ไพรพิศวาส The Rogue (เจเน็ต เดลี่ย์ เขียน) (แปล บุญญรัตน์)
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
บทที่ 1
ฟากตะวันออกของเทือกเขาที่แห้งแล้ง ทอดเงาของมันลงสู่หุบผาเบื้องล่างในยามเช้า ซึ่งตามแนวลาดของหุบผานั้น เต็มไปด้วยทิวสนและพันธุ์ไม้ป่าขึ้นเขียวตลอดปี สายลมอ่อนจากด้านทิศใต้หอบกลิ่นกับละอองไอน้ำ อันเกิดจากการทดน้ำเข้าไปในไร่ ซึ่งก็มีทั้งต้นเนวาด้าเซจและต้นหญ้าก้านแข็งเขียวชอุ่มราวปูด้วยพรมสีเขียวมารวยริน
ฟางกองใหญ่ๆกองสุมกันอยู่ราวภูเขาขนมปังสีทองใกล้กับโรงม้าและคอกปศุสัตว์ ถัดไปคือบริเวณกว้างใหญ่ที่กั้นขึ้นเป็นคอกม้า เกวียนมากมายหลายเล่มจอดรวมๆกันไว้ และเลยไปไม่ไกลนักคือโรงที่ใช้เก็บเรื่องอันเป็นอุปกรณ์ในการทำไร่ ซึ่งเงาของสิ่งต่างๆเหล่านี้แตะแต้มลงบนทุ่งหญ้าเป็นจุดๆ ประกอบด้วยบ้านไร่หลังใหญ่ ที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบบนเนินสูงไม่ไกลออกไปเท่าไรนัก และการที่บ้านไร่หลังนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงนั่นเอง จึงทำให้สามารถมองเห็นบริเวณไร่ปศุสัตว์ได้โดยรอบ สายน้ำที่กระจายพรั่งพรูลงมาจากเครื่องฉีดนั้น ให้ความชุ่มชื้นแก่ต้นหญ้าก้านแข็งที่ปกคลุมพื้นดินในบริเวณรอบๆตัวบ้านได้อย่างทั่วถึง
ลูกม้าแข่งพันธุ์อาราเบียน 3 ตัว ยืนกระโดดโลดเต้นอยู่ในคอกที่ถูกแยกไว้ต่างหาก และขณะนี้มีบุคคล 2 คนที่เกาะราวไม้ยืนมองดูพวกมันอยู่ คนหนึ่งอยู่ในวัยสาว อีกคนหนึ่งอยู่ในวัยสูงอายุกว่า ต่างยืนในลักษณะที่เอามือพาดอยู่กับราวไม้อันบนสุด บุรุษผู้มีเรือนผมสีดอกเลา มีท่าทางอ่อนโยนและมีชีวิตที่สมบุกสมบันอย่างเห็นได้ชัด รอยเส้นเล็กๆตรงหางตา บอกให้รู้ถึงความทรหดอดทนสู้แดดสู้ลมมาตลอดชีวิต ความชำนาญและประสบการณ์ในชีวิตเป็นประหนึ่งตราที่ประทับอยู่บนใบหน้า รวมทั้งความลำบากตรากตรำอันเกิดจากการแพ้พ่ายในอดีตแต่หนหลังด้วย
รูเบน สเปนเซอร์ คือชื่อบุรุษผู้มีฝีมือในการยิงปืนใส่เจ้ามือการพนันในบ่อนกาสิโนในอีลายมาแล้ว เขาได้เข้ามาพำนักพักพิงอยู่ในบ้านไร่แห่งนี้ ด้วยความประสงค์ 4 ประการด้วยกัน คือที่พักอาศัย,อาหาร,ค่าแรงงานและความจงรักภักดีในบุรุษผู้เป็นนาย กับอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนสถานที่แห่งนี้คือบ้านของเขาเองก็คือ สาวน้อยแรกรุ่นที่กำลังยืนเกาะอยู่ตรงราวไม้เคียงข้างเขาอยู่ขณะนี้ เธอคือลูกสาวของนาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดเลยว่า สายลมแห่งเนวาด้า จะทำให้เขาสามารถหยุดยั้งวิถีทางเดินแห่งชีวิตไว้ได้
แต่สำหรับไดอาน่า ซอมเมอร์ส์แล้ว ทั้งวัยและวันยังรออยู่เบื้องหน้าอีกไกลนัก นับแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก จนเข้าสู่วัยแรกรุ่นดรุณีได้เพียงแค่ขวบปีเดียว ไดอาน่าก็เริ่มตระหนักถึงศักดิ์ศรี แห่งความเป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของไร่แห่งนี้ เป็นศักดิ์ศรีที่เธอได้เพิ่มความหยิ่งทะนงเข้าไว้ด้วย
ความสำนึกในสิ่งนั้นทำให้เธอรู้จักในสิทธิและอำนาจแห่งตน มันแสดงออกในกิริยาท่าทางที่เดินคอตั้ง คางเชิด ดูเหมือนจะมีบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เธอยอมก้มหัวให้ คือพ่อของเธอเอง บุรุษผู้เป็นประหนึ่งพลังที่ผลักดันชีวิต ความองอาจผึ่งผายสมลักษณะแห่งชายชาตรีกระจ่างอยู่ในดวงตาคู่สีฟ้าสดใส และเคร่งขรึมเสมือนท้องฟ้าแห่งเนวาด้านั้น
สำหรับแม่..ดูจะเป็นความทรงจำที่ลางเลือนเต็มทีสำหรับไดอาน่า แม่ตายด้วยนิวมอเนียตั้งแต่เธออายุได้เพียงแค่ 4 ขวบ รูปถ่ายที่ใส่กรอบตั้งประดับไว้ เป็นเพียงเครื่องยืนยันว่า ครั้งหนึ่งแม่เคยมีชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ไดอาน่าไม่ได้รู้สึกถึงความสูญเสียของแม่เท่าใดนัก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่เคยรู้สึกผูกพันก็เป็นได้
ไร่ปศุสัตว์ของครอบครัวซอมเมอร์ส์ประกอบด้วยพื้นที่ 1,000 เอเคอร์ กับทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่อันเป็นส่วนที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์อีกไม่น้อยกว่า 1,000 เอเคอร์ และไดอาน่าคือเจ้าหญิงน้อยๆในอาณาจักรเล็กๆแห่งนี้ มีพ่อของเธอเป็นราชา ซึ่งเธอคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องมีราชินีด้วยเลย ไดอาน่าต้องการเพียงแค่พ่อและพ่อก็ต้องการเพียงเธอเท่านั้น และเมื่อรวมกันเข้าโลกทั้งโลกก็สมบูรณ์พอแล้ว
เสียงโครมครามของรถพิคอัพคันหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาทางประตูใหญ่ด้านหน้าของบริเวณไร่ ทำให้เธอต้องหันไปมอง ไดอาน่ารู้สึกไม่คุ้นตากับรถคันนี้เลย รอยขมวดมุ่นตรงหน้าผากดูจะกดลึกลงเมื่อมองเห็นป้ายทะเบียนที่บอกว่าเป็นทะเบียนรถจากรัฐอริโซน่า
เธอหันไปทางรูเบ้ สเปนเซอร์ทันที
“คนๆนั้นเขามาทำไมน่ะ?”
รูเบ้หันไปมอง พ่นควันจากกล้อง ยาเส้นเป็นทางยาว
“ให้ตายสิ..ถ้าผมรู้” เขายักไหล่ “อาจเป็นคนใหม่ที่เมเจอร์จ้างมาก็ได้”
“คนใหม่อะไรกัน เมเจอร์ไม่เห็นบอกอะไรฉันเรื่องจะจ้างคนใหม่เลย”
ทุกคนในไร่เรียกพ่อของเธอว่า”เมเจอร์” รวมทั้งตัวเธอเองด้วย
จอห์น ซอมเมอร์ส์ ได้ลาออกจากราชการในกองทัพบกสหรัฐฯ หลังจากไดอาน่าเกิดเพียงไม่กี่เดือน เหตุผลของการลาออกก็เนื่องมาจากการที่พี่ชายของเขาประสบอุบติเหตุรถชนกันจนถึงแก่ความตาย และในตำแหน่งนายพันตรีที่เขาดำรงอยู่ในสมัยนั้น ทำให้ใครๆก็ยังคงเรียกขานเขาติดมาว่า “เมเจอร์” จนทุกวันนี้
“ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วละที่เขาต้องทำ” รูเบ้กล่าว
“อ้าว แล้วตอนนั้นฉันไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ?”
รูเบ้ใช้เวลากับความคิดอยู่ครู่สั้นๆ
“คงจะเป็นวันที่เราออกไปตัดหญ้าแล้วคุณหนูก็ออกไปขับแทรคเตอร์นั่นแหละ อา..ใช่แล้ว..ต้องเป็นวันนั้นแน่ แล้วผมก็ยังให้ยากับแม่ม้าด้วย” รูเบ้ไม่เพียงไม่ใคร่ขอบแต่ยังเหยียดหยามงานในไร่ด้วย เขาพยายามหลบเลี่ยงทุกครั้งถ้ามีงานจะต้องทำ และเมเจอร์ก็หมดปัญญาที่จะโต้เถียงกับเขาอีกต่างหาก นอกจากจะออกเป็นคำสั่งเด็ดขาดให้เขาดูแลม้าเท่านั้น
“ตอนที่ผมออกมาจากคอกยังเห็นเมเจอร์พานายคนนี้ดูงานจนทั่วไร่ด้วย”
เขายังคงพูดอะไรต่อมิอะไรที่ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าวต่อไปเรื่อยๆ แต่ทันทีที่ไดอาน่าได้ยิน
รูเบ้พูดถึงว่าได้สอบถามเมเจอร์แล้วและได้รับคำตอบว่าได้จ้างคนงานใหม่เข้ามาแล้ว เธอก็ตั้งใจฟังเขาพูด มีน้อยคนนักที่จะหยุดฟังเรื่องที่รูเบ้เล่า ซึ่งครั้งหนึ่งเมเจอร์เคยถึงกับกล่าวว่า คนอย่างรูเบ้สามารถพูดให้ลิงหลับได้
เสียงโครามครามของรถคันนั้นมาหยุดสนิทลงเมื่อถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ เสียงประตูที่กระแทกปิดอย่างแรง ทำให้รูเบ้ชะงักเรื่องที่ที่กำลังพูดอยู่ลง และนึกถึงงานที่จะต้องทำได้ ประสาทที่ 6 เตือนเขาอยู่ว่า เมเจอร์กำลังเดินออกมาแล้ว
ไดอาน่าไม่ได้สนใจกับการที่รูเบ้เกิดจะต้องทำงานขึ้นมาในทันทีทันใด เธอหมุนตัวกลับกระโดดลงจากรั้วไม้ ตั้งใจว่าจะต้องดูหน้าคนที่เมเจอร์มาใหม่โดยไม่บอกให้เธอรู้ให้ได้ เธอออกจะหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่เมเจอร์ให้ความไว้วางใจในตัวเธออย่างยิ่ง สอนให้เธอรู้จักงานธุรกิจในไร่ จนไดอาน่ามีความรู้พอๆกับเมเจอร์ ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างตัวเธอกับพ่อเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลสำหรับไดอาน่า การที่พบว่าขณะนี้ได้มีช่องว่างเกิดขึ้นในความสัมพันธ์นั้นทำให้ไดอาน่ารู้สึกไม่สบายใจ
ด้วยเรือนร่างเล็กระหงเหมือนเด็กชาย ไดอาน่าก้าวยาวๆอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นลักษณะท่าทางของเมเจอร์โดยแท้ ตรงไปยังบ้านหลังใหญ่แม้จะมีอาการรีบร้อนอยู่ในท่าทางเดิน แต่ก็ยังมองเห็นลักษณะความเป็นผู้หญิงของเธอได้เด่นชัดเส้นผมสีดำสนิทของเธอตัดสั้นแบบผมของเด็กชายแนบติดกับหนังหัว
เมเจอร์เดินลงมาจากบันไดตรงระเบียงแล้วและกำลังเดินไปยังรถพิคอัพคันนั้น ท่าทางของเขาสง่าผ่าเผย เป็นลักษณะของบุรุษผู้รักษาเนื้อตัวและสุขภาพได้อย่างดียิ่ง เขาสวมกางเกงแบบชาวไร่สีน้ำตาลเข้ม ตัดเย็บด้วยผ้าลายสอง เสื้อที่สวมตัดเย็บด้วยผ้าพิมพ์ตรงปกลงแป้งไว้แข็ง รองเท้าบู๊ทที่สวมใส่อยู่ได้รับการขัดจนเป็นมันวับ เส้นผมสีดำสนิทตัดสั้นแบบทหาร ตรงขมับด้านข้างเริ่มปรากฏสีเทาขึ้นแซมจนเห็นได้ชัด เมเจอร์มีลักษณะของคนแข็งแรง บึกบึน และเกิดมาเพื่อออกคำสั่งโดยแท้
และยิ่งกว่านั้น เขายังจัดว่าเป็นคนหล่อเหลาเอาการ มีความเด่นอยู่ในตัว การที่เขาใช้ชีวิตพ่อม่ายอยู่เพียงลำพังย่อมเป็นเป้าสำหรับหญิงสาวๆทั้งหลาย และกับดวงตาคู่สีฟ้านั้นด้วยแล้วย่อมทำให้มีผู้ปรารถนาจะได้เป็นคู่เคียงกับเขามากขึ้น ครั้งหนึ่งไดอาน่าเคยริษยาที่พวกผู้หญิงที่โบสถ์หรือในเมืองที่ให้ความสนใจกับพ่อของเธออย่างมาก แต่ท่าทางเขาไม่ได้แสดงความยินดียินร้ายด้วย ทำให้เธอมั่นใจว่าพ่อไม่สนใจที่จะแต่งงานใหม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมเจอร์ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของชายโสดโดยแท้ นับตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก จนกระทั่งเข้ารับราชการเป็นทหารและกลับมาทำไร่อีกครั้ง
ดังนั้น ชีวิตโลดจึงเหมาะที่สุดสำหรับเขา การที่เขาจะเลือกผู้หญิงสักคนหนึ่งเพื่อคบหาไว้เป็นเพื่อนสนิทนั้น ย่อมจะต้องทำอย่างรอบคอบที่สุด ไดอาน่าไม่เคยต้องรู้สึกว่าตัวเองถูกบีบคั้นกับการที่จะมีผู้หญิง มาสำแดงความปรารถนาที่จะผูกสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นกับพ่อของเธอ ทั้งยังแอบหัวเราะอยู่เงียบๆเสมอ เมื่อมีคนมาบอกเมเจอร์ว่าเธอต้องการแม่..เพราะที่จริงแล้วเธอต้องการเพียงแค่พ่อเท่านั้นและแน่ใจแล้วด้วย ว่าเขาเองก็ต้องการเฉพาะแต่เธอ
หางเสียงของเขาออกจะห้วนแต่ก็เต็มไปด้วยมิตรภาพ ยามที่เขาเอ่ยทักผู้ชายคนที่ก้าวลงจากรถพิคอัพ ทั้งคู่กำลังจับมือกันตอนที่ไดอาน่าเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างพ่อ ท่าทางเธอผึ่งผายเช่นเดียวกับเมเจอร์ รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ของเธอที่เท่าเทียมกับเขา เมเจอร์หันมามองลูกสาว สายตาคู่นั้นบ่งบอกความรักใคร่อย่างชัดเจน ไม่ได้มีสิ่งใดซ่อนเร้นเลย เขาวางมือลงบนไหล่เธอ ซึ่งไดอาน่าไม่คิดว่ามันจะมีสัญญาณอื่นใดอยู่ในการกระทำเช่นนั้น
“คุณได้รับการต้อนรับพร้อมหน้าทีเดียวนะฮอลท์ เมื่อลูกสาวผมเขาก็มายืนอยู่ตรงนี้ด้วย” เมเจอร์พูดกับผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า “นี่ไง..ลูกสาวผม เขาชื่อไดอาน่า..แล้วนี่คือผู้จัดการไร่คนใหม่ของเรายังไงล่ะลูก..ฮอลท์ มัลโลรี่”
เธอมองเขาเต็มตา คล้ายกับว่าจะต้องได้รับการพิจารณาและตกลงปลงใจเสียก่อน ฮอลท์จึงจะเริ่มทำงานได้..และเธอก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ร่างสูงประมาณ 6 ฟุต สะโอดสะอง ที่กำลังถอดหมวกปีกกว้างที่สมอยู่อย่างเป็นพิธีรีตอง เผยให้เห็นเรือนผมสีน้ำตาลดกหนา เหมือนจะถูกแดดเผาจนกลายเป็นสีแห้งๆเหมือนยาเส้น สีหน้าของเขาไม่บอกความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ดวงตามีแววกระด้างสีเทาเข้มเหมือนสีเหล็ก แลดูเหมือนจะบอกวันวัยที่ผ่านมา แม้ประมาณว่าอายุไม่เกิน 26 ก็ตาม
“สวัสดีครับ มิสซอมเมอร์ส์” เขาทักทายด้วยการพูดช้าๆเสียงห้าวๆ
“สวัสดีค่ะ ขอบคุณ” มันมีความรู้สึกไม่ชอบหน้าเกิดขึ้นทันที ดูจะแรงขึ้นเมื่อเธอหันไปมองเมเจอร์
“นั่นลูกชายคุณหรือ?” เมเจอร์มองเลยเขาไปและไดอาน่าก็พลอยมองตามสายตาพ่อไปด้วย
“กาย มาสิ..มาสวัสดีเมเจอร์เสีย” แม้ในน้ำเสียงของฮอลท์จะฟังดูราบเรียบ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นลักษณะของการออกคำสั่ง
เด็กชายวัยประมาณ 9 ขวบลงมายืนอยู่ข้างรถคันนั้นแล้ว รูปร่างหน้าตาผอมซีด ท่าทางตื่นๆ แต่ก็เดินกระปลกกระเปลี้ยเข้ามาสัมผัสมือกับเมเจอร์
“สวัสดีครับ ท่าน” แกพูดเสียงเบา
เมเจอร์ยืดร่างขึ้นพูดยิ้มๆว่า
“หน้าตาดีนี่ฮอลท์”
ไดอาน่ามองเด็กคนนั้นอีกครั้ง พยายามจะมองให้เห็นในสิ่งที่พ่อของเธอบอกว่า “หน้าตาดี” แต่ก็มองไม่เห็น ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะอธิบายลักษณะของเด็กชายได้เลยด้วยซ้ำ รูปร่างบอบบางตัวเล็กๆ ท่าทางหวาดหวั่น กลัวแม้แต่เงาตัวเอง ไดอาน่ามองดูท่าทางยืนของเด็กชายที่คล้ายจะไม่มีกำลัง ทำให้บังเกิดอารมณ์ลึกลับที่ใคร่จะได้คุ้มครองป้องกันขึ้นมา
“ผมจะพาไปดูที่อยู่ของคุณนะ ฮอลท์” เมเจอร์พูดขึ้น ก่อนจะหันมาทางไดอาน่า “จูงกายตามมาสิลูก จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกันไปพลาง”
ไดอาน่าไม่ได้มีความปรารถนาจะสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับเด็กชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย..แต่ถ้ามันเป็นความต้องการของพ่อ..เธอลอบถอนหายใจ เอื้อมไปจับแขนเด็กชาย แต่แกกลับซุกหน้าอยู่หลังพ่อและไดอาน่าก็ยักไหล่อย่างไม่ยินดียินร้ายด้วย
“มาสิ กาย” เธอว่า ลดฝีเท้าลงเดินตามหลังพ่อกับคนงานใหม่ไป
เมื่อเด็กชายเห็นทุกคนเดินออกจากที่นั้น จึงได้ออกเดินตามมาและไดอาน่าก็เข้าไปเดินคู่กับแก เธอไม่ใคร่คุ้นกับพวกเด็กๆเท่าไรนัก นอกจากสมัยที่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่โรงเรียน เธอมองดูเด็กชายที่จับตาอยู่แต่พื้นดินตรงหน้าและพยายามหาเรื่องที่จะชวนพูดคุยไปด้วย
“หนูมาจากอริโซน่าหรือ?”
คำถามนั้นได้รับคำตอบด้วยความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จนไดอาน่าคิดว่าจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว แต่ดวงตากลมโตสีฟ้าของเด็กชายก็หันมามองดูเธอ
“เปล่าครับ พ่อผมอยู่ในอริโซน่า แต่แม่อยู่เดนเวอร์..”
“อ้าว..แล้วตอนนี้แม่หนูไปไหนเสียล่ะ?”
ริมฝีปากของเด็กชายสั่นเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาทันที..
“แม่ตายแล้วครับ”
“เหรอ..แม่ฉันก็ตายแล้วเหมือนกัน” ไดอาน่าตอบเสียงหนักๆ “แม่ฉันตายตั้งแต่ฉันอายุแค่ 4 ขวบเท่านั้น” เธอจับตามองผู้ชายที่เดินเคียงข้างอยู่กับเมเจอร์ “ทำไมหนูถึงไปอยู่เดนเวอร์ทั้งที่พ่ออยู่อริโซน่าล่ะ พ่อกับแม่หย่ากันหรือ?”
เด็กชายพยักหน้ารับแทนคำตอบและไดอาน่าก็ไม่ได้นึกตำหนิมารดาของเด็กชายคนนี้เลย เพราะเธอเองก็ไม่ใคร่ขอบผู้ชายคนนี้เหมือนกัน แต่ออกจะประหลาดใจเพราะเด็กชายแสดงความรู้สึกธรรมดาเท่านั้น
“พอแม่ผมตายเมื่อเดือนก่อนเขาก็มาหา แล้วก็บอกว่าเขาเป็นพ่อผม แล้วผมจะต้องไปอยู่กับเขาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” น้ำเสียงของเด็กชายที่เล่าเรื่องนี้ติดจะขุ่นเคืองอยู่บ้าง
“หมายความว่าเธอยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยใช่ไหม?”
“ก็ตากับยายบอกว่าเขาเป็นพ่อผมนี่ครับ เพราะฉะนั้นเขาก็คงต้องเป็นจริงๆ..แม่บอกผมว่าพ่อทิ้งเราไปหลังจากที่ผมเกิด เพราะว่าเขาไม่ได้ต้องการเราทั้งสองคนครับ”
เมื่อนึกถึงดวงตาคู่สีเทาเข้มเต็มไปด้วยแววกระด้างคู่นั้น ไดอาน่าก็เชื่อว่ามันจะต้องเป็นเรื่องจริง
“ก็ถ้าเขารู้สึกอย่างนั้น ทำไมเขาจะต้องมาห่วงเธอตอนนี้ด้วยล่ะ?” ไดอาน่ามีความรู้สึกเหมือนกำลังจะพูดความคิดของตัวเองออกมาดังๆ
กาย มัลโลรี่ดูจะงุนงงกับคำถามนั้นอยู่
“พ่อบอกว่า..พ่อต้องการผมเสมอครับ” เด็กชายตอบตะกุกตะกัก “เพียงแต่แม่ไม่ยอมให้พ่อพบผม แต่ผมรู้ว่าจริงๆแล้วแม่ต้องอยากให้พบแน่..ผมรู้ครับว่าแม่ต้องอยากทำอย่างนั้นจริงๆ”
คำพูดที่เหมือนจะปกป้องแม่ทำให้ไดอาน่าต้องก้มลงมองเด็กชายอย่างพิจารณาอีกครั้ง เด็กชายดูจะเป็นคนอ่อนไหวคงไม่อดทนเท่าไรนัก
“นั่นสินะ ฉันว่าแม่ของหนูคงต้องอยากทำอย่างนั้นแน่ ถ้าเขาต้องการพบหนูจริงๆ” เธอคล้อยตาม แต่ในใจก็คิดว่า..เจ้าหนูน้อยผู้น่าเวทนาเอ๋ย..ไดอาน่ารู้สึกสงสารนักที่แกมีพ่อที่ไม่ได้ต้องการแกเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เด็กจะมีท่าทางตื่นกลัวอย่างไรพิกล..
ขณะที่ทุกคนเดินผ่านเข้าไปยังคอกที่กั้นขึ้นไว้สำหรับม้าพันธุ์อาราเบียนโดยเฉพาะ เป็นม้าเลือดอาหรับแท้ที่ได้รับการเลี้ยงและดูแลเอาใจใส่ที่สุดของไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ ซึ่งรวมทั้งแม่ม้าอีก 30 ตัวรวมทั้งลูกๆของพวกมัน ซึ่งก็มีทั้งลูกอ่อนและที่อายุเกิน 2 ปีแล้ว บางตัวก็เก็บไว้เพื่อผสมพันธุ์และบางตัวก็เอาไว้โชว์ แต่บางตัวก็พร้อมที่จะนำออกขายแล้ว รวมทั้งม้าที่ใช้งานอย่างอื่นด้วย แต่พ่อพันธุ์อาราเบียนอีก 2 ตัวถูกแยกไว้ต่างหากจากตัวอื่น เจ้าม้าพันธุ์ชื่อเชตันวิ่งอยู่รอบๆคอกที่กั้นไว้เหมือนจะอวดพละกำลังแก่เจ้านายของมัน อันที่จริงมันไม่ได้มีสิ่งใดที่ผิดปกติไปกว่าเคย เพียงแต่ไดอาน่าสังเกตเห็นดวงตาของเด็กชายเบิกโพลงขณะจ้องมองดูม้าตัวนั้น
“เธอขี่ม้าเป็นไหม?” ไดอาน่าถาม”ผมไม่เคยเห็นม้าตัวเป็นๆใกล้ๆอย่างนี้เลยครับ เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ แล้วก็จากในรถบรรทุกตอนที่เราขับรถมาที่นี่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้เธอก็จะได้เห็นเยอะแยะเลยละ แล้วก็จะยังได้เรียนรู้วิชาการขี่ม้าที่ถูกต้องด้วยนะ..ง่ายจะตายไป..!”
“จริงหรือครับ?” เด็กชายถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ราวกับเธอได้ยื่นโลกทั้งโลกมาให้
“ก็จริงน่ะสิ” ไดอาน่ายักไหล่ “ฉันสอนให้เองยังได้เลย” เมื่อพูดออกไปแล้วก็อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ ที่ไปอาสาเช่นนั้น เธอไม่ต้องการจะใช้ช่วงเวลาตลอดฤดูร้อนเป็นพี่เลี้ยงเด็กชายเซื่องๆคนหนึ่งเช่นนี้เลย
“ว๊าว..!” กาย มัลโลรี่เต็มไปด้วยดีใจเหลือจะกล่าว ใบหน้ารื่นเริงมีชีวิตจิตใจขึ้นมาทันที
เสียงที่เบิกบานแจ่มใสของเด็กชายทำให้บุรุษทั้งสองที่เดินอยู่ข้างหน้าต้องหันมามองด้วยความประหลาดใจ ซึ่งก็เป็นขณะเดียวกันกับที่ได้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเรือนพักขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ที่ว่างคนอยู่อาศัยมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว สีหน้าของฮอลท์ มัลโลรี่ ดูอ่อนโยนลงด้วยรอยยิ้มบางๆ ขณะก้มลงมองลูกชายที่กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่อย่างแปลกใจ
“เกิดตื่นเต้นอะไรขึ้นมาล่ะกาย?”
“คุณผู้หญิงสัญญาว่าจะสอนขี่ม้าให้ผมครับพ่อ”
ฮอลท์ มัลโลรี่ ขมวดคิ้วขณะตอบลูกชายว่า
“เอ๊ะ..ไม่เห็นแกเคยบอกพ่อนี่ว่าอยากเรียนขี่ม้า..” เสียงที่พูดนั้นเป็นเสียงที่พยายามให้อ่อนลงแล้ว สังเกตอยู่ว่า ท่าทางของกายดูจะสนิทสนมกับไดอาน่า ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงชั่วครู่มากกว่าที่เด็กชายจะให้ความสนิทสนมกับพ่อของตัวเองทั้งที่อยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง
“ผมอยากเรียนครับ แล้วคุณผู้หญิงก็สัญญาว่าจะสอนให้ผมด้วย”
“เป็นความกรุณาของมิสซอมเมอร์ส์อย่างยิ่ง แต่เราก็ไม่ควรสร้างความลำบากให้เธอนะ ถ้าแกอยากจะเรียนจริงๆนะกาย พ่อจะสอนให้เอง..แต่ว่านั่นต้องหมายความด้วยว่า ถ้าเมเจอร์จะอนุญาตให้เราขอยืมม้าของท่านก่อน”
“ผมไม่ขัดข้องอะไรเลย ฮอลท์ แต่เมื่อไดอาน่าเขาแสดงเจตนาจะช่วยสอนให้ ผมคิดว่าปล่อยให้เขาสอนกันเถอะ” เมเจอร์ว่า “ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้งานในไร่คงจะยุ่งมาก ไดอาน่าจะมีเวลามากกว่าคุณแน่ เขาจะได้เป็นเพื่อนกันช่วยพาเที่ยวรอบๆได้”
ฮอลท์ มัลโลรี่ดูจะไม่ใคร่พอใจกับข้อโต้แย้งของเมเจอร์เท่าไรนัก
“มันก็จริงหรอกครับ” เขามองไดอาน่าด้วยสายตาชาเย็น “ครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจผมก็ไม่ขัดข้องครับ”
“ฉันไม่รังเกียจหรอกค่ะ” ไดอาน่าตอบไม่ตรงความจริงในใจ
“เยี่ยมไปเลยครับ” กายร้อง “ในที่สุดคุณก็จะสอนให้ผมจริงๆ” เด็กชายไม่ทันสังเกตเห็นสันกรามของพ่อที่ขบกันแน่น “แล้วเราจะเริ่มกันเมื่อไหร่ล่ะครับ..วันนี้เลยหรือ..?”
เมเจอร์ยิ้มอย่างใจดีเมื่อตอบเด็กชายว่า
“ยังไม่ใช่วันนี้หรอก วันนี้พ่อหนูคงต้องการความช่วยเหลือให้หนูช่วยจัดข้าวของในบ้านใหม่ก่อน เอ้า..ฮอลท์..นี่กุญแจบ้าน”
หลังจากนั้นไดอาน่ากับพ่อก็เดินกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ด้วยกัน จนเดินเข้าไปถึงระเบียงบ้านแล้วเธอจึงได้เอ่ยขึ้น
“พ่อไม่เคยพูดให้หนูรู้เลยนะคะ เรื่องที่จ้างผู้จัดการคนใหม่มา”
“อ้าว..! พ่อไม่ได้บอกหรอกหรือนี่?” เมเจอร์มองหน้าลูกสาวงงๆ คล้ายกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ “สงสัยว่าพ่อคงลืมไปละมัง”
“เขาไม่ต้องการลูกชายของเขาหรอกนะคะ”
คำพูดประโยคนั้นถึงกับทำให้เมเจอร์หยุดเดิน หันหน้ามามองลูกสาวเขม็ง
“ไปเอาความความคิดนั่นมาจากไหนกัน?”
“กายบอกหนูเองค่ะ”
“เอ๊ะ..สองคนนี่แค่เดินไปด้วยกันนิดเดียวคุยกันได้เรื่องขนาดนี้เชียวหรือนี่?”
“ซึ่งก็มากพอที่จะรู้ ว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าสำหรับลูกชายละค่ะ กายบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยจนกระทั่งแม่ตายลง เขาทิ้งไปตั้งแต่กายยังนอนแบเบาะอยู่เลยค่ะ”
“เรื่องมันคงไม่รุนแรงถึงขนาดนั้นหรอกไดอาน่า เมื่อตอนที่พ่อกับแม่ของกายแต่งงานกันก็เพิ่งอายุ 16 ปีเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่เขาจำเป็นต้องทำ เด็กอยู่มากด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งมันก็เหมือนคู่แต่งงานอายุน้อยๆคู่อื่นๆนั่นแหละ คือไม่สามารถจะประคองชีวิตแต่งงานให้มันยืนยาวไปได้ หลังจากที่ทั้งคู่แยกทางกัน เมียเขาก็พาลูกไปเสียจากอริโซน่า ฮอลท์ไม่เคยได้ข่าวคราวของเมียอีกเลยจนกระทั่งเมื่อพ่อตาแม่ยายส่งข่าวไปบอกว่า เธอตายแล้ว มันไม่ใช่เรื่องว่าเขาไม่ต้องการจะได้พบลูกตัวเองหรอก ฮอลท์ไม่รู้ต่างหากว่าเมียพาลูกไปอยู่ที่ไหน”
มันก็ฟังดูน่ามีเหตุผลดี แต่ไดอาน่าก็ยังอยากเชื่อคำพูดของกายมากกว่า..
“หนูไม่ชอบหน้าคนๆนี้เลย” เธอพูดออกไปตามตรง ซึ่งทำให้เมเจอร์มีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ลูกไม่เคยตัดสินอะไรด้วยความรู้สึกอย่างนี้มาก่อนนี่”
“ค่ะ..หนูยืนยันว่าหนูไม่ชอบเขา”
“แล้วลูกจะเปลี่ยนใจ เขาเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องม้ามากและมีความรู้เรื่องไร่ปศุสัตว์อย่างดี ที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือ เขามีความรู้พิเศษในด้านการบริหารงานด้วย”
“การบริหารงานอะไรคะ แล้วทำไมมันถึงต้องมีความเป็นพิเศษด้วยล่ะ?”
“ไดอาน่า..พ่อไม่หนุ่มอยู่อีกแล้วนะ อีกปีหรือ2ปีข้างหน้า พ่อย่อมต้องการใครสักคนหนึ่ง ที่จะเข้ามาดำเนินกิจการในไร่ของเราต่อไป อย่างน้อยก็ช่วยลดภาระที่แบกอยู่บนไหล่ลงบ้าง ฮอลท์อาจจะต้องการการฝึกฝนอีกสักเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าสัญชาตญาณไม่หลอกพ่อแล้วละก็ เขาจะต้องเป็นผู้บริหารที่ดีคนหนึ่งทีเดียวละ”
ไดอาน่าเงียบไปทันที รู้ดีว่าถ้าเพียงแต่เธอจะเป็นลูกชาย ป่านนี้เมเจอร์ก็คงไตร่ตรองแล้ว ในเรื่องที่จะมอบหมายกิจการในไร่ทั้งหมดให้อยู่ในมือเธอ แทนที่จะเป็นคนแปลกหน้าเช่นนี้ ความคิดดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกน้อยใจ วันเวลาแห่งฤดูร้อนปีนี้มันไม่ได้น่ารื่นรมย์อย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้าที่ฮอลท์ มัลโลรี่จะมาถึงเลย
เธอเดินตามหลังพ่อเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องนั่งเล่น เข้าไปในห้องรับประทานอาหารที่อยู่ติดต่อกัน เครื่องเรือนที่ใช้ประดับตกแต่งในห้องต่างๆเหล่านี้ดูจะมีลักษณะเคร่งขรึมแบบผู้ชายเสียมากกว่า และจัดวางตามความพอใจ แต่ก็ดูน่าสบาย บนโต๊ะอาหารขณะนี้มีกาแฟตั้งอยู่ ซึ่งเป็นรายการประจำวันของครอบครัวซอมเมอร์ส์
ไดอาน่าทรุดตัวลงนั่งทางขวามือของเมเจอร์ นับแต่จำความได้จนบัดนี้เธอก็นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับพ่อมาตลอด และหัดดื่มกาแฟตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เมเจอร์สลัดผ้าเช็ดมือออกปูลงบนตัก มองดูจานโดนัทแล้วจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ลูกสาว
“ช๊อคโกแล็ตเสียด้วย..อย่างที่ลูกชอบไงไดอาน่า” แต่ลูกสาวกลับพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก “โซฟี่ทำให้ลูกเป็นพิเศษเชียวนะ”
สำหรับไดอาน่าแล้ว โซฟี่คือแม่บ้านผู้หนึ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ในชีวิตของเธอ อยู่มานานกว่าใครอื่น ส่วนใหญ่แล้วพวกคนงานในไร่ไม่ใคร่ชอบบรรยากาศที่เงียบเหงาในไร่ เพราะมันทำให้พวกเขาต้องห่างไกลจากครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่โซฟี่ไม่มีครอบครัวและเท่าที่ทราบก็มีเพื่อนน้อยมาก ดังนั้นงานในหน้าที่นี้จึงเหมาะกับหล่อนมาก
ไดอาน่าไม่ได้ให้ความสนใจในตัวแม่บ้านผู้นี้เท่าใดนัก จุดศูนย์กลางแห่งชีวิตของเธออยู่ที่เมเจอร์ แม่บ้านมีหน้าที่เพียงแค่ทำงานให้เท่านั้น ไม่ได้มีความผูกพันลึกซึ้งอะไร โลกทั้งโลกของไดอาน่าคือพ่อ สิ่งใดที่พ่อสนใจคือสิ่งใดที่เธอสนใจด้วย แต่ขณะนี้พ่อได้แสดงออกถึงความผิดปกติที่ใส่ใจผู้จัดการไร่คนใหม่มากกว่า ซึ่งไดอาน่าไม่ใคร่พอใจเรื่องนี้
และแม้เวลาจะล่วงเลยไป 2-3 อาทิตย์แล้ว ความรู้สึกที่เธอมีต่อฮอลท์ มัลโลรี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาปฏิบัติต่อเธออย่างสุภาพ ให้ความเคารพในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวของนายจ้างอย่างที่ไม่มีคนงานอื่นๆเคยปฏิบัติต่อเธอมาก่อน สำหรับคนอื่นๆที่ว่านั้น เธออาจจะเป็นที่รักของพวกเขา เป็นประหนึ่งสัตว์เลี้ยงน่ารักชนิดหนึ่งในไร่แต่ไม่ใช่สำหรับฮอลท์
และสำหรับกายแล้ว เด็กชายได้กลายเป็นเงาติดตามเธอไปในทุกแห่ง ไม่ว่าไดอาน่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเธอค่อนข้างจะไม่พอใจเสียมากกว่า แม้ว่าในบางขณะเขาจะได้แสดงให้เห็นถึงความรักใคร่บูชาเธออย่างมากมายก็ตาม
แต่ยามนี้มันไม่ใช่ขณะนั้น ยามที่เธอกำลังเดินอย่างรีบเร่งไปยังคอกม้าโดยมีกายเดินตามไปติดๆ เธออยากให้เด็กคนนี้หลงทางมา หรือไม่ก็หายสาบสูญไปจากโลกนี้เลยมากกว่า
“กรุณาให้ผมขี่ม้าไปกับคุณด้วยได้ไหมครับ?” เด็กชายกำลังถามซ้ำประโยคที่เธอได้ปฏิเสธไปแล้วเมื่อครู่ “คุณยังบอกเลยว่าผมขี่ม้าได้ดีพอสมควรแล้ว”
“ไม่ได้..เพราะวันนี้ฉันกำลังจะเอาม้าออกฝึก” ซึ่งเป็นกิจวัตรที่เธอกระทำอยู่ โดยเฉพาะกับม้าสายเลือดตรงเช่นนี้มันออกจะเป็นงานที่ลำบากอยู่มาก “ฉันบอกเธอแล้วหลายครั้งว่า เธอจะมาขี่แม่ม้าไปกับฉันไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ฉันเอาม้าออกไปฝึก”
“ทำไมล่ะครับ?”
ไดอาน่าตวัดสายตามองเด็กชายอย่างไม่พอใจ
“พ่อเธอไม่เคยเล่าเรื่องม้าตัวผู้กับม้าตัวเมียให้ฟังบ้างเลยหรือไง?”
กายหน้าแดงกล่ำ เงียบไปทันทีแต่ก็ยังเดินตามมาข้างๆอยู่ดี เมื่อมาถึงคอกม้า เขามองผ่านราวไม้ที่กั้นคอกเข้าไปภายใน ขณะที่ไดอาน่าปีข้ามขึ้นไปบนราวอันบนสุด มีสายบังเหียนพาดอยู่บนไหล่ เจ้าม้าตัวผู้เต้นเร่าๆต้อนรับเธอ มันรู้ถึงกิจวัตรประจำวันที่จะได้ยืดแข้งยืดขาเสียที
“เอาละ ถ้าเธออยากทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้างนะกาย..”ไดอาน่าพูดเสียงเข้ม ขณะเอาห่วงสอดเข้าไปในปากม้าตัวนั้น “ช่วยไปหยิบอานม้าในห้องเก็บของให้ที ฉันจะพาเซตันออกเดินเล่นก่อน”
“โอเคครับ” เด็กชายวิ่งออกไปทันที อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาใจเธออยู่แล้ว
แต่เมื่อเด็กชายเดินกลับมา นอกจากจะไม่ได้อานมาแล้วก็ยังไม่ได้มาเพียงลำพังคนเดียวอีกด้วย ไดอาน่ามองเห็นฮอลท์ มัลโลรี่ ที่เดินตามหลังลูกชายที่มีใบหน้าซีดขาวมาด้วย เธอตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเบือนไปมองกาย
“ฉันว่าฉันสั่งให้เธอไปเอาอานม้านะ”
“ผม..”
“คุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มิสซอมเมอร์ส์?”
คำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ไดอาน่ากัดฟันขึ้นมาทันที มือที่จับสายบังเหียนบังคับให้ม้าเดินเป็นวงกลมรอบตัวชะงักลง หันมาเผชิญหน้ากับเขา สายตาที่เธอกำลังมองดูเขาขณะนี้บอกถึงความเป็นลูกสาวเจ้านาย ที่กำลังมองหน้าคนงานในไร่ธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
“ฉันไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องอะไรของคุณตรงไหนนี่”
“กายบอกผมว่าคุณจะขี่ม้าแข่งตัวนั้น”
“ใช่..แล้วไง?”
“เมเจอร์ทราบหรือเปล่าครับ?”
“รู้สิ..เขาต้องรู้แน่” ไดอาน่าตอด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ถ้าอย่างนั้นเขาคงสติไม่ดีไปแล้วละมังครับ ที่ปล่อยให้เด็กผู้หญิงขนาดคุณ..” แต่เขาไม่มีโอกาสพูดได้จบประโยค เมื่อไดอาน่าตวาดใส่เสียงเกรี้ยว
“ฉันขี่ม้าได้ดีกว่าไอ้พวกฝึกหัดในไร่นี้ตั้งหลายคน อาจจะทั้งเมืองนี้ด้วยซ้ำ..!”
“นั่นมันก็คงเป็นความจริงอยู่หรอก” เขาเปิดประตูคอกม้าเดินเข้าไปข้างใน “ส่งเชือกนั่นให้ผมสิ..”
“ทำไม?”
“จะเรียกว่าขอทดลองก่อนก็ได้” เขาตอบ และไดอาน่าก็สำเหนียกหางเสียงท้าทาย ที่ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธได้ จำใจส่งปลายเชือกให้ฮอลท์ ซึ่งเมื่อรับไปแล้วเขาก็ถอยห่างออกไปหยุดอยู่ไกลประมาณ 3 ฟุต
“เอ้า..จับไว้ให้ดีนะ..อย่าให้ผมดึงจนหลุดจากมือคุณได้ล่ะ”
ฮอลท์พันปลายเชือกที่ถืออยู่เข้ากับข้อมือ ออกแรงดึงมันเข้ามาตรงๆ ไดอาน่าจิกเท้าลงในพื้นดินพยายามต้านทานไว้และดูจะเป็นผลสำเร็จที่น่าพอใจยิ่ง แต่ทันใดนั้น..พอเธอเผลอ เขาก็กระตุกปลายเชือก ทำให้ร่างของเธอถลำเข้าปะทะกับแผงอก จนเขาต้องใช้มือจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้ เพื่อจะได้ทรงตัวมั่น พละกำลังที่เหนือกว่าแทบจะทำให้ร่างของเธอถลาล้มลง ไดอาน่าสะบัดตัวถอยออกห่างทันที
“ใช้เหลี่ยมสกปรกอย่างนี้เองหรือ..ไม่เห็นมันจะพิสูจน์อะไรได้เลย..!”
“อย่างนั้นรึ..?” ริมฝีปากเหยียดออกเพียงแต่..มันไม่ได้เป็นรอยยิ้ม “ถ้าไอ้ม้าแข่งตัวนี้มันมีสมอง มันจะสะบัดสายบังเหียนหลุดจากมือคุณอย่างที่ผมดึงเมื่อกี้นี้นั่นแหละ”
“แต่เซตันมันเป็นม้าที่ได้รับการฝึกไว้อย่างดีแล้ว” ไดอาน่าแก้ตัว “แล้วฉันก็ไม่เคยเอามันไปขี่วนรอบตัวเมียด้วย นอกจาในคอกของมันนี่เท่านั้น ฉันรู้จักวิธีบังคับมันดีกว่าใครก็แล้วกัน”
“ต่อให้ม้าได้รับการฝึกมาดีขนาดไหนมันก็อาจจะพยศได้ แล้วก็ใช้เวลาเพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้นด้วย โดยเฉพาะยิ่งมีคนอย่างคุณนั่งอยู่บนหลังมันจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้”
“ฉันขี่ไอ้ม้าแข่งตัวนี้มาเป็นปีๆแล้วนะ” เธอขยายความจากความเป็นจริงออกไปอีก
“ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณเคยทำอะไรมา แต่เมื่อผมมาอยู่ที่นี่ คุณจะทำต่อไปไม่ได้” เขาตอบเรียบๆ
“เอ๊ะ..อย่าลืมนะว่าคุณมันก็ไอ้แค่คนงานที่พ่อฉันจ้างมาเท่านั้น..จะมาบอกว่าฉันจะทำหรือไม่ทำอะไรไม่ได้..!”
“ก็เพิ่งบอกเดี๋ยวนี้ยังไงล่ะ”
“ฮอลท์เขาพูดถูกแล้วละลูก” เสียงที่ 3 เอ่ยขึ้น ท่ามกลางการปะทะคารมอย่างเผ็ดร้อน ไดอาน่าหันขวับไปมองและเห็นเมเจอร์กำลังยืนอยู่ตรงประตูคอกม้า “พ่อคิดว่าเป็นการดีที่สุด ถ้าลูกจะไม่ฝึกม้าแข่งตัวนี้อีกต่อไป ไดอาน่า พ่อตัดสินใจเรื่องนี้ผิดมาตั้งแต่แรก มันมีโอกาสที่ลูกจะหล่นลงมาจากหลังมันได้ แม้ว่ามันจะเป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีแล้วก็ตามเถอะ ลูกก็ช่วยตัวองไม่ได้”
ประสาททั่วสรรพางค์ของไดอาน่าเหมือนจะร้องประท้วงอย่างกราดเกรี้ยวออกมาพร้อมๆกัน แต่กลับไม่มีเสียงหลุดลอดจากริมฝีปากของเธอออกมาเลย ไดอาน่าโยนปลายเชือกให้ฮอลท์ หันหลังเดินกระแทกเท้าออกไปจากคอกม้าทันที ดวงตาแห้งผาก แต่รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆขึ้นมาจุกอยู่ตรงคอหอย ทำให้อยากสะอื้นออกมาดังๆ
เธอเดินออกไปเหมือนคนตาบอด ไม่ใส่ใจว่าตัวเองจะเดินไปถึงไหน มุ่งหน้าออกไปทางด้านท้องทุ่งกว้างที่อยู่เลยคอกม้าออกไป เป็นครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งที่วิ่งตามมาข้างหลัง เมื่อหันกลับไปมองจึงได้เห็นว่าเป็นกาย
“คุณยังอยากขี่ม้าอีกไหมครับ?” เด็กชายเอ่ยถามด้วยท่าทางลังเล เมื่อสังเกตเห็นว่าเธอรับรู้ในตัวเขาแล้ว
อารมณ์ร้ายของไดอาน่าพลุ่งขึ้นมาทันที
“แกมันไอ้เด็กโง่ เพราะแกคนเดียวถึงได้เป็นแบบนี้..! ทำไมแกถึงต้องไปแหกปากบอกพ่อแกด้วยว่าฉันจะทำอะไร?”
ใบหน้าเล็กๆของเด็กชายซีดเผือดลงกว่าเดิม
“ผมไม่ได้ตั้งใจเลยครับ เป็นความสัตย์”
“ไม่ได้ตั้งใจ..?” ไดอาน่าทวนคำอย่างหมั่นไส้เต็มทน “ฉันคิดว่าแกไม่ชอบพ่อของแกเสียอีก แล้วทำไมถึงต้องไปเล่าเรื่องฉันให้พ่อแกฟังด้วย?”
“ผมไม่ชอบเขาหรอกครับ” กายยืนยัน “แต่เขาถามผมว่าจะทำอะไรกับอานม้าของคุณ แล้วก็..”
“แล้วก็เลยต้องบอกเขาหมดสินะ..” เธอช่วยต่อให้ “เอาละ..แกบอกว่าแกอยากเป็นเพื่อนกับฉัน แต่แกไม่ได้แสดงความเป็นเพื่อนเลย..ไปนะ..ไปให้พ้น..ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก..อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกเป็นอันขาด..แกมันก็แค่ไอ้สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งเท่านั้น..!”
“ผมเสียใจครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ..”น้ำตากลบตาเด็กชายขึ้นมาทันที ท่าทางที่แกยืนตัวแข็งคล้ายกับถูกตรึงให้ยืนนิ่งอยู่กับที่
ไดอาน่ามองเด็กชายด้วยสายตาขัดเคือง แต่เมื่อมองเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลพรากลง และมือเล็กๆนั้นไม่อาจเช็ดให้มันแห้งหายได้ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีก ไม่อยากเห็นใครมายืนร้องไห้อยู่ต่อหน้าแบบนี้ เพราะไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไรถูก
“เลิกเป็นเด็กขี้แยเดี๋ยวนี้นะ..!” เธอคำรามเข้าใส่ แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้น้ำตาของเด็กชายไหลพรากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แม้ว่ากายจะพยายามทำตามคำสั่งแล้วก็ตาม “ฉันบอกให้แกหยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้..!” ความไม่สบายใจทำให้เธอหงุดหงิดมากขึ้น ไดอาน่าเบือนหน้าหนีไปเสียทางหนึ่ง ไม่อยากมองเด็กชายที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้า “เอาละ..ลืมที่ฉันพูดเสียก็แล้วกัน..มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก..พ่อของเธอต่างหากที่ทำให้เรื่องมันยุ่งไปเอง พยายามจะทำให้เมเจอร์พอใจในตัวเขา แกล้งทำเป็นห่วงใยฉัน เขาไม่ได้มาห่วงฉันหรือเธอจริงๆหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่โกรธผมแล้วใช่ไหมครับ?” กายถามด้วยความต้องการความมั่นใจ
“ฉันก็ต้องโมโหเป็นธรรมดาละ” ไดอาน่าตวัดสายตามองเด็กชาย ท่าทางกายสงบลงแล้ว “ฉันจะไปที่ฝายทดน้ำ อารมย์จะได้เย็นลงหน่อยจะไปด้วยไหมล่ะ?”
กายลังเลขึ้นมาทันที..
“ผมไม่ได้เอากางเกงอาบน้ำมานี่ครับ”
“แล้วไง?” ไดอาน่ายักไหล่อย่างไม่สนใจ “ฉันก็ไม่ได้เอามาเหมือนกัน ว่าแต่จะไปหรือไม่ไปล่ะ?”
เด็กชายพยักหน้ารับทันที ปาดน้ำตาจนแห้ง สั่งน้ำมูกไปพลาง และออกเดินตามนายสาวไป..
เท่าที่ไดอาน่ารู้สึก ฤดูร้อนปีนี้อากาศดูจะเลวลงกว่าที่เคยเป็นมา ยิ่งนานวันเข้ากิจกรรมต่างๆที่เธอเคยทำอยู่ดูจะถูกตัดทอนลงเรื่อยๆ เมื่อฤดูร้อนปีก่อนๆนั้น ทุกนาทีที่ผ่านไป มีอะไรที่จะต้องทำอยู่ตลอดเวลา แต่ปีนี้เธอกำลังต่อสู้กับความเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก
เธอเดินเตะก้อนหินตามรายทางไปเรื่อยๆ มือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ มองไปรอบๆบริเวณไร่อย่างไม่มีความสุข แน่นอนที่สุด เธอจะต้องทำอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยความไม่พอใจ เมื่อนึกว่า ไม่ว่าจะไปทางไหนจะต้องมีกายคอยตามไปด้วยทุกหนแห่ง
ไดอาน่าเปลี่ยนทิศทาง เดินมุ่งหน้าไปทางเรือนพักคนงาน ประตูเรือนพักหลังสุดท้ายเปิดอยู่ เธอไม่ยอมแม้แต่จะเสียเวลาเคาะประตูมุ้งลวดเสียก่อน เปิดประตูเดินเข้าไปและพบกับฮอลท์ มัลโลรี่ ซึ่งถอดเสื้อยืนอยู่ตรงอ่างล้างหน้าในครัว เขาชะงักมือที่กำลังเช็ดตัวเช็ดใบหน้าให้แห้งทันที
“รู้สึกว่าจะเป็นมรรยาทสุภาพนะถ้าจะเคาะประตูเสียก่อนที่จะเข้าบ้านใคร” เขาเช็ดหน้าตาเรียบร้อยแล้ว
“ฉันมาตามหากาย ไปไหนเสียล่ะ?” ความขัดเคืองวาบวับอยู่ในดวงตาของเธอ
“คงอยู่ข้างนอกละมัง”
ขณะที่เขาหันหลังเพื่อแขวนผ้าเช็ดตัวลงตรงตะขอนั้นเอง ดวงตาของไดอาน่าก็ต้องเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ เมื่อมองเห็นรอยแผลเป็นพาดเป็นแนวยาวๆอยู่บนแผ่นหลังของเขา
“คุณเป็นอะไรบนหลังน่ะ?”
ฮอลท์นิ่งอึ้งไปครู่สั้นๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเสื้อเชิ้ต
“จำไม่ได้”
“ต้องมีคนตีคุณแน่ๆเลย แล้วคุณก็จะไม่ลืมเรื่องนั้นด้วย” ไดอาน่าว่า
เขามองเธอด้วยสายตาดุๆอยู่เป็นครู่ก่อนจะตอบว่า
“ถ้าพยายาม คนเราก็ลืมอะไรได้ทุกอย่างอยู่แล้ว” เขาลงมือกลัดกระดุมเสื้อ “ไหนคุณว่ามาตามหากายยังไงล่ะ..มันอยู่ข้างนอกแน่ะ”
ไดอาน่าจ้องตาเขาอย่างจะให้ลึกลงไปถึงคำตอบที่อยากได้รับ แต่ก็รู้ว่าเขาต้องไม่พูดอะไรต่อแน่ เธอจำใจหันหลังเดินกลับออกไปจากห้องเพื่อตามหากาย แต่ขณะเดียวกัน เธอก็ไม่ได้ปล่อยวางในเรื่องนั้นเสียทีเดียว เธอหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดอีกครั้งขณะนั่งรับประทานอาหารหารกลางวันร่วมกับเมเจอร์
“พ่อรู้หรือเปล่าคะว่าฮอลท์ มัลโลรี่มีแผลเป็นเต็มหลังเลย คล้ายกับมีใครเอาแส้มาหวดไว้อย่างนั้นแหละ” เธอหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดด้วยท่าทางจริงจัง
เมเจอร์หันมามองหน้าลูกสาวด้วยสายตาเครียดเขม็ง..
“จริงหรือ..?” ท่าทางเขาเหมือนจะไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่ในใจ “ส่งเกลือให้พ่อทีสิ”
“เขาทำอะไรถึงได้แผลเป็นนั่นมาคะ?” เธอถามขณะส่งขวดเกลือกับพริกไทไปให้เมเจอร์
“แล้วลูกถามฮอลท์หรือเปล่าล่ะ?”
“ถามค่ะ”
“แล้วเขาตอบว่ายังไง?”
“เขาตอบว่า..จำไม่ได้ แต่หนูรู้ว่าเขาโกหก” เธอยักไหล่อย่างไม่พอใจในคำตอบของฮอลท์ “ทำไมเขาถึงมีแผลเป็นเต็มหลังขนาดนั้นคะเมเจอร์..หรือว่าเขาเคยติดคุกก่อนมาอยู่กับเรา?”
“พ่อไม่คิดว่าสมัยนี้เขาจะลงโทษนักโทษด้วยการเฆี่ยนด้วยแส้อีกแล้วนะ ไดอาน่า” เมเจอร์ตอบลูกสาวตามความคิดของตนเอง
“มันอาจไม่มีอีกแล้วก็จริง ..แต่..ทำไมเขาถึงมีแผลเป็นด้วยล่ะคะ?”
“ไดอาน่า..พ่อก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน” แม้คำตอบนั้นคล้ายกับว่า เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับฮอลท์จริงๆ แต่ไดอาน่าแน่ใจว่าพ่อของเธอจะต้องรู้ เพียงแต่ไม่ยอมเล่าให้เธอฟังเท่านั้น โดยปกติแล้ว เขาจะตอบเธอทุกคำถาม ไม่เคยมีความลับใดๆระหว่างไดอาน่ากับพ่อของเธอ..ออกจะน่าน้อยใจอยู่ แต่ก็ไม่อาจทำให้เธอละจากความคิดที่ว่า ทำไมฮอลท์จึงมีแผลเป็นเต็มหลังเช่นนั้นได้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดถึงมันอีกเลยก็ตาม
และเมื่อฤดูร้อนผ่านไป ฤดูใบไม้ร่วงก็ตามมา มันเป็นฤดูที่ไดอาน่าชอบที่สุด เพราะหมายถึงการต้อนสัตว์ เธอจะขี่ม้าเป็นเวลาหลายๆชั่วโมงไล่ตามปศุสัตว์ออกไปเป็นไมล์ๆ นอนอยู่ใกล้ๆกองไฟภายใต้แสงเรืองของดวงดาว มันเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นในท่ามกลางธรรมชาติที่ห่างไกลจากอารยะธรรมทั้งปวง ในป่ามีอะไรมากมายให้ดู กวางมูสที่ออกมาเล็มหญ้าชุ่มน้ำค้าง นานๆครั้งถ้ามีโอกาสดีก็จะได้เห็นแกะบิ๊กฮอร์นอีกด้วย หรือไม่ก็อาจจะพวกม้าป่า ที่ผกโผนโลดเล่นอยู่บนสันเขา
และแล้วในท่ามกลางแสงแดดสีทองของดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ไดอาน่าก็ผูกบังเหียนม้าของเธอ ทั้งเครื่องหลังและเครื่องนอนถูกผูกกระชับไว้บนหลังม้า ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นการเตรียมตัวไว้ต้อนรับฤดูการทำงานที่จะต้องมาถึง จะได้พบปะกับใบหน้าของทุกคนที่คุ้นชิน ตามปกติแล้ว เมื่อครบระยะเวลาหนึ่ง ที่ไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ จะจ้างคนงานใหม่เข้ามาเฉลี่ยแล้วปีละ 18 คน เพื่อมาทำงานประจำวัน แต่จะต้องจ้างคนงานพิเศษเพิ่มขึ้นในฤดูเก็บเกี่ยวหรือฤดูตัดหญ้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนท้องถิ่น เมเจอร์ไม่ชอบจ้างคนแปลกหน้าเข้ามาทำงานนอกเวลาให้เขา
จนเมื่อขึ้นไปอยู่บนหลังม้าแล้ว ไดอาน่าจึงได้เห็นฮอลท์ มัลโลรี่ปรากฏตัวขึ้น ท่าทางของเขาเป็นลักษณะของคนที่เกิดมาเพื่อออกคำสั่งโดยแท้ ความรู้สึกไม่ชอบหน้านับตั้งแต่วันแรกที่เขาเหยียบเท้าเข้ามาในไร่ ดูจะเพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป และปรากฏอยู่ในแววตาของไดอาน่ายามที่จ้องมองเขา ฮอลท์มีท่าทางคล้ายลังเลขณะขี่ม้าเข้ามาใกล้ มองเธอด้วยสายตากระด้างชาเย็น ดวงตาคู่นั้นปรายไปยังอานม้าที่มีทั้งเครื่องนอนและเครื่องหลังผูกมัดไว้เรียบร้อย ก่อนจะเมินมองไปทางอื่นอย่างใช้ความคิด
เมื่อไดอาน่าเห็นเขาหยุดพูดอะไรบางอย่างกับเมเจอร์ เธอก็เม้มปากด้วยความไม่พอใจ ชีพจรเริ่มเต้นแรงขึ้นคล้ายจะสังหรณ์ในคำสนทนาของบุคคลทั้งสอง ขณะพูดก็ชำเลืองมองมาทางเธอประกอบกันอยู่ด้วย ไดอาน่าไม่ชอบใจสายตาของเมเจอร์ที่หันมามองเธอ หรือท่าทางตอนที่เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของฮอลท์ จากนั้นเมเจอร์ก็เดินเข้ามาหาไดอาน่าแสร้งทำเป็นว่า ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าเธอหย่อนสายบังเกียนม้าและเริ่มกระตุ้นให้มันเดินออกจากที่
“ไดอาน่า..”เสียงเรียกของเมเจอร์เข้มงวดกว่าที่เคยเป็น
ชิท..เธอแช่งด่าอยู่ในใจ แต่ก็หันไปตามเสียงเรียก พยายามไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาให้เห็น แม้ภายในใจจะเตือนให้เธอรู้ล่วงหน้าว่า ประโยคต่อไปที่เขาจะพูดคืออะไร
“ปีนี้ลูกต้องอยู่บ้าน ไดอาน่า” เมเจอร์เอ่ยออกมาตรงๆ
“หนูออกไปช่วยต้อนสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงมาตั้งแต่ 8 ขวบนะคะพ่อ ยิ่งกว่านั้นทุกคนควรจะต้องช่วยพ่อทำงานด้วยกันทั้งนั้น แล้วพ่อก็รู้นี่คะว่าหนูขี่ม้ากับใช้บ่วงบาศได้ดีเท่าๆกับคนอื่น”
“งานนั้นมันหนักไปสำหรับเด็กสาวอย่างลูก”
“แต่หนูก็ไม่เคยบ่นนี่คะ หนูไม่ได้เกลียดฝุ่น เกลียดความร้อนหรือบ่นปวดเมื่อยอะไรเลย”
“พ่อรู้ว่าลูกไม่ได้บ่นเรื่องอย่างนั้น” เมเจอร์มักจะพูดกับเธออย่างคนที่โตแล้ว เป็นการพูดตรงๆและซื่อสัตย์ที่สุด ซึ่งในครั้งนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกว่าที่เคยเป็นมา “ลูกเริ่มโตเป็นสาวแล้วนะ ไดอาน่า มันไม่สมควรที่จะออกไปนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่หลายวันหลายคืน คลุกคลีอยู่กับคนงานผู้ชายพวกนั้นอีกแล้ว”
และไดอาน่าก็ตอบพ่อของเธอในลักษณะเดียวกัน..
“พ่อคงไม่ได้หมายถึงว่า พวกคนงานผู้ชายในไร่นี่อาจจะข่มเหงหนูได้ใช่ไหมคะ..?..ทุกคนเขาเป็นเพื่อนหนูทั้งนั้นนะคะ นอกจากฮอลท์ มัลโลรี่ ..หนูว่าเขาเป็นคนไร้เหตุผลเกินไป และที่สำคัญพ่อก็ไปกับหนูด้วย”
“แต่ครั้งนี้พ่อไม่ได้ไปด้วยหรอก พ่อแก่เกินไปที่จะออกไปนอนกลางดิน กินกลางทรายอย่างนั้นแล้ว แต่ว่านั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก..ความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า พ่อไม่อยากให้หนูเติบโตขึ้นมาพร้อมกับกับความคุ้นเคยเรื่องการใช้วาจาหยาบคาย หรือขี่ม้าตะบึงแบบคาลามิตี้ เจน พ่ออยากเห็นหนูเป็นสุภาพสตรี ไม่ใช่ทอมบอยอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เข้าใจไหมลูก?”
“ค่ะ เมเจอร์” เธอยอมศิโรราบกับเหตุผลของเขาทันที
“ดีมากลูก” ท่าทางของเมเจอร์เต็มไปด้วยความพอใจที่ผลปรากฏออกมาแบบนี้ “พ่อจะขับรถออกไปดูทุกวัน เพราะฉะนั้นในบ้านก็คงจะเงียบเหงาไปหน่อยสำหรับลูก ทำไมไม่ชวนโซพี่ไปซื้อของ หาซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆใส่บ้างล่ะ..เสื้อผ้าที่มันจะทำให้ลูกมองดูเป็นผู้หญิงกว่ากางเกงยีนส์พวกนั้นน่ะ?”
“ก็ได้ค่ะ” ไดอาน่ายอมตกลงโดยดี
ถ้าจะให้เป็นสุภาพสตรีอย่างที่พ่อต้องการ ไดอาน่าก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และจะเริ่มตั้งแต่เช้าวันนั้นเลย ที่ไดอาน่าได้จัดแจงเปลี่ยนแปลงตัวเอง เธอออกไปหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้และเสื้อผ้าชุดใหม่ เพื่อตกแต่งให้ตัวเองดูมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น เป็นเสื้อผ้าที่ประกอบด้วยลูกไม้และโบมากมาย ขณะเดียวกันก็เริ่มหันเหความสนใจของตนมาในสิ่งที่เธอเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของผู้หญิงมากขึ้น ตั้งต้นการเรียนเย็บปักถักร้อย การเข้าครัวปรุงอาหารเป็นต้น อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้มุ่งมั่นหรือจริงจังเท่าใดนัก ยังคงออกขี่ม้าอยู่บ่อยครั้งและลดความสนใจเรื่องงานในไร่ลง
ตามกฎของไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ จะมีผู้มีอำนาจสั่งงานเป็นชายโสดเพียงคนเดียว คนงานที่แต่งงานแล้วจะต้องออกไปอยู่นอกบริเวณไร่ โดยจะมีที่ทางและบ้านหลังเล็กๆของตนอยู่เองและดูจะน้อยมากที่ไดอาน่าจะสนิทสนมกับเมียของคนงานเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในฤดูหนาวปีนั้น เพื่อบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ อแลน ธอร์นตัน ซึ่งมีไร่อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 ไมล์ได้จัดงานแต่งงานขึ้น เป็นธรรมดาอยู่เองที่ไดอาน่าจะต้องทำความรู้จักกับเป็กกี้ ภรรยาผู้มีอาชีพเป็นครูของเขา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เธอสมาคมกับผู้หญิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่กว่า และเป็กกี้ผู้นี้เองที่พูดจาชักจูงให้ไดอาน่าไว้ผมยาว และยังแนะนำวิธีใช้เครื่องสำอางเช่นเดียวกับที่หล่อนใช้อยู่ด้วย
ไดอาน่ารับฟังความฝันของเป็กกี้ พยายามที่จะทำความเข้าใจกับจินตนาการโรแมนติกนั้น ไร่ของครอบครัวธอร์นตันเล็กและดูจะยากจนกว่าเมเจอร์มาก เมื่อเป็กกี้พูดถึงแผนการที่จะขยับขยายปรับปรุงบ้านไร่แห่งนี้เสียใหม่ ไดอาน่าพยายามที่จะไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่ก็รู้อยู่ ว่าเป๊กกี้ไม่มีเงินมากพอที่จะสรรสร้างความฝันของตนเองให้เป็นความจริงขึ้นมาได้ และมันออกจะเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับไดอาน่า ที่ไม่สามารถจะทำความเข้าใจกับความฝันของผู้หญิงคนหนึ่งที่เปรียบเสมือนฟองสบู่สีสวยใสนั้นได้
ซึ่งมันก็เป็นความยากลำบากเช่นเดียวกันกับที่เธอมีความรู้สึกต่อเพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนมาแล้ว เมื่อเห็นพวกเพื่อนๆคลั่งไคล้ดารา เด็กหนุ่มๆที่มีหน้าตาเพิ่งเปรอะสิว และกระซิบกระซาบกันแต่เรื่องไร้สาระ ดังนั้นไดอาน่าจึงมุ่งมั่นสนใจแต่ในเรื่องของการเรียนและเป็นที่รักของครูทุกคนอย่างยิ่ง ด้วยส่วนประสมที่กลมกลืนระหว่างเรือนผมสีดำสนิทเป็นมันระยับ ดวงตาคู่สีฟ้าสดใส เรือนร่างระเหิดระหง ทำให้เธอมองดูคล้ายเด็กชายมากกว่าเด็กสาว และไดอาน่าก็คบหาเพื่อนผู้ชายได้สนิทกว่า เพราะถูกอบรมเลี้ยงดูจากมือพ่อเพียงผู้เดียว
เจตนารมณ์ที่เธอมีต่อฮอลท์ มัลโลรี่จึงไม่เคยเปลี่ยนแปลง เธอถือเขาเป็นเสมือนศัตรูตัวสำคัญและสามารถจะเปิดศึกด้วยได้ทุกครั้งที่มีโอกาส มีความคิดอคติต่อการที่เขาได้รับมอบอำนาจจากเมจอร์เพิ่มขึ้น และด้วยความรู้สึกนี้เอง ทำให้เธอมีโอกาสสั่งงานเขาในทุกครั้งที่ทำได้ โดยถือว่าตนเองอยู่ในฐานะลูกสาวของนายจ้าง พยายามจะเตือนให้ฮอลท์ รู้สำนึกในฐานะของตนเองว่า เป็นเพียงแค่ลูกจ้างเท่านั้นและได้รับค่าจ้างตอบแทนในการทำงานให้กับเมเจอร์และกับตัวเธอเองด้วย
ดังนั้นครั้งใดก็ตามที่เห็นเขาอยู่ในคอกม้า ไดอาน่าจะไม่ยอมผูกอานม้าของตัวเองแต่กลับสั่งให้เขาผูกให้..ใช้เขาในทุกเรื่องที่สามารถทำได้ ด้วยความหวังว่า ไม่ช้าไม่นานเขาจะทนอยู่ต่อไปไม่ได้และต้องลาออกไปในที่สุด
ส่วนกายก็ยังเป็นเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆที่เดินตามเธอต้อยๆอยู่นั่นเอง ดูจะไม่สำคัญเลยไม่ว่าไดอาน่าจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร เด็กชายกลับรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณทุกครั้งที่ไดอาน่าให้ความสนใจในตัวเขาและไดอาน่า ก็จะตอบสนองอย่างเจ็บแสบกับทั้งฮอลท์และกาย..
ถ้าเด็กชายจะชอบเธอ เขาก็จะต้องไม่ชอบผู้ชายคนที่เป็นพ่อของเขาด้วย..
-------------------------------------
รายละเอียด
คำนำผู้แปล
ก่อนอื่น ขอเรียนท่านผู้อ่านว่า “ไพรพิศวาส” ภาคนี้ ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงภา