ฝั่งแสงจันทร์สองทศวรรษ (ประชาคม)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 165.00 บาท 41.25 บาท
ประหยัด: 123.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 คนไร้บ้าน

 

 

โชคมักมาพร้อมเพื่อนเก่า  ความลงตัวและความดีงามของชีวิตมักดาหน้าตามกันมาในห้วงเวลาเช่นนี้  หลังจากที่ผมพบโทนเพียงไม่กี่เดือน  สายกับเชนเพื่อนเก่าของเราก็หวนกลับมาร่วมทางกันอีกครั้ง  พวกเขาทั้งสามคนทำให้ถนนทุกสายในหมู่บ้านชายฝั่งทะเลของผมไม่เปลี่ยวเหงา  และทำให้วงเหล้าเต็มไปด้วยความสนุกสนานครื้นเครง

            เรารื้อฟื้นอดีตสมัยอยู่เรืออวนลากเร่ร่อนไปตามหัวเมืองชายฝั่ง  เปลี่ยนเรือที่ทำงานเป็นว่าเล่น อดและอิ่มมาด้วยกัน  ซาบซึ้งกับวิถีชีวิตที่ดำรงอยู่เพื่อปัจจุบัน  ไม่เคยวาดหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี

            เราหอบเรื่องราวสนุกสนานเล่าสู่กันฟัง  เม็ดผลจากงานหนักซึ่งมีให้เก็บเกี่ยวเมื่อเรือถึงฝั่ง  สถานเริงรมย์แหล่งละลายทรัพย์ตามเมืองต่างๆล้วนเป็นตำนานอันแสนสุข  แต่นั่นเป็นเพียงภาพผ่าน ดำรงอยู่ในความทรงจำของเราได้ไม่นานนัก

            เรามักหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงความเป็นมาของตน  โดยเฉพาะภูมิหลังและบ้านเกิด  เราต่างคิดตรงกันว่าคงไม่มีวันได้หวนกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีก

            “เราเป็นคนไม่มีที่มา”  โทนเป็นเจ้าของคำพูดนี้  เพื่อๆฟังแล้วรีบชูนิ้วให้เขา  แสดงความชื่นชมด้วยสายตา  ออกจะทึ่งอยู่มากที่สมองน้อยนิดของเขาบังอาจคิดถ้อยคำเขื่องโขขึ้นมาได้

            “บ้านของเราอยู่ในกระเป๋า”  นี่เป็นคำกล่าวของเชน  หากใครถามถึงบ้านเกิด เขาจะชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อผ้า  ยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเขาบรรจุอยู่ในนั้น-สำมะโนครัว  สมบัติพัสถาน  ญาติโกโหติกาทุกลำดับชั้นและพินัยกรรมแห่งชีวิตทั้งหมด

            สำหรับสาย หากใครถามถึงบ้านหรือแหล่งพำนักถาวรของเขา  สายจะคลี่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย  ถ้าคนถามเป็นเพื่อนร่วมเรือลำเดียวกัน  เขาจะบอกตามตรงว่าบ้านของเขาอยู่ในซ่องนั่นแหละ จะเลือกนอนห้องไหนล่ะ  บ้านของเขาประดับไฟสีชมพู  เมียน้อยเมียหลวงหลายสิบคนนั่งรอเขาอยู่ในตู้  ล้วนหน้าตาจิ้มลิ้มทรวดทรงอะร้าอร่ามทั้งนั้น  ไม่พอใจคนไหนก็โละทิ้ง  ความน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ตรงที่ทุกๆเดือนมักจะมีเด็กใหม่เพิ่มมาให้เลือก

            บ้านสีชมพูรอคอยพ่อกระเป๋าหนักและแสนดีอย่างสายอยู่ทุกหนทุกแห่ง  ขยายสาขาออกไปทั่วประเทศยิ่งกว่าธนาคาร  ยาวเหยียดอยู่ตามริมทางถนนรถไฟ  ซ่อนตัวอยู่ในตรอกลึกลับหลังสะพานปลา บ้างก็เหมาถนนเล็กๆ ทั้งสายเป็นย่านการค้าเนื้อสดครบวงจร  ทุกแห่งทุกหนพร้อมต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่นและไมตรีจิตงดงามอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากไหนมาก่อน

            สายกับเชนเพิ่งมาออกเรืออวนดำหมู่บ้านแห่งนี้ได้ไม่นาน  ทั้งสองตกที่นั่งเดียวกับผม  กำลังรู้สึกคับแค้นใจต่อความเป็นอยู่  ไม่พอใจคำถามและสายตาของเพื่อนๆ ร่วมลำเรือ  สถานะของคนไร้บ้านกดพวกเขาจมลึกลงในปลักโคลนแห่งความหดหู่  พยายามตะเกียกตะกายหาทางออกเหมือนถีบตัวเองขึ้นมาจากบึ้งเหวลึก

            หลังนั่งรับฟังความทุกข์ใจของเพื่อนๆมาพอสมควร  คืนวันหนึ่งโทนก็โพล่งออกมากลางวงเหล้า

            “กูมีบ้าน”

            ไม่มีใครยอมเชื่อคำพูดนี้ของโทนในทันทีหรอก  เชนแค่ยิ้มเยาะ  สายปล่อยก๊ากอกมาเสียงดั่งสนั่น  ผมเองก็ทั้งยิ้มและส่ายหน้า

            โทนหน้าแดงก่ำ  รู้ตัวว่าพูดผิดไป  เขาโบกมือเป็นเชิงบอกให้เพื่อนๆ สงบปากสงบคำแล้วพูดใหม่

            “กูมีห้องพัก  เป็นบ้านของคนรู้จักกัน  แกเป็นคนใจดีทีเดียว  พวกมึงจะไปอยู่ด้วยก็ไม่น่ามีปัญหา”

            ในบรรดาพวกเราสี่คน  โทนย้ายมาปักหลักหากินอยู่ที่นี่นานกว่าใคร  เรื่องที่เขาพูดจึงพอเป็นไปได้และเป็นเรื่องน่าสนใจที่สุดในยามนี้

            “บ้านใครหรือโทน”  ผมเอ่ยถาม  เชนกับสายปิดปากเงียบลงแล้วแสดงความสนอกสนใจเช่นเดียวกัน

            “บ้านป้าจันทร์” โทนยืดอกขึ้นเล็กน้อย  ปรายตามองเพื่อนๆทีละคน  และเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยท่าทีของคนที่กำลังกุมชัยชนะไว้ในมือ

            “พวกมึงจะไปอยู่กับกูมั้ย”

            เรานั่งเงียบ  เบิกตามองโทนเป็นจุดเดียว ตอนนี้เขาได้กลายร่างเป็นพระเจ้าองค์น้อยๆ ผู้พร้อมจะบันดาลห้องอันอบอุ่นและนำทางเราไปสู่จุดหมายนั้น

            โทนรู้ดีว่าเรามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เขาหัวเราะเบาๆ

            “พวกมึงต้องรอหงายหน้า  รอให้กูพูดกับป้าจันทร์เจ้าของบ้านเสียก่อน”

 

เป็นความต่ำต้อยน่าสังเวชของลูกเรือผู้ไม่มีบ้านจะกลับ ทุกครั้งหลังคิดบัญชีเสร็จ  เดินหันหลังออกจากห้องจ่ายเงิน  ผมมักยืนห่อไหล่มองเพื่อนๆเดินจากไปทีละกลุ่มทีละคนด้วยความรู้สึกยากจะกล้ำกลืน

            เพื่อนคนเรือลำเดียวกันจำนวนเกือบสี่สิบคนล้วนมีห้องหอที่พวกเขาคุ้นเคยรออยู่  หลายคนมีลูกเมียตั้งตารอคอยการกลับ  ตลอดช่วงห้าหกวันที่ไม่ต้องทำงาน  พวกเขาพร้อมเก็บเกี่ยวความสุขความสำราญได้เต็มที่  บางคนมีบ้านอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่  พ่อแม่และญาติสนิทรับขวัญการกลับคืนฝั่งของเขาด้วยรอยยิ้ม  ผลัดกันไต่ถามด้วยสีหน้าแววตาห่วงใย  ลูกชายตัวน้อยวิ่งรี่เข้ามาเกาะแขนซุกใบหน้าอ่อนเยาว์แนบสีข้างของผู้เป็นพ่อ

            แม้หลายคนมีเพียงห้องเช่าแคบในท้ายตรอกสกปรก  ซึ่งจมอยู่ใต้น้ำครำมาตลอดทั้งปี  แต่ยังได้ชื่อว่ามีที่พักพิงส่วนตัว  ต่างกับผมที่ต้องนอนเฝ้าเรืออย่างเดียวดาย  ไม่มีใครรู้เห็นการคืนฝั่ง  ตกเป็นเป้าสายตาดูหมิ่นของเพื่อนๆ

            ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อนหลังจากเคยใช้เรือนอนแทนบ้านมาเป็นเวลานานหลายปี  แต่นั่นเป็นเรืออวนลากและเรือประมงประเภทอื่น  มีเวลาอยู่บนฝั่งเพียงไม่กี่วัน  และไม่มีข้อเปรียบเทียบชัดเจนเหมือนเรืออวนดำ

            เพื่อนๆทุกคนในเรือเหมือนได้ลงหลักปักฐานเป็นปึกแผ่นมั่นคงแล้ว  มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นหลักลอยไม่ต่างเจ้าไร้ศาลเดินกอดความเดียวดายผ่านถนนสายอ้างว้าง  มองเห็นหัวใจของตนค่อยๆ จมดิ่งลงในบ่อโคลนของความทุกข์เศร้า หนาว...เจ็บปวดและไร้ทางออก

            ผมเคยคิดจะหาห้องเช่าเหมาะๆสักแห่งไว้เป็นที่ซุกหัวนอนในช่วงเรือหยุด  และเพื่อให้มันช่วยยกระดับของผมขึ้นเท่าเทียมคนอื่นๆ  ทว่าความตั้งใจนี้พังทลายทุกครั้งที่เงินในกระเป๋าหมดลง  ซมซานกลับมานอนเรือแล้วพร่ำบอกตัวเองว่า  ไม่จำเป็นหรอก  บ้านหรือห้องเช่านั้นเป็นเพียงเปลือกนอก  อาจไม่ใช่ความสุขความภูมิใจที่แท้จริงก็เป็นได้  นอนเรือนี่แหละนะคนจรอย่างเรา  ไม่ต้องเสียค่าเช่าและยุ่งเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายจุกจิก อยากขึ้นฝั่งเที่ยวก็ไสหัวตัวเองไป  อยากกลับเวลาไหนก็แล้วแต่อำเภอใจของตน  เป็นอิสระยิ่งกว่านกในท้องฟ้าเสียอีก

            ความรู้สึกตอนเรือถึงฝั่งใหม่ๆ กับตอนเงินหมดกระเป๋าพุ่งสวนทางกันจนผมสับสน  ต่อมาอีกไม่นานสภาพคนไร้บ้านจิกตีความรู้สึกผมหนักข้อขึ้นทุกที  คล้ายมันพยายามบีบคั้นให้ผมหาทางออกเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีคืน

            บ้านพักคือหนทางเดียวที่จะช่วยให้ผมเงยหน้าสบตากับใครต่อใครได้อย่างเต็มภาคภูมิ  หิ้วกระเป๋าขึ้นฝั่งพร้อมคนอื่นๆ  หวนกลับลงเรืออีกครั้งในวันออกจับปลาน้ำใหม่  ตะโกนทักทายเพื่อนๆเสียงดัง ยึดอกขึ้นพูดว่าผมก็มีบ้าน  ไม่ต้องกลัวคำถามในทำนองว่า เอ็งไม่มีบ้านจะกลับเรอะ  ทำไมไม่หาบ้านเช่าถูกๆสักแห่งหรือ...เฮ้ย...ไอ้เสือ...นอนเรือยุงไม่หามเอาเรอะ

            “บ้านเองอยู่ที่ไหน” เพื่อนๆคงมีคำถามใหม่ทำนองนี้

            “อยู่หลังวัดช่องลม...อยู่ข้างโรงน้ำปลานั่นแหละ  อ้อ...อยู่ติดโรงหนังนั่นไง” หากมีคำตอบลักษณะนี้ได้หัวใจซึ่งห่อเหี่ยวมานานหลายเดือนของผมคงได้อิ่มพองเต็มที่

            “ค่าเช่าเดือนละเท่าไหร่  ห้องกว้างมั้ย  มีห้องน้ำในตัวหรือเปล่า” ใครบางคนอาจระดมคำถามใส่เช่นนี้

            ก่อนตอบคำถามของเพื่อน  ผมจะขยับนั่งตัวตรงแค่นยิ้มและชูคอเล็กน้อย   เปล่งเสียงออกมาเต็มปากเต็มคำและไม่ลืมทำไม้ทำมือประกอบ  จากนั้นก็เป็นฝ่ายย้อนถามบ้างว่าบ้านของเขาล่ะเป็นยังไง  สุมหัวกันกี่คน  ยามนอนกองรวมกันตอนกลางคืนห้องเหลือที่ว่างพอให้มดหายใจหรือเปล่า  คราวนี้แหละที่สายตาเยาะหยันและคำพูดถากถางจะเป็นดาบคืนสนองเขา และพร้อมกันนั้นผมก็จะหยิบยื่นความรู้สึกต่ำต้อยน้อยหน้าซึ่งตัวเองเคยมีส่งคืนให้เขาเป็นฝ่ายรับไป

            ห้องเช่าที่ผมใฝ่หามาตลอดนั้นไม่จำเป็นต้องสวยหรูราคาแพง  ไม่ต้องอยู่ในทำเลธุรกิจสะดวกสบายต่อการสัญจร  ไม่จำเป็นต้องอยู่บนตึกโอ่อ่าสูงหลายสิบชั้น  ถึงแม้เป็นห้องสภาพเก่าโทรมเหนือดงน้ำครำ  ขอเพียงมันช่วยให้ผมไม่ต้องนอนเฝ้าเรือ  ห้องนั้นก็มีคุณค่าและความหมายยิ่งใหญ่สุดประเมินประมาณแล้ว

            ความโหยหาที่อยู่อาศัยอันเป็นส่วนตัวทำให้ผมไม่ค่อยมีความสุขนานหลายเดือนหลังจากนั้น  จนกระทั่งได้พบโทนเข้าโดยบังเอิญ  เรารื้อฟื้นความทรงจำในวงเหล้า  ภาพอดีตซึ่งเคยเที่ยวหัวหกก้นขวิดร่วมกันมายังแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน  ความเป็นเพื่อนของเราหวนกลับคืนมาแนบแน่นต่อกันอีกครั้ง

            ตลอดยี่สิบกว่าวันที่เรือออกจับปลา  เร่ร่อนเข้าฝั่งต่างๆหลายแห่ง  ผมเฝ้าคิดถึงบ้านซึ่งโทนเล่าให้ฟัง  อดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อนึกถึงชื่อป้าจันทร์เจ้าของบ้าน แกจะเป็นคนเช่นไรหนอ  ใจดีหาที่เปรียบไม่ได้เหมือนอย่างที่โทนพูดหรือเปล่า  ผมภาวนาขอให้โทนพูดจริงๆ  และขอให้ป้าจันทร์ที่เขากล่าวถึงเป็นคนจริงๆไม่ใช่นิทานยกเมฆหรืออากาศธาตุ

            หลังรอนแรมไปเหนือเกลียวคลื่นและเวิ้งน้ำสีคราม  ผจญงานหนักและเมือกกลิ่นคาวปลามาจนครบน้ำ  การเดินทางยาวนานได้มาจบลงตรงจุดเริ่มต้น  เรือกลับเข้าฝั่งเดิมเพื่อหยุดน้ำวันที่ผมรอคอยได้มาถึงแล้ว

            ผมสะพายกระเป๋าเดินผ่านตรอกข้างบ้านเถ้าแก่ออกสู่ถนนลูกรังสายเล็กๆ  สบตาและยิ้มให้เพื่อนๆร่วมลำเรือ  ยกมือโบกอำลาเก่งเรือเหม็นอับ  ยิ้มเยาะแมลงสาบและมดคันไฟตามซอกต่างๆ ซึ่งชอบออกมาหยอกล้อผมเล่นยามกลางคืน  ไม่ลืมแสดงความเสียใจกับเจ้ายุงร้ายที่ต้องอดหิวไปนาน  ผมไม่อยู่ให้มันอาศัยเลือดเลี้ยงชีวิตอีกแล้วในน้ำนี้

            หมู่บ้านชายฝั่งสงบงันอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเย็น  หลังคาโบสถ์วัดปากคลองเปล่งประกายระยิบระยับ  คำคลองข้างวัดซึ่งแยกตัวจากแม่น้ำใหญ่ยังคงขาวขุ่นเช่นเดิม สองฟากเต็มไปด้วยเรือนไม้ยืนระเกะระกะ   มีทั้งผ่านการซ่อมแซมและสภาพเก่าโทรมจวนเจียนจะพัง

            ถนนสีแดงซึ่งนำผมมาจากปากอ่าวสิ้นสุดลงที่ซุ้มประตูกำแพงวัด  ถนนลาดยางสายเล็กๆรับช่วงต่อจากประตูวัดด้านตะวันออกผ่ากลางหมู่บ้านมุ่งสู่ท่าเรือข้ามฟากซึ่งอยู่ในอีกชุมชน  อีกฝั่งเป็นตัวจังหวัดเต็มไปด้วยตึกสูงและย่านการค้า

            ริมฝั่งแม่น้ำซึ่งอยู่นอกตัวเมืองนี่เองคือหมู่บ้านชาวประมงเงียบสงบ   หากแฝงไปด้วยมนต์ขลังอันแสนประหลาด  ทั้งกลิ่นอายแห่งความดีงาม  ชั่วร้าย  และเจ้าเล่ห์แสนกล  ตามซอกซอยต่างๆ หนาแน่นด้วยบ้านเรือนและชีวิตคนเล็กๆ ที่เบียดแน่นราวกับมดปลวก หมู่บ้านซึ่งเงียบเหงามาตลอดยี่สิบหกวันได้ฟื้นตื่นขึ้นมายิ้มต้อนรับการกลับมาของลูกเรืออวนดำ ณ บัดนี้แล้ว

            โทนนั่งอยู่บนราวสะพานซึ่งทอดตัวจากถนนคอนกรีตริมเขื่อนหน้าวัดลึกลงไปในแม่น้ำ  เขาหันหลังไปในทางทิศตะวันตกเขม้นมองถนนกลางลานวัด  สายเป้สีน้ำตาลคล้องอยู่บนไหล่ซ้าย  มือขวาโอบหมอนใบใหญ่ซึ่งดำคล้ำด้วยคราบเหงื่อ  ลมจากทางปากอ่าวพัดแรง  เส้นผมยาวรุงรังของเขาปลิดปลิวสะบัด  ทันทีที่จ้องหน้าผม  ริมฝีปากของโทนยิ้มกว้างจนหนวดกระดิก  เขาตะโกนถามมาแต่ไกล

            “แบ่งดีมั้ยวะ ...พล”

            ผมสืบเท้าเข้าใกล้  ย่ำผ่านพื้นคอนกรีต  หยุดชะงักนิดหนึ่งเมื่อเหยียบเข้ากับรอยต่อของไม้พื้นสะพาน  ขยับสายกระเป๋ากระชับไหล่  เหลือบมองหน้าโทนแวบหนึ่ง  ครั้นเห็นสีหน้าเยือกเย็นของเขา  ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาเพิ่งมานั่งรอเพื่อนๆ ไม่นาน

            “ไม่ค่อยดี” ผมตอบ  ขยับยืนพิงราวสะพานอีกด้านหนึ่ง  หันมองไปทางปากอ่าวและเห็นดวงตะวันคล้อยต่ำจวนจะลับห้วงน้ำ

            “ไอ้สายกับไอ้เชนล่ะ”  โทนเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นเสยผมที่ยุ่งเป็นกระเซิง

            “คงยังมาไม่ถึง”  ผมตอบ  หันมองลานวัดซึ่งเป็นทางผ่านของลูกเรืออวนดำหลายกลุ่ม  แต่ละคนหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง

            “จวนค่ำแล้วไม่รู้พวกมันทำอะไรอยู่  ช้าชะมัด”โทนบ่น

            “เดี๋ยวคงมากันหรอก  เรือของพวกมันลำใหญ่  ใช้เวลาคิดบัญชีนาน”  ผมพูด

            โทนควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ  ตาจ้องมองกลุ่มคนที่ทยอยกันโผล่หน้าพ้นปากทางลูกรังแล้วเดินตัดลานวัดไปสู่ปากถนนอีกสายหนึ่ง  เขาพ่นควันบุหรี่และถุยน้ำลายลงพื้น  ปลดเป้จากไหลวางลงบนสะพาน  นั่งในท่าที่สบายกว่าเดิม  เรานั่งเงียบและหันมองออกไปคนละทาง

            หน้าวัดตรงที่เรานั่งอยู่คือช่วงปลายสุดของแม่น้ำ  สองฟากของมันแบะกว้างออกไปเรื่อยๆ จนเชื่อมติดกับทะเล  ผืนน้ำซึ่งเคยขุ่นข้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองด้วยแสงแดดยามเย็น  ทั้งสองฟากแม่น้ำเต็มไปด้วยเรืออวนดำหลายขนาดที่พร้อมหน้ากันเข้ามาหยุดน้ำช่วงเดือนหงาย

          อากาศเดือนกุมภาพันธ์ร้อนอบอ้าว  ฝุ่นตามลานวัดคลุ้งปลิวด้วยแรงลมโหมพัดมาจากทะเล  หางนกยูงหลายต้นตามลานวัดเริ่มออกดอกสีแดง  สนสามสี่ต้นสลัดใบแห้งลงเกลื่อนลานหญ้า  มะขามเทศต้นใหญ่ข้างโบสถ์จวนเจียนจะเหลือเพียงกิ่งก้านเปลือยเปล่า

            โทนเผาบุหรี่หมดไปหลายมวน  ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากหลายครั้ง  เจ้าเพื่อนทั้งสองไม่ยอมโผล่หน้ามาสักที   โทนขยับไหล่สองข้างและถอนใจอย่างอึดอัด

            ลูกเรือจากหลายลำเดินผ่านลานวัดไปไม่ขาดสาย  พวกเขาสะพายกระเป๋าหอบผ้าห่มและหมอนมุ่งหน้ากลับบ้านและที่พักพิง  ส่งเสียงพูดคุยกันลั่น  ท่าทางแต่ละคนเต็มไปด้วยความสุขหลายคนหันมาทางเรา  ตะโกนถามโทน   บางครั้งก็เป็นงานเป็นการ  แต่บางทีก็หยอกเอินอย่างสนิทสนม  โทนตะโกนตอบเสียงดังพอกัน  เมื่อถูกระเซ้าหนักๆ เขาโต้ตอบด้วยถ้อยคำทะลึ่งตึงตังสองแง่สองามในแบบเดียวกัน  

สายพ้นปากถนนลูกรังโผล่หน้าออกมาเป็นคนแรก  ร่างเตี้ยล่ำของเขาก้าวฉับๆ ทิ้งห่างร่างสูงโย่งของเชนซึ่งหิ้วกระเป๋าและหมอนมาเต็มสองมือ   สายหยุดยืนรอแล้วหันมองหลังครู่หนึ่ง  กระทั่งเชนตามมาทันจึงสืบเท้าเดินต่อ  ทั้งสองส่งยิ้มมาแต่ไกล  ความร่าเริงฉายอยู่ในแววตา

สายหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโทน  เชนวางข้าวของลงบนพื้นพลางสะบัดแขนสองข้างและเอี้ยวตัวบิดขี้เกียจ  ใบหน้ายาวๆของเขาเหยเกเหมือนยังเมื่อยขบไม่หาย

โทนขว้างก้นบุหรี่ไปทางแม่น้ำ  อารมณ์เขาไม่สู้ดีนัก  ไม่พอใจที่เพื่อนทั้งสองมากันช้า  ผมไม่อยากให้บรรยากาศเกิดความเคร่งเครียดจึงรีบเอ่ยถามเพื่อนทั้งสอง

“แบ่งกี่หมื่นวะ”

เชนยังยืนหอบหายใจ  สายถุยน้ำลายลงบนพื้นสองครั้งติดๆแล้วเงยหน้าตอบ “ไม่ถึงห้าพัน”

“ยังดีกว่ากู” โทนว่า

“เหลือตัวตัวเลขหรอก” สายพูด “ค่าหม้อกินหมด”

“ไอ้เชนเหลือเยอะสิท่า”  โทนหันไปถามเพื่อนร่างโย่ง

เชนกลอกตาเจ้าเล่ห์  หน้าเสี้ยมแหลมส่ายไปมา  “ก็ตะเภาเดียวกับไอ้สายนั่นแหละ  โดนสนุ๊กเกอร์แดกไปเกือบล่อนจ้อน”

“สันดานไม่เปลี่ยนนี่นะ”  โทนแค่นเสียงดุ

เราหัวเราะพร้อมกัน  นี่คือบาดแผลซึ่งติดสันหลังเรามานาน  และจะยังคงเน่าเฟะเรื้อรังเช่นนี้ต่อไปอีกตราบที่ดวงอาทิตย์ยังขึ้นทางตะวันออก  แต่เราพอใจและยอมรับแผลร้ายประจำชีวิต   หากความเจ็บปวดนั้นแฝงความรื่นรมย์ไว้สักเล็กน้อย

กระเป๋าเสื้อของเชนกับสายยังตุงด้วยธนบัตรหลายราคา  ผมเหลือบมองไปเห็นก็รู้ว่าเพื่อนพูดโกหกตามนิสัยเคยชิน  พวกเขายังไม่หมดตัวตามที่เอ่ยปาก

เราลุกขึ้นพร้อมกัน  โทนก้าวเดินนำหน้า  ผ่านลานวัดเลี้ยวสู่ถนนลาดยาง  พอมาถึงสะพานข้ามคลอง  สายเอื้อมมือข้างหนึ่งมาบีบจมูกผมเบาๆ

“เฮ่ย...ไอ้จมูกมด”  เขาว่า  “มึงได้กลิ่นอะไรก็บอกเตือนกูบ้าง”

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก  กลิ่นหอมแปลกๆ โชยจากที่ไหนสักแห่งทักทายความรู้สึกแล้วดิ่งลึกลงสู่หัวอก  ผมอดตื่นเต้นไม่ได้

ผมร้องบอกเพื่อนๆ “เฮ้ยกลิ่นหอมว่ะ  ทุกอย่างน่าจะดี”

โทนเดินนำหน้าไปไกล  สายและเชนยิ้มให้กับคำพูดของผม  เราสามคนต่างรู้สึกคล้ายกัน  เรากำลังเดินสู่ความแปลกใหม่   ณ ที่ซึ่งสงบและงดงาม  เต็มไปด้วยความอบอุ่นและมั่นคง  ณ  ที่ซึ่งสายรุ้งของความสุขสะบัดพริ้วอยู่เหนือหัวลม  กังวานเพลงไพเราะขับกล่อมทั้งวันและคืน

แต่ทว่า  คนอย่างเราควรหรือจะคาดหวังอะไรเกินตัว  บทเรียนชีวิตในช่วงที่ผ่านมาสอนเราครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมขอเพียงแค่ห้องเล็กๆที่ซุกหัวนอนแล้วไม่ฝันร้ายก็พอ

รายละเอียด

ฝั่งแสงจันทร์สองทศวรรษ

 

หนังสือพิมพ์ด้วยกระดาษบรู๊ฟเก่าจนเหลืองไปทั้งเล่ม   ออกแบบปกโดยทองทัช เทพารักษ์  ทุกครั้งที่หยิบออกมาจากชั้นวางในตู้ไม้ริมห้องพัก  ภาพความหลังเมื่อครั้งอดีตฉายขึ้นมาในความทรงจำ  ไม่เพียงตัวละครที่ผมหยิบยืมมาจากชีวิตเพื่อน ๆ ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข   บางคนในจำนวนนั้นก็ด่วนจากไปก่อนวัยอันควร  ความเป็นมาสืบเนื่องก่อนจะเป็นนิยายเรื่องแรกในชีวิตการเขียน   เรียกได้ทั้งรอยยิ้มเศร้า  และรื้นน้ำตาที่คล้ายจะก่อตัวขึ้นมาอีกคำรบ

       หวนนึกถึงห้องใต้หลังคาอันร้อนอบอ้าว  พิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วเก่า ๆ ที่เวียนเข้าออกโรงรับจำนำแทบทุกเดือน  โต๊ะทำงานขาหักไปข้าง   เก้าอี้หัวโล้นไม่มีพนักพิง   ด้วยข้อจำกัดของชีวิตและเครื่องมือเครื่องใช้  ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดเลยต่อการสร้างงาน   บางวันนอนราบลงกับพื้น   หลับไปงีบหนึ่ง  รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง  แววตาของตัวละครในเรื่องเหมือนฉายจากฟ้าไกล  ประดุจแสงจันทร์เรื่อเรืองในคืนเพ็ญ   และเป็นค่ำคืนที่ชาวเรืออวนดำต่างร่าเริงในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่พวกเขาผูกพัน

         นิยายเรื่องแรกในชีวิต  คุณคาดหวังอะไรกับมัน   ผมเคยถามตัวเองในใจ   แล้วก็นึกไปถึงถ้อยคำของไฮริช เบิร์น  นักเขียนดังชาวเยอรมัน   งานเขียนทุกชื้นล้วนมีความเสี่ยง   ไม่ต่างอะไรกับโจรปล้นธนาคาร   อาจได้ค่าตอบแทนเป็นเงินทองมากมาย  หรือได้เพียงน้อยนิด   หรือไม่ได้อะไรเลย   แถมอาจถูกจับไปติดคุก  และบางทีอาจถึงขั้นเสียชีวิตด้วยกระสุนปืนของตำรวจ

         ความเสี่ยงของนักฝันแม้ไม่ถึงขั้นต้องถูกยิงตาย   หรือต้องโทษประหารชีวิตในฐานะอาชญากร  ถึงกระนั้นโอกาสและทางเดินที่จะก้าวไปบนถนนหนังสือก็ฝากไว้กับงานที่ทำออกมา  

         นิยายฝั่งแสงจันทร์  พิมพ์รวมเล่มออกมาวางแผงครั้งแรก  เมื่อเดือนเมษายน 2540  ถึงบัดนี้ขวบวัยผ่านเลยมากว่าสองทศวรรษ  ผ่านสายตาบรรณาธิการมาถึงสามสำนักพิมพ์   นอกจากนั้นยังได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยกระทรวงวัฒนธรรม   และเคยเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของกระทรวงศึกษาธิการ

       ฝั่งแสงจันทร์ฉบับภาษาอังกฤษนี้เองกลายเป็นของที่ระลึกที่ผมนำติดมือไปนครเซี่ยงไฮ้เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้กับเพื่อนๆ  นักเขียนอีกเก้าชาติ   ครั้งที่ได้รับเชิญไปร่วมพำนัก  ในโครงการ  Shanghai writing  Program  หนึ่งในนั้นคือคุณสุเนตรา  นักเขียนอาวุโสชาวศรีลังกา  ซึ่งเธอก็ใช้เวลาอ่านไม่นานก็มาขออนุญาตแปลเป็นภาษาสิงหล   เพื่อจัดพิมพ์และจำน่ายในประเทศศรีลังกา  โดยเธอลงทุนออกแบบปกด้วยตัวเอง

       นอกจากเป็นนิยายไทยเรื่องแรกที่ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาสิงหลแล้ว  ยังเป็นนิยายเรื่องเดียวของผู้เขียนงานที่ได้รับการแปลออกไปถึงสองภาษา  

       ล่วงถึงปี 2560   นิยาย ฝั่งแสงจันทร์  ผ่านกาลเวลามาสองทศวรรษ  ถ้าเป็นชายก็ย่างสู่วัยหนุ่มแน่น  ขณะหนังสือหายไปจากแผงมานาน   ผู้เขียนหวังใจลึก ๆ เสมอมา  ว่าคงได้พิมพ์ออกมานำเสนอผู้อ่านอีกครั้ง

       ในการพิมพ์ครั้งใหม่   ผู้เขียนได้ปรับปรุงแกไขในด้านภาษาเพียงเล็กน้อย   ไม่ได้แตะต้องในส่วนสำคัญอื่น  ยังคงอรรถรสเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ด้วยหวังว่า  ฝั่งแสงจันทร์ในวัยหนุ่มแน่นจะให้ความกระชุ่มกระชวยแก่การอ่าน   สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตแก่คนรุ่นใหม่   และยังทะยานไปบนถนนหนังสือด้วยพลังที่ไม่เคยลดลง

 

 

ด้วยจิตคารวะ

ประชาคม ลุนาชัย

กรุงเทพมหานคร  เมษายน 2560


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024