อาญาลวง (เทเรน่า/ลินิน) (EBOOK)

อาญาลวง (เทเรน่า/ลินิน) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 3333333
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 250.00 บาท 62.50 บาท
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

อาญาลวง

ตอนที่ 1.

 

ปณาลีถือไม้กวาดในมือค้างเอาไว้ ตาจับจ้องภาพดาราสาวที่กำลังดังมากขณะให้สัมภาษณ์กับนักข่าวก่อนเข้าไปในงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ ทางเดินสุดตาคือพรมแดง  หญิงสาวมองอย่างหลงใหลกับความหรูหราของภาพมายาแล้วหลับตาลง นึกภาพตัวเองกำลังยืนให้สัมภาษณ์แทนที่ดาราสาวคนนั้น

“ไม่หวังมากกับรางวัลนั้นหรอกค่ะ หยกทำตามหน้าที่ของนักแสดงที่ดีเท่านั้น แต่ถ้าได้มาก็ถือเป็นรางวัลของการเป็นนักแสดง” หญิงสาวหลับตาตอบคำถาม จินตนาการไปว่าตอนนี้มีกล้องนับสิบรุมล้อม จึงได้เท้าสะเอวโพสท่า ฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงใบหู

“นังหยก!” เสียงแหลมเล็กนั้นดังขึ้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง ลืมตาขึ้นโดยฉับพลัน

“โธ่แม่! มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมด” ปณาลีทำหน้าขัดใจ กระแทกกระทั้นไม้กวาดในมือกวาดจนฝุ่นกระจายฟุ้งตลบจนคนเป็นแม่ต้องถอยหลบ

“นังหยก กวาดดีๆ สิวะมึง เดี๋ยวเถอะกูจะบอกพ่อมึงเอาเลือดหัวออก กำเริบใหญ่แล้วนะ” ประดับชี้หน้าแล้วมองไปยังจอโทรทัศน์ “อ๋อ…นี่คงกำลังฝันกลางวันอยู่ละสิ ถุย…ไม่ได้หวังกับรางวัลหรอกค่ะ ทำหน้าที่เป็นนักแสดงที่ดี น้ำหน้าอย่างมึงนะเหรอวะจะเป็นนักแสดงที่ดี”

คนเป็นแม่หัวเราะร่วนอย่างขบขันทำให้ปณาลีหน้ายุ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตแม่ไม่เคยให้กำลังใจอะไรเธอสักอย่าง คอยแต่ทับถมจนเธอต้องตวัดสายตามาหา หน้ายุ่ง

“แม่ ฉันถามจริงๆ เถอะนะ”

“ถามอะไร ให้มันมีสาระนะมึง” ประดับชี้หน้า เดินไปปิดโทรทัศน์ “เปลืองไฟ หาเงินหาทองเองยังไม่ได้อย่ามากระแดะกวาดบ้านไปดูทีวีไป”

“จะอะไรนักหนาแม่ แค่ดูทีวีแค่นี้มันจะกี่สตางค์กันเชียว ถามจริงๆ เถอะ แม่เป็นแม่ของฉันจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย” หญิงสาวย้อนถาม สีหน้าอยากรู้จริงจัง

“อีหยก…นี่มึงดูละครมากไปหรือเปล่าฮะ มึงคิดว่าตัวมึงเป็นลูกผู้ลากมากดีแล้วกูไปขโมยมาจากโรงพยาบาลหรืออย่างไร” ประดับเท้าสะเอวตอบ หรี่ตามองลูกสาวคนสวยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่มันก็ทำให้หัวใจด้านชาของเธอเกิดอาการแปลบปลาบขึ้นมาหน่อยๆ

“ก็แม่น่ะเคยทำอย่างกับฉันเป็นลูกนักนี่ คำก็ด่าสองคำก็ด่า เป็นใครก็ต้องคิด” ปณาลีว่า เพราะตั้งแต่เล็กจนโต แม่ด่าทอเธอด้วยถ้อยคำเจ็บๆ แสบๆ ผิดกับปณิตา น้องสาวที่เกิดกับพ่อเลี้ยง

 คำต่อว่าของคนเป็นลูกทำให้ประดับสะอึกไปบ้าง ปากที่เผยอจะด่าจึงต้องสงบคำก่อนจะโบกมือไล่ แต่ไม่ได้ตอบคำถามนั้น

“ไปให้พ้นตากู”

“แม่ยังไม่ตอบฉันเลย”

“เอ๊ะ! อีนี่ มึงแหกตาดูหน้ามึงกะกูเทียบกันสิ ไปถามใครเขาก็ได้ว่ามึงหน้าเหมือนกูไหม หรือจะต้องให้เสียเงินไปตรวจโอเอ็นเอมึงถึงจะเชื่อ” นางประดับชักยัวะ อยู่ดีๆ ลูกมากล่าวหาตัวเองว่าไม่ใช่แม่

“ดีเอ็นเอ”

“เออ…อะไรก็ช่าง สรุปว่ามึงเป็นลูกกู อีประดับ แม่ค้าขายส้มตำหน้าคลองเตย แล้วไม่ต้องไปเพ้อฝันว่ามึงเป็นลูกผู้ลากมากดีมาจากไหน กวาดให้เสร็จแล้วไปช่วยสับมะละกอด้วย”

“แต่พรุ่งนี้ฉันมีสอบนะแม่” หญิงสาวท้วง

“มึงก็เอาหนังสือไปอ่านที่แผงสิวะให้นังนิดมันเฝ้าบ้าน” ประดับว่าก่อนเดินลงบันไดเตี้ยๆ ที่มีอยู่แค่ห้าขั้นลงไปแล้วเข็นรถเข็นขายลาบ ส้มตำออกไป

หญิงสาวมองตามหลัง หดหู่กับสภาพของตัวเอง

“คอยดูนะแม่ สักวันฉันจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้”

ปณาลีมองด้วยแววตามุ่งมั่น หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน อยากได้อยากมี เพราะในชีวิตไม่เคยมี ไม่เคยได้ ท้องไม่เคยอิ่มเต็มที่เลยสักครั้ง

 ก่อนหน้าที่จะเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอกับแม่ก็อยู่กันในซ่องจนเธออายุได้ห้าขวบแม่ถึงได้ขนข้าวของมาอยู่กับพ่อเลี้ยง สภาพที่เธอเจอมาไม่เคยมีอะไรดี

หญิงสาวกระแทกไม้กวาดใส่ข้างฝา ไม่สนใจว่ามันจะหล่นแหมะอยู่บนกองฝุ่น เธอคว้าหนังสือเรียนมาสองเล่มก็เดินลงส้นตึงตังลงบันได สวนเข้ากับปณิตาที่เดินนวยนาดข้ามสะพานเข้ามาจนถึงบ้าน ในมือถือถุงของกินมาถุงใหญ่ กินมาตลอดทางแต่ไม่คิดจะเผื่อแผ่ถึงพี่

“แม่บอกให้แกรีบไป” ปณิตาอายุห่างจากปณาลีหลายปีแต่ไม่คิดเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ และคิดมาตลอดว่าพี่สาวคือกาฝาก บ้านที่อยู่นี่ก็ของพ่อเธอ พ่อของปณาลีเป็นใครก็ยังไม่รู้

“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ แต่บ้านฉันยังกวาดไม่เสร็จ แกทำต่อด้วย”

“เอ๊ะ! มันธุระอะไรของฉัน” คนเป็นน้องเท้าสะเอว ตาไวมองเห็นด้ามไม้กวาดกองรวมอยู่กับเศษฝุ่นเศษขยะ ตาวับๆ จึงหันมาหาพี่สาว

“ก็แม่ให้ฉันรีบไปไม่ใช่เหรอ แกมีหน้าที่เฝ้าบ้านก็ต้องทำงานบ้าน”

“เรื่องอะไร แม่ไม่ได้ใช้ฉัน” ปณิตาส่ายหน้า เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็กว่าแม่รักเธอมากกว่าพี่สาว ดังนั้นอะไรที่โยนกองไปให้ปณาลีได้เธอจึงคิดจะทำเป็นอันดับแรก

“แล้วแกไม่คิดจะช่วยหยิบจับอะไรเลยเหรอ งานบ้านก็ฉัน ออกไปขายของก็ฉัน มันจะเอาเปรียบกันมากเกินไปแล้วนะ” คนเป็นพี่ชักหงุดหงิด ตื่นมาตั้งแต่เช้าต้องทำงานสารพัดในขณะที่คนเป็นน้องออกไปตั้งแต่เช้าจนบ่ายเพิ่งกลับมา แล้วแม่ไม่คิดจะว่าอะไรสักคำ

“ใคร ใครเอาเปรียบพูดให้มันดีๆ นะ ฉันออกไปติวหนังสือกับเพื่อน แกอย่าลืมสิว่าบ้านหลังนี้เป็นของพ่อฉัน ถ้าแกอยากให้ฉันทำละก็พาฉันไปอยู่บ้านพ่อแกก่อนสิ” ปณิตามองเยาะ เลือกจะหยิบเอาปมด้อยของพี่สาวมาเป็นหัวข้อสนทนา ยิ่งมันเจ็บเธอก็ยิ่งสะใจ…

เธอกับมันเป็นพี่น้องคลานตามกันมาแท้ๆ แต่ทำไมเธอถึงเกลียดมันนักก็ไม่รู้ ปณาลีสวยกว่าเธอ เรียนเก่งกว่าเธอ อะไรที่เธอทำไม่ได้แม่พี่สาวตัวดีของเธอก็ทำได้หมด

เธอเกลียดมัน!

ปณิตาบอกตัวเองอย่างไม่ลังเล ไม่มีเยื่อใยของความเป็นพี่น้องเลยสักนิดในสายตาเธอ เธอรู้สึกมาตลอดว่าปณาลีเป็นกาฝากไม่ใช่พี่น้อง

ปณาลีกัดปากตัวเองแน่นจนเลือดห้อ ได้แต่เก็บกักความเจ็บแค้นเอาไว้ในใจ ตั้งแต่เล็กจนโตปณิตาดูถูกเธอแบบนี้มาโดยตลอด ทำเหมือนเธอเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พี่น้องตัวเอง เพราะเธอต้องอาศัยบ้านพ่อมันเป็นที่ซุกหัวนอน มันถึงได้ลำเลิกบุญคุณเอากับเธออยู่ตลอดที่มีโอกาส

พ่อเลี้ยงเธออายุห่างจากแม่หลายปี ผู้ชายขี้เมาติดการพนันที่มองลูกเลี้ยงอย่างเธอเหมือนแมวจ้องตะครุบเหยื่อ เธอพยายามบอกแม่แล้วแต่แม่ไม่เคยเชื่อ

 

“อย่ามาใส่ร้ายพี่ธงนะนังหยก” ประดับเสียงดังเมื่อลูกสาวคนสวยมาฟ้องเรื่องที่ถูกพ่อเลี้ยงแอบถ้ำมองตอนอาบน้ำแต่คนเป็นแม่นอกจากไม่เชื่อแล้วยังกล่าวหาว่าเธอใส่ร้ายมันอีกต่างหาก

“ฉันไม่ได้ใส่ร้ายนะแม่ ตอนฉันอาบน้ำมันมีคนแอบดูฉันจริงๆ แล้วบ้านเราก็มีผู้ชายอยู่แค่คนเดียว จะเป็นใครถ้าไม่ใช่น้าธง”

ตั้งแต่โตเป็นสาวมาคำเรียกขานอีกฝ่ายว่าพ่อดูจะประดักประเดิดชอบกล ด้วยเหตุว่านายธงไม่เคยปฏิบัติต่อเธอเหมือนพ่อกับลูกเลยสักครั้งเดียว เธอจึงเปลี่ยนมาเรียกน้า

 นับตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว หลายครั้งที่เขามองทรวดทรงองค์เอวของเธอด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับประเมินของมีค่าสักชิ้นก็ไม่ปาน

“แสดงว่าแกก็ไม่แน่ใจ” คนเป็นแม่มองเยาะ เมื่อเห็นลูกสาวอึกอักจึงได้ที “นั่นไงไม่เห็นกับตาแต่มาใส่ร้ายพี่ธงมึงนี่วอนโดนดี”

ประดับเรียกสามีว่าพี่ ทั้งๆ ที่ตัวเองอายุมากกว่านายธงอยู่หลายปี

 ปณาลีเดาว่าเพราะสามีอ่อนกว่าแม่จึงทั้งรักทั้งหลงพ่อเลี้ยงของเธอนัก เธอว่ากล่าวอะไรพ่อเลี้ยงแม่ถึงได้ออกรับแทนมาโดยตลอด

“แม่ไม่เชื่อฉันก็ตามใจ” ปณาลีทำเสียงอะไรอย่างหนึ่งในลำคอ แม่คงต้องรอให้เธอถูกมันข่มขืนเสียก่อนถึงจะยอมเชื่อ หรือไม่บางทีต่อให้เธอโดนมันข่มขืนจนท้องโตขึ้นมาจริงๆ ก็อาจจะไม่เชื่อเลยก็ได้

 

            “ในเมื่อบ้านหลังนี้เป็นบ้านแก แกก็ทำเอง” ปณาลีฉีกสมุดหลายแผ่นออกมาขยำๆ แล้วหว่านไปรอบพื้นบ้าน มองน้องสาวที่อ้าปากค้างคาดไม่ถึงเป็นเชิงเยาะ กว่าที่ปณิตาจะรู้ตัวว่าพี่สาวทำอะไรและส่งสียงกรี๊ดตามหลังผู้เป็นพี่สาวก็เดินลิ่วออกไปเสียแล้ว

“กรี๊ด!!”

ปณาลีหัวเราะร่าอย่างสะใจ เดินสวนเข้ากับไอ้กุ้งนักเลงท้ายซอย มันผิวปากแซวแล้วทำตากรุ้มกริ่มเข้าใส่ หญิงสาวจึงชี้หน้า

“ถ้าไม่อยากอายุสั้นก็หุบปากแล้วถอยออกไปไอ้กุ้ง วันนี้อารมณ์ไม่ดี”

“โธ่…อย่าพูดทำร้ายจิตใจพี่อย่างนั้นสิจ๊ะน้องหยก อารมณ์เสียแบบนี้ทะเลาะกับไอ้นิดมาละสิ” ผู้พูดเดาเพราะคนในละแวกคลองเตยก็รู้กันทั้งนั้นว่าสองพี่น้องไม่เคยพูดกันดีๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว

“เรื่องของฉัน ไป๊” หญิงสาวตวาด เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่หลบจึงผลักไปสุดแรงจนพลัดหล่นจากสะพานตกน้ำครำไป

ปณาลีกุมท้องหัวเราะท้องคัดท้องแข็งในขณะที่คนถูกผลักทำฮึ่มฮั่มในลำคอ

“อีหยกฝากไว้ก่อนเถอะมึง”

“รีบมาเอาด้วยนะ แต่อาจจะไม่มีหวังว่ะ เพราะไอ้น้ำครำนี่มันสกปรก มีเชื้อโรคเต็มไปหมด ไม่เห็นข่าวเหรอวะที่มีนักร้องดังตกลงไปในน้ำครำแล้วเชื้อมันเข้าสมองไปน่ะ ฮะๆ” หญิงสาวหัวเราะแกมขู่แล้วเดินหนีไป ไอ้กุ้งวักน้ำตามหลังแล้วตะโกนด่าตอบอย่างแค้นใจ นี่ถ้าไม่รักจริงหวังแต่ง เขาจะฉุดทำเมียเสียให้เข็ด

ไอ้กุ้งมองตามหลังปณาลีไปด้วยสายตาทั้งรักทั้งแค้น

 

ปณาลีมาถึงแผงขายส้มตำของแม่ก็เห็นมีลูกค้าอยู่หลายคน ประดับสับมะกอมือเป็นระวิง เธอจึงรีบแย่งมาทำ ลงน้ำหนักมือแรงเป็นการระบายอารมณ์จนคนเป็นแม่ต้องหันมามอง

“เป็นอะไรอีกล่ะ ทะเลาะกับนังนิดมาอีกหรือไง” คนเป็นแม่คาดเดา เพราะปณิตาเพิ่งเดินเข้าซอยบ้านไป ยังไม่ทันตอบคนเป็นแม่ก็พูดต่อ “จะทะเลาะอะไรกันนักหนา ข้าวก็กินหม้อเดียวกัน คลานตามกันออกมาแท้ๆ”

“ก็มัน…” เธออยากจะพูดแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ถึงพูดไปแม่ก็ไม่เข้าข้างเธออยู่ดี

“มันเป็นน้องจะเอาอะไรกับมันนักหนา”

“มันไม่เคยคิดว่าฉันเป็นพี่ ฉันก็จะไม่คิดว่ามันเป็นน้องเหมือนกัน” ปณาลีบอกด้วยความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ และสีหน้าของลูกสาวคนโตก็ทำให้ประดับหน้าซีด

“นังหยก”

หญิงสาวไม่โต้ตอบอะไรอีกยังคงตั้งหน้าตั้งตาสับมะละกอ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ เมื่อเห็นว่าใครโทรมาจึงรีบกดรับ

“ว่าอย่างไรษา อะไร…ไม่เข้าใจอีกแล้วเหรอ ฉันกำลงยุ่งอยู่ บทนั้นฉันอธิบายให้เธอฟังตั้งหลายเที่ยว เมื่อไรจะจำได้เสียที” สุ้มเสียงรำคาญจากคนอารมณ์ไม่ดีทำให้ปลายสายเสียงสั่น

“ขอโทษจริงๆ จ้ะหยก ฉันนึกว่าเธอกำลังอ่านหนังสือไม่คิดว่ากำลังยุ่ง พอดีฉันกำลังอ่านถึงบทนั้นอยู่แล้วไม่เข้าใจ แต่ถ้าเธอ…”

“เอาล่ะๆ พรุ่งนี้มีสอบตอนบ่ายเธอก็มาแต่เช้าหน่อยก็แล้วกัน เจอกันที่หน้าคณะ เวลาแค่นั้นอธิบายได้แค่ไหนก็แค่นั้น เตรียมใจเตรียมสมองมาให้พร้อมก็แล้วกันอย่ามัวแต่เหม่อคิดถึงคู่หมั้นตัวเอง” ปณาลีดักคอเพื่อนอย่างรู้ทัน

กวินวษาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เธอมี แม้บางครั้งจะรำคาญไปบ้างแต่กวินวษาก็ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า เป็นผู้นำแล้วอีกฝ่ายเป็นผู้ตาม จะมีก็แค่…ฐานะ ที่กวินวษาเหนือกว่าเธอชนิดมองไม่เห็นฝุ่น

กวินวษาขอบอกขอบใจปณาลีไปอีกหลายครั้งจึงวางสายไป ถอนหายใจโล่งอก เพราะถ้าไม่มีปณาลีช่วยติวเทอมนี้เกรดของเธอคงแย่แน่ น่าอิจฉาปณาลีที่เรียนเก่ง ได้ทุนจากมหาวิทยาลัยและเป็นอีกคนที่จะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาครองอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเธอเอาแค่จบก็ถือว่าดีมากแล้ว

“คุณหนูขา…รับขนมหน่อยไหมคะ นั่งอ่านหนังสือตั้งนานแล้วประเดี๋ยวจะหิว” ป้ายวน คุณแม่บ้านที่ทำหน้าที่ดูแลควบคุมความเป็นระเบียบเรียบร้อยของทุกคนและทุกอย่างในบ้านรัชกานต์เอ่ยถาม แต่ไม่รอคำตอบก็บงการให้สาวใช้ยกขนมนมเนยออกมาวางให้ แต่หญิงสาวผู้เป็นคุณหนูคนเดียวของบ้านส่ายหน้าพลางให้เหตุผล

“ษาจะไม่กินอะไรจนกว่าจะอ่านหนังสือกองท่วมหัวนี่จบค่ะ ษาอ่านช้าไม่เหมือนหยกที่มองแค่ผ่านตาก็จำได้หมด” กวินวษาถอนหายใจ เธอกับปณาลีเรียนคณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยเดียวกัน และคบหาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง รู้จักกันครั้งแรกในวันรับน้อง คุณหนูผู้ไม่เคยได้รับความลำบากอะไรเลยในชีวิตอย่างเธอมาโดนรุ่นพี่แกล้งจนเกือบจมน้ำ ปณาลีช่วยเธอไว้และต่อว่ารุ่นพี่พวกนั้นจนเถียงไม่ออกไปตามๆ กัน สำหรับเธอแล้วปณาลีคืออีกภาคหนึ่งที่เธออยากเป็นแต่ไม่กล้า

“คุณหนูไม่เห็นชวนเพื่อนมาที่บ้านด้วยละคะ คุณพ่อคุณแม่แล้วก็คุณย่าจะได้ช่วยดูว่าเป็นคนดีหรือเปล่า” คุณแม่บ้านบอกอย่างที่เคยบอกเธอตั้งแต่เด็กจนโตจนเธอต้องย่นจมูก

“ษาโตแล้วนะคะป้าไม่ใช่เด็กๆ จะได้ให้ทุกคนสแกนก่อนว่าเพื่อนคนนั้นคนนี้เป็นอย่างไร”

“โธ่…ก็ป้าเป็นห่วงนี่คะ เห็นคุณหนูพูดถึงเพื่อนคนนี้มาตั้งหลายปี ไม่ยอมพามา ก่อนคุณท่านไปสิงคโปร์ก็ฝากให้ป้าช่วยดูๆ” คุณแม่บ้านว่าอย่างนั้นหญิงสาวจึงถอนหายใจ

“หยกเขาไม่ค่อยว่างหรอกค่ะ ต้องไปช่วยแม่ขายของ ษาเคยบอกป้ายวนแล้วนี่คะว่าที่บ้านของหยกทำธุรกิจค้าขาย” กวินวษาบอกตามที่ปณาลีบอกเล่า เธอเป็นคนเปิดเผยมีอะไรก็เล่าให้เพื่อนรักฟังอย่างไม่ปิดบัง ผิดกับปณาลีที่ไม่ค่อยจะพูดถึงเรื่องตัวเองให้ฟังเท่าไรนัก

เธอคบหากับปณาลีมาก็เข้าปีที่สี่ รู้แค่ว่าเพื่อนรักอยู่กับแม่ น้องสาวและพ่อเลี้ยง ที่บ้านทำงานค้าขาย

“อย่างนั้นหรือคะ แต่อย่างน้อยก็ชวนมาให้คุณท่านดูบ้างนะคะ เดี๋ยวนี้เพื่อนที่ชอบชักนำให้เสียมีถมไปค่ะ” ป้ายวนบอกอย่างเป็นห่วงคุณหนูที่นางเฝ้าเลี้ยงดูถนอมฟูมฟักราวกับลูกในไส้ก็ไม่ปาน มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมมาตั้งแต่เด็ก พอยิ่งโตก็ยิ่งเป็นห่วง

“แต่กับหยก ษารับประกันค่ะว่าเป็นคนดีแน่ๆ เอาไว้วันที่พี่ไอศูรย์กลับมาจากอังกฤษค่อยชวนหยกมางานเลี้ยงต้อนรับก็ได้”

“เอาละค่ะๆ ป้าไม่กวนคุณหนูอ่านหนังสือแล้ว” ป้ายวนลุกขึ้นยืนแต่ไม่วายกำชับ “ต้องรับประทานอะไรเสียหน่อยนะคะ ประเดี๋ยวโรคกระเพาะจะกำเริบขึ้นมาอีก”

“ค๊า….ษาจะกินให้หมดทั้งจานนี่เลย” หญิงสาวลากเสียงยาว ตั้งท่าจะอ่านหนังสือเต็มที่ ทว่ามีสายจากทางไกลเข้ามาเสียก่อน

หญิงสาวอมยิ้มรับโทรศัพท์แล้วคุยจ้อกับคู่หมั้นหนุ่มจนลืมว่าตัวเองกำลังอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบและยังมีอีกหลายบทที่ไม่เข้าใจ

 

หลังขายส้มตำหมดจนเกลี้ยงแผงแล้ว ปณาลีจึงขอแม่ออกไปซื้อของตรงร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้าม สะพานลอยยังอีกไกลหญิงสาวจึงตัดสินใจจะเดินข้ามถนนไปเองเพราะเห็นว่ารถมีไม่มาก

ปี๊บ!!

เสียงบีบแตรดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงเบรกดังขึ้นทำให้ปณาลีตกใจรีบถอยหลัง แต่เสียหลักล้มลงจนข้อศอกและเข่าครูดไปกับพื้น แต่หากช้ากว่านั้นเธออาจจะถูกรถคันนี้ชนเข้าไปเต็มๆ

หญิงสาวกัดฟัน ฝืนตัวเองหยัดกายลุกขึ้นเพื่อจะดูหน้าคู่กรณีให้ชัดๆ และชายคนขับก็รีบลงมาดูอย่างตกใจ

“คุณ! เป็นอะไรมากหรือเปล่า” คนขับถามขึ้นแล้วช่วยพยุงตัวคนเจ็บให้ลุกขึ้น หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบอย่างนึกฉุนที่อีกฝ่ายทำให้เธอเจ็บตัว

“คุณขับรถประสาอะไรเนี่ย เร็วอย่างกับจ…” ปณาลีตั้งใจจะต่อว่าตามประสาคนปากจัดและไม่ยอมคนแต่เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนใสก้มลงมาใกล้ แววตาคล้ายสำนึกผิดที่ตัวเองขับรถเร็วเกินไปก็ทำให้พูดอะไรไม่ออก ดวงตาของคู่กรณีดูเหมือนจะมีแรงดึงดูดให้เธอชักสายตากลับไม่ได้

“ผมขอโทษจริงๆ ครับคุณ ผมผิดเองที่ขับรถเร็วเลยเกือบชนคุณเข้า” ชายหนุ่มบอกขึ้นทั้งที่รู้ดีว่าหญิงสาวเองก็มีส่วนผิดเพราะที่ตรงนี้ไม่ใช่ทางสำหรับข้ามถนน

ปณาลีเห็นเขาเป็นฝ่ายขอโทษจึงค่อยคลายความขัดเคืองลง ปัดเนื้อตัวแล้วส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร ฉันก็ผิดที่มักง่ายมาข้ามถนนตรงนี้ ก็ตอนข้ามรถคุณอยู่ตั้งไกล” แม้จะยอมรับผิดอยู่บ้างแต่ก็พยายามปัดความผิดออกไปให้ไกลตัวที่สุดทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม

“ผมขับรถเร็วไปหน่อยครับว่าแต่คุณเป็นอะไรมากไหม ไปหาหมอหรือเปล่า เดี๋ยวผมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เอง” ชายหนุ่มอาสาเมื่อเห็นว่าเข่าขาวๆ ภายใต้กางเกงขาสั้นของคู่กรณีสาวถลอกจนเลือดซิบทั้งสองข้างและข้อศอกขวายังมีรอยครูดเป็นทางยาว

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ นิดหน่อยเอง” ปณาลีบอกทั้งๆ ที่เจ็บจนยอกไปทั้งตัว

“ไม่ได้ครับ ดูสิ…เลือดออกเยอะแล้ว ไปครับ คลินิกอยู่ไม่ไกลนี่เอง” เขาแตะข้อศอกเธออีกข้างแล้วรีบเปิดประตูรถที่นั่งข้างคนขับ หญิงสาวจึงยอมตามเข้าไปนั่ง

“ขอโทษอีกครั้งนะครับ ผมชื่อไอศูรย์ คุณ…”

“ปณาลีค่ะ” หญิงสาวแนะนำตัวสั้นๆ เพราะคิดว่าอย่างไรเธอกับเขาก็คงไม่ได้พบกันอีก ความเงียบเข้าครอบงำภายในรถคู่หนึ่งเขาจึงเปิดฉากสนทนาขึ้นใหม่

“คุณจะไปธุระที่ไหนต่อหรือเปล่าครับ ผมจะได้ไปส่ง”

“ฉันจะไปซื้อของร้านเซเว่นฯ ข้างหน้านั่นเองแหละค่ะ ทำแผลที่คลินิกเสร็จก็ส่งฉันตรงนั้นก็ได้ ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวส่งยิ้มให้ เสี้ยวหน้าหล่อเหลาหันมามองเธอเป็นระยะ ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมาก ท่าทางดีและช่างเอาอกเอาใจ เธอยังไม่เคยชมผู้ชายคนไหนมาก่อน เขาถือเป็นคนแรกที่ผู้หญิงที่มีพื้นเพจากสังคมสลัมจนมองโลกใบนี้บุบๆ เบี้ยวๆ อย่างเธอชื่นชม

“ผมไปเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่จบปริญญาตรี เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี่เอง หายไปไม่กี่ปี กรุงเทพฯ เปลี่ยนไปมากจริงๆ ผมคิดถึงเมืองไทยจะแย่” เขาชวนคุย

“ผิดกับฉันนะคะ ฉันอยากไปให้ไกลจากที่นี่ ไกลมากแค่ไหนก็ยิ่งดี คุณน่าอิจฉาออกค่ะ” ปณาลีก้มมองมือตัวเอง น้ำตาแล่นมาคลอเอ่อแต่ท้ายสุดจึงปัดมันออกไปจากตัวแล้วฝืนยิ้ม “ฉันนี่งี่เง่าจังเลย จู่ๆ ก็มาดราม่าใส่คุณ ขอโทษทีนะคะ นั่น….ถึงคลินิกแล้ว”

“ครับ” ชายหนุ่มจอดรถหน้าคลินิกแล้วอ้อมมาเปิดประตูให้ ช่วยประคองเพราะเห็นว่าคู่กรณีสาวยังเจ็บอยู่ ทุกกิริยาที่เขาปฏิบัติต่อเธอช่างอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเธอมาก่อน

 หญิงสาวหายเข้าไปในห้องตรวจแพทย์ครู่หนึ่งก็ออกมา ชายหนุ่มจึงรีบไปชำระเงินแล้วรับยาแก้อักเสบมาให้ อาสาไปส่งที่บ้านให้ แต่หญิงสาวรีบปฏิเสธ แวบหนึ่งนั้นเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอเป็นลูกแม่ค้าขายส้มตำและมีบ้านอยู่ในดงสลัม

“อย่าลำบากเลยค่ะ ฉันไปเองสะดวกกว่า พอดีฉันนัดเพื่อนเอาไว้ด้วยค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธ มองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าเย็นมากแล้ว ป่านนี้แม่อาจจะสงสัยว่าทำไมเธอยังไม่กลับบ้าน

“อย่างนั้นก็ได้ครับ อ้อ…นี่นามบัตรของผม” ชายหนุ่มค้นหาบัตรสีขาวครีมเคลือบมันออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วส่งให้ “เผื่อว่าเราอาจมีเรื่องให้ได้ช่วยเหลือกัน” เขาบอกเมื่อเห็นเธอยังเฉยอยู่พร้อมกับส่งยิ้มจริงใจไร้แววกรุ้มกริ่มมาให้ ปณาลีจึงรับมา

“คงเป็นคุณมากกว่าค่ะที่จะเป็นฝ่ายช่วยเหลือฉัน” หญิงสาวยักไหล่ ดูจากท่าทางโก้หรูของไอศูรย์คงไม่มีทางที่เขาจะเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือจากเธอ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับคุณปณาลี” ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้เมื่อหญิงสาวลงจากรถไปแล้ว

 วันนี้เขาตั้งใจจะไปเซอร์ไพรซ์กวินวษา คู่หมั้นของเขาเองถึงบ้าน แต่ก็เสียฤกษ์เสียแล้วจึงตัดสินใจเลี้ยวรถกลับบ้าน ที่จริงเขาก็คิดถึงเธอมาก แต่ก็อยากให้เธอตกใจเล่นถึงได้ไม่ยอมบอกว่าตัวเองกลับมาถึงเมืองไทยก่อนกำหนด ตอนนี้เย็นมากแล้ว เขาเองรู้มาว่าหญิงสาวอยู่บ้านคนเดียวกับบรรดาคนรับใช้ ทั้งพ่อและแม่ไปดูงานที่สิงคโปร์ เขาไปหาเธอในยามนี้คงไม่เหมาะ อีกอย่างพรุ่งนี้กวินวษามีสอบเขาไม่อยากให้เธอเสียสมาธิ เอาไว้พรุ่งนี้เขาจะไปหาเธอถึงมหาวิทยาลัย

ชายหนุ่มบอกตัวเองแล้วยักไหล่ ไหนๆ ก็เสียความตั้งใจแล้ว แวะกลับบ้านไปรับตรีภพ ออกไปเที่ยวด้วยกันดีกว่า

ตรีภพ พี่ชายผู้ไม่มีสายเลือดใดๆ ข้องเกี่ยวกับเขา แต่เขากลับรักและเทิดทูนดุจพี่ชายแท้ๆ อาจเพราะตั้งแต่เล็กจนโตเขากับตรีภพถูกเลี้ยงมาคู่กัน ฝ่ายนั้นช่วยเหลือและเสียสละเพื่อเขามาโดยตลอด

ชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้าน ดีใจที่เห็นรถของพี่ชายจอดอยู่ เพราะปกติกว่าจะเข้าบ้านได้ก็ดึกดื่น เพราะต้องเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จ ภาระงานหนักหน่วงที่พ่อเขามอบหมายให้ดูแลด้วยความไว้วางใจซึ่งอาจจะมากกว่าลูกชายคนเดียวอย่างเขาเสียด้วยซ้ำ ทว่าเขาไม่รู้สึกอิจฉาพี่ชายคนนี้เลยสักนิด เกือบยี่สิบปีที่เติบโตมาด้วยกัน ไม่มีแม้สักวินาทีที่เขาจะคิดว่าตรีภพไม่ใช่พี่ชาย

“ว้าว…นึกว่าอิ่มกันไปแล้วเสียอีก” ไอศูรย์ร้องทักเมื่อเดินมาห้องอาหารแล้วเห็นทุกคนกำลังลงมือรับประทานอาหารกันพร้อมหน้า

ภคินีเลิกคิ้วเมื่อเห็นลูกชายเดินยิ้มแต้เข้ามา

“แม่นึกว่าแจ้นไปถึงบ้านรัชกานต์แล้วเสียอีก”

“นั่นสิ บอกพ่อว่าจะไปหาหนูษาไม่ใช่หรือ” ศิขรินทร์ถามขึ้นบ้าง คนเป็นลูกยักไหล่ อ้อมไปหาคนเป็นพี่แล้วกระซิบที่หู สองพี่น้องทำเป็นมีความลับทำให้ภคินีกระแอม ตรีภพจึงตอบแทน

“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ นายไอย์เขาแค่ชวนออกไปหาอะไรเย็นๆ ดื่มข้างนอก”

“อ้าว…แล้วหนูษา”

“ระหว่างทางเจออุบัติเหตุนิดหน่อยครับ เสียเวลาไปเกือบชั่วโมงผมก็เลยขี้เกียจไปแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้น้องษามีสอบ ผมไม่อยากกวน” ชายหนุ่มให้เหตุผลแต่ภคินียังกังขา

“แล้วไม่คิดถึงแย่หรือ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแน่ะลูก”

“โธ่คุณ..สมัยนี้ไม่ใช่สมัยเราที่ติดต่อกันทางจดหมาย เขาพูดคุยกันเห็นหน้ากันผ่านอินเทอร์เนตทุกวัน ไปหาวันไหนก็เหมือนกัน” คนเป็นสามีค้านทำให้ภคินีค้อนให้

“สมัยไหนมันก็เหมือนกัน ถามจริงๆ เถอะไอย์…รักน้องไหมลูก” ภคินีถามขึ้นด้วยความอยากรู้ แม้ว่าคำถามนี้จะมาช้าไปสักหน่อย เพราะครอบครัวของเธอกับทางรัชกานต์สนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ตัวเธอเองก็เป็นญาติห่างๆ ของเกรินทร์ พ่อของกวินวษา แต่ใช่ว่าสนิทสนมแล้วจะบังคับให้ลูกๆ ต้องมาแต่งงานกัน ทั้งคู่เต็มใจหมั้นหมายกันตามที่ผู้ใหญ่เห็นชอบ ทว่าเธอเองยังไม่เคยถามจริงจังว่าหัวใจของไอศูรย์คิดอย่างไร

“โธ่…คุณแม่ ไปถามนายไอย์ตอนที่ใกล้จะแต่งงานนี่หรือครับ” ตรีภพหัวเราะขึ้น ถึงจะเป็นแค่ลูกบุญธรรมแต่ทั้งเขาและทุกคนในครอบครัวนี้ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนอื่น

พ่อแท้ๆ ของเขาเคยทำงานกับศิขรินทร์ จัดเป็นมือขวาที่ศิขรินทร์ไว้วางใจมากที่สุด แต่โชคร้ายที่พ่อไปดูงานที่สิงคโปร์แทนเจ้านายพร้อมพาแม่ไปด้วยแล้วเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตก ศิขรินทร์โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง จึงดูแลเขามาเป็นอย่างดีและรับเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เขาอายุได้สิบขวบ เพื่อทดแทนให้กับความรู้สึกผิด

“จริงครับ ถ้าผมบอกไม่รัก แม่จะยอมให้ผมถอนหมั้นกับน้องษาหรือเปล่า” คนถูกถามปั้นหน้าจริงจังทำให้ช้อนตักข้าวในมือภคินีแทบหล่น เผยอปากค้างจนคนเป็นลูกเกือบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้

“จริงหรือลูก”

“โธ่…แม่ ผมล้อเล่นน่ะครับ ผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไรเรื่องแต่งงานกับกวินวษา เธอเองก็น่ารักหัวอ่อนดี ผมชอบครับ” ชายหนุ่มยักไหล่ สาวใช้จะตักข้าวเพิ่มให้แต่เขาโบกมือเป็นเชิงห้าม “ไม่ต้องหรอกพี่แพร ผมจะชวนพี่ชายสุดที่รักออกไปเริงราตรีสักหน่อย”

“พี่ยังไม่ได้บอกสักคำเลยว่าจะไปด้วย มีงานค้างเต็มไปหมดเลย” ตรีภพบอกขึ้นทำให้คนเป็นน้องหน้ายุ่ง พ่นลมหายใจออกมาทางปากแล้วหันไปหาพ่อ

“ดูสิครับพ่อ ใช้งานพี่ชายผมหนักจนไม่มีเวลาไปเปิดหูเปิดตา ผมขออนุญาตแทนเลยแล้วกันนะ ให้ผมฉลองชีวิตโสดให้คุ้มหน่อยเถอะ” คนใกล้สละโสดเต็มทีโอดครวญ เพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยก็อยากเที่ยวให้ชุ่มปอด

“ถ้าแกอยากให้พี่แกว่างก็รีบมาช่วยงานเร็วๆ สิ”

“โอ๊ะโอ…ผมเพิ่งกลับมาเหยียบแผ่นดินไทยเมื่อเช้าเองนะครับ ขอเวลาพาพี่ชายเที่ยว พาแฟนเที่ยวอีกสักเดือนสองเดือนเดี๋ยวผมไปทำแน่ๆ” ไอศูรย์ยกมือยกไม้สัญญา ตรีภพได้แต่โคลงศีรษะเมื่อคนเป็นพ่อพยักหน้า

“ไปเถอะภพ พักผ่อนบ้าง เราเองก็ทำงานหนักมามาก ตอนนี้น้องเรียนจบแล้ว ถ้าทำได้อย่างปากว่าภาระงานคงน้อยลง” ศิขรินทร์อดประชดขึ้นไม่ได้เพราะรู้นิสัยลูกชายแท้ๆ ของตัวเองดีว่าชอบทำอะไรเล่นๆ ไปเสียหมด หวังว่าหลังเรียนจบและแต่งงานมีครอบครัวนิสัยพวกนี้จะหมดไป

“ไปเถอะครับพี่ชายสุดที่รัก ข้าวเอาไว้กินวันหลังก็ได้” คนเป็นน้องเร่งเร้าแล้วฉุดแขนพี่ชายให้ลุกขึ้น ภคินีเลยฟาดไปบนต้นแขนแรงๆ

“พี่ยังกินไม่อิ่ม”

“ไม่เป็นไรครับแม่ ไปก็ไป…อีกหน่อยน้องษาก็คงไม่ปล่อยให้นายไอย์ไปเที่ยวแบบนั้นอีกแล้ว” ตรีภพยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแล้วออกไปตามแรงฉุดของน้องชายทิ้งให้พ่อกับแม่รับประทานอาหารกันอยู่แค่สองคน

“ลูกชายคุณ ไม่รู้จักโตเสียที”

“ลูกคุณด้วยนั่นแหละ นี่ถ้าไม่มีตรีภพสักคน ผมยังไม่รู้เลยว่าบริษัทเราจะเป็นอย่างไร สมัยก่อนก็มีพ่อของตรีภพเป็นมือเป็นไม้ ตอนนี้ก็ได้ลูกชายเขามา ผมผิด ผิดที่….”

“คุณคะ…” ภคินีแตะแขนสามีแล้วส่ายหน้า “มันผ่านมานานแล้วนะคะ อย่าโทษตัวเองสิ คุณเองก็ไม่ได้อยากให้เขาตายเสียหน่อย มันเป็นกรรมของเขา”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมเองก็ยังรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าผมไม่สั่งให้เขาไปประชุมแทน เขาก็ไม่ต้องมาตาย ตรีภพต้องมาเสียพ่อแม่ไปพร้อมกัน” ศิขรินทร์หลับตาเมื่อนึกถึงความหลัง ภคินีถอนหายใจ ไม่ว่าเธอกับตรีภพจะปลอบใจอย่างไร เขาก็ยังโทษตัวเองอยู่นั่นเอง

รายละเอียด

เธอกลับมาเพื่อแก้แค้นและสะสาง ‘หนี้อัปยศ’ ในอดีต

แต่กลับเป็นฝ่ายถูกเขาตลบหลัง ลากตัวเธอไปสร้าง ‘หนี้สวาท’ อันเร่าร้อนจนเกินจะต้านทานไหว
การที่ ‘ปณาลี’ เจตนาเข้ามาสมัครงานในตำแหน่งเลขานุการประธานบริษัท
นั่นก็เพราะว่าเขาคือบิดาแท้ๆ ซึ่งเคยขับไล่ผู้เป็นแม่ของเธอออกจากบ้านทั้งที่ตั้งท้องอยู่
จนกระทั่งชีวิตพลิกผัน ต้องขายทั้งหัวใจและศักดิ์ศรีเพื่อหาเงินเลี้ยงดูเธอมาจนถึงตอนนี้
วันนี้หญิงสาวจึงกลับมาพร้อมคำสาบานว่าจะทำทุกอย่าง
เพื่อทำลายความสุขของครอบครัวบิดาบ้าง...
ถึงแม้จะพบความจริงว่า... เพื่อนรักเพียงคนเดียวของเธอ
ที่แท้ก็คือน้องสาวต่างมารดา ที่เธอจำใจจะต้องทำร้ายให้เจ็บปวดก็ตาม
แต่ยังไม่ทันที่แผนการล้างแค้นจะรุดหน้าไปถึงไหน
ความหวังก็ต้องพังทลายลงไม่ต่างจากปราสาททรายที่ถูกน้ำเซาะด้วยฝีมือของเขา...
‘ตรีภพ คณารส’ 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (70 รายการ)

www.batorastore.com © 2024