ไฮโซสะออน (หัสวีร์) (EBOOK)

ไฮโซสะออน (หัสวีร์) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ไฮโซสะออน
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 250.00 บาท 162.50 บาท
ประหยัด: 87.50 บาท ( 35.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1

 

“เม...เมริศา”  เสียงกังวานใสดังขึ้น ขณะที่สาวร่างบางกำลังสาละวนอยู่กับการขนกระเป๋าเดินทางขึ้นไปวางบนรถเข็นกระเป๋า

            เมริศาขมวดคิ้ว  หรี่ตามองผู้ทักทาย สงสัยว่าแม่สาวตัวเล็กนี่คือใครกัน...

            คุณพ่อนะคุณพ่อ  เธออุตส่าห์แอบกลับมาเงียบๆ ยังรู้จนได้ว่าเธอมาถึงเมืองไทยเช้านี้ หญิงสาวเสยผมยาวสลวยพลางลอบยิ้ม นี่คงทนคิดถึงลูกสาวคนเดียวที่ห่างไปเรียนไกลถึงฝรั่งเศสไม่ได้  จึงส่งคนใช้มารับถึงสนามบิน เมริศายักไหล่แล้วมองชุดทำงานสีตุ่นๆ ไร้รสนิยมของคนตรงหน้า...เชิ้ตตัวละไม่เกินสองร้อยบาท กับกระโปรงแบบสาวออฟฟิศทั่วไป

            เอาละ มองโลกในแง่ดี เธอคงจะมีตำแหน่งสูงกว่าแม่บ้าน

            “มองอะไรอีก มาช่วยฉันถือกระเป๋าสิ”  หญิงสาวเอ่ยพร้อมจิกตาใส่ผู้มารับซึ่งยังคงยืนจ้องเธอและยิ้ม

            คงไม่เคยเห็นคนสวยละสิ...เมริศาลำพองใจ

            “ไปไหนมาเหรอ” สาวแปลกหน้าถาม แล้วกระวีกระวาดช่วยเข็นรถเข็นกระเป๋า แต่คำถามนั้นกลับทำให้คนฟังหงุดหงิด

            มันหน้าที่อะไรของคนรับใช้ ที่จะมาสู่รู้เรื่องชีวิตส่วนตัวของเธอ

            “ถามทำไม”  เธอตอบห้วนๆ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มซื่อๆ เมริศากลับไม่อยากจะด่า...รอยยิ้มแบบนี้ เธอรู้สึกคุ้นเคย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

            “อ้าว  จำไม่ได้เหรอ”  หญิงสาวยังเอ่ยถามหน้าซื่อ  ทำให้เมริศาแทบปรี๊ด แต่อากาศปลายเดือนธันวาคมกับอุณหภูมิเย็นๆ  ในสนามบินยังช่วยให้เธอสงบได้ ถ้าเป็นที่บ้าน หญิงสาวในชุดกระโปรงสั้นสีแดงแปร๊ดขนาดพอดีตัว  สวมทับด้วยสูทแบรนด์ดังเข้ารูปสีขาว  คงได้วีนแหลกแจกเล็บให้คนตรงหน้า  โทษฐานที่ยังกล้าถามคำถามกวนประสาทเธออีกครั้ง

            “ตกลงจำฉันไม่ได้หรือ  น้ำทองไง”  คนตรงหน้าถามซ้ำ ระหว่างที่เธอกำลังโมโห หญิงสาวยื่นหน้ามามองผ่านเลนส์แว่นกันแดดราคาแพงของเธอ

            น้ำทอง?...เมริศาครุ่นคิด  เธอเคยมีแม่บ้านหรือคนใช้ชื่อนี้ด้วยหรือ จำได้ว่าแม่บ้านที่รับใช้เธอมานานก็คือยายไก่  หญิงชราที่แสนเนิบนาบ

ยังดีหน่วยที่ความอดทนสูง ส่วนคนอื่นๆ ทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ระเห็จไปกันหมด  แค่ตามใจคุณหนูเมริศาของบ้าน  ‘พิพัฒนาดาว’  ยังทำไม่ได้คนพวกนั้นช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ

            เมริศาใช้นิ้วดันแว่นตาขึ้น พยายามนึกขณะมองหน้าหญิงตัวเล็ก คิ้วรกปานดงหญ้าแฝก จมูกเล็กไร้สัน กรามและโหนกแก้มเด่น แล้วดูผิวเธอสิ ดำอย่างกับสาวบ้านนอกที่เพิ่งไปดำนาแล้วหลงมาโผล่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ  เห็นแล้วขัดใจจนอยากจะให้หมอส่วนตัวที่เกาหลีพายายหน้าแป้นคนนี้ไปขึ้นเขียงโดยด่วน

            แต่เดี๋ยว...ยายหน้าแป้นเหรอ

            “น้ำทองหน้าแป้นหรือเปล่า...”  เมริศาถามทันที

            “อะไรกัน  ฉันนามสกุลมิตรไมตรีต่างหาก”  สาวหน้าแป้นยิ้มเขินเมื่อได้ยินเพื่อนเรียกฉายาในอดีต

            “ไปไหนมาเนี่ย”  เมริศาเอ่ยถาม  ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งอารมณ์เสียที่

น้ำทองถามคำถามนี้กับเธอ

            “มารับลูกค้ากับพี่ที่บริษัท แล้วเธอล่ะจ๊ะเมริศา”

            “เอ่อ ฉันไปเรียนที่ฝรั่งเศส เพิ่งจบกลับมา” สาวสวยยักไหล่พลางตอบคำถาม

            “ดีใจจังที่ได้เจอเธอ เมริศาเธอดูไฮโซมากๆ” น้ำทองชม

            เมริศาเชิดหน้า  ยิ้มมุมปาก  ภูมิใจคำชมของคนตรงหน้า

            ใช่...เธอนี่แหละ สาวไฮโซตัวจริง

            “เธอสวยขึ้นนะเมริศา  ฉันเคยเห็นภาพเธอกับหนุ่มหล่อเฟี้ยวบนหน้านิตยสารแพงๆ เมื่อสองสามปีก่อน” น้ำทองพูด

            คนสวยตรงหน้ากระหยิ่ม  แหงละสิ  ใครก็รู้สึกดีที่ได้รู้จักสาวสวย รวย เก่ง สถานภาพทางสังคมสูงอย่างเธอ คงจะรวมถึงเพื่อนที่เคยสนิทด้วยอย่างน้ำทอง

            “ภูมิใจจังที่มีเธอเป็นเพื่อน ว่าแต่...เธอได้กลับนครพนมบ้างไหม”

            เมริศาสะดุ้งโหยง  เมื่อได้ยินคำถามจากเพื่อนเก่า

            “ไม่  ฉันอยู่กรุงเทพฯ ถาวรแล้ว”  สาวไฮโซตอบเสียงเบาลงเล็กน้อยเพราะกลัวว่าคนรอบข้างจะได้ยิน  เพื่อนเก่าคนนี้คงไม่เคยเห็นบ้านหรู

ในย่านสุขุมวิทของเธอแน่  ถึงได้กล้าถามคำถามนี้ แต่ก็ไม่น่าแปลก  น้ำทองเป็นแค่ผู้หญิงบ้านนอก จะรู้เห็นอะไรไปมากกว่าทุ่งนากับควาย

            “เสียดายจัง  ฉันก็เพิ่งมาทำงานที่กรุงเทพฯ  ได้เดือนกว่าๆ เอง  คิดถึงบ้านนอกใจจะขาด  นึกถึงตอนเด็กๆ แล้วมีความสุขเนอะ เราสองคนติดกันเป็นตังเมเลย...”เพื่อนเก่ายังพยายามพูดต่อ

            “เอ้อ...น้ำทอง  ดีใจที่ได้พบเธอนะ”  เมริศารับตัดบท  กลัวว่าสาวหน้าแป้นตรงหน้าจะพูดอะไรมากไปกว่านี้  “...แต่เสียดาย  แฟนฉันมารับแล้วละ”

            น้ำทองไม่รอช้า  คว้าแขนเมริศาหมับ

            “เดียวสิเมริศา  ฉันขอเบอร์โทร. เธอหน่อย”

            สาวไฮโซคิดในใจว่าเธอควรรีบไปจากเพื่อนคนนี้ให้เร็วที่สุด เมริศารีบบอกเบอร์ไปมั่วๆ  แล้วเข็นรถไปทางอื่น  แม้ว่าจะยังไม่เห็นหน้าคนรักที่มารอรับก็ตาม

            “เมริศา  ฉันโทร. ไม่เห็นติดเลย”  สาวหน้าแป้นตะโกนตามหลัง หลังจากลองโทร ไปยังเบอร์ที่สาวสวยบอก แต่ไม่มีการตอบรับ

            ‘...จะติดได้ยังไง ในเมื่อเบอร์ใครไม่รู้ หล่อนยังไม่รู้อีกหรือไงว่าคนเค้าไม่ต้องการให้ติดต่อ ตื้อจริงนะยายน้ำทอง!’

            “เอ่อ งั้นลองอีกเบอร์นะ”

            เมริศาจำใจขอกเบอร์จริงให้ เพราะจะออกอาการอารมณ์เสียในที่สาธารณะไม่ได้  เธอชูมือถือเมื่อเห็นเบอร์น้ำทองปรากฏบนหน้าจอ 

สาวหน้าแป้นยิ้มอย่างดีใจที่ได้เจอเพื่อสนิทในวัยเด็ก

 

          “เมรี่”

            แม้จะอยู่ไกล  แต่เมริศาก็เห็นอย่างชัดเจนว่าคนที่ตะโกนเรียกเธอคืนคนที่เธออยากเจอหน้ามากที่สุด  พาสกรสวมเสื้อเชิ้ตสีแสบสันพอดีตัวกับกางเกงยีนส์รัดรูป  แต่ที่เมริศาชอบมากที่สุดในตัวของเขา  นอกจากร่างที่สูงก็คือนัยน์ตาเจ้าชู้ และรอยยิ้มที่มองแล้วใจละลาย

            “พาส  โอ...มายดาร์ลิง”  เธอโผเข้าหาชายหนุ่ม  แต่พื้นที่ลื่นกลับทำให้เธอหกล้มทั้งที่ยังไม่ถึงตัวเขา

            เมริศาเชิดหน้าและลุกขึ้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิมนะที่รัก”  พาสกรเข้ามากอดเธอไว้  หญิงสาวสูดกลิ่นน้ำหอมของเขาจนเต็มปอด

            “ทำไมปล่อยให้เมรอนาน”  หญิงสาวตัดพ้อ

            “โถ  ผมมารอนานแล้ว”

            “เดี๋ยว  พาสเปลี่ยนน้ำหอมเหรอ  ทำไมเมไม่คุ้นกลิ่นเลย”  หญิงสาวถาม

            “เป็นกลิ่นเก่าที่ผมเคยใช้ตอนเรียนหนังสือ  ทำไม  เมไม่ชอบเหรอ ผมเปลี่ยนก็ได้นะ” ชายหนุ่มส่งสายตาเจ้าชู้ให้คนรัก

            “กลิ่นที่เมเลือกให้ดูเป็นชายหนุ่มสะอาด แต่กลิ่นนี้เหมือน...” 

เมริศายักไหล่นึกถึงคำเปรียบ  “โคโลญ...เด็กวัยรุ่น  หรือไม่พวกน้ำหอมเกรดต่ำๆ ที่...เกย์บ้านนอกชอบใส่”

            หญิงสาวพูดโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนฟัง  พาสกรส่ายหัวให้ความปากร้ายของแฟนสาว  ทำอย่างไรได้  เขาชินเสียแล้ว  นี่ขนาดห่างกันไปนานเกือบสองปี  เมริศายังสร้างความประทับใจแรกด้วยการตำหนิน้ำหอมที่เขาเลือกเองอย่างร้ายกาจ

            สาวสวยเดินเชิดหน้าท่ามกลางสายตาของผู้คน  บางคนหันมาจับกลุ่มพูดคุยเมื่อทั้งสองเดินผ่าน  เธอได้ยินเสียงฮือฮาดังเป็นระยะ นี่แหละ

คือสิ่งที่เธอต้องการ เธอต้องการให้ทุกคนมองเธอ

            เมริศา  พิพัฒนดาว  บุตรสาวคนเดียวของเจ้าของโรงแรมชื่อดังผู้มีทุกอย่างเพียบพร้อม  รวมทั้งคนที่เดินตามหลังคือ  พาสกร  โอชยานนท์  หนุ่มหล่อทายาทเจ้าของร้านเพชรสุดหรู  สองคนเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก  ผู้หญิงทุกคนอยากเป็นเธอ  และผู้ชายทุกคนก็อิจฉาพาสกรทั้งนั้น

            “เมื่อกี้คุณคุยกับใครเหรอ”  พาสกรถาม  หญิงสาวตกใจวูบ 

เมื่อรู้ว่าพาสกรเห็นเธอยืนเสวนากับเพื่อนเก่าจอมเด๋อด๋านั่น

            “ไม่มีอะไรหรอก  รีบพาเมกลับบ้านเถอะ  เมเหนื่อยแล้วนะ” 

หญิงสาวออกอาการหงุดหงิดกลบเกลื่อน  นึกถึงเรื่องยายน้ำทองหน้าแป้นเมื่อไร  พาลให้อารมณ์เสีย  ภาพเธอลงจากเครื่องบินและกำลังเดินเข้าสู่สนามบินเป็นฉากที่สวยงานในหนังแท้ๆ  ดันมีตัวประกอบหน้าตาบ้านๆ แทรกเข้ามา  เธออยากเป็นผู้กำกับจะได้สั่งหั่นบทสนทนากับอดีตเพื่อเก่าคนนั้นทิ้ง

            “ก็เห็นคุยกันตั้งนาน  นึกว่าเพื่อน”  พาสกรยังไม่รู้ว่าหญิงสาวไม่ต้องการตอบ

            “ดูรสนิยมการแต่งตัวของแม่นั่นเสียก่อน  จะมาเป็นเพื่อนเมได้ไง เพื่อนของเมมีแต่แอ๊ดดี้กับหญิงโฉมเท่านั้น”  เธอเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยเสียงดังฟังชัด

            สังคมชั้นสูงยังมีเพื่อที่จริงใจ  คอยทำเรื่องสนุกสนานกับเมริศาทุกครั้ง  หญิงสาวคิดถึงเพื่อนที่มีเมืองไทยทั้งสองคน  เมื่อนึกได้ก็อมยิ้ม

หากสองคนนั้นได้เห็นของฝากจากฝรั่งเศสจะต้องชอบใจเป็นแน่

 

            ‘เธอทำอะไรกับเสื้อเธอ’ ทองใบ ครูชั้นประถมทำตาโต

เมื่อเห็นชื่อโรงเรียนบนอกเสื้อของเด็กหญิงหน้าแป้น

            ‘ก็เปลี่ยนไงคะ’ เด็กหญิงตอบตาแป๋ว ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด

            ‘เปลี่ยน? โรงเรียนเราชื่อ พนมวิทยาคม อักษรย่อ พ.ค. ก็ถูกแล้ว แล้วเธอไปเปลี่ยนเป็นอะไร’ คุณครูถามต่อ

            ‘อ้าว พ.ค.นี่คือชื่อย่อโรงเรียนหรือคะครู’

            ‘อ้าว ก็ใช่นะสิ เธอนึกว่าอะไร’

            ‘หนูนึกว่าเป็นเดือนค่ะครู เราเปิดเทอมเดือนพฤษภาคม ก็เป็น พ.ค. ตอนนี้เดือนมิถุนายน หนูเลยให้แม่ปักใหม่เป็น มิ.ย.’

            ไม่เพียงแต่ทองใบที่หัวเราะ  เพื่อนทั้งห้องก็ฮาครืน  เว้นแต่เมริศา

ที่นั่งอยู่ข้างๆ

            ‘เธอก็น่าจะเตือนเพื่อนบ้างนะเมริศา นั่งด้วยกันแท้ๆ’

            ‘เอ่อ...ถ้าครูไม่บอก เย็นนี้หนูก็ว่าจะไปให้แม่แก้เป็น มิ.ย.เหมือน

น้ำทองเหมือกันค่ะ’ เมริศาตอบเสียงเบา

            นั่นเป็นการเริ่มต้นความสันพันธ์ของสองเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งของโรงเรียนพนมวิทยาคม  เพราะตั้งแต่นั้นเด็กหญิงทั้งสองก็สนิทชิดเชื้อจนเป็นเพื่อนรักกัน

            คนหนึ่งเป็นสาวใสซื่อ  ไม่มีพิษมีภัย  อีกคนเป็นคนช่างจินตนาการชอบแต่งตัว  แต่ที่เหมือนกันก์คือสองสาวกล้าแสดงออกเหมือนกัน

            ‘เม โตขึ้นนะ ฉันจะเป็นดาราดังให้ได้เลย’

            ‘ใช่ ฉันก็อยากเป็น ฉันอยากเป็นนางเอก’

            สาวน้อยทั้งสองมีพรสวรรค์ แต่ดันตรงข้ามกับหน้าตา  น้ำทองมีใบหน้าบาน  ตาชั้นเดียว  ส่วนเมริศาผมหยิก  ฟันเหยิน  และอ้วนท้วนปานนางยักษ์  โรงเรียนพนมวิทยาคมจึงมีสองดาราชั้นนำที่เพื่อนๆ  ตั้งฉายาอย่างเก๋ไก๋ว่า  ‘นางยักษ์เมรี’ กับ ‘ผีหน้าแป้น’

            แค่ฉายาตอนเด็กก็ทำให้สยองในความรู้สึกแล้ว  อดีตที่ไม่สวยงามแบบนั้น  เมริศา  สาวไฮโซคนปัจจุบันไม่อยากจำ

            ย้อนมองดูฐานะตัวเองยิ่งไม่อยากนึกถึง  เธอกับแม่อาศัยอยู่ในบ้านไม้หลังเล็กๆ ฐานะพออยู่พอกิน แต่แม่ไม่เคยบอกว่าพ่อเธออยู่ที่ไหน

            ครอบครัวของน้ำทองยังดีหน่อย  เนื่องจากพ่อเป็นพ่อค้าวัวควาย แต่ลำบากตรงที่ครอบครัวของเธออยู่กันถึงสิบเอ็ดคน

            ‘ปลาน่าจะกินเบ็ดแล้วนะแก’ น้ำทองทำตาโต เมื่อเห็นเบ็ดของเพื่อนสั่น

            ‘มาช่วยกันดึงเร็วเข้า ฉันดึงไม่ไหวแล้ว’

            สองเด็กหญิงช่วยกันออกแรงยกคันเบ็ดขึ้นจากคลอง

            เมื่อเห็นผลงานตัวเอง  สองเด็กหญิงก็กรี๊ดลั่น  เพราะแทนที่จะเป็นปลาตัวโต  กลับเป็นงูตัวเขื่องที่ติดเบ็ด  แต่กระนั้นสองสาวก็ยังไม่ยอมให้โอกาสหลุดมือ ฟาดหัวฟาดหางงูเอามาผัดเผ็ดกินที่บ้านอย่างอร่อย

            ‘แม่ฉันบอกว่าผู้ชายก็เหมือนงู มันอร่อยอย่างนี้นี่เอง และบอกให้ฉันรีบมีผัวไวๆ’ น้ำทองบอกหลังจากจัดการงูในจานจนเกลี้ยง

            ภารกิจหลังเลิกเรียนหรือวันหยุดคือ ตกปลา  ยิงนก  แหย่ไข่มดแดง  หาของกินมาทำอาหารได้เป็นมื้อ  ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว

            วันเวลาผ่านไป  เมื่อจบประถมศึกษาปีที่หก  แม่พาเมริศาเข้ากรุงเทพฯ อย่างกะทันหัน  พร้อมบอกให้เธอลืมอดีตทั้งหมด  เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  เธอจะมีชีวิตใหม่ในเมืองกรุง และต้องทำตามทุกอย่างที่ พิณทาผู้เป็นแม่สั่ง

            ‘แกจะไปแล้ว แกได้เข้ากรุงเทพฯ ก่อนฉัน ถ้าจะไปเป็นดาราต้องรอฉันด้วยนะ’ น้ำทองบอกลาเพื่อนที่ต้องจากไปไกล

            ‘ถ้าไม่มีแก ฉันก็ไม่กล้าหรอก ตัองรอแกอยู่ดีแหละ’ เมริศาเอ่ยพร้อมน้ำตา

            สองเด็กหญิงล่ำลากันด้วยความโศกเศร้า  เมริศาจากไปโดยทิ้งรองเท้าไว้ให้ดูต่างหน้า เพราะเผลอถอดก่อนขึ้นรถ

            ความทรงจำถูกแม่กับพ่อที่เป็นเจ้าของโรงแรมดังบอกให้ใส่กล่องเก็บไว้ในลิ้นชัก  หญิงสาวไม่เคยรู้เลยว่าเธอคือทายาทคนเดียวของชนินทร์ที่แม่พาหลบหนีไปอยู่ที่ภาคอีสานสิบกว่าปี  เธอตื่นตาตื่นใจกับสิ่งใหม่และวัตถุมากมาย ตั้งแต่นั้น นางยักษ์เมรีบ้านนอกก็ถอดรูปมาเป็นคุณหนูไฮโซ

            เธอจัดฟัน  ยืดผม  เสริมจมูก  ดูดไขมัน  ทำทุกอย่างที่ทำให้เธอสวยขึ้น  แม้จะต้องเจ็บตัวแต่เธอก็ไม่หวั่น  เมื่อไม่ได้สวยธรรมชาติแต่เมริศาก็พร้อมให้วิทยาศาสตร์แต่งแต้ม ไฮโซสาวจึงสวยด้วยมีดหมอของจริง

            ว่าแต่...เธอเปลี่ยนไปขนาดนี้ ทำไมน้ำทองยังจำเธอได้

            “คิดอะไรอยู่” พาสกรหันไปถาม เมื่อเห็นคนนั่งข้างๆ แอบยิ้ม

คนเดียวระหว่างกลับบ้าน

            “มีเรื่องอะไรดีๆ บอกผมได้หรือเปล่า”

            “เปล่าหรอก เพียงแต่เมนึกเรื่องตลกได้น่ะ”

            เรื่องของน้ำทองในอดีตยังตามมาหลอกหลอนไม่เลิกรา  คงเพราะเมื่อก่อนสนิทกันมาก เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก  ความทรงจำเกี่ยวกับ

สาวหน้าแป้นที่เจอกันเมื่อครู่จึงมีเยอะพอสมควร

            “แล้วแอ๊ดดี้กับหญิงโฉมล่ะ  พรวกนั้นรู้หรือยังว่าคุณกลับมา” 

พาสกรถามถึงเพื่อนสนิทของหญิงสาว  เขาค่อนข้างแปลกใจที่ไม่เห็นเพื่อนทั้งสองของแฟนสาวมารอรับที่สนามบิน

            “รู้แล้ว  แต่ติดธุระสำคัญ  พูดถึงแล้วก็ลองโทร. หาดีกว่า”  เมริศารีบหยิบโทรศัพท์มาโทร. หาเพื่อนอีกสองคนที่ติดธุระ ไม่สามารถมารับเธอได้

 

            “ใครโทร. มาเหรอ”  สาวผิวคล้ำถาม  หลังเห็นเพื่อนหนุ่มกระตุ้งกระติ้งวางสายไปเงียบๆ

            “ยายเมรี่กลับมาเมืองไทยแล้ว  ไม่รู้ครั้งนี้เรียนจบหรือเปล่า 

นี่ฉันอุตส่าห์บอกแล้วนะว่าวันนี้เราติดธุระ ยังโทร. มาอีก  อุ๊ย ตัวนี้สวยหรือเปล่า”  แอ๊ดดี้หันไปสนใจเลือกเสื้อผ้าแบรนด์ดัง

            “เดี๋ยวสิ  มาถึงแล้วเหรอ”  โฉมดรุณถาม

            “มั้ง  เห็นว่าอีตาพาสไปรับอยู่  จะสนใจอะไรมากมายกับแม่ไฮโซจอมปลอมแบบนั้น”

            “ไม่สนได้ไงยะ แม่นั่นเข้าใจว่าเราเป็นเพื่อน กลับจากฝรั่งเศสทั้งทียายนั่นต้องมีของฝากแน่”

            แอ๊ดดี้ดันแว่นตาขึ้น  ครุ่นคิดคำพูดของเพื่อนสาว  ก่อนเสยผมอีกครั้ง

            “จริงด้วย”  หนุ่มร่างบางไม่รอช้า  รีบโทรศัพท์กลับไปหาสายที่เพิ่งวางไป

            “ไฮ เมรี่ ไอตื่นเต้นมาก โอเค  เดี๋ยวยังไงคืนนี้จะเข้าไปหานะ”  แอ๊ดดี้พูด พร้อมกับหลิ่วตาให้โฉมดรุณ

            “จริงเหรอแอ๊ดดี้ ดีจัง  ฉันคิดถึงเธอแทบแย่  อยากจะไปแดนซ์กันใจจะขาด โอเคๆ ไอรอยูนะ” เมริศายิ้มกว้าง

            “จะมีปาร์ตี้กันแล้วเหรอ”  พาสกรถาม  เพราะได้ยินแฟนสาวคุยโทรศัพท์

            “ก็ดูก่อน”  หญิงสาวตอบผ่านๆ เพราะวุ่นกับการหาแป้งมาเติมก่อนเข้าบ้าน

            “เพิ่งมาเหนื่อยๆ คุณพักบ้างก็ดีนะ”

            “ฉันแข็งแรงจะตาย”  เมริศาทำหน้ากวนประสาท  หอมแก้มเขาเบาๆ หนึ่งทีก่อนจะลงรถ

            “ขอโทษด้วยนะที่ผมไม่ได้ไปสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของคุณ”  พาสกรตะโกนลอดกระจกรถ

            “อย่าพูดมากเลย  ไม่ลงก็ไม่ต้องขอโทษ”  เมริศาหันมาค้อน พาสกรยิ้มจางๆ

           

            “เซอร์ไพรส์”  หญิงสาวตะโกนลั่น  ทำให้พิณทาที่กำลัง

นั่งอ่านหนังสือสะดุ้งโหยง ส่วนแม่บ้านสูงวันที่ชื่อไก่กรีดร้องดังกว่าใครเพื่อน

            “เมรี่  กลับมาเมื่อไหร่ลูกๆ”  พิณทายิ้มร่า  อ้าแขนรับลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอด

            “ก็ตอนนี้แหละค่ะ”  หญิงสาวหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ให้หายคิดถึง

            “คุณหนูทำให้ยายตกอกตกใจหมด”  ยกมือทาบอก  ก้มเก็บไม้ขนไก่ที่เผลอทำหลุดมือ

            “ถ้าอย่างนั้นเค้าจะเรียกเซอร์ไพรส์เหรอยายไก่  ไม่เจอกันสองปีแก่กว่าเดิมนะ ไม่ต้องพูดมาก ไปบอกให้คนอื่นๆ มาขนกระเป๋าให้เมหน่อย”

            ไก่เดินไปสั่งงานตามคำสั่งคุณหนูของบ้าน

            “นี่แน่ะ”  หญิงสาวจี้เอวหญิงชราตอนเผลอ

            “เอ๊ก อี้ เอ๊ก ตายแล้วคุณหนู ทำยายตกใจอีกแล้วนะคะ”

            “เมจะลองดูว่าใช่ยายไก่ตัวจริงไหม ของแท้เวลาตกใจต้องขันเป็นไก่” เมื่อขบขันพฤติกรรมของไก่แล้ว เมริศาจึงหันมาเสวนากับพิณทาต่อ

            “คุณพ่อละคะ”

            “ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว แล้วกลับมานี่เรียนจบหรือยัง ถ้าครั้งนี้ไม่จบ คุณพ่อไม่ส่งไปเรียนต่อที่ไหนแล้วนะ”

            นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมริศาไปเรียนต่อเมืองนอก  ก่อนหน้านั้นหลายครั้งแล้วที่เธอไปได้ไม่ถึงเดือน ก็เป็นอันระเห็จกลับบ้าน  เนื่องจากความไม่อดทนของเธอ

            “จบสิคะ เดี๋ยวแม่ได้เห็นใบประกาศแน่”

            “แค่เรียนเสริมสวยไม่จบ  แม่ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว  หอบสังขารไปเรียนถึงฝรั่งเศส  ทั้งที่เมืองไทยก็มีที่ให้เรียนเยอะแยะ”

            “คุณแม่  เรียนที่เมืองไทยไม่เหมาะกับคนอย่างเมหรอก”  เมริศาพูดน้ำเสียงเง้างอด ก่อนจะโผเข้ากอดพิณทาอีกครั้ง

            “เอ้อ เมื่อกี้หนูเจอน้ำทองที่สนามบินด้วย”

            “น้ำทองไหน”

            “น้ำทอง  ลูกป้านาง...”

            “หยุดเดี๋ยวนี้เมรี่”  พิณทาขึ้นเสียง

            “แม่ไม่รู้จัก แล้วไม่ต้องรื้อฟื้นเรื่องในอดีตอีก”  พิณทาเริ่มอารมณ์เสียที่ลูกสาวขุดเรื่องอดีตมาพูด เธอรีบลุกและเดินไปขึ้นบันได

            “ไปพักผ่อนเสีย  แม่จะออกไปข้างนอกกับท่านผู้หญิงที่สมาคมหน่อย”  พิณทาเอ่ยเสียงแข็ง

            “ค่ะ”  เมริศาหน้าจ๋อย  ไม่นึกว่าการเจอน้ำทองเป็นคนแรกทันที่ที่มาถึงเมืองไทย จะทำให้แม่โกรธ

รายละเอียด

คำนำนักเขียน

 

นิยายเรื่อง “ไฮโซสะออน” นั้น ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่เขียนและได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ครับ

ความคิดแรกเกิดจากขณะผมรอเพื่อนอยู่ในห้างดังใจกลางกรุงเทพฯ แต่ตัวเองกำลังใส่หูฟังฟังเพลงลูกทุ่ง จึงคิดว่าน่าสนุก หากนางเอกต้องทำตัวไฮโซฉาบทับความเป็นคนชอบอะไรบ้านๆ ไว้

ตอนที่เขียนนั้นไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลย คิดแต่ว่าอยากได้นางเอกไฮโซที่ชอบเมาแล้วร่วง ต้องมาเจอพระเอกแบบหนุ่มหล่อใสซื่อ

ยิ่งมาได้ดูมิวสิควีดีโอของศิริพร อำไพพงษ์ ไมค์ ภิรมย์พร ไอเดียจึงกระฉูด นั่งเขียนอย่างสนุกสนานจนกลายเป็นนิยายเล่มนี้ขึ้นมาได้

สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้นั่นก็คือ หากเรารักที่จะเขียนเรื่องไหน กรอบ กฏเกณฑ์อะไร วางมันไว้ก่อน เขียนไปเถอะ ยังไงตัวละครก็จะมีชีวิตขึ้นมาเอง

            เมริศาเธอตอบแทนทุกคนในเรื่องนี้แล้ว

ขอบคุณฝนทอง พี่หน้อย ที่ช่วยตรวจอักษรอีกรอบ ที่ลืมไม่ได้ก็คือนักอ่านที่ยังติดตามหัสวีร์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรูปเล่ม หรือ E- Book

 

หัสวีร์ 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (85 รายการ)

www.batorastore.com © 2025