้นบันไดไปได้ครึ่งทาง

“ไม่มีอะไรต้องขอบคุณหรอกพี่ คนกันเอง”

หล่อนพยักหน้า ก้าวขึ้นบันไดอย่างกะปลกกะเปลี้ย ฉันรู้สึกหนาวในฉับพลัน ไออุ่นที่แบ่งกันเมื่อครู่นี้ระเหิดหายไปแล้ว คํ่าคืนที่ยาวนานข้างหน้าฉันจะต้องกลับไปนอนคนเดียวที่เตียงเย็นชืด ใบหน้าที่ฉันฝันถึงกำลังลับจากสายตาไป จู่ๆ ฉันก็ไม่อยากให้หล่อนเข้านอน อยากให้ตามไปส่งกันถึงอีกฟากของหมอนข้าง

“พี่มีลูกรึเปล่า”

ฉันรู้ว่าเป็นคำถามที่ไม่ควรและก็ไม่ใช่เวลาเหมาะสม แต่ปากฉันก็พูดไป หล่อนชะงักหันกลับมาหา ยิ้มอย่างยียวนแต่ก็ซีดเซียวในคราวเดียวกัน หล่อนไม่ตอบคำถาม

“ขอบคุณมากนะแก้ม” หล่อนว่าก่อนเดินต่อ

หล่อนยังขอบคุณฉันไม่เลิกลา ซื้อนํ้าเต้าหู้มาแขวนหน้าบ้านเช้าวันถัดมา และเต้าฮวยนํ้าขิงในคืนเดียวกัน หล่อนจะตะโกนเรียกฉันเพื่อไปรับกับมือก็ไม่ได้ เอามาแขวนไว้แล้วก็กลับเข้าบ้าน ไม่แม้ชำเลืองตาดูด้วยซํ้าว่าฉันก็นั่งอยู่ในบ้าน เสนอหน้าออกมาแทบจะทิ่มตาด้วยซํ้า ฉันว่าหล่อนทำเกินไป ไม่รับรักฉันก็น่าจะรักษานํ้าใจ

 

7. ขนมไทยสามสี่อย่างกับดอกไม้ถูกแขวนไว้ในหลายๆ เช้าต่อมา บางทีก็เป็นกล้วยทอด มันทอด ส่วนกลางคืนเป็นผลไม้บ้าง นมเปรี้ยวบ้าง

ฉันรู้แล้วว่าหล่อนซาบซึ้งเรื่องเจ้าขาว แต่ก็ชักมากเกินไปจนเกรงใจ จนฟุ้งซ่าน ประกอบกับละครที่นั่งดูทั้งบ่ายทั้งคํ่า ตอนจบประเภทที่ว่าสุดท้ายพระเอกก็แอบรักนางเอกตั้งแต่ต้น แค่ไม่แสดงออกเพราะติดที่ ฯลฯ ฉันรู้ว่าไม่มีวันได้เป็นนางเอกของหล่อนหรอก แต่ถ้าหล่อนขืนทำต่อไปฉันอาจต้องกลายเป็นพระเอกประเภทตบจูบแทน

“แก้มทำไก่ผัดเม็ดมะม่วงมาให้” ฉันบุกไปหน้าบ้าน ถือจานไปด้วย

หล่อนหน้ามัน ผมยุ่งกระเซิง แต่ยังยิ้มร่าเริง “พี่ได้กลิ่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เดาไว้ว่าเป็นผัดเผ็ดนะ”

หล่อนมือเปื้อนเกินกว่าจะรับจานไปถือเองได้ จึงขยับประตูให้ฉันเดินเข้ามาแทน เห็นในบ้านรกกว่าครั้งล่าสุดที่เข้ามา มีกองเอกสารเป็นกล่องๆ และขวดแกลลอนอีกระเกะระกะ แม้บนโต๊ะกับข้าวก็ไม่มีที่ว่าง ฉันต้องไปวางบนหลังเตาไมโครเวฟ

“โทษทีนะ ช่วงนี้ค่อนข้างวุ่นวาย”

“มีอะไรให้แก้มช่วยมั้ย”

ฉันหมายจริงตามพูด ฉันก็มีความรู้พอสมควรและคงเรียนรู้กันได้ ไม่ใช่แค่ทำอาหารเลี้ยงเด็กอนุบาลเป็นอย่างเดียว แต่หล่อนเท้าเอวมองหน้าฉันอย่างพินิจวิเคราะห์ แล้วส่ายหน้า

“พี่รบกวนแก้มมาเยอะแล้ว”

“แก้มอ่านหนังสือออกนะพี่”

หล่อนตกใจ “ไม่ใช่ พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แค่ยังไม่มีแผนจะรับผู้ช่วย แก้มก็มีงานของแก้มต้องรับผิดชอบ พี่ไม่อยากกวนจริงๆ เกรงใจ”

“งั้นถ้าพี่อยากให้ช่วย แก้มก็อยู่บ้านตรงข้ามนี่นะ เปิดประตูแล้วเดินตรงไป ไม่ซ้ายไม่ขวา สามเก้าครึ่งจะถึงพอดีวาดแผนที่ไว้ให้มั้ย เผื่อพี่หลง”

“ก็ดีนะ เอาให้ละเอียดเลย พี่หลงทางง่าย ลงเบอร์โทรไว้ด้วยก็ได้เผื่อหาไม่เจอจะได้โทรไปถาม”

“งั้นพี่บอกเบอร์มา เดี๋ยวแก้มยิงเบอร์ไป”

ฉันล้วงโทรศัพท์มารอจริงจัง แต่หล่อนหัวเราะ

“พอ พี่ไม่เล่นแล้ว”

มักจบแบบนี้ทุกที เริ่มต้นจากการสนทนาอย่างเพื่อนบ้าน ยิงมุกใส่กัน ทำตลกหน้าตาย แล้วฉันจะเป็นคนดึงมาที่เรื่องนี้ หลังจากนั้นหล่อนก็จะปฏิเสธ ห่างหายกันไปสักพัก ค่อยกลับมาเริ่มใหม่ตรงที่เรามีบ้านอยู่ตรงข้ามกัน ตราบที่ไม่ย้ายหนีก็เป็นเพื่อนบ้านกันจนแผ่นดินแยก หรือรัฐบาลมาเวนคืนที่

“เอาจริงนะ ถ้าบ้านพี่ไฟไหม้ ใครจะโทรบอก” ฉันไม่ยอมหรอก

“ตำรวจไง เห็นไฟไหม้ โจรขึ้นแก้มโทรหาตำรวจเลย ไม่ต้องโทรหาพี่”

“งั้นถ้าแก้มลืมปิดแก๊ส แล้วอยู่ต่างจังหวัด แก้มจะโทรหาใคร”

“โทรหาป้าสน แล้วป้าสนจะใช้ลูกแกปีนรั้วเข้าไปปิดให้”

“ถ้าแก้มไม่อยู่บ้านนานๆ แล้วอยากคุยกับพี่ ให้ทำไง”

“ก็นั่งรถกลับมา เดี๋ยวก็เจอกัน”

“โอเค ยอม” ฉันเห็นรอยยิ้มกวนนั้นแล้วไม่คิดว่าจะได้เบอร์อะไรไป “งั้นแก้มไม่กวนพี่ทำงานแล้ว”

“อือ ขอบคุณมากนะ ไก่ผัดพริก”

“ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์” ฉันแก้ให้

“อ้อ เหรอ พี่เห็นแต่พริกแห้งกับหัวหอม”

“ไหนบอกว่าเกรงใจ”

“ก็เกรงใจนะ แต่ได้ข้าวเปล่าด้วยก็ดี”

หล่อนเดินมาส่งหน้าบ้าน ยังยิ้มอยู่ แต่ฉันเริ่มไม่สนุกด้วย รู้สึกเหมือนมีปีกและหงอนงอก ส่วนหล่อนก็หยอกกันไป ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ฉันรู้ว่าหล่อนขีดเส้นไว้ตรงไหน นิสัยหล่อนเป็นอย่างนี้ฉันเห็นมาตั้งแต่เด็ก

“พี่ก็ไม่ต้องซื้อขนมมาให้แก้มแล้วก็ได้ บางครั้งก็กินไม่หมด อยู่คนเดียว”

“โอเค พี่แค่คิดถึงไอ้ขาว”

“เห็นแก้มเป็นตัวแทนหมา?” หล่อนชักจะเล่นแรง

“ไม่ใช่ พี่แค่คิดถึงตอนตามหามัน แก้มปั่นจักรยานให้ตั้งแต่เย็นจนดึก ข้าวก็ไม่ได้กิน ยังอยู่เป็นเพื่อนกันอีก พี่แค่รู้สึกขอบคุณมากที่ไม่ต้องอยู่คนเดียวในวันนั้น”

หล่อนว่าจริงจัง และรีบดักทางที่ฉันจะหยอดอะไรเพิ่ม “ขอบคุณมากจริงๆ แก้มกลับบ้านเถอะ พี่จะทำงานต่อแล้ว”

ฉันจำได้อย่างหนึ่งเรื่องหล่อน ตอนที่ฉันยังปั่นจักรยานไกลสุดแค่หน้าปากซอย วนไปวนมา ผ่านหน้าบ้านหล่อนเป็นครั้งที่ร้อย เล่นเป็นไอ้มดแดงขี่มอเตอร์ไซค์ทำเท่ ห้อยกระป๋องที่ท้ายรถเพื่อจะได้มีเสียงครืนๆ เหมือนเครื่องยนต์จริง หล่อนคงรำคาญ ออกมาเรียกฉันหยุดแล้วถาม

“เล่นอะไรอยู่คะ”

“ไม่ได้เล่น” ฉันตอบจริงจัง ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่เป็นเชริฟมดแดง ตรวจดูความสงบสุขหมู่บ้าน

“เอากระป๋องมาทำอะไรคะ” หล่อนถามต่อ

ฉันไม่ตอบ กำลังมองหน้าอกที่ก้มลงมา ตอนนั้นฉันรู้แล้วว่าหล่อนเป็นผู้หญิง แต่พี่ชายคนเดิมก็บอกว่าหล่อนเป็นทอม ฉันนึกว่าทอมเป็นชื่อฝรั่ง และถ้าหล่อนไม่มีเค้าหน้าฝรั่งก็ควรจะมีขนสีทองบนหน้าอกแบบฝรั่งที่ชื่อทอม

“มันหนวกหูรู้มั้ยคะ เอาออกได้มั้ย เอาออกแล้วจะขี่จักรยานได้เร็วขึ้นนะ”

“พี่ไม่มีขน” ฉันว่าพลางเอานิ้วจิ้มเข้าไป

หล่อนตะปบอกอย่างตกใจ จํ้ากลับเข้าบ้าน เอากรรไกรมาตัดเชือกฟางที่มัดกระป๋องของฉันออก แล้วไม่กลับมาอีกเลย ฉันร้องไห้ไปฟ้องแม่ แต่แม่ไม่มีเวลาสนใจนอกจากฟังจบก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนกลับไปคุยโทรศัพท์ต่อ ฉันโกรธทั้งแม่โกรธทั้งหล่อน ตัดสินใจจะละทิ้งหมู่บ้านไป ไม่มีฉันดูแลความสงบสุขแล้วพวกเขาจะรู้สึก

เป็นครั้งแรกที่ฉันปั่นจักรยานไปไกลกว่าในหมู่บ้าน ฉันออกถนนใหญ่ เกือบไปถึงโรงเรียน ตั้งใจว่าคืนนั้นจะไม่กลับบ้านไปค้างที่ห้องพยาบาล โชคดีว่าที่ครูท่านหนึ่งมาพบฉันก่อน นางไล่ให้ฉันกลับบ้าน ฉันฟ้องครูเรื่องหล่อนอีก ร้องไห้ฟูมฟายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่เด็กก็คือเด็ก เย็นวันถัดมาฉันติดกระป๋องเพิ่มเป็นสองเท่า ปั่นผ่านหน้าบ้านหล่อนเหมือนเดิม

ถ้าจำไม่ผิดหล่อนเข้ามาคุยกับแม่ถึงบ้าน ทำให้ยึดจักรยานฉันไปสัปดาห์เต็ม แต่ฉันไม่ได้โกรธใครเลย เพราะพ่อบังเอิญซื้อรองเท้าสเกตมาให้เป็นของเล่นใหม่ ฉันจึงเลิกเล่นเป็นไอ้มดแดงโดยปริยาย ยุ่งอยู่กับการฝึกทรงตัวและทำแผลหัวเข่า

หล่อนไม่ได้ใจร้ายเกินไปหรอก แม้แต่กับเด็กอย่างฉัน แต่ก็เป็นตอนมัธยมต้นโน่นแล้วที่หล่อนเริ่มจะใจดีใส่กัน ฉันปั่นจักรยานไปโรงเรียนเป็นบางวันที่พ่อแม่ไม่ว่างและพี่ชายก็ไปทำงานที่อื่น

วันนั้นฉันใส่ชุดยุวกาชาด ผ้าเนื้อหนา ยังมีผ้าพันคอ เข็มขัด อึดอัดที่สุดในสัปดาห์ จักรยานยังมายางรั่วกลางทางที่แดดเปรี้ยงปร้างแยงตาของเดือนมีนาคม ไม่มีร้านปะยางอยู่แถวนั้น ฉันเหงื่อแตกจูงเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวห้องแถว สบตาหล่อนเพียงชั่วหันหน้าผ่านขณะที่หล่อนนั่งกินอยู่ในนั้นกับเพื่อนสาว ฉันจำไม่ได้ว่าหล่อนหรืออีกคนเป็นคนทัก แต่สุดท้ายฉันก็ได้นั่งรถแอร์เฉียบของหล่อนกลับบ้าน

ฉันจำหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ ฉันรู้สึกว่าหล่อนตัวหอม ผมยาวสวยและยิ้มตลอดเวลา ในวัยที่เริ่มแอบชอบรุ่นพี่บ้างแล้ว ฉันก็พอรู้ว่าพวกหล่อนรักกัน ด้วยความสงสัยอยากรู้อยากเห็นเป็นทุน ฉันจึงแอบมองหล่อนทุกวันมานับแต่นั้น

ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าจะรู้หล่อนทุกเรื่อง ผนังบ้านกับรั้วยังเป็นอุปสรรคเสมอ แม้แต่เดี๋ยวนี้

8. เมื่อเช้าหลังจากที่ฝันถึงหล่อนอย่างน่ารำคาญ ฉันถามตัวเองว่าถ้าเราไม่ได้เป็นเพื่อนบ้านกัน เห็นกันผาดๆ รู้จักกันผิวๆ ฉันยังจะลามปามคิดกับหล่อนเช่นนี้หรือเปล่า

ถ้าฉันไม่มีภาพติดตาของหล่อนสมัยฉันยังเด็ก คำบรรยายที่ฉันกล่าวถึงหล่อนก็อาจจะจบแค่วลีว่า คุณป้าบ้านตรงข้าม ฉันไม่ปฏิเสธที่หล่อนยังดูดี แต่สายตามนุษย์มีมิติมากกว่าตัวอักษร ฉันไม่สามารถลบประโยคน่าเกลียดออก และเลือกพรรณนาเฉพาะส่วนสมบูรณ์ที่สุดบนหน้าได้

ฉันถามตัวเองว่าอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ เมื่อมองไปที่หล่อนแล้วไม่หลงเหลือความรัญจวน ฉันจะเห็นแก่ตัวขึ้นมา อ้างความหนุ่มสาวของฉันหาเศษหาเลยอื่นหรือไม่ ฉันไม่รู้ ฉันมองออกนอกหน้าต่างตามปกติ หล่อนไม่ได้ทำงานในวันนี้ เห็นได้จากการเอ้อระเหยอยู่กับต้นไม้หน้าบ้าน 

 

ของคุณข้าพเจ้า

และที่สะพานภูมิใจนำเสนอ

สุขสันตในการอานนะคะ

บ.ก.

จากนักเขียน

ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าไม่รู้จะเขียนคำนำอย่างไร ข้าพเจ้าลังเลว่าจะเล่าเรื่องสั้นหญิงรักหญิงเรื่องแรกของข้าพเจ้าซึ่งเกี่ยวกับแม่บ้าน ผู้หนีตามโจรผู้หญิงในคืนที่สามีไม่อยู่ หรือจะเล่าถึงเรื่องจริงตอนจบของเรื่องฉันเกลียดหล่อน ที่ข้าพเจ้าทราบมาว่าเลิกกันแล้วในที่สุด

หรือจะอวดว่าหน้าตาอย่างข้าพเจ้าก็มีสาวสวยผู้สวมรองเท้าสีนํ้าเงิน มาเลี้ยงกาแฟและหักมุมตรงที่สุดท้ายหล่อนชวนทำขายตรง หรือข้าพเจ้าอาจบอกด้วยก็ได้ว่า แอบชอบคนนั้นคนนี้มากเท่าเรื่องสั้นที่แต่ง

ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าเลือกไม่ได้ก็เล่าทุกเรื่องนี่แหละ แต่ครูภาษาไทยก็ยํ้าว่า คำนำควรกระชับและให้ได้ใจความ

ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองและปรึกษาครูคนดังกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตนั่งพับเพียบลงกับพื้นอย่างที่ครูภาษาไทยสอน (เก็บเท้าให้มิด หลังตรง วางมือซ้ายบนมือขวา ไม่ใช่ค่ะนักเรียน มือต้องวางบนหน้าขาซ้ายเสมอนะคะ หลังตรงค่ะ) เพื่อแสดงความขอบคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ผู้เกี่ยวข้อง แต่ถ้าจะหาที่สุดให้ได้ ก็คงเป็นหว่างอกของผู้อ่าน ซึ่งนิ้วมือเรียวงามของข้าพเจ้าพนมกราบลงไป หลังจากนั้นท่านจะลูบหัว ลูบไหล่ ก็สุดแท้แต่จะกรุณา

ทั้งนี้ผู้อ่านก็อาจจะไม่ได้อ่าน หากไม่ได้รับโอกาสตีพิมพ์ กราบครั้งต่อมาจึงเป็นบนตักของสำนักพิมพ์สะพาน และก้มค้างไว้ 10 วินาที 3 วินาทีแรกขอบคุณสำหรับการพิมพ์เรื่องยาว The Village 3 วินาทีหลัง สำหรับรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ และอีก 4 วินาที แถม

อีกกราบหนึ่ง ข้าพเจ้ามอบแด่ครอบครัวซึ่งสนับสนุนทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ หรือกำลังจะทำ แม้จะไม่สมเหตุสมผลเพียงใดก็ตาม

ข้าพเจ้ายังพบข้อบกพร่องอยู่ จึงขอจบด้วยประโยคเชยๆ ของคำนำโดยทั่วไปว่า หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

 

ข้าพเจ้า

 

รายละเอียด

จากสำนักพิมพ

จริงๆ รู้จักเรื่องสั้นของคุณข้าพเจ้ามาก่อนเรื่องยาวค่ะ อ่านแล้วก็ชอบมากเหลือเกิน เพราะนานๆ ทีจะมีคนเขียนเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับประเด็นญรญ.ที่อ่านสนุกแบบนี้ (หมายความว่ามีทั้งอารมณ์ขัน และมีทั้งประเด็นให้คิดต่อ และนอกจากนั้นก็เป็นเรื่องภาษาอันชวนติดตามค่ะ)

เมื่อเจอจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษค่ะ เรื่องสั้นทั้งหลายใน 22 เรื่องนี้ ไม่มีเพียงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เท่านั้นค่ะ แม้จะเกี่ยวกับความเป็นหญิงรักหญิงซึ่งเป็นประเด็นหลัก แต่ก็นั่นแหละนะคะ ยังมีมากกว่าเรื่องรักในชีวิตของคนเราค่ะ

เป็นหนังสืออีกเล่มที่สะพานภูมิใจนำเสนอค่ะ แม้จะไม่ใช่นิยายรักหวานซึ้ง อ่านง่ายตามขนบการเขียนนิยาย/เรื่องสั้นสักเท่าไร และสิ่งนี้แหละค่ะคือเสน่ห์ในตัวหนังสือของคุณข้าพเจ้า

และที่สะพานภูมิใจนำเสนอ

สุขสันตในการอานนะคะ

บ.ก.

จากนักเขียน

ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าไม่รู้จะเขียนคำนำอย่างไร ข้าพเจ้าลังเลว่าจะเล่าเรื่องสั้นหญิงรักหญิงเรื่องแรกของข้าพเจ้าซึ่งเกี่ยวกับแม่บ้าน ผู้หนีตามโจรผู้หญิงในคืนที่สามีไม่อยู่ หรือจะเล่าถึงเรื่องจริงตอนจบของเรื่องฉันเกลียดหล่อน ที่ข้าพเจ้าทราบมาว่าเลิกกันแล้วในที่สุด

หรือจะอวดว่าหน้าตาอย่างข้าพเจ้าก็มีสาวสวยผู้สวมรองเท้าสีนํ้าเงิน มาเลี้ยงกาแฟและหักมุมตรงที่สุดท้ายหล่อนชวนทำขายตรง หรือข้าพเจ้าอาจบอกด้วยก็ได้ว่า แอบชอบคนนั้นคนนี้มากเท่าเรื่องสั้นที่แต่ง

ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าเลือกไม่ได้ก็เล่าทุกเรื่องนี่แหละ แต่ครูภาษาไทยก็ยํ้าว่า คำนำควรกระชับและให้ได้ใจความ

ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองและปรึกษาครูคนดังกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตนั่งพับเพียบลงกับพื้นอย่างที่ครูภาษาไทยสอน (เก็บเท้าให้มิด หลังตรง วางมือซ้ายบนมือขวา ไม่ใช่ค่ะนักเรียน มือต้องวางบนหน้าขาซ้ายเสมอนะคะ หลังตรงค่ะ) เพื่อแสดงความขอบคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ผู้เกี่ยวข้อง แต่ถ้าจะหาที่สุดให้ได้ ก็คงเป็นหว่างอกของผู้อ่าน ซึ่งนิ้วมือเรียวงามของข้าพเจ้าพนมกราบลงไป หลังจากนั้นท่านจะลูบหัว ลูบไหล่ ก็สุดแท้แต่จะกรุณา

ทั้งนี้ผู้อ่านก็อาจจะไม่ได้อ่าน หากไม่ได้รับโอกาสตีพิมพ์ กราบครั้งต่อมาจึงเป็นบนตักของสำนักพิมพ์สะพาน และก้มค้างไว้ 10 วินาที 3 วินาทีแรกขอบคุณสำหรับการพิมพ์เรื่องยาว The Village 3 วินาทีหลัง สำหรับรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ และอีก 4 วินาที แถม

อีกกราบหนึ่ง ข้าพเจ้ามอบแด่ครอบครัวซึ่งสนับสนุนทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ หรือกำลังจะทำ แม้จะไม่สมเหตุสมผลเพียงใดก็ตาม

ข้าพเจ้ายังพบข้อบกพร่องอยู่ จึงขอจบด้วยประโยคเชยๆ ของคำนำโดยทั่วไปว่า หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

 

ข้าพเจ้า

 

สารบัญ

123.............................................................................9

456............................................................................27

เกลียดเด็ก....................................................................50

ฉันเกลียดหล่อน .........................................................60

กาลครั้งหนึ่ง...............................................................69

ความผิด ...................................................................83

คำรัก...........................................................................87

จงรัก..........................................................................99

ชายชู้ ......................................................................104

ณ เชียงใหม่..............................................................113

ณ น่าน......................................................................116

มาเฟียที่รัก...............................................................123

เมียครูดอย................................................................139

แมว หมาและคน........................................................145

ไม่หวือหวา...............................................................159

ยามบ่าย..................................................................161

รักการอ่าน..............................................................169

เรียกร้อง....................................................................181

สมพร........................................................................195

สมมติ........................................................................207

สมศรี.........................................................................216

สมหญิง....................................................................223

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

123

1. ฉันเห็นหล่อนก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าบ้าน อยากเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกในใจให้เหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่รู้อายุจริงหล่อน

บางทีอาจต้องเรียกป้าด้วยซั้า แม้ฉันจะไม่ได้ละอ่อนขนาดนั้นก็ตาม แต่เท่าที่ฉันยังจำได้สมัยเด็กๆ หล่อนก็ทำงานนานแล้ว พี่ชายต่างพ่อที่ห่างฉันเกือบสิบปีเรียกหล่อนว่าพี่ ฉันก็ยึดตามนั้นตลอดมา ตอนนี้ฉันก็คิดว่าไม่ควรเปลี่ยน

สายยางถูกลากออกมาถึงถนน หล่อนฉีดนํ้าข้ามมาถึงบ้านฉัน รดแนวต้นดอกเข็มและชาทองที่ปลูกติดหน้ารั้ว เห็นหน้าหล่อนได้ชัด โทรมลงกว่าที่ฉันยังเด็ก ไม่ใช่ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ปรากฏอยู่ เป็นความเหนื่อยหน่ายอ่อนแรงมากกว่า สุขภาพหล่อนอาจกำลังแย่ ซึ่งคงไม่เกี่ยวกับอายุ

“ต้นจำปีตรงนี้ยังไม่ได้รดเลยพี่” ฉันตะโกนไปก่อน ปิดแก๊สค่อยเดินออกไป

“รดนํ้าบ้างสิแก้ม หญ้าก็เขียวตรงแค่ที่พี่รดถึงเนี่ย”

“พี่กินข้าวยัง” ฉันไม่ได้เปิดประตู รั้วเตี้ยพอให้เกาะยืนคุยกันได้

“ยัง ก็มารอลุ้นอยู่ว่าวันนี้แก้มจะถามพี่มั้ย” หล่อนยิ้มฉบับที่มีในตาหล่อนตลอดเวลา เมื่อก่อนหล่อนผมสั้น ดูทะมัดทะแมงกว่านี้นิดหน่อย และรอยยิ้มอย่างนี้ก็ดูยียวนทีเดียว

“ถ้าจะขนาดนั้น ไม่ต้องมาฟอร์มรดนํ้าต้นไม้ก็ได้ ล้างมือแล้วเดินเข้ามาเลยเหอะ”

“เปล่า วันนี้พี่จะมาบอกว่ามีกับข้าวแล้ว กินของแก้มมาหลายวันแล้ว เกรงใจ”

ฉันอุตส่าห์ตุ๋นซี่โครงอ่อนตั้งแต่บ่าย “ค่อยเกรงใจวันพรุ่งนี้ได้มั้ย แก้มทำเผื่อพี่ไปแล้ว”

“แก้มก็เก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้ พี่ซื้อกับข้าวมาแล้ว ถ้าไม่กินเย็นนี้เดี๋ยวมันจะเสีย”

“พี่ก็เอามากินด้วยกันที่นี่ก็ได้”

ฉันไม่น่าพูดออกไป ไม่อยากทำให้หล่อนลำบากใจที่ต้องปฏิเสธ ฉันจึงรีบต่อ “ไม่เป็นไรพี่ มันเก็บได้หลายวันอยู่แล้ว”

“โทษทีนะ แก้ม”

ฉันกลับไปนั่งต่อหน้าโทรทัศน์ เห็นหล่อนพยายามฉีดนํ้ามาให้ถึงต้นจำปี แต่แรงนํ้าก็สิ้นสุดลงที่กระถางดอกกระดิ่ง

บักกุ๊ดเต๋ของฉันก็สิ้นสุดลงแค่ที่มันได้เกิดเป็นบักกุ๊ดเต๋ ฉันก็เข้าใจหรอกที่หล่อนปฏิเสธกัน ความผิดฉันเองไม่โทษใคร ทะลึ่งไปชอบเขาอย่างโจ่งแจ้งเอง ถ้าเข้าไปอย่างแนบเนียนก็คงเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกันได้อยู่ หล่อนคงเข้าใจว่าฉันใจง่ายตามประสาวัย ปฏิเสธไปเรื่อยๆ ฉันก็เบื่อเอง

หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นรักแรกของฉัน และมันดำเนินอย่างนั้นมายี่สิบกว่าปี หล่อนอาจเป็นแค่ความทรงจำซื่อบริสุทธิ์ของฉันหรือฝันในบางคืน แต่ในเมื่อฉันต้องกลับมาอยู่บ้านหลังเดิม และหล่อนก็ยังอยู่หลังเดิม ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

จำได้ว่าตอนนั้นฉันยังเด็ก พุงโล ขี้มูกย้อย ขี้ไคลเขรอะ ฉันจำได้ว่ากำลังแคะขี้มูกอย่างมีความสุขอยู่หน้าบ้าน ส่วนหล่อนออกมาทำอะไรสักอย่างที่ฟากตรงข้าม ฉันนึกว่าหล่อนเป็นผู้ชายมาโดยตลอด พอเห็นใกล้ๆ อย่างนั้นก็ตกใจว่าทำไมมีนม ฉันวิ่งเข้าไปจิ้มหน้าอกหล่อน ร้องอย่างตกใจว่า พี่เป็นผู้หญิง ฉันว่าหล่อนก็คงตกใจเหมือนกันและคงโกรธพอสมควร ตอนเด็กฉันไม่น่ารักเลย และหล่อนก็เกลียดเด็กเสียด้วย

หล่อนฝืนยิ้ม ตอบรับว่า ใช่ค่ะ พี่เป็นผู้หญิง คํ่าแล้วยังไม่เข้าบ้านหรือคะ

ฉันพูดต่อ “พี่หนูบอกว่าพี่มีแฟนเป็นผู้หญิง”

หล่อนไม่ตอบ ฉันถามต่อ “ทำไมพี่เหมือนผู้ชาย ทำไมพี่ไม่เหมือนผู้หญิง”

หล่อนไม่ตอบ ฉันพูดต่อ “ผู้หญิงต้องเป็นแฟนกับผู้ชาย”

“หนูรักแม่มั้ย” หล่อนพูดในที่สุด

ฉันเอานิ้วยัดปากแล้วพยักหน้า

“ถ้าแม่หนูตัดผมสั้น หนูยังรักอยู่มั้ย” หล่อนถาม ฉันพยักหน้า ก็ยังไงก็ยังเป็นแม่

“แล้วถ้าแม่หนูไม่มีหน้าอก ไม่ใส่กระโปรง ไม่แต่งหน้า ยังรักอยู่หรือเปล่า”

ฉันไม่เข้าใจ ฉันก็รักแม่ฉันทุกวัน เสาร์อาทิตย์ฉันก็รัก ถามทำไม

“ถ้าแม่หนูมีหนวด มีกล้าม เสียงห้าวเหมือนผู้ชาย ก็ยังรักใช่มั้ย”

ฉันยัดอีกนิ้วเข้าปาก หล่อนพูดต่อ “ยังมีอะไรอีกมากที่เป็นมากกว่าที่หนูเคยเห็น บางครั้งผู้ชายก็เป็นแฟนกับผู้ชาย ผู้หญิงก็เป็นแฟนกับผู้หญิง เพราะว่าเขาก็รักกันเหมือนผู้ชายเป็นแฟนกับผู้หญิง เหมือนที่พ่อแม่หนูรักกัน”

หล่อนมองหน้าฉันแล้วถอนหายใจ กลับเข้าบ้าน ส่วนฉันแคะขี้มูกต่อ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น

หล่อนจำเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ไม่อยากให้จำด้วย เพราะฉันโตแล้ว สวยแล้วด้วย ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอื่นใด นอกจากปรารถนาให้หล่อนมีความสุข ถ้าได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้นก็ดี แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้ามีเรื่องทุกข์ฉันอยากช่วยบรรเทาหรือยืนอยู่ข้างๆ เฉยๆ ก็ยังดี ฉันอาจจะอยากนอนกับหล่อนด้วย แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็แค่นั้น ไม่เห็นต้องตัดรอนกันเลย

หน้าต่างห้องนอนหล่อนมองเห็นได้จากระเบียงห้องนอนใหญ่ที่เคยเป็นห้องของพ่อกับแม่ ฉันอยากย้ายมาอยู่เหมือนกันแต่ทำใจไม่ได้ ความสูญเสียมักยากลำบากเสมอแม้จะผ่านมานาน ฉันแวะหารูปพ่อแม่ในห้องนั้นก่อนนอน และเผื่อถึงหล่อนด้วย เห็นยังเปิดไฟสว่าง จะทำอะไรอยู่คนเดียวก็ไม่อาจเดาได้ อย่างไรคืนนี้ที่หล่อนหลับฝัน ก็ขอให้เป็นเรื่องดี

2. ฉันกำลังนอนกลางวันอยู่ที่โซฟา หล่อนมาตะโกนเรียกหน้าบ้าน แดดเปรี้ยงแสบตาและร้อนระอุ

“ว่างมั้ยแก้ม พี่วานหน่อยได้มั้ย”

ฉันตามหล่อนไปที่บ้าน ยังไม่เคยเข้ามาสักครั้ง มากสุดก็หยุดอยู่ที่พุ่มกุหลาบ เคยลอบมองเข้ามาบ่อยๆ แต่ไม่นึกว่าจะกว้างขวางได้เหมือนกัน

“ตู้เย็นมันเสียแล้ว พี่อยากย้ายไปเก็บของหลังบ้าน แต่คนเดียวพี่ก็ยกไม่ไหว”

“แล้วสองคนจะไหวเหรอพี่ เรียกลุงยามมาไม่ดีเหรอ”

“ตอนขนมาพี่ก็ยกกันสองคนนี่แหละ” หล่อนเว้นวรรค “ดูมันใหญ่แต่ความจริงไม่หนักหรอก”

หนักสิ มันหนักเป็นบ้า เราเคลื่อนมันไปทีละก้าวอย่างทุลักทุเล ชาติหน้าถ้าจะเป็นเกย์ ฉันขอเป็นเกย์ผู้ชาย

“ขอบคุณมากนะ ช่วงนี้รบกวนหลายเรื่องเลย”

ตู้เย็นยังไม่ถึงที่หมาย เราพักครึ่งทาง มือฉันแดงเป็นรอยขอบขาตั้ง

“มีติดต่อมาบ้างหรือยัง”

ฉันส่ายหน้า อุตส่าห์พยายามไม่คิดเรื่องนี้

“ใจเย็นๆ ตอนพี่จบใหม่ๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่พอได้งานก็อยากกลับมาอยู่เฉยๆ ยังไงมันก็ต้องมีสักที่ที่รับเรา มันมีงานอยู่แล้วแค่เรายังไม่เจอ ตอนนี้ก็ถือซะว่าได้ปิดเทอมเป็นครั้งสุดท้าย พักผ่อนสบายๆ ไม่ต้องคิดมาก”

หน้าฉันคงแสดงความรู้สึกเกินจริงไป หล่อนเอื้อมมือมาตบไหล่

“อย่าคิดมาก ตกงานไม่ใช่เรื่องใหญ่ เศรษฐกิจอย่างนี้มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเบื่อๆ ว่างๆ ทำพาร์ทไทม์ไปก่อนก็ได้นี่”

ปัญหาไม่ใช่ไม่มีงาน ปัญหาอยู่ที่ฉันเกรดแย่ คุณสมบัติเบาโหวง ไม่มีความอดทน รักสบาย และ ฯลฯ ฉันไม่อยากคิดตอนนี้

“ป่ะพี่ หายเหนื่อยแล้ว อีกนิดเดียว”

เรามาถึงหลังบ้านในที่สุด แต่ยังตัดสินใจตำแหน่งไม่ได้ หล่อนคะเนพื้นที่พลาด ต้องย้ายกระถางออกหรือยกข้ามไปไว้อีกฟากที่ติดกำแพง

“กระถางกับตู้เย็น แก้มว่าอันไหนหนักกว่ากัน” หล่อนถาม

“ย้ายกระถางดีกว่านะแก้มว่า พี่อยากให้ไว้ตรงนี้แต่แรกก็ให้มันอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวไปไว้ตรงโน้นแล้วพี่ไม่ชอบขึ้นมาก็ย้ายอีกอยู่ดี”

ฉันไม่ได้หงุดหงิดที่มายกของหนัก แค่เผลอคิดไปว่าถ้าวันนี้ฉันไม่อยู่บ้าน หล่อนจะวานเรียกใคร เผลอรู้สึกไปว่าตู้เย็นหลังนี้ต้องอยู่ในที่ที่ฉันยกไปวางเท่านั้น ฉันรีบพูดต่อ

“แต่ถ้าพี่อยากวางตรงโน้นก็ได้นะ แก้มแค่กลัวฝนจะสาด”

“พี่ก็ว่างั้น”

เราช่วยกันดันกระถางออก หันทิศทางตู้เย็นให้ถูกต้อง แต่พอตู้เย็นเข้าที่ กระถางก็เป็นปัญหาอีก หล่อนจะย้ายไปวางหน้าบ้านเพราะมันเกะกะทางเดิน

“พี่ยกตู้เย็นไปซ่อมแล้วเอากลับไปไว้ที่เดิมเหอะ” ฉันพูดจริง กระถางหนักกว่าตู้เย็นอีก “ไม่ก็ทุบทิ้งแล้วเอาแต่ต้นมันไปปลูก”

“พี่ก็คิดมานานแล้วว่าจะเอาลงดิน”

หลังบ้านไม่มีฝ้าเพดาน ไอแดดแผ่มาจากด้านข้าง ยังแผ่เข้าอีกข้างบน ฉันเหงื่อท่วมหน้าและไม่อยากปลูกอะไรทั้งนั้นกลางแดด

“อือ โอเค ทุบกระถางกับเอาลงดินนี่พี่ทำคนเดียวได้ แก้มพักกินนํ้าข้างในก่อนป่ะ”

หล่อนเปิดแอร์ให้ ชงชาใส่นํ้าแข็งให้ ยื่นรีโมตให้ ส่วนตัวเองออกไปขลุกอยู่หลังบ้านต่อ ไม่รู้ว่าหน้าฉันมันแสดงอะไรออกไป ฉันก็ไม่อยากร้อน พอๆ กับไม่อยากให้หล่อนเหนื่อย ฉันเปิดทุกอย่างทิ้งไว้แล้วออกไปช่วย เราทุบกระถางที่เป็นโอ่งมังกรขนาดย่อมๆ จับลำต้นส้มจี๊ดช่วยลากกันไปหน้าบ้าน แต่พอได้สัมผัสแดดไม่ถึงนาทีหล่อนก็ไล่ให้ไปพัก

“เย็นๆ ค่อยว่ากัน แก้มดูทีวีในบ้านไปก่อนนะ พี่จะเลี้ยงส้มตำไก่ย่าง โอเคมั้ย หรืออยากกินอย่างอื่น”

“ได้หมดแหละ พี่จะออกไปข้างนอกเหรอ”

“อือ เอาจักรยานไป ขี้เกียจเอารถออก”

“แดดอย่างนี้เนี่ยนะ”

“แป๊บเดียวเอง ปากซอยตรงนี้แหละ”

“เอามอไซค์แก้มไปเหอะ”

ฉันลุกพรวดพราดไป ไม่หยุดฟังคำรั้งของหล่อน ใส่ทั้งเสื้อแขนยาว ทั้งหมวกกันน็อค หล่อนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่คล่อง ถึงคล่องฉันก็ยืนยันจะไปส่ง

เพิงที่ขายส้มตำมุงสังกะสี ร้อนพอกับยืนตากแดด แต่ลูกค้าก็ยังแน่นร้าน ส่วนแม่ค้ามือตำก็ยังรักษาความเร็วคงที่ ค่อยหั่นมะเขือเทศ ค่อยหั่นถั่วฝักยาว ชิมแล้วชิมอีก

“แก้มอยากเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นมั้ย” หล่อนถาม

“พี่อยากกินส้มตำ ก็ส้มตำนี่แหละ”

ถึงแม้เราจะได้กลับมาเอร็ดอร่อยกันในอุณหภูมิยี่สิบห้าองศาเซลเซียส ฉันก็คิดอยู่ดีว่าจะไม่ไปซื้อร้านนั้นอีกเด็ดขาด และเราก็ไม่ได้ปลูกต้นส้มจี๊ดในเย็นนั้นแต่อย่างไร หล่อนมีธุระที่ต้องรีบออกไป ส่วนฉันกลับบ้านดูโทรทัศน์ช่องเดิม ตามประสาคนไม่มีอาชีพ

ฉันได้แต่หวังว่าตู้เย็นหลังนั้นคงไม่ได้ย้ายไปไหนอีกและต้นส้มจี๊ดยังไม่ตาย

 

3. ฉันไ


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (75 รายการ)

www.batorastore.com © 2024