กัณหาชาลี (โบตั๋น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 90.00 บาท 22.50 บาท
ประหยัด: 67.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าประตูรั้วในยามดึก นางหัทยา เจ้าของบ้านพลิกกาย ยกมืออุดหู ลูกสาวคนเล็กของนางนอนอยู่บนเตียงอีกฟากของห้องงัวเงียลุกขึ้นนั่ง

“ใครมาบีบแตรตอนดึก ๆ ยังงี้นะ” ชุติมาถอนใจ ลุกขึ้นไปดูที่หน้าต่าง

“ใครมากวน ระวังนะ บ้านเรามีแต่ผู้หญิงกับเด็ก ๆ อย่าเปิดประตูง่าย ๆ ล่ะ เดี๋ยวเป็นผู้ร้ายละก็แย่ หนูตามไฟที่ประตูรั้วหรือเปล่า มองเห็นไหมว่าใคร” มารดาเป็นห่วง

“หนูว่าไปรษณีย์นะแม่” แล้วชุติมาก็เปิดประตูออกไป นางหัทยาไม่วายสั่งตามหลังไป

“อย่าเปิดประตูนะ ดูให้แน่ใจก่อน ให้เขาส่งข้ามรั้วมาให้นะ ส่งอะไรกันตอนดึก ๆ”

เสียงไปรษณีย์พูดดังจนได้ยินเข้ามาในบ้าน

 

 

 

“โทรเลขด่วนคร้าบ โทรเลขด่วนจากต่างประเทศ รับ

ด้วย”

นายหัทยาสะดุ้ง ลุกขึ้นเปิดไฟใหญ่ เสียงกุกกักใน ห้องนอนห้องที่อยู่ติดกัน ลูกสาวใหญ่คงจะตื่นเพราะเสียงของบุรุษไปรษณีย์เหมือนกัน ชลิดาเปิดประตูห้องออกมา พอดีชุติมารับโทรเลขโดยไม่เปิดประตูตามคำสั่งมารดา หล่อนเขียน ชื่อในใบรับ ส่งคืนบุรุษไปรษณีย์แล้วกลับเข้ามาในบ้าน

“โทรเลขด่วนอะไรยายมา” ชลิดาร้องถาม “ ขอดูหน่อยซี ชาลีส่งข่าวอะไรมาละมัง แหม ร้อนรนอะไรนักหนา ถึงต้องส่งเป็นโทรเลขด้วย ทำเอาพวกเราต้องลุกขึ้นมาดึก ๆ ดื่นๆ”

“ก็คงเรื่องใหญ่ละน่า ไม่งั้นใครจะเสียเงินค่าโทรเลขด่วนข้ามทวีปยังงี้ น้องสาวว่า “แต่มาว่าไม่ใช่จากชาลีหรอก พี่ดาดูชื่อผู้ส่งนี่ซี ว้า เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ดูแล้วปวดหัว รู้งี้ ให้พี่ดาเปิดซองโทรเลขดีกว่า เปิดแล้วก็อ่านไม่เข้าใจ”

“ก็น่าจะรู้ โทรเลขด่วนจากต่างประเทศ มันจะเป็น ภาษาไทยได้ยังไง” พี่สาวรับให้โทรเลขมาอ่าน หล่อนขมวดคิ้ว เข้าหากัน “คนส่งชื่อ วิวัฒน์ วิวัฒน์นี่เพื่อนชาลีใช่ไหมคะแม่ คนที่ใส่แว่นตา เรียนหนังสือเก่ง ๆ น่ะ เขาได้ทุนไปเรียนอังกฤษ”  “ใช่ แม่จำได้ ชาลีก็คบเพื่อนดีแต่พ่อคนนี้แหละ นอกนั้นแย่ๆ แม่รู้เหมือนกันว่าพ่อคนนี้เขาไปอังกฤษ แม่ยัง เคยฝากฝังเขาให้แวะเวียนไปดูตาชาลีมั่ง คอยเตือนให้ชาลีเรียนหนังสือ”

 

 

 

“คงเรียนร้อก” ชุติมาพูดเสียงสูงเยาะๆ “ว่าแต่วิวัฒน์ เขาส่งข่าวอะไรมา หือ พี่ดา”

“นั่นซี ข่าวด่วนอะไรถึงต้องโทรเลขด่วน” มารดาซักไซ้ ชลิดา อ่านโทรเลขแล้วเงียบไปนาน แม้แสงไฟตรงหน้าห้องนอนจะไม่สว่างนัก แต่ชุติมาก็สังเกตเห็นว่าพี่สาวหน้าเผือดไป “เขาส่งข่าวมาว่า ชาลีประสบอุบัติเหตุ เจ็บหนัก รายละเอียดจะส่งจดหมายเมล์อากาศตามมาให้ทราบในภายหลัง” ชลิดาตอบเสียงเบา หล่อนกัดริมฝีปาก พยายามกลั้นนํ้าตาเพราะที่จริงข้อความในโทรเลขมีใช่เช่นนั้น

ร่างของนางหัทยาทรุดฮวบลง ชุติมารับไว้ทัน พี่สาวทิ้งโทรเลขในมือช่วยชุติมาประคองมารดาไปในห้อง ค่อย ๆ วาง มารดาลงบนเตียง

“แม่เป็นลมไปเสียแล้ว ทำไงดีล่ะ พี่ดา” ชุติมากังวล “หายาหม่องมาทาซี แม่ก็เป็นลมง่ายอย่างนี้แหละ ตกใจง่าย ขวัญอ่อน” หล่อนคว้าพัดมาโบกวีตรงหน้ามารดา น้องสาวไปหายาหม่องมาทาที่ใต้จมูกและขมับของทำน

“พี่ดา ชาลีเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ชุติมาถาม เสียงเบา สีหน้าของพี่สาวบอกให้รู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้น นางหัทยาพลิกตัว ส่งเสียงในคอเบา ๆ “ชาลี ลูกแม่”

“แม่ ชาลีเขาไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะ แค่อุบัติเหตุ ธรรมดาๆ แม่นอนเหอะ อย่าตกใจไปเลย” ชลิดาปลอบมารดา นางหัทยานาตาซึม พลิกกายหันหน้าเข้าฝา ชุติมาจึงดึงมือพี่สาวให้ห่างออกมา

 

 

 

 “มาดูรู้นะ พี่ดา ชาลีตายใช่ไหม” หล่อนคาดคั้น ถามพี่สาว “แต่พี่แกล้งบอกว่าแค่เจ็บหนัก”

ชุติมากัดริมฝีปาก

“พี่พูดปดเพราะกลัวแม่แกจะแย่ ถึงชาลีจะเป็นยังไง แม่ก็รักชาลีมากกว่าลูกทุกคน เหมือนคุณย่านั่นแหละ อะไร ๆ ก็ ชาลี ชาลีทั้งนั้น คนอื่นไม่มีความหมาย แต่พอถึงตอนลำบาก ก็ไม่พ้นน้าเหมสักที”

“พี่หลอกแม่ได้สักกี่วันกันล่ะพี่ดา พอจดหมายของตาวิวัฒน์นั้นมา แม่ก็ต้องรู้ จดหมายเมล์อากาศเดี๋ยวนี้ก็แค่ห้า หกวัน อย่างมากก็เจ็ดวัน”

“ก็ยังดี คือแม่แกรู้ตัวอยู่มั่งแล้ว พอบรรเทาความตกใจไป แต่ถ้าเมื่อกี้พี่บอกว่าชาลีประสบอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต มาไม่คิดเรอะว่าแม่แกจะต้องช็อกแน่ ๆ”

น้องสาวพยักหน้าเห็นด้วย “น้าเหมแกจะว่าไงนะ อยากรู้จัง”

“น้าเหมจะว่าไง ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไปซี หามรุ่ง หามค่ำดึกๆ ดื่นๆ กลับมายังมานั่งทำบทอีก ใครอยากหยุดเวร ก็ฝากน้าเหมไว้ น้าเหมรับทำให้ทั้งนั้น เพราะต้องการเงินมาเลี้ยงลูกสองคน เฮ้อสงสารน้าเหม” ชลิดาถอนใจ

“พี่สงสารน้าเหม มาสงสารน้าเหม แม่ก็สงสารน้าเหม แต่น้าเหมแกไม่เห็นบ่นอะไรสักคำ เห็นหน้าทีไรก็ยิ้ม”

“ยายมาเอ๊ย น้าเหมหน้าแกยิ้มแต่หัวใจแกอาจ

 

ร้องไห้ก็ได้ย่ะ”

 

 
 

“นั่นซี ว่าแต่เราสองคนล่ะ พี่ชายตายกลับมาบ่นสงสารน้าเหม ทำไมไม่ยักกะร้องไห้ให้พี่ชายตัวเอง หือ” ชุติมาถามคำถามประหลาด

 

“มาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าทำไม พี่ไม่อยากเอ่ย ไหน ๆ ชาลี ก็ตายไปแล้ว” ชลิดายักไหล่ สีหน้าของหล่อนดูขมขื่นพิกลเมื่อเอ่ยถึงพี่ชายคนเดียว

“เรื่องศพชาลีล่ะทำยังไง ส่งกลับเมืองไทยละมั้ง หรือ ว่าให้ใครบินไปรับ เขาทำกันยังไงล่ะ” ชุติมาไม่วายห่วง

“พี่ไม่รู้เหมือนกันใครจะบินไปรับมีเงินค่าเรือบินเรอะ จะเรียนหนังสือยังไม่มีเลย ถึงชาลีจะมีเงิน ใครจะจัดการเรื่อง เงินก้อนนั่นได้ล่ะ นอกจากมีคำสั่งศาลให้แม่จัดการ เรื่องมันก็ ต้องอีกนาน ตอนนี้พวกเรามีแต่หนี้ อย่างดีที่สุดก็แค่ส่งกระดูกกลับมา เผาเสียที่โน่น”

“อื้อ ประเพณีฝรั่งเขาฝังต่างหาก” ชุติมาคัดค้าน

“พี่ดา พูดออกมาได้”

“พี่พูดความจริงนี่ มา พี่ใจดำ ไม่รักพี่ชาย โกรธเคือง เขาก็จริงอยู่หรอก แต่พี่ก็ไม่เคยแช่งให้เขาตายเลยนะ พี่เพียง

 

 

 

แต่ไม่รักเขา แต่ความจริงมันก็มือยู่ว่าเมื่อชาลีตายแล้ว แม่ย่อมมีสิทธิในเงินก้อนนั้น และพวกเรา พี่ แก ตาชาติ คนนอนขี้เซาก็จะพ้นความลำบากกันทุกคน รวมทั้งน้าเหม เจ้ากุ้งเจ้าก้อยคนนั้นด้วย ฟังดูเหมือนพี่เป็นนางอิจฉาในนิยายวิทยุไหมล่ะ ดีใจที่ชาลีตายเสียได้จะได้เอาเงินมรดกมาแบ่งปันกัน” ชลิดาสีหน้าเคร่งเครียดชุติมาลูบแขนพี่สาวเบา ๆ

“มาเข้าใจพี่ดี มาไม่ได้คิดยังงั้นเลยนะ พี่ดา พี่ดาไปนอนเสียเหอะ มาก็จะนอนมั่งละ แหมเจ้าชาติตัวดีนะ มันนอนห้องนอกสุดเลยแต่ไม่ยักกะได้ยินเสียงไปรษณีย์ ป่านนี้ ยังหลับอยู่ได้ พอหลับละเหมือนตาย เป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน แต่อาศัยอะไรไม่ได้เลย”

“เขาเพิ่งอายุสิห้านะจ๊ะ จะให้เขารับผิดชอบอะไร

นักหนา”

“สิบห้า แต่ตัวโตยังกะยักษ์โตกว่าพวกเราอีก” ชุติมา อดขัดพี่สาวไม่ได้ “พี่ดาไปนอนเหอะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอก มาดูแม่เอง เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะตื่นสายไปทำงานไม่ทันหรอก”

“งานเรอะ เบื่อจะตาย ถ้าไม่จนใจอยากได้เงินเดือน เขาละก็ พี่ออกเสียนานแล้ว วันๆ นั่งพิมพ์แต่หนังสือ ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยหน้า แต่ก็ดีกว่าไม่มีงานทำนะยายมา” ชลิดาถอนใจ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องนอนของตน แล้วปิดประตู ชุติมายืนมองตามอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นพี่สาวดับไฟเข้านอนแล้ว แม่ก็นอนเงียบคล้ายหลับสนิท หล่อนก็ย่องออกไปที่ห้องด้านนอก บ้านของหล่อนเป็นตึกเก่าๆ ชั้นเดียวมีห้องสามห้อง ห้อง

 

 

 

นอกเป็นทั้งห้องรับแขกนั่งเล่น ทำงาน กินข้าว สารพัด ด้านที่ติดกับครัวยังเป็นที่นอนของชายชาติ น้องคนเล็กด้วย เขาปูที่นอนนอนกับพื้น กลางวันก็ยกที่นอนหมอนมุ้งไปเก็บไว้ใน ห้องพี่สาวใหญ่ ชลิดานอนคนเดียว มีห้องส่วนตัวก็จริงแต่ห้องของชลิดาก็เล็กมาก ห้องนอนของชุติมากับแม่กว้างกว่าเกือบเท่าตัว ชลิดาทำงานแล้วหล่อนต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง ชุติมาเดินไปที่โต๊ะเล็กข้างชุดรับแขกหวายเก่า ๆ โต๊ะ นั่นวางโทรศัพท์ หล่อนไม่เปิดไฟเพราะแสงจากดวงไฟที่ประตูรั้วส่องเข้ามาถึง ชุติมายกหูโทรศัพท์ขึ้นหมุนหมายเลขอย่างรวดเร็ว หมายเลขโทรศัพท์นั่นหล่อนจำได้ดี

“น้าเหมเหรอ นอนแล้วยัง มากวนหรือเปล่านี่ อ๋อ เพิ่งกลับจากทีวีเหรอ นั่นซี มาก็นึกแล้วว่าคงยังไม่นอน มามีข่าวจะบอกน้าเหมนะ เรื่องด่วนจี๋เลย สำคัญซี่น้าเหม” ชุติมา พูดเป็นระยะเพื่อรอฟังคำตอบของน้าชาย“นี่นะ น้าเหมเพื่อนชาลีเขาส่งข่าวมาจากอังกฤษว่าชาลีประสบอุบัติเหตุถึงตาย พี่ดาเขาบอกแม่ว่าชาลีเพียงแต่เจ็บหนัก น้าเหม เป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมเงียบไปล่ะ”

ชุติมาตกใจเล็กน้อยเพราะเสียงคล้ายผู้ที่ตนเจรจาด้วยทำของตก คงจะหูโทรศัพท์หลุดจากมือด้วยความตกใจในข่าวที่ได้รับทราบกลางดึก ครู่หนึ่งต่อมาเสียงของน้าเหมก็ดังมาตามสาย

“แล้วเรื่องศพจะจัดการยังไง” เสียงของน้าชายสั่น

เล็กน้อย

 

 

 


“มาก็ไม่รู้ ทางคนส่งข่าวเขาบอกว่าจะจดหมายส่ง ตามมาคงอีกสองสามวันนี้แหละ น้าเหมว่าเขาจะส่งศพหรือส่งกระดูกกลับมา หรือว่าต้องมีใครไปรับศพกลับ”

“ยายมา เธอยังไม่รู้อะไร เรื่องศพชาลีน่ะทางอังกฤษคงมีคนจัดการให้หรอก เพราะน้ารู้อะไรมาอย่างหนึ่งหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกพวกเธอ” เสียงตามสายสะท้าน

“เรื่องอะไร น้าเหมบอกมาได้ไหม” หลานสาวรุกเร้า “บอกก็ได้ คือน้าได้ข่าวมาว่าเมื่อต้นเดือนก่อน ชาลีแต่งงานกับผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่นั่น จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายด้วย เขาจดกันที่สถานทูต ชาลีแต่งงานได้เดือนหนึ่ง ก่อนประสบอุบัติเหตุถึงตาย” เสียงของเหมชะงักไป “น้าคิดว่าจะบอกพวกเธอในวันหยุดพักของน้า จะพากุ้งกับก้อยไปเล่นที่บ้านเธอก็มะรืนนี้ พอดีได้ข่าวร้ายจากเธอ เมียเขาคงจัดการศพชาลีได้ จะส่งกลับหรือว่าจัดการทางโน้นก็ต้องเป็นสิทธิของเขาละ ทางเราเห็นจะเกี่ยวข้องไม่ได้ ไม่มีปัญญาบินไปจัดการถึงอังกฤษหรอก เงินไม่มี”

ชุติมาอึ้งไปนาน ข่าวใหม่นี้ทำให้สมองของเธอสับสน

อึงอลยิ่งกว่าข่าวแรกเป็นไหน ๆ หล่อนกล่าวคำสวัสดีกับน้าชาย แล้ววางหูโทรศัพท์ลง นั่งงงอยู่นานก่อนจะรวบรวมกำลังลุกไปนอน ชุติมานอนไม่หลับเกือบตลอดคืน ในสมองมีแต่ประโยคที่ว่า ชาลีแต่งงานแล้ว ชาลีแต่งงานแล้ว โธ่เอ๋ย พี่ชลิดาของน้องน่าสงสารเสียจริงๆ

 

 

 

 

จดหมายของวิวัฒน์มาถึงหลังการรอคอยอยู่ห้าวัน นางหัทยาไม่ทราบว่าจดหมายมาถึงแล้ว เพราะบังเอิญนอนหลับพักผ่อนตอนบ่าย ชลิดาจึงเปิดออกอ่านกับน้องสาวและ น้าชายซึ่งพากุ้งกับก้อยมาเล่นที่บ้าน เด็กชายหญิงสองพี่น้องไปเล่นขุดทรายกันง่วนอยู่หลังบ้าน ปล่อยให้บิดานั่งคุยกับสองสาว

“เรียนคุณน้าที่เคารพ

คุณน้าคงทราบเรื่องชาลีแล้วจากจดหมายฉบับแรก แต่ผมยังไม่ได้บอกรายละเอียดให้คุณน้าทราบ ชาลีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึงแก่กรรมมาหลายวันแล้วขณะนั่งรถโดยสารจะไปสนามบิน ชาลีไม่ได้บอกใครเลยว่าเขาจะเดินทางไปไหน เขาไปเงียบ ๆ แต่ในหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสาร

 

 

 

 

 

เครื่องบินปรากฏหลักฐานว่าเขากำลังจะเดินทางไปสหรัฐฯ ตามลำพัง

ที่ผมว่าตามลำพังเพราะว่าชาลีมีได้พาภรรยาที่เพิ่ง แต่งงานได้เดือนเศษไปด้วย ผมไม่ทราบว่าคุณน้ากับน้อง ๆ ทราบเรื่องชาลีแต่งงานแล้วยัง ชาลีเอาเสื้อผ้าไปด้วยไม่มาก กระเป๋าเดินทางใบเดียวไม่ใหญ่นัก ไม่มีใครทราบว่าเขาจะไปสหรัฐฯทำไม แม้ภรรยาของเขาเองก็ไม่ทราบ

คุณกรรณาภรณ์ ภรรยาของชาลีเป็นคนสวย บิดาของเธอทำงานเป็นโฆษกวิทยุบีบีซีภาคภาษาไทยอยู่ที่นี่ คุณกรรณ์เคยฝึกงานโฆษกวิทยุอยู่บ้างเหมือนกัน เธอได้พบชาลี เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง และเกิดรักใคร่ชอบพอกัน จึงแต่งงานกันเมื่อเดือนก่อน หลังการแต่งงานบิดาของเธอก็เดินทางออกจากอังกฤษ ไปทำงานวิทยุภาคภาษาไทยที่ออสเตรเสีย เธอไม่มีแม่คุณกรรณ์ย้ายมาพักอยู่กับชาลี

เมื่อทราบข่าวชาลีถึงแก่ชีวิต คุณกรรณ์ตกใจจนล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล ผมไม่ได้บอกเธอเรื่องที่ชาลีกำลังจะไปสหรัฐฯ เธอเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน ผมคิดว่าทางบ้านของชาลีคงไม่อาจบินมาจัดการศพชาลีได้ ทางนี้จึงให้คุณกรรณ์ตัดสินใจแต่ผู้เดียว เธอขอให้เผาเขาเสียและนำกระดูกใส่โกศเล็กๆ มอบให้แก่เธอ เธอจะนำกลับมาเมืองไทยเอง

คุณกรรณ์อาจจะนำชาลีมามอบให้คุณน้าก็เป็นได้ หรือเธออาจจะเก็บไว้เอง ผมยังไม่ได้ถามเธอ แต่เมื่อผมไปหาเธอที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้พบ เธอทุเลาอาการป่วยและกลับไป

 

 

 

ที่พักของเธอแล้ว ผมตามไปเยี่ยมเธอที่ห้องพักก็ไม่พบ เธอย้ายออกไปแล้ว อาจเป็นได้ว่าเธอจำเป็นต้องย้ายไปพักห้องชุดที่ราคาถูกกว่านั้น ผมกำลังตามหาเธออยู่ ไม่ทราบว่าเธอย้ายไปอยู่ไหนหรออาจจะเตรียมตัวกลับเมืองไทยก็ได้ เพราะเธอก็เรียนจบแล้ว เธอยังอยู่อังกฤษก็เพราะแต่งงานกับชาลี เธออาจจะไปออสเตรเลียหาบิดาของเธอก็เป็นได้

ผมทราบดีว่าคุณน้าจะต้องพบกับคุณกรรณ์สักครั้ง เพื่อตกลงเกี่ยวกับสิ่งที่ชาลีทิ้งไว้เบื้องหลังเพี่อไม่ให้เกิดปัญหา ในภายหน้า ผมได้ส่งหลักฐานการสิ้นชีวิตของชาลีมาให้ด้วย พร้อมจดหมายนี้ คุณน้าจะได้นำไปใช้ทางด้านกฎหมาย อาจจะต้องรอคุณกรรณ์ แต่ผมเกรงว่าเธอจะไปออสเตรเลียเสีย จึงส่งที่อยู่ของบิดาเธอมาให้ด้วย ขอให้คุณน้ากับน้องติดต่อเธอเอง ถึงอย่างไรเธอก็ต้องแจ้งให้บิดาทราบถึงที่อยู่แน่นอนของเธอ ผมคิดว่าคุณน้ากับคุณกรรณ์คงไม่มีปัญหากัน เพราะเท่าที่ผมรู้จักคุณกรรณ์เป็นคนน่ารักมากและมีน้ำใจดี ผมขอแสดงความเสียใจด้วยที่คุณน้าต้องเสียชาลีไป

ขอแสดงความเคารพอย่างสูง
วิวัฒน์ ตั้งจิตทำดี”

ชลิดาอ่านแล้วก็ส่งจดหมายให้ชุติมา ชุติมาอ่านจบแล้วก็ส่งให้เหม สองสาวถอนใจเฮือก เหมเองอ่านแล้วก็วางจดหมายลง

 

 

“เราจะบอกแม่ยังไงดี” ชุติมาเอ่ยขึ้นก่อน “มานึกภาพไม่ออกเล้ย แม่คงลมจับแล้วจับอีก หรือว่าเราจะไม่บอก บอกว่าชาลีค่อยยังชั่วแล้ว”

“ไม่ได้หรอกยายมา” น้าชายคัดด้าน สีหน้าครุ่นคิด “ต้องให้รู้เพราะแม่เธอจะต้องจัดการเรื่องมรดกคุณย่า เธอสองคนเป็นน้องทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีคำสั่งศาล”

“ดาก็ว่างั้น แม่ไม่ใช่คุณย่านี่จะได้ยอมรับความเป็นจริงไม่ได้ ต้องให้แม่รับรู้และรีบติดต่อยายอะไรนะ พี่สะใภ้เราน่ะกรรณาภรณ์ ฮึ ยายนี่กินผัวนะ แต่งงานแค่เดือนกว่าชาลีก็ตาย” ชลิดาเหยียดริมฝีปากคล้ายจะหยามผู้ที่หล่อนเอ่ยถึง “วิวัฒน์เขาว่าสวยนัก น่ารัก มีนํ้าใจดี เธอเชื่อมั้ยยายมา”

“เขาอาจจะดีจริงก็ได้” ชุติมามองโลกในแง่ดี “เราอย่าไปคิดว่าเขาจะร้ายก่อนจะได้พบตัวเขา”

“แต่เงินมันไม่เข้าใครออกใครนะ ชุติมา” พี่สาวพูดเสียงแข็ง

“เขาไม่ได้จนนะ พ่อเขาทำงานโฆษกอยู่เมืองนอก คงมีเงินแยะหรอก ไม่ใช่ผู้หญิงกระจอกๆ เป็นนักเรียนนอก” ชุติมาคัดค้าน “แต่ถึงเขาจะงก เขาก็เอาไปหมดไม่ได้ไม่ใช่หรือ ใช่ไหม น้าเหม แม่เรามีสิทธิเป็นผู้รับมรดกของลูกชายเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นของเมียหมด”

“ถ้าเขาจะเอาก็อาจจะต้องฟ้องร้องกัน ไม่แน่หรอกพี่น้องกันแท้ ๆ เขายังฟ้องกันเพราะเรื่องมรดกเลย นี่เขาเป็นคนอื่น เป็นสะใภ้ แต่งงานกับชาลีได้เดือนเดียว จะมาชุบมือเปิบเอาไปหมดก็คงต้องมีเรื่องกันละ

 

 

 

ฮึ เดือนเดียวเท่านั้นเอง มันอะไรกันนะ คนอย่างชาลีน่ะชอบผู้หญิงสวยเซ็กซี่ พี่ไม่ยักจะค่อยเชื่อว่ายายกรรณาภรณ์คนนี้แกจะน่ารักจริงอย่างนายวิวัฒน์ว่า อาจจะเป็นพวกพั้งก์ใส่ตุ้มหูทีห้าคู่ก็ได้”

“ดา ยังไม่เห็นเขาอย่าเพิ่งวิจารณ์เลย” น้าชายปราม “โธ่ น้าเหมก็ น้าเหมไม่รู้จักชาลีรึ ชาลีเป็นไงเราก็รู้กันอยู่” ชลิดาเถียง “ชาลีเลือกผู้หญิงเป็นด้วยหรือ ดูยายจำนรรจ์ ซี”

“เรียบร้อยอาจจะไม่มีน้ำใจ ไม่เรียบร้อยอาจจะมี น้ำใจก็ได้ เรื่องทำทางนี่อย่าเอามาวัดอุปนิสัยใจคอกันเลย ชาลีชอบผู้หญิงสวยอวบอิ่ม เขาอาจจะเป็นพั้งก์หรือไม่เป็นก็ได้ทั้งนั้น พวกฮิปปี้ก็อาจจะมีคุณธรรม มีอุดมคติ พวกพั้งก์ อาจจะนิสัยดี เพียงแต่เขาแต่งตัวตามแฟชั่นเท่านั้น ยิ่งถ้าเขาเป็นพั้งก์เป็นฮิปปี้ เขาไม่สนใจเรื่องเงินหรอก ชอบทำอะไรตามใจชอบมากกว่า เราอย่าเพิ่งไปว่าเขาเลย”

ชลิดาทำปากยื่นไม่พอใจ

“อ๋อ นี่แสดงว่าดามันไม่ดี มองคนในแง่ร้ายน่ะซี คิดอะไรเหมือนละครวิทยุ ใช่ไหมล่ะ”

“ชลิดา น้าไม่ได้ว่างั้น น้าก็รู้ดีว่าดาเคยเสียใจมาเพียงใด ถ้าตอนนั้นน้ามีรายได้เท่าเดี๋ยวนี้ น้าจะไม่ให้ดาต้องผิดหวังเลย” เหมมองหลานสาวอย่างปรานี เหมอายุไม่ห่าง จากหลาน ๆ นัก เพิ่งย่างสามสิบแก่กว่าชาลีหลานคนโตเพียงห้าปี เคยเป็นพี่เลี้ยงและเพื่อนเล่นของชาลีมาตลอด เหมเป็นน้องต่างมารดาของนางหัทยาอายุอ่อนกว่าพี่สาวมากพอจะเป็นลูกชายคนโตได้

 

หัวหน้ากระดาษ.jpg

 

แม่ของเหมอายุน้อยกว่านางหัทยาหลายปีด้วยซ้ำไป

ชลิดาเมินหน้าไปทางอื่นน้ำตาคลอ “ขอบคุณค่ะ น้าเหม น้าดีกับพวกเราเสมอ ที่จริงน้าเหมไม่ต้องเสียสละถึงเพียงนี้เลย”

“คุณย่ากับแม่ของเธอเลี้ยงน้ามาตั้งแต่เล็ก ลำพังแม่ของน้าไม่มีปัญญาเลี้ยงน้าได้ดีอย่างนี้หรอก น้ายินดีจะทดแทนพระคุณของท่านเท่าที่จะทำได้” ดวงตาของเหมสลด มองกุ้งและก้อยวิ่งไล่จับกันหัวเราะเสียงดัง “น้ายังไม่อาจทำได้มาก อย่างที่อยากจะทำ น้าอยากให้ดาได้เรียนต่อ แต่เวลานั้นน้าก็ทำไม่ได้เพราะต้องเลี้ยงเจ้าสองคนนี่”

“น้าเหมรับภาระไปมากพอแล้วค่ะ ดาปลงเสียแล้วเรื่องเรียนต่อ นอกเสียจากว่าเราจะได้เงินของชาลีมา ดาถึงจะลองไปสอบเข้าใหม่ แต่อาจจะสอบไม่ได้หรอกเพราะทิ้งมาตั้งหลายปีแล้ว มานั่งพิมพ์ดีดก๊อกแก๊กทิ้งวัน”

“ดาเริ่มเรียนพิเศษได้แล้ว น้าอยากให้ดามีความหวัง น้าไม่คิดว่าเมียของชาลีจะเป็นคนใจดำ เขาคงไม่คิดจะมีเรื่องถึงศาลหรอก อย่างมากเขาก็เอาสิทธิที่เขาจะได้ไปเท่านั้น ส่วนของแม่เธอคงพอจะให้เธอกับน้องเรียนหนังสือต่อ แล้วก็ ไถ่ถอนบ้านหลังนี้” น้าชายพูดเสียงนุ่มนวลอย่างปลอบประโลม “ถ้ามีปัญหาอะไรน้ายินดีจะช่วยเสมอ อย่าลืมว่าเธอยังมีน้าเหม น้าบอกให้ดาไปสอบเรียนต่อตั้งแต่ปีที่แล้ว ดาก็ไม่ยอม”

 

 

“ดารบกวนน้าเหมอีกไม่ได้หรอกค่ะ น้าเหมต้องเลี้ยงกุ้งกับก้อยอยู่แล้ว ค่าเล่าเรียนเด็กเล็กๆ สมัยนี้แพงหยอกใคร ดาทำงานก็มีเงินเดือน ใช้กันกับยายมาตาชาติได้ บำนาญของพ่อส่งดอกเบี้ยค่าบ้าน เงินเดือนแม่เป็นค่ากินอยู่ เราก็อยู่กันไปได้ ที่จริงบ้านหลังนี้หลุดแล้ว แต่คนรับขายฝากเขาสงสารเรา เลยไม่ยึด ยอมให้ยืดเวลาไปอีกปี เขาเอาแต่ดอกเนี้ยอย่างเคยแต่ดอกเนี้ยแต่ละเดือนก็ไม่ใช่น้อยแล้วล่ะค่ะน้าเหม มีคนเขาจะไถ่บ้านให้ดา ดาก็ลังเลอยู่นี่”

“อย่าเชียวนะ ชลิดา ตัวเธอมีค่ามากกว่านั้น อย่าให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต” เหมคัดด้าน “อย่าเอาตัวเข้าแลก ถ้าดาจะรักจะชอบใคร อยู่กับใครก็ให้เป็นไปเพราะความรัก ไม่ใช่เพราะต้องการเงิน เธอจะรู้สึกว่าตัวเองหมดค่า ชีวิตหมดความหมาย ค่อยๆ คิดไปดีกว่า ถ้าบ้านนี้มันหลุดจริงๆ ก็ย้ายไปอยู่บ้านน้า คับแคบไปหน่อยก็ยังดีกว่าคิดขายตัว อย่าตัดอนาคตตัวเองนะดา”

“พี่ดาเขาโกรธโลกโกรธสังคม”ชุติมาเอ่ยขึ้นบ้าง “วันนั้นเขาอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นว่ารายได้พวกหมอนวดชั้นเยี่ยม เดือนหนึ่ง ๆ ได้สามสี่หมื่น อย่างรอง ๆ ได้เป็นหมื่น ขนาด สั่วๆ ยังเดือนหนึ่งห้าหกพัน พี่ดาเขาเจ็บใจใหญ่ บอกว่านั่งพิมพ์ดีดหลังขดหลังแข็งได้เงินเดือนไม่ถึงสองพัน ขนาดทำล่วงเวลาด้วยยังได้แค่สองพันกว่า ต้องประหยัดกันตัวโก่ง ชาลีได้ไปเรียนเมืองนอกทั้งที่เรียนไม่เอาไหน มีสมบัติเป็นล้าน เราสามคนเหมือนไม่ใช่หลานคุณย่า ชาลีเป็นหลานคุณย่าคนเดียว

 

 

ลำพังทองคำที่คุณย่าสะสมไว้ก็เกือบล้านแล้วมัง เงินสดอีก ตึกแถวที่ดินอีก ชาลีได้คนเดียว”

“พอชาลีตาย สมบัติพวกนี้ก็จะเป็นของเมียเดือนเดียวของชาลีเขา” ชลิดากัดริมฝีปาก “ดาไม่ได้อยากได้ใคร่ดี ของพวกนี้หรอกค่ะ ดาขอแค่เรียนต่อเท่านั้น จบแล้วดาก็หาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ดาอยากให้น้องได้เรียนดี ๆ ด้วย แล้วก็กุ้งกับก้อย”

“กุ้งกับก้อยเป็นลูกน้าเหม น้าเหมเลี้ยงเองไม่ต้องห่วง” น้าชายพูดเสียงหนักแน่น

“น้าเหมคะ ดาว่ามันไม่ยุติธรรม...” ชลิดาพูดไม่ทันจบเหมก็พูดแทรกขึ้นด้วยเสียงดังกว่าเดิม “กุ้งกับก้อยเป็นลูกน้า”

“พี่ดาคะ เราอย่าคิดล่วงหน้าเลย ตอนนี้เราควรจะบอกแม่มากกว่า แม่ออกมานั่นแล้วไง” ชุติมาพยักพเยิดให้พี่สาวมองไปทางประตูบ้าน

จะกินกวยเตี๋ยวกันยังจ๊ะ” มารดาร้องถาม ชลิดา เพ่งมองร่างบอบบางของมารดา แม่ทำงานหนักเกินไป งานพยาบาลสำหรับผู้หญิงวัยเกือบห้าสิบนั้นไม่ใช่เบา บางครั้งเข้าเวรกลางคืนต้องอดหลับอดนอนด้วย หล่อนอยากให้มารดา ออกจากงานมาอยู่บ้านเฉย ๆ แต่ก็ไม่อาจทำได้ด้วยปัญหาเศรษฐกิจ

“แม่จะลงมือผัดแล้วนา จะได้ร้อนๆ ถามเจ้ากุ้งเจ้าก้อยซิ มันจะกินก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหรีอผัดซีอิ๊ว” นางหัทยาถาม

 

 

อีก เหมตอบแทนเด็ก ๆ

“สองคนนั่นชอบราดหน้า น้ำเหลว ๆ หน่อย”

“แต่พี่ไม่ยักชอบราดหน้า ชอบผัดแห้ง ๆ มากกว่า” นางหัทยายิ้มแล้วถอยกลับเข้าไปในบ้าน คงจะเข้าไปจัดการผัดก๋วยเตี๋ยวในครัว

“ให้แม่กินเสียก่อนค่อยบอก ไม่งั้นเดี๋ยวจะพาลไม่ได้กิน” ชุติมาเตือนพี่สาวกับน้าชาย

“น้าก็ว่างั้นแหละ บอกตอนนี้พอดีลมขึ้น นี่เพิ่งหายซึมไม่ใช่เรอะ”

ชลิดาพยักหน้า “ซึมอยู่สองวัน บ่นว่าชาลีจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ชาลีนี่เขาเสน่ห์แรงนะ จะทำตัวยังไงๆ คุณย่าคุณแม่ก็รัก ผู้หญิงก็ตามเป็นพรวน”

“เขารูปหล่อนี่ไม่ขี้เหร่เหมือนน้า” เหมพูดยิ้ม ๆ “ปากหวานด้วย เอาใจคนเก่ง แต่ก็เอาใจเฉพาะคนอื่นหรอกนะ เอาใจผู้หญิง เอาใจคุณย่า ส่วนน้องๆ สายตาไม่เคยแล”

เหมถอนใจ จริงของชลิดาทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่ปรารถนา ให้หลานสาวเก็บความเจ็บช้ำน้ำใจไว้นานถึงเพียงนี้

“ไหนๆ เขาก็ตายไปแล้ว อโหสิให้เขาเสียเถิด ชลิดา” “ดาจะพยายามค่ะ น้าเหม” หญิงสาวตอบ ริม ฝีปากสั่นน้อยๆ

 

 

 

เสียงที่ดังมาตามสายโทรศัพท์นั้นหวานใสและเบาหวิว

แต่ชลิดาได้ยินชัดเจนทุกคำ

         “บ้านคุณแม่ชาลีใช่ไหมคะ ดิฉันกรรณาภรณ์ค่ะ ทราบมาว่าคุณแม่ท่านมีธุระอะไรจะหารือด้วยหรือคะ”

“แม่ไม่อยู่ค่ะ เข้าเวรที่โรงพยาบาล ฉันเป็นน้องของชาลีคนโต” ชลิดาพยายามบังคับไม่ให้เสียงของหล่อนห้วนจนเกินไป

“ค่ะ คุณพ่อแจ้งมาให้ดิฉันทราบว่าทางนี้มีอะไรจะหารือด้วยหลายสัปดาห์แล้ว แต่ดิฉันเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยไม่กี่วันนี้เอง” เสียงนุ่ม ๆ อธิบาย “ไม่ทราบว่ามีอะไรสำคัญด่วนหรือเปล่าคะ”

“แม่จะหารือเรื่องมรดกของชาลีกับเรื่องโกศอัฐิ แม่อยากได้กระดูกชาลีไว้

 

 

 
 

 

 

 

 

“มรดก” สุ้มเสียงออกจะตกใจเล็กน้อย “มรดกอะไร” “คุณไม่ทราบหรอกหรือคะ ชาลีเขามีมรดกเยอะ คิดแล้วก็สักสองสามล้านกระมัง คุณย่าฝากไว้ในธนาคารให้เขามีเงินสด ทองคำ แล้วก็ตึกแถวกับที่ดินอีกสิบกว่าห้อง”

“ดิฉันไม่ทราบมาก่อนเลยว่าชาลีมีเงิน ตอนพบกันที่อังกฤษ ชาลีเอ้อ...ปอนมาก...เขาไม่เคยพูดเรื่องเงินทองอะไรเลย”

“ชาลีเขาได้มรดกคุณย่าคนเดียว ได้ทั้งหมดแหละ คุณย่าไม่ได้ให้หลานคนอื่นๆ เลยสักบาทใครจะเป็นจะตาย จะไม่ได้เรียนต่อ บ้านจะหลุดขายฝากท่านไม่สนใจทั้งนั้น ท่านให้ชาลีคนเดียว” น้ำเสียงของชลิดาห้วนและขมขื่น “ชาลีจะมีสิทธิเป็นเจ้าของเงินได้เต็มที่เมื่ออายุครบยี่สิบห้า  ท่านระบุไว้ยังงั้น แต่เขาตายเสียก่อนจะอายุครบได้ใช้เงินก้อนนั้น เขาถึงได้ปอนไปหน่อยอย่างคุณว่า แม่ถึงอยากพบคุณ แม่ไม่อยากให้มีเรื่องถึงศาล แม่จะไปยื่นคำร้องขอจัดการมรดกก้อนนี้ถึงอยากพบคุณก่อน ตกลงกันเสียให้เรียบร้อย”

“ดิฉันเข้าใจแล้ว ดิฉันแต่งงานกับชาลีได้เดือนกว่าเท่านั้นชาลีก็เสีย ดิฉันไม่คิดว่าดิฉันจะมีสิทธิในมรดกของคุณย่า” “คุณมีสิทธิตามกฎหมาย”

“ค่ะ ใช่ แต่มันไม่ยุติธรรม ชาลีมีแม่มีน้อง มรดกของคุณย่าจะให้ชาลีก็จริง มันควรจะเป็นของน้อง ๆ ของชาลี

กล่องข้อความ: มากกวา

“คุณพูดจริงเหรอ” ชลิดาแทบไม่เชื่อหูตนเอง

 

 

“ที่ว่าไม่เอาน่ะ”

“ดิฉันอยากทราบเพียงว่าบ้านที่ชาลีเคยอยู่เมื่อก่อน รวมอยู่ในกองมรดกนี้ด้วยหรือเปล่าคะ”

“รวมอยู่ด้วยเพราะมันอยู่หลังตึกแถวที่ดินแปลงเดียวกัน โฉนดเดียวกัน”

“เวลานี้ใครอยู่บ้านหลังนั้นคะ”

“ให้เช่าค่ะ ชาลีเขาใช้เงินค่าเช่าบ้านนั่นไงคะ นอกนั่นคุณย่าให้เก็บไว้ตอนเขาอายุครบยี่สิบห้า ค่าเช่าบ้านกับค่าเช่าตึกแถวเดือนหนึ่งไม่มากเท่าไหร่ ชาลีเลยอยู่อังกฤษอย่างคนจนหน่อย”

“ดิฉันไม่ต้องการจะชุบมือเปิบเอาสมบัติของชาลีเลย แต่ดิฉันอยากได้อะไรสักอย่างไว้เป็นที่ระลึกถึงเขา ถ้าทางคุณไม่คิดว่ามันมากเกินไปที่ดิฉันจะขอบ้านหลังนั้น...”

“ไม่มากเกินไปหรอกค่ะ คุณกรรณาภรณ์” ชลิดารีบบอก หล่อนไม่คิดว่าพี่สะใภ้เดือนเดียวของหล่อนคนนี้จะมักน้อยถึงเพียงนั้น “บ้านมันเก่าแล้วด้วยซ้ำ แต่โฉนดมันใบเดียวกับตึกแถวสิบกว่าห้องนั่นค่ะ ฉันคิดว่าคุณเอาตึกแถวนั่นไปด้วยก็ได้”

“ไม่ละดิฉันไม่อยากยุ่งกับพ่อค้า ไม่อยากได้ตึกแถว ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น นอกจากบ้านที่ชาลีเคยอยู่ ให้คุณแม่ไปยื่นคำร้องต่อศาลจัดการมรดกของชาลีทั้งหมดนั่นเสีย แล้วแบ่งโฉนดที่ดิน ขอบ้านเก่าที่ชาลีเคยอยู่ให้ดิฉัน เท่านั้นก็พอแล้วค่ะ”

 

 

 

“บ้านมันเก่ามากแล้วนะ ถ้าคุณเห็นบ้านแล้วจะคิด เสียดายอย่างอื่นทีหลัง”

“ดิฉันจะซ่อมแซมไว้อยู่เอง ดิฉันไม่มีบ้านในเมืองไทย เรื่องของอื่นดิฉันไม่อยากได้หรอกค่ะ ดิฉันไม่ต้องการจะชุบมือเปิบ ดิฉันต้องการไว้เป็นที่ระลึกถึงชาลีเท่านั้น”

“คุณจะมาพบแม่เมื่อไหร่ล่ะ”

“ดิฉันไม่ไปได้ไหมคะ” เสียงสั่นสะท้านคล้ายจะร้องไห้ “ดิฉันคงอดร้องไห้ไม่ได้ถ้าเห็นหน้าคุณแม่กับน้องๆ ของชาลี จัดการกันไปเถอะค่ะ อีกสักพักดิฉันจะโทรศัพท์มาติดต่อถามเองว่าแบ่งโฉนดได้หรือยัง ถ้าแบ่งเรียบร้อยแล้วดิฉันจะไปรอที่กรมที่ดินเพื่อโอนบ้านหลังนั้น ดิฉันจะได้เข้าอยู่”

“ตอนนี้คุณอยู่ไหนล่ะคะ คุณบอกว่าคุณไม่มีบ้านใน เมืองไทย” ชลิดาถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยด้วยคาดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้ จะดีถึงเพียงนี้ “คุณอยู่กับใครคะ”

“ดิฉันอยู่หอพักค่ะ สบายดี ไม่ลำบากอะไร มีห้องปรับอากาศ มีเพื่อนชาวต่างประเทศ ขอบคุณที่เป็นห่วง อีกไม่กี่วันดิฉันก็จะไปทำงานแล้ว”

“คุณกรรณาภรณ์ทำงานอะไรคะ”

“ดิฉันทำงานบริษัทโฆษณาค่ะ เป็นบริษัทสาขาของ ต่างประเทศ คุณช่วยเรียนคุณแม่ด้วยว่าดิฉันกราบขออภัยที่ไม่ไปพบท่าน คุณคงเข้าใจนะคะ” เสียงเริ่มสั่นอีก “ชาลีกับดิฉันมีความสุขอยู่ด้วยกันเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ดิฉันไม่อาจไปเห็นหน้าท่านได้”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (77 รายการ)

www.batorastore.com © 2024