ฝั่งแสงจันทร์สองทศวรรษ (ประชาคม)
ประหยัด: 123.75 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
๑ คนไร้บ้าน
โชคมักมาพร้อมเพื่อนเก่า ความลงตัวและความดีงามของชีวิตมักดาหน้าตามกันมาในห้วงเวลาเช่นนี้ หลังจากที่ผมพบโทนเพียงไม่กี่เดือน สายกับเชนเพื่อนเก่าของเราก็หวนกลับมาร่วมทางกันอีกครั้ง พวกเขาทั้งสามคนทำให้ถนนทุกสายในหมู่บ้านชายฝั่งทะเลของผมไม่เปลี่ยวเหงา และทำให้วงเหล้าเต็มไปด้วยความสนุกสนานครื้นเครง
เรารื้อฟื้นอดีตสมัยอยู่เรืออวนลากเร่ร่อนไปตามหัวเมืองชายฝั่ง เปลี่ยนเรือที่ทำงานเป็นว่าเล่น อดและอิ่มมาด้วยกัน ซาบซึ้งกับวิถีชีวิตที่ดำรงอยู่เพื่อปัจจุบัน ไม่เคยวาดหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี
เราหอบเรื่องราวสนุกสนานเล่าสู่กันฟัง เม็ดผลจากงานหนักซึ่งมีให้เก็บเกี่ยวเมื่อเรือถึงฝั่ง สถานเริงรมย์แหล่งละลายทรัพย์ตามเมืองต่างๆล้วนเป็นตำนานอันแสนสุข แต่นั่นเป็นเพียงภาพผ่าน ดำรงอยู่ในความทรงจำของเราได้ไม่นานนัก
เรามักหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงความเป็นมาของตน โดยเฉพาะภูมิหลังและบ้านเกิด เราต่างคิดตรงกันว่าคงไม่มีวันได้หวนกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีก
“เราเป็นคนไม่มีที่มา” โทนเป็นเจ้าของคำพูดนี้ เพื่อๆฟังแล้วรีบชูนิ้วให้เขา แสดงความชื่นชมด้วยสายตา ออกจะทึ่งอยู่มากที่สมองน้อยนิดของเขาบังอาจคิดถ้อยคำเขื่องโขขึ้นมาได้
“บ้านของเราอยู่ในกระเป๋า” นี่เป็นคำกล่าวของเชน หากใครถามถึงบ้านเกิด เขาจะชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อผ้า ยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเขาบรรจุอยู่ในนั้น-สำมะโนครัว สมบัติพัสถาน ญาติโกโหติกาทุกลำดับชั้นและพินัยกรรมแห่งชีวิตทั้งหมด
สำหรับสาย หากใครถามถึงบ้านหรือแหล่งพำนักถาวรของเขา สายจะคลี่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย ถ้าคนถามเป็นเพื่อนร่วมเรือลำเดียวกัน เขาจะบอกตามตรงว่าบ้านของเขาอยู่ในซ่องนั่นแหละ จะเลือกนอนห้องไหนล่ะ บ้านของเขาประดับไฟสีชมพู เมียน้อยเมียหลวงหลายสิบคนนั่งรอเขาอยู่ในตู้ ล้วนหน้าตาจิ้มลิ้มทรวดทรงอะร้าอร่ามทั้งนั้น ไม่พอใจคนไหนก็โละทิ้ง ความน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ตรงที่ทุกๆเดือนมักจะมีเด็กใหม่เพิ่มมาให้เลือก
บ้านสีชมพูรอคอยพ่อกระเป๋าหนักและแสนดีอย่างสายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ขยายสาขาออกไปทั่วประเทศยิ่งกว่าธนาคาร ยาวเหยียดอยู่ตามริมทางถนนรถไฟ ซ่อนตัวอยู่ในตรอกลึกลับหลังสะพานปลา บ้างก็เหมาถนนเล็กๆ ทั้งสายเป็นย่านการค้าเนื้อสดครบวงจร ทุกแห่งทุกหนพร้อมต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่นและไมตรีจิตงดงามอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากไหนมาก่อน
สายกับเชนเพิ่งมาออกเรืออวนดำหมู่บ้านแห่งนี้ได้ไม่นาน ทั้งสองตกที่นั่งเดียวกับผม กำลังรู้สึกคับแค้นใจต่อความเป็นอยู่ ไม่พอใจคำถามและสายตาของเพื่อนๆ ร่วมลำเรือ สถานะของคนไร้บ้านกดพวกเขาจมลึกลงในปลักโคลนแห่งความหดหู่ พยายามตะเกียกตะกายหาทางออกเหมือนถีบตัวเองขึ้นมาจากบึ้งเหวลึก
หลังนั่งรับฟังความทุกข์ใจของเพื่อนๆมาพอสมควร คืนวันหนึ่งโทนก็โพล่งออกมากลางวงเหล้า
“กูมีบ้าน”
ไม่มีใครยอมเชื่อคำพูดนี้ของโทนในทันทีหรอก เชนแค่ยิ้มเยาะ สายปล่อยก๊ากอกมาเสียงดั่งสนั่น ผมเองก็ทั้งยิ้มและส่ายหน้า
โทนหน้าแดงก่ำ รู้ตัวว่าพูดผิดไป เขาโบกมือเป็นเชิงบอกให้เพื่อนๆ สงบปากสงบคำแล้วพูดใหม่
“กูมีห้องพัก เป็นบ้านของคนรู้จักกัน แกเป็นคนใจดีทีเดียว พวกมึงจะไปอยู่ด้วยก็ไม่น่ามีปัญหา”
ในบรรดาพวกเราสี่คน โทนย้ายมาปักหลักหากินอยู่ที่นี่นานกว่าใคร เรื่องที่เขาพูดจึงพอเป็นไปได้และเป็นเรื่องน่าสนใจที่สุดในยามนี้
“บ้านใครหรือโทน” ผมเอ่ยถาม เชนกับสายปิดปากเงียบลงแล้วแสดงความสนอกสนใจเช่นเดียวกัน
“บ้านป้าจันทร์” โทนยืดอกขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองเพื่อนๆทีละคน และเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยท่าทีของคนที่กำลังกุมชัยชนะไว้ในมือ
“พวกมึงจะไปอยู่กับกูมั้ย”
เรานั่งเงียบ เบิกตามองโทนเป็นจุดเดียว ตอนนี้เขาได้กลายร่างเป็นพระเจ้าองค์น้อยๆ ผู้พร้อมจะบันดาลห้องอันอบอุ่นและนำทางเราไปสู่จุดหมายนั้น
โทนรู้ดีว่าเรามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เขาหัวเราะเบาๆ
“พวกมึงต้องรอหงายหน้า รอให้กูพูดกับป้าจันทร์เจ้าของบ้านเสียก่อน”
เป็นความต่ำต้อยน่าสังเวชของลูกเรือผู้ไม่มีบ้านจะกลับ ทุกครั้งหลังคิดบัญชีเสร็จ เดินหันหลังออกจากห้องจ่ายเงิน ผมมักยืนห่อไหล่มองเพื่อนๆเดินจากไปทีละกลุ่มทีละคนด้วยความรู้สึกยากจะกล้ำกลืน
เพื่อนคนเรือลำเดียวกันจำนวนเกือบสี่สิบคนล้วนมีห้องหอที่พวกเขาคุ้นเคยรออยู่ หลายคนมีลูกเมียตั้งตารอคอยการกลับ ตลอดช่วงห้าหกวันที่ไม่ต้องทำงาน พวกเขาพร้อมเก็บเกี่ยวความสุขความสำราญได้เต็มที่ บางคนมีบ้านอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ พ่อแม่และญาติสนิทรับขวัญการกลับคืนฝั่งของเขาด้วยรอยยิ้ม ผลัดกันไต่ถามด้วยสีหน้าแววตาห่วงใย ลูกชายตัวน้อยวิ่งรี่เข้ามาเกาะแขนซุกใบหน้าอ่อนเยาว์แนบสีข้างของผู้เป็นพ่อ
แม้หลายคนมีเพียงห้องเช่าแคบในท้ายตรอกสกปรก ซึ่งจมอยู่ใต้น้ำครำมาตลอดทั้งปี แต่ยังได้ชื่อว่ามีที่พักพิงส่วนตัว ต่างกับผมที่ต้องนอนเฝ้าเรืออย่างเดียวดาย ไม่มีใครรู้เห็นการคืนฝั่ง ตกเป็นเป้าสายตาดูหมิ่นของเพื่อนๆ
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อนหลังจากเคยใช้เรือนอนแทนบ้านมาเป็นเวลานานหลายปี แต่นั่นเป็นเรืออวนลากและเรือประมงประเภทอื่น มีเวลาอยู่บนฝั่งเพียงไม่กี่วัน และไม่มีข้อเปรียบเทียบชัดเจนเหมือนเรืออวนดำ
เพื่อนๆทุกคนในเรือเหมือนได้ลงหลักปักฐานเป็นปึกแผ่นมั่นคงแล้ว มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นหลักลอยไม่ต่างเจ้าไร้ศาลเดินกอดความเดียวดายผ่านถนนสายอ้างว้าง มองเห็นหัวใจของตนค่อยๆ จมดิ่งลงในบ่อโคลนของความทุกข์เศร้า หนาว...เจ็บปวดและไร้ทางออก
ผมเคยคิดจะหาห้องเช่าเหมาะๆสักแห่งไว้เป็นที่ซุกหัวนอนในช่วงเรือหยุด และเพื่อให้มันช่วยยกระดับของผมขึ้นเท่าเทียมคนอื่นๆ ทว่าความตั้งใจนี้พังทลายทุกครั้งที่เงินในกระเป๋าหมดลง ซมซานกลับมานอนเรือแล้วพร่ำบอกตัวเองว่า ไม่จำเป็นหรอก บ้านหรือห้องเช่านั้นเป็นเพียงเปลือกนอก อาจไม่ใช่ความสุขความภูมิใจที่แท้จริงก็เป็นได้ นอนเรือนี่แหละนะคนจรอย่างเรา ไม่ต้องเสียค่าเช่าและยุ่งเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายจุกจิก อยากขึ้นฝั่งเที่ยวก็ไสหัวตัวเองไป อยากกลับเวลาไหนก็แล้วแต่อำเภอใจของตน เป็นอิสระยิ่งกว่านกในท้องฟ้าเสียอีก
ความรู้สึกตอนเรือถึงฝั่งใหม่ๆ กับตอนเงินหมดกระเป๋าพุ่งสวนทางกันจนผมสับสน ต่อมาอีกไม่นานสภาพคนไร้บ้านจิกตีความรู้สึกผมหนักข้อขึ้นทุกที คล้ายมันพยายามบีบคั้นให้ผมหาทางออกเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีคืน
บ้านพักคือหนทางเดียวที่จะช่วยให้ผมเงยหน้าสบตากับใครต่อใครได้อย่างเต็มภาคภูมิ หิ้วกระเป๋าขึ้นฝั่งพร้อมคนอื่นๆ หวนกลับลงเรืออีกครั้งในวันออกจับปลาน้ำใหม่ ตะโกนทักทายเพื่อนๆเสียงดัง ยึดอกขึ้นพูดว่าผมก็มีบ้าน ไม่ต้องกลัวคำถามในทำนองว่า เอ็งไม่มีบ้านจะกลับเรอะ ทำไมไม่หาบ้านเช่าถูกๆสักแห่งหรือ...เฮ้ย...ไอ้เสือ...นอนเรือยุงไม่หามเอาเรอะ
“บ้านเองอยู่ที่ไหน” เพื่อนๆคงมีคำถามใหม่ทำนองนี้
“อยู่หลังวัดช่องลม...อยู่ข้างโรงน้ำปลานั่นแหละ อ้อ...อยู่ติดโรงหนังนั่นไง” หากมีคำตอบลักษณะนี้ได้หัวใจซึ่งห่อเหี่ยวมานานหลายเดือนของผมคงได้อิ่มพองเต็มที่
“ค่าเช่าเดือนละเท่าไหร่ ห้องกว้างมั้ย มีห้องน้ำในตัวหรือเปล่า” ใครบางคนอาจระดมคำถามใส่เช่นนี้
ก่อนตอบคำถามของเพื่อน ผมจะขยับนั่งตัวตรงแค่นยิ้มและชูคอเล็กน้อย เปล่งเสียงออกมาเต็มปากเต็มคำและไม่ลืมทำไม้ทำมือประกอบ จากนั้นก็เป็นฝ่ายย้อนถามบ้างว่าบ้านของเขาล่ะเป็นยังไง สุมหัวกันกี่คน ยามนอนกองรวมกันตอนกลางคืนห้องเหลือที่ว่างพอให้มดหายใจหรือเปล่า คราวนี้แหละที่สายตาเยาะหยันและคำพูดถากถางจะเป็นดาบคืนสนองเขา และพร้อมกันนั้นผมก็จะหยิบยื่นความรู้สึกต่ำต้อยน้อยหน้าซึ่งตัวเองเคยมีส่งคืนให้เขาเป็นฝ่ายรับไป
ห้องเช่าที่ผมใฝ่หามาตลอดนั้นไม่จำเป็นต้องสวยหรูราคาแพง ไม่ต้องอยู่ในทำเลธุรกิจสะดวกสบายต่อการสัญจร ไม่จำเป็นต้องอยู่บนตึกโอ่อ่าสูงหลายสิบชั้น ถึงแม้เป็นห้องสภาพเก่าโทรมเหนือดงน้ำครำ ขอเพียงมันช่วยให้ผมไม่ต้องนอนเฝ้าเรือ ห้องนั้นก็มีคุณค่าและความหมายยิ่งใหญ่สุดประเมินประมาณแล้ว
ความโหยหาที่อยู่อาศัยอันเป็นส่วนตัวทำให้ผมไม่ค่อยมีความสุขนานหลายเดือนหลังจากนั้น จนกระทั่งได้พบโทนเข้าโดยบังเอิญ เรารื้อฟื้นความทรงจำในวงเหล้า ภาพอดีตซึ่งเคยเที่ยวหัวหกก้นขวิดร่วมกันมายังแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ความเป็นเพื่อนของเราหวนกลับคืนมาแนบแน่นต่อกันอีกครั้ง
ตลอดยี่สิบกว่าวันที่เรือออกจับปลา เร่ร่อนเข้าฝั่งต่างๆหลายแห่ง ผมเฝ้าคิดถึงบ้านซึ่งโทนเล่าให้ฟัง อดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อนึกถึงชื่อป้าจันทร์เจ้าของบ้าน แกจะเป็นคนเช่นไรหนอ ใจดีหาที่เปรียบไม่ได้เหมือนอย่างที่โทนพูดหรือเปล่า ผมภาวนาขอให้โทนพูดจริงๆ และขอให้ป้าจันทร์ที่เขากล่าวถึงเป็นคนจริงๆไม่ใช่นิทานยกเมฆหรืออากาศธาตุ
หลังรอนแรมไปเหนือเกลียวคลื่นและเวิ้งน้ำสีคราม ผจญงานหนักและเมือกกลิ่นคาวปลามาจนครบน้ำ การเดินทางยาวนานได้มาจบลงตรงจุดเริ่มต้น เรือกลับเข้าฝั่งเดิมเพื่อหยุดน้ำวันที่ผมรอคอยได้มาถึงแล้ว
ผมสะพายกระเป๋าเดินผ่านตรอกข้างบ้านเถ้าแก่ออกสู่ถนนลูกรังสายเล็กๆ สบตาและยิ้มให้เพื่อนๆร่วมลำเรือ ยกมือโบกอำลาเก่งเรือเหม็นอับ ยิ้มเยาะแมลงสาบและมดคันไฟตามซอกต่างๆ ซึ่งชอบออกมาหยอกล้อผมเล่นยามกลางคืน ไม่ลืมแสดงความเสียใจกับเจ้ายุงร้ายที่ต้องอดหิวไปนาน ผมไม่อยู่ให้มันอาศัยเลือดเลี้ยงชีวิตอีกแล้วในน้ำนี้
หมู่บ้านชายฝั่งสงบงันอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเย็น หลังคาโบสถ์วัดปากคลองเปล่งประกายระยิบระยับ คำคลองข้างวัดซึ่งแยกตัวจากแม่น้ำใหญ่ยังคงขาวขุ่นเช่นเดิม สองฟากเต็มไปด้วยเรือนไม้ยืนระเกะระกะ มีทั้งผ่านการซ่อมแซมและสภาพเก่าโทรมจวนเจียนจะพัง
ถนนสีแดงซึ่งนำผมมาจากปากอ่าวสิ้นสุดลงที่ซุ้มประตูกำแพงวัด ถนนลาดยางสายเล็กๆรับช่วงต่อจากประตูวัดด้านตะวันออกผ่ากลางหมู่บ้านมุ่งสู่ท่าเรือข้ามฟากซึ่งอยู่ในอีกชุมชน อีกฝั่งเป็นตัวจังหวัดเต็มไปด้วยตึกสูงและย่านการค้า
ริมฝั่งแม่น้ำซึ่งอยู่นอกตัวเมืองนี่เองคือหมู่บ้านชาวประมงเงียบสงบ หากแฝงไปด้วยมนต์ขลังอันแสนประหลาด ทั้งกลิ่นอายแห่งความดีงาม ชั่วร้าย และเจ้าเล่ห์แสนกล ตามซอกซอยต่างๆ หนาแน่นด้วยบ้านเรือนและชีวิตคนเล็กๆ ที่เบียดแน่นราวกับมดปลวก หมู่บ้านซึ่งเงียบเหงามาตลอดยี่สิบหกวันได้ฟื้นตื่นขึ้นมายิ้มต้อนรับการกลับมาของลูกเรืออวนดำ ณ บัดนี้แล้ว
โทนนั่งอยู่บนราวสะพานซึ่งทอดตัวจากถนนคอนกรีตริมเขื่อนหน้าวัดลึกลงไปในแม่น้ำ เขาหันหลังไปในทางทิศตะวันตกเขม้นมองถนนกลางลานวัด สายเป้สีน้ำตาลคล้องอยู่บนไหล่ซ้าย มือขวาโอบหมอนใบใหญ่ซึ่งดำคล้ำด้วยคราบเหงื่อ ลมจากทางปากอ่าวพัดแรง เส้นผมยาวรุงรังของเขาปลิดปลิวสะบัด ทันทีที่จ้องหน้าผม ริมฝีปากของโทนยิ้มกว้างจนหนวดกระดิก เขาตะโกนถามมาแต่ไกล
“แบ่งดีมั้ยวะ ...พล”
ผมสืบเท้าเข้าใกล้ ย่ำผ่านพื้นคอนกรีต หยุดชะงักนิดหนึ่งเมื่อเหยียบเข้ากับรอยต่อของไม้พื้นสะพาน ขยับสายกระเป๋ากระชับไหล่ เหลือบมองหน้าโทนแวบหนึ่ง ครั้นเห็นสีหน้าเยือกเย็นของเขา ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาเพิ่งมานั่งรอเพื่อนๆ ไม่นาน
“ไม่ค่อยดี” ผมตอบ ขยับยืนพิงราวสะพานอีกด้านหนึ่ง หันมองไปทางปากอ่าวและเห็นดวงตะวันคล้อยต่ำจวนจะลับห้วงน้ำ
“ไอ้สายกับไอ้เชนล่ะ” โทนเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นเสยผมที่ยุ่งเป็นกระเซิง
“คงยังมาไม่ถึง” ผมตอบ หันมองลานวัดซึ่งเป็นทางผ่านของลูกเรืออวนดำหลายกลุ่ม แต่ละคนหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง
“จวนค่ำแล้วไม่รู้พวกมันทำอะไรอยู่ ช้าชะมัด”โทนบ่น
“เดี๋ยวคงมากันหรอก เรือของพวกมันลำใหญ่ ใช้เวลาคิดบัญชีนาน” ผมพูด
โทนควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ ตาจ้องมองกลุ่มคนที่ทยอยกันโผล่หน้าพ้นปากทางลูกรังแล้วเดินตัดลานวัดไปสู่ปากถนนอีกสายหนึ่ง เขาพ่นควันบุหรี่และถุยน้ำลายลงพื้น ปลดเป้จากไหลวางลงบนสะพาน นั่งในท่าที่สบายกว่าเดิม เรานั่งเงียบและหันมองออกไปคนละทาง
หน้าวัดตรงที่เรานั่งอยู่คือช่วงปลายสุดของแม่น้ำ สองฟากของมันแบะกว้างออกไปเรื่อยๆ จนเชื่อมติดกับทะเล ผืนน้ำซึ่งเคยขุ่นข้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองด้วยแสงแดดยามเย็น ทั้งสองฟากแม่น้ำเต็มไปด้วยเรืออวนดำหลายขนาดที่พร้อมหน้ากันเข้ามาหยุดน้ำช่วงเดือนหงาย
อากาศเดือนกุมภาพันธ์ร้อนอบอ้าว ฝุ่นตามลานวัดคลุ้งปลิวด้วยแรงลมโหมพัดมาจากทะเล หางนกยูงหลายต้นตามลานวัดเริ่มออกดอกสีแดง สนสามสี่ต้นสลัดใบแห้งลงเกลื่อนลานหญ้า มะขามเทศต้นใหญ่ข้างโบสถ์จวนเจียนจะเหลือเพียงกิ่งก้านเปลือยเปล่า
โทนเผาบุหรี่หมดไปหลายมวน ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากหลายครั้ง เจ้าเพื่อนทั้งสองไม่ยอมโผล่หน้ามาสักที โทนขยับไหล่สองข้างและถอนใจอย่างอึดอัด
ลูกเรือจากหลายลำเดินผ่านลานวัดไปไม่ขาดสาย พวกเขาสะพายกระเป๋าหอบผ้าห่มและหมอนมุ่งหน้ากลับบ้านและที่พักพิง ส่งเสียงพูดคุยกันลั่น ท่าทางแต่ละคนเต็มไปด้วยความสุขหลายคนหันมาทางเรา ตะโกนถามโทน บางครั้งก็เป็นงานเป็นการ แต่บางทีก็หยอกเอินอย่างสนิทสนม โทนตะโกนตอบเสียงดังพอกัน เมื่อถูกระเซ้าหนักๆ เขาโต้ตอบด้วยถ้อยคำทะลึ่งตึงตังสองแง่สองามในแบบเดียวกัน
สายพ้นปากถนนลูกรังโผล่หน้าออกมาเป็นคนแรก ร่างเตี้ยล่ำของเขาก้าวฉับๆ ทิ้งห่างร่างสูงโย่งของเชนซึ่งหิ้วกระเป๋าและหมอนมาเต็มสองมือ สายหยุดยืนรอแล้วหันมองหลังครู่หนึ่ง กระทั่งเชนตามมาทันจึงสืบเท้าเดินต่อ ทั้งสองส่งยิ้มมาแต่ไกล ความร่าเริงฉายอยู่ในแววตา
สายหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโทน เชนวางข้าวของลงบนพื้นพลางสะบัดแขนสองข้างและเอี้ยวตัวบิดขี้เกียจ ใบหน้ายาวๆของเขาเหยเกเหมือนยังเมื่อยขบไม่หาย
โทนขว้างก้นบุหรี่ไปทางแม่น้ำ อารมณ์เขาไม่สู้ดีนัก ไม่พอใจที่เพื่อนทั้งสองมากันช้า ผมไม่อยากให้บรรยากาศเกิดความเคร่งเครียดจึงรีบเอ่ยถามเพื่อนทั้งสอง
“แบ่งกี่หมื่นวะ”
เชนยังยืนหอบหายใจ สายถุยน้ำลายลงบนพื้นสองครั้งติดๆแล้วเงยหน้าตอบ “ไม่ถึงห้าพัน”
“ยังดีกว่ากู” โทนว่า
“เหลือตัวตัวเลขหรอก” สายพูด “ค่าหม้อกินหมด”
“ไอ้เชนเหลือเยอะสิท่า” โทนหันไปถามเพื่อนร่างโย่ง
เชนกลอกตาเจ้าเล่ห์ หน้าเสี้ยมแหลมส่ายไปมา “ก็ตะเภาเดียวกับไอ้สายนั่นแหละ โดนสนุ๊กเกอร์แดกไปเกือบล่อนจ้อน”
“สันดานไม่เปลี่ยนนี่นะ” โทนแค่นเสียงดุ
เราหัวเราะพร้อมกัน นี่คือบาดแผลซึ่งติดสันหลังเรามานาน และจะยังคงเน่าเฟะเรื้อรังเช่นนี้ต่อไปอีกตราบที่ดวงอาทิตย์ยังขึ้นทางตะวันออก แต่เราพอใจและยอมรับแผลร้ายประจำชีวิต หากความเจ็บปวดนั้นแฝงความรื่นรมย์ไว้สักเล็กน้อย
กระเป๋าเสื้อของเชนกับสายยังตุงด้วยธนบัตรหลายราคา ผมเหลือบมองไปเห็นก็รู้ว่าเพื่อนพูดโกหกตามนิสัยเคยชิน พวกเขายังไม่หมดตัวตามที่เอ่ยปาก
เราลุกขึ้นพร้อมกัน โทนก้าวเดินนำหน้า ผ่านลานวัดเลี้ยวสู่ถนนลาดยาง พอมาถึงสะพานข้ามคลอง สายเอื้อมมือข้างหนึ่งมาบีบจมูกผมเบาๆ
“เฮ่ย...ไอ้จมูกมด” เขาว่า “มึงได้กลิ่นอะไรก็บอกเตือนกูบ้าง”
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก กลิ่นหอมแปลกๆ โชยจากที่ไหนสักแห่งทักทายความรู้สึกแล้วดิ่งลึกลงสู่หัวอก ผมอดตื่นเต้นไม่ได้
ผมร้องบอกเพื่อนๆ “เฮ้ยกลิ่นหอมว่ะ ทุกอย่างน่าจะดี”
โทนเดินนำหน้าไปไกล สายและเชนยิ้มให้กับคำพูดของผม เราสามคนต่างรู้สึกคล้ายกัน เรากำลังเดินสู่ความแปลกใหม่ ณ ที่ซึ่งสงบและงดงาม เต็มไปด้วยความอบอุ่นและมั่นคง ณ ที่ซึ่งสายรุ้งของความสุขสะบัดพริ้วอยู่เหนือหัวลม กังวานเพลงไพเราะขับกล่อมทั้งวันและคืน
แต่ทว่า คนอย่างเราควรหรือจะคาดหวังอะไรเกินตัว บทเรียนชีวิตในช่วงที่ผ่านมาสอนเราครั้งแล้วครั้งเล่า
ผมขอเพียงแค่ห้องเล็กๆที่ซุกหัวนอนแล้วไม่ฝันร้ายก็พอ
รายละเอียด
ฝั่งแสงจันทร์สองทศวรรษ
หนังสือพิมพ์ด้วยกระดาษบรู๊ฟเก่าจนเหลืองไปทั้งเล่ม ออกแบบปกโดยทองทัช เทพารักษ์ ทุกครั้งที่หยิบออกมาจากชั้นวางในตู้ไม้ริมห้องพัก ภาพความหลังเมื่อครั้งอดีตฉายขึ้นมาในความทรงจำ ไม่เพียงตัวละครที่ผมหยิบยืมมาจากชีวิตเพื่อน ๆ ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข บางคนในจำนวนนั้นก็ด่วนจากไปก่อนวัยอันควร ความเป็นมาสืบเนื่องก่อนจะเป็นนิยายเรื่องแรกในชีวิตการเขียน เรียกได้ทั้งรอยยิ้มเศร้า และรื้นน้ำตาที่คล้ายจะก่อตัวขึ้นมาอีกคำรบ
หวนนึกถึงห้องใต้หลังคาอันร้อนอบอ้าว พิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วเก่า ๆ ที่เวียนเข้าออกโรงรับจำนำแทบทุกเดือน โต๊ะทำงานขาหักไปข้าง เก้าอี้หัวโล้นไม่มีพนักพิง ด้วยข้อจำกัดของชีวิตและเครื่องมือเครื่องใช้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดเลยต่อการสร้างงาน บางวันนอนราบลงกับพื้น หลับไปงีบหนึ่ง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของตัวละครในเรื่องเหมือนฉายจากฟ้าไกล ประดุจแสงจันทร์เรื่อเรืองในคืนเพ็ญ และเป็นค่ำคืนที่ชาวเรืออวนดำต่างร่าเริงในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่พวกเขาผูกพัน
นิยายเรื่องแรกในชีวิต คุณคาดหวังอะไรกับมัน ผมเคยถามตัวเองในใจ แล้วก็นึกไปถึงถ้อยคำของไฮริช เบิร์น นักเขียนดังชาวเยอรมัน งานเขียนทุกชื้นล้วนมีความเสี่ยง ไม่ต่างอะไรกับโจรปล้นธนาคาร อาจได้ค่าตอบแทนเป็นเงินทองมากมาย หรือได้เพียงน้อยนิด หรือไม่ได้อะไรเลย แถมอาจถูกจับไปติดคุก และบางทีอาจถึงขั้นเสียชีวิตด้วยกระสุนปืนของตำรวจ
ความเสี่ยงของนักฝันแม้ไม่ถึงขั้นต้องถูกยิงตาย หรือต้องโทษประหารชีวิตในฐานะอาชญากร ถึงกระนั้นโอกาสและทางเดินที่จะก้าวไปบนถนนหนังสือก็ฝากไว้กับงานที่ทำออกมา
นิยายฝั่งแสงจันทร์ พิมพ์รวมเล่มออกมาวางแผงครั้งแรก เมื่อเดือนเมษายน 2540 ถึงบัดนี้ขวบวัยผ่านเลยมากว่าสองทศวรรษ ผ่านสายตาบรรณาธิการมาถึงสามสำนักพิมพ์ นอกจากนั้นยังได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยกระทรวงวัฒนธรรม และเคยเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของกระทรวงศึกษาธิการ
ฝั่งแสงจันทร์ฉบับภาษาอังกฤษนี้เองกลายเป็นของที่ระลึกที่ผมนำติดมือไปนครเซี่ยงไฮ้เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้กับเพื่อนๆ นักเขียนอีกเก้าชาติ ครั้งที่ได้รับเชิญไปร่วมพำนัก ในโครงการ Shanghai writing Program หนึ่งในนั้นคือคุณสุเนตรา นักเขียนอาวุโสชาวศรีลังกา ซึ่งเธอก็ใช้เวลาอ่านไม่นานก็มาขออนุญาตแปลเป็นภาษาสิงหล เพื่อจัดพิมพ์และจำน่ายในประเทศศรีลังกา โดยเธอลงทุนออกแบบปกด้วยตัวเอง
นอกจากเป็นนิยายไทยเรื่องแรกที่ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาสิงหลแล้ว ยังเป็นนิยายเรื่องเดียวของผู้เขียนงานที่ได้รับการแปลออกไปถึงสองภาษา
ล่วงถึงปี 2560 นิยาย ฝั่งแสงจันทร์ ผ่านกาลเวลามาสองทศวรรษ ถ้าเป็นชายก็ย่างสู่วัยหนุ่มแน่น ขณะหนังสือหายไปจากแผงมานาน ผู้เขียนหวังใจลึก ๆ เสมอมา ว่าคงได้พิมพ์ออกมานำเสนอผู้อ่านอีกครั้ง
ในการพิมพ์ครั้งใหม่ ผู้เขียนได้ปรับปรุงแกไขในด้านภาษาเพียงเล็กน้อย ไม่ได้แตะต้องในส่วนสำคัญอื่น ยังคงอรรถรสเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยหวังว่า ฝั่งแสงจันทร์ในวัยหนุ่มแน่นจะให้ความกระชุ่มกระชวยแก่การอ่าน สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตแก่คนรุ่นใหม่ และยังทะยานไปบนถนนหนังสือด้วยพลังที่ไม่เคยลดลง
ด้วยจิตคารวะ
ประชาคม ลุนาชัย
กรุงเทพมหานคร เมษายน 2560