Customer Reviews

4
ทำไมต้องให้
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หลักของหนังสือเล่มนี้ก็คือการเปิดใจให้กว้างเพื่อรู้จักให้ เพื่อกลายเป็นคนใจดี เพื่อจะได้มีความสุข (ใจแคบ-ใจกว้าง-ให้-ใจดี-มีความสุข) หลวงพ่อผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ทำงานด้านการให้ การเสียสละมาเป็นระยะเวลายาวนานนับสิบปี โดยเฉพาะเกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วยโรคติดต่อร้ายแรง ด้วยประสบการณ์และภาระหน้าที่ที่ท่านทำมาโดยตลอดดังกล่าว ทำให้ท่านมีแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับการให้ที่ผู้อ่านน่าจะได้ลองศึกษากัน เรื่องการสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ผู้ป่วยเอดส์ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ หลวงพ่อทำงานด้านผู้ป่วยเอดส์แบบครบวงจร ต้องดูแลเผื่อไปถึงเด็กที่ติดเชื้อเอดส์จากพ่อแม่ ตลอดจนเด็กกำพร้าที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ไป ให้ทั้งที่พัก ที่กิน ที่อยู่ แถมยังให้เงินเดือนอีก ข้อดีคือทำให้ผู้ป่วยไม่คิดฟุ้งซ่านเพราะมีงานทำตลอดเวลาและรู้สึกว่าชีวิตตัวเองยังมีคุณค่าอยู่ การให้ด้วยการช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ของหลวงพ่อดังกล่าวมานั้นเดิมทีเดียวก็ได้รับการต่อต้านจากชาวบ้านเพราะความไม่เข้าใจและรังเกียจผู้ป่วย ถึงขั้นไม่มีใครกล้ามาทำบุญที่วัด ลุกลามไปถึงขั้นมีการปล่อยข่าวว่าหลวงพ่อเป็นเอดส์ด้วยซ้ำ แต่หลวงพ่อก็อดทนทำโครงการต่อและสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ในที่สุด ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของการมีจิตใจเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง เป็นต้นแบบของการให้เลยก็ว่าได้
นอกจากการบอกเล่าเรื่องราวที่หลวงพ่อทำอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ก็เป็นส่วนที่เกี่ยวกับการอธิบายหลักธรรมว่าด้วยเรื่องการให้ เริ่มตั้งแต่การสร้างอุปนิสัยแห่งการให้ สมดุลของการให้ การให้ในรูปแบบต่างๆเช่นการให้แบบพ่อแม่ลูก การให้แบบคู่รัก การให้กำลังใจ การให้สติ เป็นต้น
อย่างเรื่องการสร้างอุปนิสัยแห่งการให้ด้วยการชนะใจตนเอง หมายความว่าหลายครั้งเมื่อเราให้ไปแล้ว นอกจากผู้รับจะไม่สำนึก ยังมานินทาลับหลัง ตั้งคำถามกับเราอีกว่าเราให้โดยมีเจตนาแอบแฝงอะไรทำนองนั้น ซึ่งหลวงพ่อก็บอกว่า ผ็ให้จะต้องชนะใจตนเองจากคำตำหนิ ดูถูกนินทาแบบนี้ให้ได้ คำพูดแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เราได้รู้จักฝึกฝนตนเองให้รู้จักอดทนอดกลั้น และรู้จักคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นซึ่งเป็นผู้รับมากกว่าอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เป็นการฝึกใจให้เข้มแข็งและรู้จักเสียสละ
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือการสร้างสมดุลการให้ หมาความว่าให้แล้วตัวเองและครอบครัวจะต้องไม่เดือดร้อน ต้องรู้จักจัดแบ่งการให้อย่างเหมาะสมทั้งเรื่องของเวลา กลังกายและกำลังทรัพย์ของตัวเอง แปลว่าการให้นั้นก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ที่ต้องฝึกให้เป็นแล้วต้องรู้จักให้อย่างพอดี
ข้อดีของหนังสือเล่มนี้คือการสื่อสารกับผู้อ่านในลักษณะของการพูดคุย สนทนาธรรม ด้วยภาษาง่ายๆสบายๆ ส่วนข้อด้อยก็คือความเข้มข้นและความเฉียบคมในเชิงเนื้อหายังน้อยอยู่ ถ้าเพิ่มส่วนนี้เข้าไปได้ก็จะเป็นหนังสือที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ข้อคิดเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย
4
ข้อคิดเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสัจธรรมของชีวิต แต่หลายคนก็ยังไม่เข้าใจความเป็นไปเช่นนี้ ทั้งๆที่เป็นเรื่องธรรมชาติและต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน จริงๆแล้วถ้าจะพูดให้ถูกต้องพูดว่าหลายคนไม่สามารถยอมรับความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความตายได้ เรื่องไม่อยากแก่ ไม่อยากตายในยุคสมัยนี้เห็นกันได้ชัดกว่าสมัยก่อนมาก ศัลยกรรมน่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนความคิดของคนในสังคมที่ให้คุณค่ากับความสวยความงามมากกว่าคุณค่าของการมีชีวิต เรื่องไม่อยากเจ็บนี่ก็เหมือนกัน เพราะปัจจุบันสิ่งแวดล้อมก็ดี อาหารการกินก็ดี หลายอย่างบั่นทอนสุขภาพกายและใจของเราไปอย่างมาก จึงเกิดสารพัดวิธีและเทคนิคต่างๆในการเสริมสร้างให้ร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ หลายวิธีก็จะดูจะพิสดารดีเหมือนกัน
หนังสือข้อคิดเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของอาจารย์คึกฤทธิ์เล่มนี้ เป็นหนังสือที่เขียนบอกเล่าเรื่องราวชีวิตที่แฝงแง่คิดและทัศนคติต่อการมีชีวิตหรือความเป็นไปในชีวิตของท่านในช่วงวัยต่างๆบนพื้นฐานของสัจธรรมดังกล่าว เป็นมุมมองหรือทัศนคติของอาจารย์ที่อ้างอิงหลักการในทางพุทธศาสนา ความคิดอ่านของท่านอาจารย์ในวัยชรา ย่อมมีความแหลมคมสมวัย แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นความคิดของคนแก่ที่ล้าสมัย หลายเรื่องที่ท่านอาจารย์พูดถึงมีความร่วมสมัยและสะท้อนความเป็นปัจจุบันของชีวิตยุคใหม่ได้ดีเลยทีเดียว ในช่วงบั้นปลายของชีวิตท่านอาจารย์เขียนไว้ในทำนองว่าให้เราเรียนรู้ที่จะรับสภาพที่เป็นคือเข้าใจว่าเราเป็นคนแก่แล้ว อย่าไปตั้งกฎเกณฑ์จุกจิก หรือเรียกร้องอะไรจากคนอื่นให้มากมาย ในทางตรงข้ามให้เราพยายามสร้างเงื่อนไขในชีวิตให้น้อยที่สุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามีเงื่อนไขในชีวิตมากเกินไป พอเราแก่ขึ้นไปเรื่อยๆเราก็จะหมดกำลังที่จะทำตามเงื่อนไขเหล่านั้น สุดท้ายเราก็จะเป็นทุกข์ และกลายเป็นคนแก่ที่ขี้กังวล หงุดหงิด ขี้บ่น ไม่มีใครรักใครเห็นใจ และถูกทอดทิ้งในที่สุด เรื่องการมีเงื่อนไขในชีวิตน้อยๆนี้ ผมว่าเป็นเรื่องที่คนหนุ่มสาวเองก็สามารถเอาไปปรับใช้ได้เหมือนกัน
อีกเรื่องหนึ่งที่อาจารย์พูดไว้อย่างน่าสนใจก็คือเรื่องกรรม อาจารย์บอกว่า กรรมเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่กฎ ไม่มีใครมาบัญญัติ เป็นเรื่องของความจริงตามธรรมชาติเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก เพราะฉะนั้นหลายคนที่ชอบบ่นว่าอุตส่าห์ทำดีมาทั้งชีวิตแล้วทำไมต้องมายากลำบากแบบนี้ คำตอบก็คือ “ก็เพราะมึงไม่ได้ทำความดีจริงอย่างที่มึงนึกนะสิ” เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นตัวตนของอาจารย์ว่าท่านเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนแก่ที่ไม่ใช่แก่แล้วแก่เลย แต่เป็นคนแก่ที่ยังหนุ่มทางความคิดอยู่ตลอดเวลา การอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การอ่านว่าท่านคิดอย่างไรในเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่เป็นการอ่านเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองเมื่อวันที่สิ่งเหล่านั้นจะมาถึง เป็นการเรียนรู้เพื่อเตรียมตัวเองจากประสบการณ์ของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปี
4
ความสุข 3 อย่างสร้างได้
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาการมีชีวิตที่มีความสุข ซึ่งผู้เขียนแบ่งความสุขในชีวิตออกเป็นสามประเภทหรือจะเรียกว่าแบ่งความสุขออกเป็นสามระดับก็ได้ ความสุขประเภทแรกคือความสุขทางกาย ตามความเข้าใจแบบง่ายๆ เมื่อพูดถึงความสุขทางกายเรากะมักจะนึกถึงอยู่แค่ไม่กี่อย่าง เช่นเรื่องเงินทองและวัตถุสิ่งของต่างๆ เรียกว่ายิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ผู้เขียนได้พยายามอธิบายขยายความคำว่าความสุขทางกายออกไปว่า ความสุขทางกายนั้นมีลักษณะสำคัญอย่างไร ซึ่งสรุปได้ว่าความสุขทางกายนั้นเป็นความสุขที่สามารถวัดเป็นตัวเลขหรือข้อมูลได้ มักหายไปเร็ว และไม่เคยพอ แล้วก็เสนอวิธีแก้หรือสร้างสุขทางกายว่าให้รู้จักพอ รู้จักยอม ไม่เปรียบเทียบ ต้องรู้จักสร้างสมดุลในการทำงาน และดูแลสุขภาพกายและใจให้ดี คิดว่าเนื้อหาส่วนนี้ดูน้อยไปหน่อย เป็นการอธิบายแค่เพียงหลักการสั้นๆ ซึ่งปัญหาเรื่องความสุขทางกายนั้นอยู่ที่การปรับใจไม่ได้มากกว่าที่จะไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร
ความสุขอย่างที่สองก็คือความสุขทางใจ ซึ่งผู้เขียนสรุปว่าความสุขทางใจนั้นเกิดจากความรักและมิตรภาพ ซึ่งความรักและมิตรภาพนั้นมีสองอย่างคือความรักแบบเซ็กส์และความรักแบบไม่พิศวาสหรือแบบไม่มีเซ็กส์ ซึ่งวิธีการสร้างความสุขทางใจแบบที่เขียนไว้นั้นมีหลายวิธีมาก แต่รู้สึกว่าเป็นวิธีการที่จับต้องไม่ค่อยได้และไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เกิดความสุขทางใจได้จริง เช่นผู้เขียนบอกว่าให้เราบอกกับตัวเองช้าๆชัดๆระหว่างวิ่งออกกำลังกายว่า “ฉันมีความรัก ฉันมีความอ่อนโยน”
ความสุขอย่างที่สามก็คือความสุขทางวิญญาณ เป็นความสุขที่อ้างอิงกับความเชื่อในทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับการทำกรรมดี กรรมชั่ว เพื่อให้ส่งผลถึงวิญญาณและการเวียนว่ายตายเกิด ในส่วนนี้จะเข้าใจยากมากที่สุด
แต่มีส่วนหนึ่งที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือเรื่องตารางสัดส่วนของความสุขที่ควรสร้างในแต่ละช่วงชีวิต ซึ่งเป็นตารางที่แสดงข้อมูลว่าในแต่ละช่วงวัยตั้งแต่เด็กจนโตนั้น เราควรมีความสุขแต่ละประเภทในสัดส่วนเท่าไหร่ และควรทำงนหนักเบาแค่ไหน
มีอีกเรื่องหนึ่งที่อ่านแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ก็คือเรื่องแนวคิดและวิธีการสร้างสุขทางใจด้วยการคิดและรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขบ่อยๆ ผู้เขียนบอกว่าวิธีการก็ง่ายนิดเดียวคือให้คิดเหมือนว่ากำลังได้รับความสุขนั้นจริงๆ จินตนาการออกมาเป็นภาพได้เลยยิ่งดี ไม่ว่าจะเป็นสุขจากการได้เงิน ได้ความรัก หรือมีรูปร่างดี สิ่งที่สงสัยก็คือวิธีการแบบนี้จะเรียกว่าเป็นการหลอกตัวเองได้รึเปล่า ถ้าเป็นการหลอกตัวเอง การสร้างความสุขด้วยวิธีการแบบนี้บ่อยๆจะทำให้เรามีความสุขแบบยั่งยืนได้จริงๆหรือ อีกอย่างหากให้จินตนาการเรื่องการมีเงินมีทองมากๆ การมีรูปร่างหน้าตาที่ดี แบบนี้น่าจะเรียกว่าเป็นสุขทางกายมากกว่าจะเป็นสุขทางใจ
สรุปก็คือหนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะกับการเป็นเครื่องมือเล็กๆที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความสุขในรูปแบบต่างๆได้ง่ายขึ้น เป็นเหมือนไกด์ไลน์ให้นำไปทดลองมากกว่า
ทำไมชีวิตต้องติดกรรม
4
ทำไมชีวิตต้องติดกรรม
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความคิดที่เลือกอ่านหนังสือของริว จิตสัมผัส เล่มนี้คือ อยากจะลองเปิดใจอ่านหนังสือธรรมะ ซึ่งเขียนโยบุคคลที่ถูกปรามาศว่าหากินกับความเชื่องมงายเรื่องผีสางเทวดาว่าเป็นอย่างไร ตัวเองจะสามารถอ่านจนจนบโดยไม่มีอคติได้หรือไม่ และจะเชื่อถือสิ่งที่ริวเขียนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์ของริวผู้เขียนที่ปรากฏตามรายการโทรทัศน์ต่างๆนั้นมักจะเห็นเขาในรูปแบบของบุคคลที่มีญาณวิเศษ สามารถติดต่อสื่อสารกับภูตผีหรือวิญญาณได้ ขนาดในคำนำของหนังสือเล่มนี้ยังเรียกริวว่า ผู้เป็นสื่อกลางส่งผ่านสารจากเทพเจ้า ภาพลักษณ์ในทางลบของริวดังกล่าวน่าจะเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้ เพราะริวกำลังเขียนในเรื่องที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งควรถูกเขียนโดยคนที่น่าเชื่อถือหรือไม่อย่างนั้นก็ควรจะมีความโดดเด่นในแง่เนื้อหาทางธรรมเข้ามาชดเชย จึงจะสามารถจูงใจให้ผู้อ่านคล้อยตามสิ่งที่ริวต้องการจะสื่อสารได้ อย่างไรก็ตามเมื่อได้พลิกอ่านเนื้อหาข้างในของหนังสือก็พอจะเห็นข้อดีของหนังสือเล่มนี้คือ อ่านง่าย ใช้ภาษาธรรมดาๆไม่เป็นวิชาการมากเกินไป ข้อเด่นอย่างที่สองก็คือ ริวเลือกที่จะเน้นเขียนเฉพาะหลักการ ซึ่งหมายความว่าคนทั่วไปที่พอมีความรู้อยู่บ้าง อาจจะไม่จำเป็นต้องมีความรู้ลึกซึ้งในทางพุทธศาสนาก็สามารถอ่านเข้าใจหรือที่ถูกคือเข้าใจอยู่ก่อนแล้วว่าต้องเป็นเช่นนั้นตามหลักเหตุผล เลยทำให้หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะเหมาะกับผู้อ่าประเภทที่งมงายโดยสิ้นเชิง ไม่มีพื้นฐานความเข้าใจในหลักการทางพุทธมาเลย ถึงขนาดที่ต้องมานั่งอธิบายว่ากรรมคืออะไร อะไรคือกรรมดี กรรมไม่ดี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าหนังสือยังมีจุดอ่อนในเรื่องความคมคายและความลึกซึ้งของเนื้อหา ไม่เหมาะสำหรับคนที่อ่านหรือศึกษาเรื่องราวของธรรมะมาพอสมควร แต่เหมาะกับคนที่ไม่มีอคติกับผู้เขียนและมีพื้นฐานความเข้าใจพุทธศาสนาไม่มาก
นอกจากนี้ริวยังไม่ทิ้งภาพของผู้หยั่งรู้สิ่งเหนือธรรมชาติ การอธิบายเรื่องกฎแห่งกรรมของเขา การอธิบายเรื่องการทำบุญทำทานต่างๆยังคงเชื่อมโยงกับผี วิญญาณและเจ้ากรรมนายเวร ไม่ใช่คำอธิบายที่มุ่งเน้นไปที่สาระของการปฏิบัติ เป็นการอธิบายเรื่องบุญ บาป ในลักษณะของการลงทุนที่ต้องได้อะไรตอบแทน เมื่อต้องอธิบายเรื่องเหนือธรรมชาติ ก็ไม่ได้อธิบายในรายละเอียดอนลย่างตรงประเด็น เช่นถามว่าเจ้ากรรมายเวรที่มองไม่เห็นมีอยู่จริงมั้ย ริงก็จะตอบว่ามีอยู่จริง แต่อยากให้โฟกัสในเรื่องของความเป็นจริงก่อน
โยสรุปคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงมุมมองที่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยคนๆหนึ่งเท่านั้น เรื่องที่เป็นหลักการตามเหตุตามผลก็มีเขียนไว้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือคำอธิบายของริวในเรื่องเหนือจริงต่างๆนั้นมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด สามารถนำไปอ้างอิงได้หรือไม่ การยกพุทธประวัติมาอ้างอิงประกอบมีความถูกต้องแม่นยำแค่ไหน มีการตีความถูกต้องตามความหมายที่ควรจะเป็นรึเปล่า เรื่องเหล่านี้ยังคงเป็นคำถามที่ผู้อ่านยังสงสัยอยู่
4
จิตแจ่มใส ใจเบาสบาย
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การแสวงหาความสุขในโลกยุคปัจจุบันนั้น ยากพอๆกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยก็ว่าได้ กว่าจะได้สุขมานั้นสำหรับบางคนแล้วมันช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะต้องมุมานะทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาซื้อความสุข ทัศนคติแบบนี้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไปโดยเฉพาะคนในสังคมเมือง แต่จริงๆแล้วนั่นไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเลย เพราะถ้าคิดว่าเงินคือความสุขหรือสามารถซื้อความสุขได้แล้วละก็ คุณมีเงินเท่าไหร่ก็คงไม่พอ มีวิธีการที่ง่ายกว่านั้นมากในการหาความสุขใส่ตัว เป็นการสร้างความสุขโดยไม่ต้องลงทุนหรือไม่ต้องใช้เงินซักบาทเดียว นั่นคือการสร้างสุขจากใจตัวเอง
การสร้างความสุขจากใจตัวเองนี้ ดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องอุดมคติมาก และอาจมองว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อสำหรับบางคนด้วยซ้ำ แต่เอาเข้าจริงๆความสุขของคนเราก็ต้องเริ่มมาจากสุขที่ใจด้วยกันทั้งนั้น หนังสือจิตแจ่มใส ใจเบาสบายเล่มนี้จึงให้ความสำคัญกับวิธีการที่จะทำให้จิตและใจของเรานั้นผ่อนคลาย โล่งสบาย ปราศจากอารมณ์ขุ่นมัวต่างๆที่จะฉุดรั้งเราไว้ให้จมอยู่กับความทุกข์ พูดง่ายๆก็คือเป็นหนังสือที่จะสอนให้ผู้อ่านรู้จักการออกกำลังจิตใจให้แข็งแรง เพราะเมื่อเราออกกำลังให้จิตใจเราเข้มแข็ง แข็งแรงแล้ว ความสุขทั้งกายและสุขทั้งใจก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ครอบคลุมเรื่องราวของการปรับใจและทัศนคติที่รอบด้าน โดยผู้เขียนจะใช้วิธีการเล่าเรื่องราวอุทาหรณ์ก่อน แล้วดึงเอาข้อคิดที่ได้จากเรื่องตัวอย่างเล่านั้นออกมาสรุปให้ผู้อ่านได้อ่านกัน ด้วยวิธีการแบบนี้ทำให้อ่านแล้วรู้สึกว่าหนังสือไม่ได้พูดถึงหลักการมากจนเกินไป แต่เป็นการวางหลักการจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ทำให้อ่านแล้วรู้สึกว่าสามารถนำไปทดลองทำได้ แล้วก็จูงใจคนอ่านได้ดีในการที่จะทดลองทำตาม
เรื่องที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผมคือเรื่อง ชีวิตที่ขาดมะนาวไม่ได้ ผู้เขียนเล่าว่าอาจารย์สอนวิชาปรัชญาเอาขวดโหลใบหนึ่งมาใส่มะนาวลงไปจนเต็มแล้วถามนักศึกษาว่าขวดเต็มหรือยัง นักศึกษาตอบว่าเต็มแล้ว จากนั้นอาจารย์ก็เทกรวดลงไปอีกจนเต็มช่องว่างระหว่างลูกมะนาว แล้วก็ถามว่าขวดเต็มหรือยัง นักศึกษาทุกคนตอบว่าเต็มแล้ว จากนั้นอาจารย์ก็เอาทรายเทลงไปอีกจนเต็ม แล้วก็ถามว่าขวดเต็มหรือยัง นักศึกษาก็ตอบว่าเต็มแล้ว จากนั้นอาจารย์จึงเททุกอย่างออกจนหมด แล้วจึงใส่ทรายลงไปจนเต็ม แล้วก็ชูขวดขึ้นถามนักศึกษาว่ามีใครสามารถใส่มะนาวกับกรวดลงไปได้อีกบ้าง นักศึกษาทุกคนต่างส่ายหัว ในที่สุดอาจารย์ก็เฉลยว่า มะนาวก็เหมือนสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนั่นคือครอบครัว ความดี ความงาม ความสุขใจ กรวดคือสิ่งที่สำคัญรองลงมาคือวิชาความรู้ อาชีพการงาน และทรายคือสิ่งละอันพันละน้อยที่ช่วยเติมสีสันให้ชีวิต แม้ขาดไปก็ไม่ถึงกับทำให้เป็นทุกข์ ชีวิตเราก็เหมือนกับขวดโหล ชีวิตขิงเราจะใส่ทุกอย่างได้ครบถ้วนสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเราให้เวลากับสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน เป็นการสอนการจัดการชีวิตที่เห็นภาพและเข้าใจง่ายมากๆ
4
บินไปนอกปอกเปลือกฝรั่ง
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การท่องเที่ยวต่างประเทศคงเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคน โดยเฉพาะคนทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่แทบจะหาเวลาหยุดยาวพักผ่อนกับแทบจะไม่ได้เลย เรียกว่าทำงานหาเงินแต่แทบจะไม่ได้ใช้ทำอะไร การไปต่างประเทศก็เหมือนกับการได้หนีไปจากความจำเจแบบเดิม หนีจากโลกใบเก่าไปเปิดหูเปิดตากับโลกใบใหม่ เพื่อชาร์จแบตให้กับตัวเอง แต่อย่างว่านอกจากคนส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องเวลาไม่มีจะไปไหนแล้ว เรื่องงบประมาณที่จะไปเที่ยวต่างประเทศนี่ก็เป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งเหมือนกัน บางคนทำงานเก็บเงินเป็นปีๆ กว่าจะได้ไป พอไปจริงก็ผิดหวัง เพราะต้องไปกับกรุ๊ปทัวร์ ไม่ได้ไปในที่ๆตัวเองอยากไปจริงๆ
เพราะฉะนั้นวิธีการที่ง่ายกว่า ประหยัดกว่า แต่สนุกไม่แพ้กันก็คือการหาหนังสือท่องเที่ยวดีๆซักเล่มมาอ่าน ก็น่าจะช่วยให้เราท่องเที่ยวไปในโลกกว้างได้ไม่แพ้การไปด้วยตัวเอง แม้จะไม่ได้บรรยากาศจริงๆแต่อย่างน้อยการได้อ่านประสบการณ์ของคนอื่นก่อนที่จะออกเดินทางเองก็น่าจะช่วยให้เรามีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นก่อนการออกเดินทางของเรา
บินไปนอกปอกเปลือกฝรั่ง เป็นหนังสือท่องเที่ยวอีกหนึ่งเล่มที่เน้นการเล่าเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากการไปท่องเที่ยวต่างแดน ในแบบฉบับที่อ่านเพลิน อ่านง่าย อ่านสนุก เป็นแนวการท่องเที่ยวที่ไม่เน้นความหรูหราไฮโซ กินของดีราคาแพง แต่เน้นไปที่การสัมผัสกับวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ และไลฟ์สไตล์ของคนท้องถิ่นจริงๆ ซึ่งผมว่าถ้าผู้อ่านชอบการท่องเที่ยวแบบนี้รับรองไม่ผิดหวัง เพราะแน่นอนว่าคงมีไม่กี่คนที่จะเที่ยวแบบนี้ได้และสามารถถ่ายทอดเรื่องราวสนุกๆออกมาได้แบบนี้ อย่างเรื่องฝรั่งหน้าลาว นี่ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าประเทศในยุโรปแถบแสกนดิเนเวียก็มีเรื่องของการดูถูกดูแคลนเพื่อนบ้านไม่ต่างจากประเทศไทยที่ดูถูกคนเขมรหรือลาว ที่นั่นสวีเดนคือไทย นอร์เวย์คือลาว ในขณะที่ฟินแลนด์คือพม่า คนสวีเดนเลยดูดีมีภาษีที่สุด มีคนหล่อคนสวยมากกว่านอร์เวย์กับฟินแลนด์ อีกเรื่องที่น่าสนใจคือเรื่องมิจฉาชีพ ในยุโรปใช่ว่าจะไม่มีโจรผู้ร้าย นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวที่นั่น โดยเฉพาะชาวเอเชียหัวดำอย่างเรา คือเป้าหมายหลักของเหล่ามิจฉาชีพเลยทีเดียว เรื่องแหล่งขายบริการในฟินแลนด์และเยอรมนีที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังก็ทำให้รู้ว่า ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่มีชื่อเสียงด้านนี้ แต่ฝรั่งเค้าก็ใช้สถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้เป็นจุดขายเหมือนกัน เรื่องราวด้านมืดอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือยาเสพติด ในยุโรปผู้เขียนเล่าว่ามีหลายประเทศที่การขายยาเสพติดและของเถื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้เขียนบอกว่าในสวิตเซอร์แลนด์มีคนติดยาตายโดยเฉลี่ยวันละ 10 คนเลยทีเดียว
จะเห็นว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ไม่ไดนำเสนอเรื่องราวธรรมดาๆทั่วๆไปตามแบบฉบับหนังสือท่องเที่ยวว่าที่ไหนสวย น่าไป มีประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้าง แต่เป็นการเล่าเรื่องราวในอีกมุมหนึ่งที่มีทั้งด้านดีและด้านที่ไม่ดี เป็นของจริงที่นำมาเล่าสู่กันฟัง ก็ทำให้อ่านแล้วได้แง่มุมใหม่ๆ เปิดโลกทัศน์การท่องเที่ยวได้ดีเลยทีเดียว
5
ว่ายทวนน้ำ ฝ่ากระแสทุนด้วยกระแสธรรม
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ท่ามกลางกระแสทุนนิยม ที่เน้นการบริโภคและการกอบโกยเอาผลประโยชน์เข้าตัวหรือเข้าองค์กรมากๆ กระแสในเรื่องความพอเพียงก็เริ่มเกิดขึ้นมาในสังคมไทย และนับวันจะเริ่มก่อตัวสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็คงด้วยเหตุที่ความพอเพียงนั้นโดยตัวของมันเองก็มีคุณสมบัติที่ดีอยู่แล้วสำหรับคนที่ปฏิบัติได้ ความพอเพียงยังสามารถแพร่ขยายความสุขไปยังสังคมรอบข้างได้ง่ายด้วย หมายความว่าลักษณะของสังคมที่มีความพอเพียงนั้น ผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมจะอยู่ด้วยกันด้วยความช่วยเหลือเกื้อกูลมากกว่าที่จะแก่งแย่งแข่งขันเอารัดเอาเปรียบกัน อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมบริโภคนิยมในปัจจุบันนี้ โดยลักษณะของความพอเพียงดังกล่าว ทำให้เราเห็นได้ว่าความพอเพียงนั้นมีความสอดคล้องต้องกัน หรือมีความใกล้ชิดอย่างมากกับหลักการในทางพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของหนังสือว่ายทวนน้ำ ฝ่ากระแสทุน ด้วยกระแสธรรม เล่มนี้ ซึ่งหลักใหญ่ใจความก็คือการอธิบายการมีวิถีชีวิตแบบพอเพียงซึ่งประกอบด้วยธรรมท่ามกลางกระแสแห่งการบริโภค โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการแสงหาความสุขที่ยั่งยืน
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนสำคัญคือส่วนของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล และส่วนของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ในส่วนของพระอาจารย์ไพศาลนั้น เนื้อหาที่น่าสนใจคือเรื่องพอเพียงแค่ไหนถึงจะพอ พระอาจารย์อธิบายว่า พุทธศาสนานั้นไม่ได้สอนให้เราปฏิเสธความสบาย ในทางตรงกันข้าม ยังมีหลักธรรมเรื่องสัปปายการี ที่สอนให้เราทำในสิ่งสบาย หรือการทำตนให้สบาย นั่นหมายความว่าความพอเพียงไม่ได้แปลว่าต้องอยู่อย่างจำกัดจำขี่ อย่างอดๆอยากๆ แต่ความสบายแบบพุทธศาสนานั้นแม้จะเป็นความสบายทางกายหรือความสุขทางกายแต่ก็ต้องเป็นไปในทางที่จะเกื้อกูลความสบายหรือความสุขทางสติปัญญาด้วย ความแตกต่างระหว่างความสุขหรือความสบายของพุทธศาสนากับลัทธิบริโภคนิยมนั้นก็คือ บริโภคนิยมถือว่าความสบายเป็นเป้าหมายในตัวมันเอง ยิ่งสบายเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น และจะไม่หยุดดิ้นรนแสวงหาสิ่งอื่นที่สบายกว่า แต่พุทธศาสนาบอกว่าเราไม่ควรหยุดแค่ความสบายทางกาย เราควรไปให้ถึงความสุขทางจิตใจและสติปัญญาด้วย นั่นแปลว่าในทางพุทธกำลังสอนเราว่าให้เรารู้จักพอกับความสบายทางกายนั่นเอง ลดความสุขความสบายที่เกิดจากการมีทรัพย์มากลง อย่ายึดติดกับหลักคิดที่ว่ายิ่งมีทรัพย์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
ในส่วนเนื้อหาของพระอาจารย์ ว.นั้นที่คิดว่าน่าสนใจก็คือเรื่องวิธีการกำจัดกิเลสตัณหา โดยยึดหลักว่ารู้จักพอ รู้จักพัฒน์ และรู้จักภาวนา รู้จักพอก็มีความหมายดังที่ได้กล่าวมาแล้วในส่วนของพระอาจารย์ไพศาล รู้จักพัฒน์ก็หมายความว่ารู้จักพัฒนาความอยากของตนเองให้มีรสนิยมสูงขึ้นจากความอยากทางวัตถุไปสู่ความอยากในเชิงที่สร้างสรรค์ดีงาม ส่วนรู้จักภาวนานั้นก็หมายความว่าการฝึกใจให้ก้าวข้ามความอยากทุกรูปแบบและใช้ชีวิตโดยปราศจากกิเลศใดๆมาครอบงำ
4
แกะรอย DNA
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Dna คือคำที่เราได้ยินคุ้นหูตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะในเวลาที่มีข่าวเกี่ยวกับอาชญากรรม หรือเรื่องราวที่เป็นคดีความแล้วต้องใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาพิสูจน์ สืบสวน สอบสวนกัน แต่แม้ว่าเราพอจะเข้าใจคร่าวๆว่า dna มีความสำคัญอย่างไรต่อเรื่องดังกล่าว แต่ถ้าจะให้อธิบายก็คงเป็นเรื่องยากไปซักหน่อย สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีพื้นฐานความรู้ด้านนี้มาก่อน แกะรอย dna จึงเป็นเหมือนคู่มือที่จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมและความสำคัญของ dna มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าหากพูดถึงเรื่อง dna และการสืบสวนสอบสวนในแนวนิติวิทยาศาสตร์แล้ว สำหรับประเทศไทยคงจะนึกถึงใครไปเสียไม่ได้ นั่นคือ แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ แพทย์หญิงชื่อดังที่เราต่างรู้จักกันดี
เรื่องราวของ dna โดยตัวของมันเองแล้ว ถ้าผู้อ่านไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือนักศึกษาที่สนใจในเรื่องทำนองนี้ ก็คงไม่น่าสนใจอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ dna กลายเป็นเรื่องที่หลายคนพูดถึง และเป็นที่มาของการเขียนหนังสือเล่มนี้ ก็คือบทบาทของมันในการถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสืบค้นหาความจริงในกรณีต่างๆ เช่นเรื่องการพิสูจน์สายเลือดของคนในครอบครัว การสืบหาตัวฆาตกรในคดีข่มขืน หรือในคดีอาชญากรรมต่างๆ
หนังสือเล่มนี้เริ่มเรื่องด้วยการอธิบายว่า dna คืออะไร อยู่ตรงไหน มีประโยชน์ยังไง มีจำนวนเท่าไหร่ เราสามารถมองเห็นมันได้มั้ย การกำเนิดของ dna และหน้าที่ของมัน ซึ่งถ้าอ่านจากคำถามแล้วก็อาจจะดูเหมือนเป็นหนังสือที่อ่านยากเพราะเต็มไปด้วยคำถามที่ออกแนววิชาการเกินไปหน่อย แต่ในความเป็นจริงแล้วเนื้อหาของหนังสือไม่ได้ยากอย่างที่คิด เป็นคำอธิบายที่เข้าใจง่ายโดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานทางชีววิทยามาก่อนแต่อย่างใด ส่วนต่อไปจะเป็นการพูดถึงการใช้ประโยชน์จาก dna ในการตรวจหาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก โดยประสบการณ์ตรงจากหมอเองเลย ถ้าพอจำกันได้ก็คือกรณีของอดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง มนสิทธิ์ คำสร้อยนั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีของพระ ของดาราตลก เป็นต้น ซึ่งอ่านสนุกดี แถมยังได้เห็นมุมมองในการทำงานของหมอในด้านต่างๆที่ยังไม่เคยเห็นมาก่อนอีกด้วย
นอกจากเรื่องของการตรวจ dna เพื่อพิสูจน์ว่าใครเป็นลูกใครแล้ว แน่นอนที่สุดหนังสือเล่มนี้ต้องมีเรื่องราวของคดีฆาตกรรมที่ต้องใช้ dna เข้ามาเกี่ยวข้อง อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูหนัง csi อะไรทำนองนั้น หมอยังเล่าถึงเรื่องของการตรวจ dna แบบแปลกๆ ซึ่งอ่านไปก็อดอมยิ้มไม่ได้ เช่นการตรวจพิสูจน์ dna ของแมวจากกรณีที่เจ้าของแมวตัวผู้ตกลงกับเจ้าของแมวตัวเมียว่าจะให้แมวทั้งสองผสมพันธุ์กันเพื่อขยายพันธุ์ขาย เจ้าของแมวตัวผู้เลยเอาแมวของตัวเองไปฝากไว้ที่เจ้าของแมวตัวเมีย อยู่ช่วงหนึ่ง แต่เจ้าของแมวตัวเมียก็เอามาคืนอ้างว่ามันไม่ผสมพันธุ์กัน แต่พอเวลาผ่านไปปรากฏว่าแมวตัวเมียกลับออกลูกมาหลายตัว เจ้าของแมวตัวผู้เลยกลัวว่าจะถูกหลอกเลยต้องการตรวจ dna เพื่อพิสูจน์
ยังมีเรื่องราวสนุกๆอีกมากในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งรับรองว่าอ่านแล้วได้สาระปนความสนุกแน่นอน
5
สุขกันเถอะโยม
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ถ้าจะพูดถึงการอ่านหนังสือธรรมะแล้วละก็หลายต่อหลายคนคงส่ายหน้าไม่อยากอ่านกัน เหตุผลก็คงไม่ต่างกันคือ น่าเบื่อ อ่านแล้วหลับ อ่านแล้วไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเด็กๆวัยรุ่นด้วยแล้วละก็ ส่วนใหญ่คงแทบจะไม่ได้เคยหยิบหนังสอธรรมะขึ้นมาอ่านเลย ธรรมะก็เลยกลายเป็นของที่เหมือนจะสงวนไว้สำหรับคนวัยไม้ใกล้ฝั่ง วัยที่เริ่มปลงกับชีวิตแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะธรรมะเป็นเรื่องของคนทุกเพศทุกวัย เป็นเรื่องที่ทำให้สนุก ไม่น่าเบื่อ ได้
หากจะลองนึกถึงพระนักเทศน์รุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการบรรยายธรรม นอกเหนือไปจากพระรุ่นเก๋าอย่างพระพะยอม และพระอาจารย์ ว.วชิรเมธีแล้ว หลายคนก็คงนึกถึงพระอาจารย์สมปอง ตาลปุตโต ด้วยสไตล์การสอนธรรมะที่เน้นความฮาปนสาระ ทำให้พระอาจารย์สมปองกลายเป็นพระนักเทศน์ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ก็คงเป็นเพราะงานที่พระอาจารย์สมปองทำอยู่นั้น เน้นการสื่อสารธรรมะกับคนรุ่นใหม่ ทั้งที่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ ประกอบกับการเผยแพร่ผ่านทางสื่อช่องทางต่างๆหลากหลายช่องทาง ทำให้สไตล์การสอนธรรมะแบบฉบับของพระอาจารย์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว อันที่จริงถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเพราะความที่พระอาจารย์เป็นคนตลก เฮฮา เข้าถึงง่ายมากกว่า จึงทำให้คนที่ไม่เคยสนใจธรรมะหันกลับมาติดตาม แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้มีพื้นฐานที่สนใจเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่การสอนเรื่องยากๆให้สนุกแบบพระอาจารย์ก็สามารถช่วยให้คนที่ไม่สนใจหันมาสนใจมากขึ้นได้
หนังสือเล่มนี้เป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตของพระอาจารย์สมปองตั้งแต่ในวัยเด็กว่าท่านเติบโตมาอย่างไร ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่อย่างไร ที่สำคัญคือจุดหักเหที่ทำให้ท่านตัดสินใจบวชและอยู่ในผ้าเหลืองมาจนถึงปัจจุบัน การเรียนรู้ชีวิตของท่านนอกจากจะเป็นการเรียนรู้ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแล้ว ยังเป็นการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่มีธรรมะติดตัวตลอดเวลา อ่านแล้วได้ข้อคิด มุมมองใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองได้ และที่สำคัญคออ่านสนุก ตามสไตล์ธรรมะเดลิเวอรี่ ความน่าสนใจที่สุดสำหรับหนังสือเล่มนี้น่าจะอยู่ที่ภาคพิเศษของหนังสือ เป็นภาคที่ว่าด้วยการที่คนดังในแวดวงทีวี มีข้อสงสัยในเรื่องต่างๆแล้วตั้งคำถาม ถามพระอาจารย์สมปอง เช่นคุณอี้ แทนคุณ คุณไก่ มีสุข ผู้ประกาศข่าวช่องสาม คุณสังข์ 108 มงกุฎ คุณทอดด์ ทองดี และครูมืด ประสาท ทองอร่าม ซึ่งหลายคำถามก็น่าสนใจดี คำตอบของพระอาจารย์หลายคำตอบก็น่านำมาคิดต่อ อ่านแล้วได้ความฮาปนสาระแน่นอน
www.batorastore.com © 2024