เสน่ห์รักร้ายซุปตาร์แวมไพร์ (Chineserose)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เสน่ห์รักร้าย’ซุปตาร์แวมไพร์

ผู้แต่ง l Chineserose

 

 

บทนำ

“ในที่สุดก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนได้”

“ใครเป็นคนดูแลเรื่องนี้?” ร้อยตำรวจเอกหนุ่มเจ้าของร่างสูงโปร่งสมาร์ทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่ทว่าสีหน้ากลับราบเรียบนิ่งแน่วราวกับคนที่ไร้ต่อมแสดงความรู้สึก

“...” อีกฝ่ายเงียบเพราะยังงงในคำถามจากนายตำรวจผู้บังคับบัญชา

“ผมหมายถึงเจ้าหน้าที่คนที่ดูแลนักโทษในแดนนี้น่ะ เป็นใคร?” ร้อยตำรวจเอกหนุ่มมาดเท่ห์ขยายความ

“หลายคนครับผม แต่หลักๆแล้วมีหัวหน้าชื่อพิภูมิ” ลูกน้องตำรวจตอบน้ำเสียงเข้มขึงขัง

“แล้วเขาอยู่ไหน? เจ้าหน้าที่ชื่อพิภูมิ?”

“วันนี้เขาออกเวรไปแล้วครับ”

“ซวยล่ะ!”

“ขอโปรไฟล์รูปพรรณสันฐานของนักโทษแหกคุกคนนี้ด้วย” เขาหยุด ดวงตาหรี่แคบลงอย่างใช้ความคิด “ด่วนนะ!” ร้อยตำรวจเอกหนุ่มออกคำสั่งเสียงเข้มและกำชับที่คำว่า ‘ด่วน’

“...” หลังได้ยินคำสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยก็วิ่งวุ่นเพื่อไปทำเรื่อง’ด่วน’ตามคำสั่งของนายตำรวจหนุ่มหล่อผู้บังคับบัญชา

นายตำรวจนอกเครื่องแบบ หรือเจ้าหน้าที่สอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.อ.พศวีร์ อดุลย์โภคิน เจ้าของร่างสูงโปร่งแลดูมีสง่าราศี ท่าทางทะมัดทะแมงรุดมาที่เกิดเหตุในนาทีแรกที่ได้รับรายงานว่ามีนักโทษแหกคุกเป็นผู้ต้องคดีค้ายาเสพย์ติดระดับนานาชาติ และเข้าข่ายคดีพิเศษ เพราะผู้ก่อคดีเป็นนักโทษและถือมากกว่า2สัญชาติ เขาจึงเป็นนักโทษที่มีหลายประเทศต้องการตัวเพื่อกำจัดเขาออกไปจากระบบ

ประเทศหนึ่งก็ต้องการตัวเขาเพื่อเอาไปกำจัดตัดตอน !

ขณะที่อีกประเทศหนึ่งก็หมายหัวต้องการตัวเขาเพื่อไปต่อยอดล่อซื้อและสืบผลสาวไปให้ถึงตัวการใหญ่

และดูเหมือนว่าผู้ต้องโทษรายนี้จะเป็นศูนย์รวมของอำนาจมืดและการค้าผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพย์ติด อาวุธเถื่อน หรือแม้แต่อะไหล่มนุษย์ เรียกง่ายๆก็คือพวกกระบวนการค้าชิ้นส่วนมนุษย์!

“พบเบาะแสอะไรบ้างวีร์” เสียงเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือที่เรียกสั้นๆ ว่าผู้บังคับบัญชาถามขึ้นเมื่อเขาตามพศวีร์มาถึงที่เกิดเหตุแบบติดๆ

“ยังไม่พบอะไร นอกจากเจ้าหน้าที่ถูกฆ่าตายไป 2 ศพ” ร.ต.อ. หนุ่มตอบเสียงครุ่นเครียด

“ขณะแหกคุก?” คำถามที่ต้องการคำตอบของร้อยตำรวจเอกหนุ่ม เจ้าของใบหน้าคมคร้ามหล่อเหลา แต่ออกจะยิ้มยากไปสักหน่อย

“ครับ คนร้ายไม่เกรงกลัวกฎหมายเลย” นายตำรวจหนุ่มรายงาน

“เจ้าหน้าที่ผู้คุมขังที่รับผิดชอบก็หายตัวไปด้วยใช่ไหม?” ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสันนิษฐาน

“ครับ! เจ้าหน้าที่ที่นี่บอกว่าวันนี้เขาเพิ่งออกเวรไปก่อนเกิดเหตุไม่นาน”

“ดูรูปการ ไม่น่าจะแหกคุกออกไปเอง”

“ท่านหมายความว่า มีคนมาช่วยงั้นหรือครับ?”

“มันมีความเป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ”

“แต่ไม่มีหลักฐานหรือร่องรอยอะไรเลยนอกจาก 2ศพนั่นที่ตอนนี้กำลังรอผลชันสูตรจากนิติเวช”

“มันไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้”

“แล้วคนพวกนั้นจะเป็นใคร?” ร.ต.อ. พศวีร์ถามเครียด

“จะเป็นใคร ก็ลองคิดดูสิ ก็แล้วใครจะได้ประโยชน์จากการรอดชีวิตของเขาบ้างล่ะ?”

“...” นายตำรวจหนุ่มที่หล่อกว่าพระเอกละครหลังข่าวนิ่งคิด สายตาของเขาแน่วนิ่งราวกับใช้พลังอย่างมากในการปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดในสมอง

“ร้อยตำรวจ พศวีร์!! คุณรวบรวมหลักฐาน, พยานและกลับสำนักงานด่วน คดีนี้ไม่ใช่เล่นๆแล้วล่ะผมบอกคุณไว้ก่อน” นายตำรวจผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งเสียงดังฟังดูหนักแน่นขึงขัง

~*~

1

งานเข้า

อีกด้านหนึ่ง บนถนนกลางย่านเศรษฐกิจของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นคันเล็กประหยัดน้ำมัน แล่นไปบนถนนอย่างช้าๆ เพราะสภาพการจราจรที่ติดขัดชนิดที่หอยทากอาจแซงได้

เห็นแล้วเพลีย... ดูแล้วเหนื่อย!

หญิงสาวเจ้าของรถคันเล็ก เริ่มมีสีหน้าหงุดหงิด หัวคิ้วของเธอวิ่งชนกันเป็นรูปตัว v หญิงสาวเลือกระบายอารมณ์หงุดหงิดของตัวเอง ด้วยการแหกปากร้องเพลงดังๆ ภายในรถ เพราะเป้าหมายที่เธอกำลังมุ่งหน้าไปนั้น จัดว่ามีเวลาเป็นข้อจำกัด

‘สายชัวร์... ยังไงก็สาย รถติดขนาดนี้ ทำใจไว้เลย...’

“นี่จะติดกันไปถึงไหนเนี่ยท้องถนนของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพเนี่ย! เฮ้อ... เดี๋ยวก็ไปรับพระเอกหนุ่มหล่อขั้นเทพอย่างนายนั่นไม่ทันหรอก!” ติชาบ่นอารมณ์เสียไปกับสภาพการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักหน่วงบนท้องถนนในขณะเวลานี้

เย็นวันนี้ ติชามีงานใหญ่ที่ต้องทำ!

จะบอกว่าเป็นงานแรกงานใหญ่และสำคัญสำหรับเธอไม่น้อยเลยก็ว่าได้

งานใหญ่ที่ท้าทายความสามารถของหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหลานสาวคนเดียวของผู้บริหารค่ายละครยักษ์ใหญ่ของช่องอย่างคุณศิตางค์ พิจไจยสุวงศ์

‘วะ... ว่าไงนะคะคุณป้า? ย้ายเพลงเนี่ยนะ!’ ติชาหรือเพลงเป็นหลานสาวคนสวยของศิตางค์ร้องถามน้ำเสียงตกใจจนเสียงหลงในเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

เรียกว่าเป็นคำสั่งโยกย้ายหน้าที่ปัจจุบันทันด่วน ชนิดสลับกลางอากาศกันเลยทีเดียว!

“หนูฟังไม่ผิดหรอกลูก” เสียงปลายสายตอบเรียบเย็น น้ำเสียงฟังดูมีเหตุผล

“ย้ายทำไมกันคะ เพลงคัดดาราให้ตามบทละครอยู่ดีๆ ก็ดีอยู่แล้ว” ติชาทำปากยื่นด้วยไม่พอใจน้อยๆ พร้อมอ้างเหตุผลเพราะขัดใจไม่อยากจะต้องย้ายไปทำหน้าที่อื่นตามที่ป้าของหญิงสาวต้องการ

“ไปทำเออาร์[1]กับยิมอาจจะสนุกกว่านะลูก” ศิตางค์ผู้เป็นป้าแท้ๆพยายามโน้มน้าวหลานสาวกับหน้าที่และตำแหน่งใหม่ของงาน

“โอ้ย ไม่เอาละค่ะ! สนุกอะไรกันเล่า!! นายนั่นเรื่องเยอะจะตายไป” เพลงบ่นกระปอดกระแปดแถมตอบศิตางค์ด้วยเสียงเกี่ยงงอน

“เขาก็เป็นอย่างนั้นของเขาไปเองนั่นล่ะ แต่จริงๆ แล้วยิมเป็นคนมีเหตุผล เขาอยู่วงการมานานขนาดนี้เขารู้ อีกอย่างยิมไม่กล้าเรื่องมากกับหลานสาวคนสวยของป้าหรอก” ศิตางค์ให้เหตุผลแถมยังใส่โฆษณาชวนเชื่อจุดประสงค์ต้องการโน้มน้าวหลานสาวเต็มๆ

“แต่ว่า...” ติชาอึกอัก

“ยิมเป็นคนใจเย็นออก ถ้าเพลงได้ร่วมงานกับเขาหนูจะรู้ว่ายิมเป็นคนใจเย็น ใจดี” ผู้เป็นป้าพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาโน้มน้าว

“ตะ แต่ว่า...” ติชายังไม่ยอมแพ้นึกหาข้ออ้างไม่อยากร่วมงานกับพระเอกดัง

“จะ ‘แต่’ อะไรอีกล่ะลูก?” ศิตางค์เริ่มส่งเสียงจริงจังเป็นการเป็นงานขึ้นเพราะเธอรู้ว่าหลานสาวคนนี้ดื้อรั้นชนิดที่เยียวยายาก คงต้องรวบรัดใช้แผนมัดมือชกเสียแล้ว เพราะศิตางค์รู้ดีว่างานนี้ไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่าติชาอีกแล้ว

“พละ เพลงคิดว่า... เพลงไม่ชอบเขา!” ติชาสารภาพ ก็คนมันไม่ชอบ เห็นแล้วก็หมั่นไส้แล้วอย่างนี้จะร่วมงานกับนายนั่นได้ยังไงกันล่ะ!

“อึ๊ม ไม่ชอบยังไง ไม่ชอบๆ แต่ก็เห็นจัดเขาลงละครหลายเรื่องเชียวนะ ที่ไปถ่ายที่โปรตุเกตุนี่เราก็จับเขาเป็นพระเอกไม่ใช่เหรอ แล้วนี่จะมาบอกว่าไม่อยากร่วมงานกับเขาเพราะไม่ชอบเขา มันฟังไม่ขึ้นเลยนะป้าว่า” คนเป็นป้าพูดหยอกหลานสาวตัวแสบอย่างนึกเอ็นดู

“ไม่ชอบ ก็ส่วนไม่ชอบ! แต่การที่จับเขาลงพระเอกละครหลายๆเรื่อง มันก็เป็นเรื่องงานนี่คะคุณป้า คนละส่วนกัน ก็มาดของเขา ลุคส์ของเขามันเข้ากับ ‘บท’ พระเอกของละครหลายๆเรื่องนี่นา และมันก็ตรงตามบทประพันธ์ของละครแต่ละเรื่อง อีกอย่าง ละครบางเรื่องนักเขียนเจ้าของบทประพันธ์ เขาก็ระบุมาเลยว่าเรื่องนี้พี่มองไม่เห็นใครในจินตนาการเลยนอกจากธนัชบ้างล่ะ นอกจากยิมบ้างล่ะ พระเอกหล่อขั้นเทพของพี่นะคะ น่าเบื่อจะตาย!” ติชาทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนไปตามสาย ได้ทีก็ใส่แบบจัดเต็ม เพราะเธอเองก็ต้องทำหน้าที่คัดสรรดารามารับบทให้ทั้งตรงกับบทประพันธ์ด้วย

แล้วก็ต้องดูจังหวะในช่วงเวลานั้นด้วยว่าดาราคนไหนแรง ฮอท ฮิต กำลังได้รับความนิยมอย่างที่เขาเรียกว่า ‘ขึ้นหม้อ’ น่ะ จะให้จัดดาราซี้ซั๊วได้อย่างไร มันจะกระทบไปหมด

ถ้าละครแป้กขึ้นมา โฆษณาไม่เข้า เรทติ้งไม่ดีไม่มีคนดู สุดท้ายบอร์ดช่องก็ต้องเพ่งเล็งมาที่เธอด้วยว่าจัดสรรดารามารับบทโดยที่ไม่ตรองก่อนหรืออย่างไร

“อ้าว! ไหงงั้นละคะลูก” ศิตางค์นึกขำ

ผู้เป็นป้าไม่เข้าใจจริงๆหรอกว่าทำไมหลานสาวคนนี้จึงไม่ชอบขี้หน้าพระเอกดังนัก ทั้งที่เขาน่ะเป็นที่คลั่งไคล้ของสาวๆทั้งประเทศ แต่ก็ไม่คิดจะเถียงด้วย เพราะเธอตัดสินใจออกคำสั่งไปแล้ว สุดท้ายเพลงก็ต้องย้ายไปทำงานในตำแหน่งที่เธอต้องการอยู่ดี

เพราะถึงแม้ว่าติชาจะดื้อรั้นสักแค่ไหน แต่เมื่อเจอป้าจอมบงการ บงการแบบนุ่มนวลอย่างศิตางค์เข้า ติชาก็แพ้ทางทุกที...

“ก็อีตายิม พระเอกลูกรักของคุณป้า มีแม่ยกเยอะจะตายไปนี่คะ” ติชายังเถียงสู้ทั้งที่รู้ว่าเหนื่อยเปล่า

“นี่เองเหรอสาเหตุที่เราพาลไม่ชอบเขา” ศิตางค์ส่ายหัวขณะมือยกหูโทรศัพท์ขึ้นพูด “เพราะเขามีแฟนคลับเยอะ?” ‘ถ้าเป็นแฟน แบบนี้เขาเรียกว่าหึงนะคะลูก’ ผู้เป็นป้าคิดอย่างขบขัน

“ก็จริงนี่คะคุณป้า ก็บรรดายายๆป้าๆแม่ยกที่เขียนบทละครบทโทรทัศน์ของช่องเรา บางคนก็หลงใหลได้ปลื้มอีตายิมพระเอกขั้นเทพของคุณป้าเอามากๆ เอ่ะอะให้เป็นพระเอกๆ เพลงก็ต้องทำตามเจตนาของนักเขียนสิคะ ก็เล่นบรรยายลุคส์เอย ลักษณะเอย ออกมาตรงเป๊ะตามคาแรคเตอร์ของนายนั่นเด๊ะเลย ถ้าเพลงเลือกคนอื่นเป็นพระเอก คุณป้าเป็นได้ไล่เพลงออกกลางอากาศแน่ๆ” ติชาเล่าไปตามสายโทรศัพท์พร้อมกับเบ้ปากไปประกอบเป็นระยะๆ ด้วยความหมั่นไส้พระเอกดัง

‘ไม่รู้ทำไม หมั่นไส้จริงๆนะ’

“พูดไป เม้าท์ไปเรื่อยนะเรา! ป้าจะไล่เราออกกับแค่เรื่องพันธุ์นั้นเหรอ” น้ำเสียงของผู้เป็นป้ายังคงอยู่ในอารมณ์ขัน เพราะไม่คิดเหมือนกันว่าหลานสาวตัวจะเป็นเอามากขนาดนี้ เธอไม่คิดเลยนะว่าคนที่จัดให้พระเอกเล่นละครหลายๆเรื่องแต่ความจริงแล้วฝืนใจส่งบทพระเอกให้เพราะหมั่นไส้ส่วนตัวแท้ๆ

“ไม่รู้ล่ะ” ติชาทำเสียงงอนๆ มาตามสายโทรศัพท์ แต่เสียงนั้นทำเอาป้าศิตางค์ถึงกับเห็นภาพ

“เอาล่ะๆ ยังไงเพลงก็ต้องย้ายแผนกนะลูก เพราะเออาร์คนเก่าโกงเปอร์เซ็นค่าตัวยิมไปหลานสิบล้าน ทำขนาดนั้นป้าคงต้องไล่ออกจริง” นางหยุดหายใจ แล้วพูดต่อเมื่อหลานสาวกำลังรอฟัง “ตอนนี้พระเอกเบอร์หนึ่งของช่องลอยแขวนอยู่ ป้าจะยอมให้เขาเป็นดาราดังที่ไม่มีเออาร์ผู้จัดการส่วนตัวดูแลคิวและดูเรื่องรายได้ของเขาไม่ได้” ศิตางค์แจงถึงเหตุผลหรือจะเรียกว่าโน้มน้าวก็ไม่ผิด ก็มีหลานสาวหัวดื้ออย่างติชา ถ้าไม่เอาชนะด้วยเหตุผลดีๆ ก็ไม่มีทางที่ป้าแท้ๆอย่างนางจะสั่งอะไรหลานคนนี้ได้

“เชอะ !!!” นอกจากพ่นเสียงระบายอารมณ์แล้วติชายังทำหน้าหงิกใส่โทรศัพท์อีกด้วย ‘แบบนี้บังคับชัดๆ’ หญิงสาวคิด

ท่าทางหญิงสาวจะไม่ชอบพระเอกหล่อขั้นเทพรายนั้นจริงๆ เสียด้วย

“น้อยๆ หน่อยเพลง” ศิตางค์ถึงกับต้องปรามเสียงดุ ปกตินางดุหลานสาวคนนี้ที่ไหนกัน

“ก็เพลงไม่อยากทำนนี่คะ แต่คุณป้าก็บังคับกันจังเลย” หญิงสาวยังคงกระเง้ากระงอด สิ่งที่ได้ยินมันขัดใจขั้นเทพชัดๆ นี่นะ ถ้าไม่ใช่ป้าแท้ๆละก็เป็นได้เหวี่ยงให้ตายกันไปข้าง!

“ไม่อยากทำไม่ได้ นี่ก็งานเหมือนกัน” ศิตางค์เสียงเข้ม เห็นทีต้องใช้ไม้แข็งกับคนงอแงไม่เข้าท่า

“ทำไมคุณป้าไม่ดูคนอื่นละคะ” ติชายังไม่จบง่ายๆ นึกแล้วก็แปลก บทจะเป็นงานเป็นการ เธอก็เก่งเนี้ยบชนิดที่หาตัวจับยาก อายุน้อยแต่ความรับผิดชอบสูง แต่พอบทจะงอแงไม่ได้เรื่องขึ้นมา เด็กสามขวบยังน่าพูดจาด้วยกว่ามาก!

“คิดว่าป้าจะไปดูงั้นเหรอ ก็ป้าคิดแล้วพิจารณาแล้วว่าเราน่าจะทำได้ดีน่ะสิ แล้วงานไม่เร่ง มีเวลาน้อยเต็มที เย็นนี้ยิมเขาก็มีไฟท์บินกลับ เพราะถ่ายละครที่นู่นเสร็จแล้ว ดาราคนอื่นอาจจะอยู่เที่ยวต่อใช้งบบริษัทไปเป็นการรีแลคส์ แต่ยิมเขาอยากกลับ เพราะทางนี้ก็มีงานเซ็นต์สัญญาพรีเซ็นเตอร์รออยู่ตอนค่ำๆ สินค้าตั้งหลายตัวที่ต่อสัญญา เขาเองก็เกรงใจทางเอเจนซี่” ศิตางค์แจงเหตุผลเป็นเรื่องเป็นราว ปลายสายเงียบฟัง

“สรุปเพลงปฏิเสธงานนี้ไม่ได้งั้นเหรอคะ?” ติชาถามคำถามสุดท้าย สีหน้าเธอออกอาการหน่ายเต็มทน เธอกำลังไปได้สวยกับงานคัดตัวดาราอยู่ทีเดียว และสนุกกับตรงนี้มาก พอได้ยินคำสั่งใหม่ให้เธอไปทำเออาร์ สีหน้าหญิงสาวตอนนี้แย่ยิ่งกว่าคนบอกบุญไม่รับซะอีก

“ก็แล้วเราจะปฏิเสธทำไมเล่าจ๊ะ?” ศิตางค์เริ่มจะสรุป

“ก็เพลง...” ติชารู้ดีว่าศิตางค์ก็เป็นคนเผด็จการและดื้อเงียบไม่ต่างจากเธอ  ระหว่างที่รอว่าจะพูดอะไรอ้างต่อไปอีกก็มาคิดได้ว่าเถียงไปอ้างไปก็เท่านั้น ยังไงเสียเธอก็ต้องทำงานในหน้าที่ใหม่ที่ศิตางค์บัญชาก็เลยหยุดประโยคไว้แค่นั้น

‘เลิกเถียงดีกว่า... เถียงไปก็แพ้อยู่ดี’

“เอาน่ะ คนเรามันตัดสินกันแค่ภายนอกไม่ได้ หนูอาจจะได้ยินได้ฟังใครเขามาว่าธนัชเป็นพระเอกมากเรื่อง มาดเนี้ยบ คิดเล็กคิดน้อย ทุกอย่างต้องเป๊ะ! เยอะ! เป็นพวกประเภทเพอร์เฟคชั่นนิสต์ จนน่ารำคาญ แต่เขามีความเป็นมืออาชีพนะคะลูก เขาถึงอยู่ในวงการมานาน” ศิตางค์ได้ทีโฆษณาชวนเชื่อบรรยายสรรพคุณพระเอกดังหนุ่มหล่อขั้นเทพเสร็จสรรพราวกับเธอเป็นแฟนคลับมาเอง แต่ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น

ยิมหรือธนัช ไตรรวิษณุธรรม พระเอกทั้งในจอและนอกจอ

“รู้แล้วค่ะ รู้แล้ววว!” ติชาลากเสียงยาว คงอีกนานที่คุณป้าจะหลงใหลได้ปลื้มกับพระเอกขี้เก๊กคนนี้ แตะได้ที่ไหนพระเอกลูกรักของคุณศิตางค์  ท่านประธานริหารสถานีโทรทัศน์ชื่อดังอันดับต้นๆของเมืองไทย

‘เฮ้อ...’

“รู้ก็ดีแล้ว งั้นวันนี้ก็เตรียมตัวไปรับยิมที่สุวรรณภูมิด้วย เครื่องลงจากโปรตุเกตุประมาณ สี่โมงเย็นนะลูก แล้วก็เวลาหนึ่งทุ่มตรง นัดเซ็นสัญญาพรีเซ็นเตอร์ที่โรงแรมไซแอม พาราไดซ์ งานนี้อย่าสายนะคะลูก” ผู้เป็นป้ากำชับ “ส่วนลูกค้า เดี๋ยวป้าแชร์คอนแทคเบอร์มือถือเข้าไปให้” ผู้เป็นป้าสั่งยาวเป็นฉากๆ

ในบทบาทนี้เธอคือเจ้านายของติชาต่างหาก ถ้าในเวลางานศิตางค์ไม่ลืมที่จะติดคราบความเด็ดขาดเด็ดเดี่ยวและเผด็จการอยู่ในที แต่อย่างไรก็ตาม ในความเป็นเผด็จการนั้นก็มีความนุ่มนวลเจืออยู่ด้วย แล้วทุกคนก็ยอมทำตามบงการของนางอย่างว่าง่ายเสียด้วย อย่างที่เขาบอกว่า การจะเป็นซีอีโอที่เก่งนั้น ไม่ใช่การทำเองทุกอย่างได้ดีและเก่ง แต่มันคือการทำอย่างไรให้คนเก่งอยากร่วมงานกับเรา และยอมทำงานให้เรา ศิตางค์จึงนับเป็นซีอีโอหญิงชั้นแนวหน้าที่ได้ใจคนทั้งในองค์กร และในวงการโทรทัศน์

จะติดก็แต่หลานสาวจอมรั้นอย่างติชานี่ล่ะ ได้ใจน่ะ มันก็คงได้ แต่ดื้อรั้นเหลือเกิน เพราะหลานสาวคนสวยก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง

แต่ท้ายที่สุด... งานนี้ติชาก็ยอมทำตามคำสั่งเหมือนเช่นเคย

‘ผู้ชายอะไรอึดชะมัด ลงเครื่องเดินทางจากประเทศนึงที่อยู่คนละทวีป ไม่มีจะพักเพื่อปรับเวลาเหมือนชาวบ้านมั่งเลยหรือไง ไอ้ที่ไปทำงานต่อจะเรียกว่ารับผิดชอบหรือว่างกันแน่นะนายนี่!’ ติชาบ่นในใจ

แต่ก็ทำได้เพียงแค่ ‘บ่น’

“ค่ะๆ” ติชารับคำอย่างว่าง่าย จากนั้นที่วางโทรศัพท์จบสายสนทนากับผู้เป็นป้าได้ไม่กี่ชั่วโมง ติชาก็พาตัวเองมาติดแหง่กอยู่บนท้องถนนแบบนี้น่ะล่ะ!

ก็เธอกำลังมุ่งตรงไปรับเขาที่สนามบินสุวรรณภูมิ

ธนัช พระเอกเบอร์หนึ่งของช่อง เอาว่าของวงการเลยดีกว่า

อยู่ในวงการมาเกือบ 14ปี ทำไมถึงยังดูเด็กจัง แถมยังหล่อขึ้นหิ้งอีกต่างหาก

อายุเท่าไหร่กันนะ อายุจริงๆ ของเขาน่ะ ธนัช!

หลายปีนานมาแล้ว ในวันแรกที่ติชามาทำงานที่บริษัท ใครๆต่างก็สบประมาทปรามาสว่าเด็กสาวจบใหม่อย่างเธอถ้าไม่ใช่ว่าเพราะใช้เส้นสายอาศัยความเป็นญาติมาทำงาน เธอก็คงไม่ได้ทำงานภายใต้ร่มเงาบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่างนี้ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่เดือน ติชาก็พิสูจน์ให้หลายๆคนได้เห็นว่า เธอทำได้ และทำมันได้ดีด้วย ส่วนวันนี้ ติชากลับต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คือต้องเปลี่ยนเป็นฝ่ายคัดตัวดาราศิลปินเพื่อมารับบทละคร เพื่อความเหมาะสมให้ต้องตรงตามบทประพันธ์ แต่วันนี้หน้าที่ใหม่ของหญิงสาวคือดูแลพระเอกไข่ในหินของช่องแต่สังกัดในค่ายของคุณศิตางค์ผู้เป็นป้า

เขาคนนั้นก็คือ ธนัชหรือยิมพระเอกเบอร์หนึ่งช่องที่มีรูปลักษณ์หล่อขั้นเทพ และอยู่เป็นดาราดาวค้างฟ้าในฐานะพระเอกแถวหน้าผู้ที่ไม่มีใครแซง

~*~

2

คำสั่ง

งานในวงการบันเทิงนี่ มันเต็มไปด้วยสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆเลยนะ ก็จู่ๆ เธอก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายมาเป็นเออาร์หรือฝ่ายดูแลดาราพระเอกเบอร์หนึ่งของค่ายซะอย่างนั้น

และเย็นนี้ เขามีไฟท์เดินทางกลับจากถ่ายละครฟอร์มยักษ์ของช่องจากโปรตุเกต หลังจากไปรับเขาแล้วก็ต้องรีบบึ่งไปเซ็นสัญญาพรีเซนเตอร์กับเอเจนซี่ใหญ่ของวงการที่โรงแรมหรูในค่ำคืนนี้อีกด้วย

‘คิวแน่นจริงอะไรจริง!’

ภารกิจเยอะแยะ มากมายหลายสิ่งขนาดนี้ สงสัยต้องจ้างเครื่องบินส่วนตัวมาไว้ขับไปทำงานเล่นๆ สักลำแล้วกระมัง ฮอลิคอปเตอร์ส่วนตัวแบบไฮคลาสน่ะลำหนึ่งก็ประมาณ 5, 6 ล้านแบบที่ดาราฮอลลิวูดเขานิยมใช้กันน่ะ คิดแล้วมันก็คุ้มนะ  ถ้าต้องเดินทางไปไหนมาไหนบ่อยๆ  เพราะแค่ในกรุงเทพฯ จะไปสนามบินแค่นี้ เธอยังคงติดแหง่ก อยู่กับที่ที่แยกบางนานี่ก็ เกือบๆจะร่วมชั่วโมงเข้าไปแล้ว!

‘ไม่แปลกใจเลยที่มักมีข่าวเด็กคลอดในรถแท็กซี่อยู่บ่อยๆ ก็รถติดขนาดนี้ จะไปโรงพยาบาลทันได้อย่างไรกัน’

“พระเจ้า ใครก็ได้ร่ายมนตร์ให้ไอ้พวกรถที่ติดๆนี่หายๆไปจากถนนทีได้ม๊ายยย!” หญิงสาวถึงขั้นเรียกหาความอัศจรรย์จากสิ่งที่มองไม่เห็นเข้าแล้ว

เพราะถ้าเธอทำงานไม่ได้ตามเวลานัดหมายแล้วละก็ พังแน่ พังสถานเดียวเลย ชีวิตเออาร์ตัวน้อยๆอย่างติชา!

พอเลี้ยวรถเข้ามาที่จอดรถในอาคารเท่านั้นล่ะ หญิงสาวก็รีบดับเครื่องลงจากรถและออกวิ่งฉิวไปยังอาคารเพื่อรับผู้โดยสาร

อืม... สี่โมงเย็น นี่เลยเวลานัดไปมากแล้ว มีหวังนายนั่นนั่งบ่นเช็ดเป็นแน่  รู้ๆกันอยู่ คนเขาเนี๊ยบ หญิงสาวมาช้าเกือบชั่วโมงถ้าไม่โกรธก็คงเป็นญาติกับภูเขาหิมาลัยกระมัง

ใครจะใจเย็นขนาดนั้น?

“เครื่องลงกี่โมงนะ? เอ่อ.... ฉันหมายความว่านั่งรออยู่ตรงนี้นานไหม?” ติชาวิ่งหอบแห่กๆ รองเท้าส้นสูงเก้ๆกังๆ พาร่างบางมายืนสูดหายใจหอบถี่เพราะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อให้มารับฝ่ายชายให้ทันเวลาก่อนที่จะพาหนุ่มหล่อไปโรงแรมหรูต่ออีก ที่วิ่งๆมาก็ดูกระตือรือร้นดี หรือเพราะวิ่งเพื่อ ที่จะได้ดูว่ามาสายน้อยหน่อย !

รู้สึกผิดว่างั้น?

ติชาดูเหนื่อย หอบ หายใจเข้ายาว... ลึก! พลางก็มองจ้องไปที่ชายหนุ่มเจ้าของร่างโปร่ง สูงสง่างาม หุ่นงดงามสมส่วน อีกทั้งผิวขาวสะอาดสะอ้านราวก็มีออร่าวิ่งพุ่งออกมาจากผิวหนัง

‘ผู้ชายอะไรกันนะ... ผิวดี๊ดี!...

...ผู้ชายคนนี้สงสัยเกิดมาเพื่อเป็นพระเอกโดยเฉพาะ!

...หล่อไม่มีที่ติเลย...  ดูในละครก็หล่ออยู่แล้ว แต่ตัวจริงหล่อกว่าอีกแฮ!

...ไม่รู้ว่าเทพเจ้าองค์ใด รังสรรค์ปั้นแต่ง ให้รูปโฉมของเขา ทั้งหล่อ เท่ห์ ดูดีแบบไม่มีที่ติได้ขนาดนี้!

...หญิงสาวมัวแต่นึกชื่นชมรูปร่างผิวพรรณของพระเอกดัง ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าเป็นลูกผู้หญิงมายืนชื่นชมสาระร่างของผู้ชายมันไม่เหมาะ ถึงจะแค่คิดลวนลามเขาแค่ในใจก็เถอะ!’

มัวแต่คิดเพลิดเพลงเจริญตากับรูปลักษณ์ภายนอกของพระเอกหนุ่ม จนเธอเผลอลืมไปว่าตัวเองมาสายร่วมชั่วโมง แถมยังไม่รู้สึกผิด!

เท่านั้นยังไม่พอ ทำไม่รู้ไม่ชี้ตั้งคำถามโง่ๆ ทำทีเหมือนจำไม่ได้ว่าเขาลงเครื่องสี่โมงเย็น

ชายหนุ่มสีหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาคู่คมทว่าอ่อนโยนถูกซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตาสีดำกรอบเก๋มียี่ห้อการันตีความนำสมัย

ชายหนุ่มคงมาดนิ่ง ไว้อย่างสุขุม ไม่พูดอะไร รวมทั้งไม่มีอาการว่าจะโกรธหรือไม่พอใจที่หญิงสาวมาช้าและปล่อยให้เขานั่งรอโดยมีเพลงในไอพอดลิสต์เป็นร้อยเป็นพันเพลง  เพื่ออยู่ฆ่าเวลาเป็นเพื่อนเขาระหว่างที่รอเออาร์คนใหม่!

‘ตัวแสบ’

ดวงตาคู่คมนั้นมองติชาผ่านกระจกทึบสีดำอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

“นัดเซ็นต์สัญญากี่โมงนะ ต้องรีบแล้วใช่ไหม?” เขาพูดจบก็ลุกขึ้นยืนและหยิบกระเป๋าสัมภาระที่มีขึ้นแบกและเดินออกนำหน้าฝ่ายหญิงไปไกลหลายก้าว

“นี่นาย รอฉันก่อนสิ!” เธอโวยเล็กๆ ก็พ่อเจ้าประคุณเล่นนึกจะเดินก็เดินฉับๆ ไม่หันหลังมามองผู้หญิงร่างเล็กอย่างหล่อนเลยว่าจะเดินตามคนขายาวอย่างเขาทันหรือไม่ทัน

‘ผู้ชายอะไร... ไม่แทคแคร์เลย’

“ก็รีบหน่อยสิ แล้วจอดรถไว้โซนไหน?” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงนิ่งเรียบส่วนสีหน้าก็นิ่งเย็นปราศจากการแสดงอารมณ์ใดๆ

“ฉะ... ฉันลืม” เสียงหญิงสาวสารภาพเสียงเบาแผ่ว รู้สึกตัวเองขึ้นมาทันทีว่าพลาด สมองเริ่มมีความละอายและความรู้สึกผิดแล่นปราดขึ้นมาทันที

โง่หรือเซ่อ? หรือตื่นเต้น? หรือว่าโกรธที่คุณป้าบังคับให้มารับนายพระเอกขี้เก๊กนี่กันแน่ ถึงจำไม่ได้ว่าจอดรถไว้ตรงไหน

‘บ้าจริง! อยากจะย้อนเวลา แล้วกลับไปถ่ายรูปตรงที่ตัวเองจอดรถไว้จริงๆ ทำไมเราสะเพร่าอย่างนี้ได้นะ?’ หญิงสาวกำลังตำหนิตัวเอง

พลาด! เธอพลาดมากยายเพลง!

“หืม?” สิ่งที่หญิงสาวตอบมันสะกิดให้พระเอกหนุ่มมาดนิ่งถึงกับหันมาจ้องหน้าติชาด้วยสายตาอันเย็นชาผ่านใต้แว่วสีตำสนิทนั่น

พระเจ้า! เออาร์คนใหม่ของเขาไม่ควรเป็นคนขี้ลืมโดยพื้นฐาน

“ฉันจำไม่ได้ ฉันรีบก็เลยลืมถ่ายรูปไว้ว่าจอดตรงไหน” หญิงสาวก้มหน้างุดตอบเสียงอ่อย

มันเป็นอาการของคนรู้สึกผิด รู้ตัวในทันทีว่านี่เป็นเรื่องพลาดอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะความรีบเร่งกลัวจะมารับพระเอกหล่อเทพไม่ทัน สิ่งที่กลายเป็นปัญหาก็เลยตามมาอย่างลืมนึกถึงไป

“ที่จอดรถกว้างเป็นล้านๆตารางเมตร คิดว่าจะหารถเจอได้ยังไง?” เขาหยุดเดิน หันหลังกลับมามองคนตัวเล็กที่ยืนหงออย่างรู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองโง่ด้วย !

‘ก็มันรีบนี่นา’

“เจอร้านอะไรตอนที่เดินขึ้นมาน่ะ?” ชายหนุ่มถาม ติชาได้แต่ยืนงงว่าเขามาถามทำไมว่าขึ้นมาแล้วเจออะไร

“...” เงียบ สมองยังมึนงง เพราะตามไม่ทันว่าทำไมพระเอกเทพหล่อถึงถามคำถามนี้

“ถามว่าพอจอดรถเสร็จแล้ววิ่งๆหน้าตั้งมาหาผมเนี่ย คุณเจอร้านอะไรร้านแรก พอจะจำได้ไหม ตอนขึ้นตึกมาน่ะครับ”

“อ่อๆ เจอร้านไอติม พอดีฉันหิวด้วย”

“...”พอได้ยินแต่นั้น ชายหนุ่มก็ลำดับได้ว่าจะไปยังไงต่อ

ลำพังด้วยความเป็นธนัช เขาหารถคันเล็กของหญิงสาวได้อย่างสบายๆ แต่ชายหนุ่มก็อยากรู้ว่าคนที่จะมาทำหน้าที่เออาร์ดูแลเขานับจากนี้มีสมองแค่ไหน

รอบคอบและจำอะไรได้ดีแค่ไหน

ก็เท่านั้น!

แค่เธอมาสาย แล้วยังจำที่จอดรถไม่ได้นี่ก็เสียไปหลายคะแนนแล้ว!

“นายเงียบทำไมล่ะ?” ติชาถามเสียงสั่น กระพริบตาปริบๆ ตอนนี้ผู้ชายที่เธอไม่ชอบนักชอบหนา กำลังจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัวได้อยู่แล้ว เขาอาจจะกำลังไม่พอใจอยู่ที่เธอมาสายแล้วยังจำที่จอดรถไม่ได้ ทำให้ยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ แต่ถึงจะกำลังโมโหแต่ดูเหมือนว่าเขารักษาอารมณ์และสีหน้ายังดูเยือกเย็น

‘เขาทำได้อย่างไรนะ?’

ไม่รู้ว่ายังเหนื่อยไม่หาย หรือว่าสั่นเพราะกลัวมาดนิ่งๆแต่ดูเชือดเฉือนของเขาก็ไม่รู้

“เงียบเพราะกำลังคิดว่า จะขำหรือจะโกรธคุณดี!” เขาตอบน้ำเสียงช่างฟังดูอบอุ่น

“ก็นี่มันเย็นมากแล้ว ฉันหิวนี่มันผิดเหรอ ข้าวเที่ยงฉันยังไม่ตกถึงท้องเลยนะ รู้ไหมว่าฉันติดอยู่บนถนนห่วยๆนั่นกี่ชั่วโมง! ฉันทำงานนึงอยู่ดีๆ ป้าก็โทรมาให้มารับคุณ ป้าก็ย้ายให้ฉันมาเป็นเออาร์คุณนี่ อยู่บนถนนตั้งแต่บ่ายกว่าจะหอบสังขารมานี่คิดว่าฉันมีเวลาว่างมากพอจะแวะหาอะไรกินงั้นรึ?” หญิงสาวบ่นเป็นหมีกินผึ้งสีหน้าของหญิงสาวออกอารมณ์อย่างชัดเจนว่าอัดอั้นเริ่มไม่พอใจและออกแนวจะเหวี่ยงอารมณ์เสียต่อทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ต่างอะไรจากเด็กตัวเล็กๆที่เอาแต่ใจแล้วเมื่อถูดจับได้ว่าทำอะไรผิดก้จะเล่นมุขโมโหเพื่อกลบเกลื่อน คนร่างโตฟังแล้วก็อดขำไม่ได้ ดวงตาอ่อนโยนนั้นมันยิ้มระยับภายใต้กรอบแว่นสีดำสนิท

เป็นรอยยิ้มที่ติชาไม่อาจมองเห็น...

“ก็รีบสิ!” จบชายหนุ่มก็ก้าวเท้าออกเดิน ทำอย่างกับไม่สนใจในสิ่งที่ติชาพล่ามออกไป

ไม่ใส่ใจว่าหญิงสาวจะเป็นยังไง

“นี่นายเดินให้มันช้าๆหน่อยได้มั้ย ฉันตามไม่ทันนะ” เพลงแอบบ่นหัวเสีย ท้องรึก็ร้องจ๊อกจนน่าขายหน้า

ฝ่ายคนตัวสูงก็หยุดหันมามองคนขี้บ่นก่อนที่จะหักเหทิศทางเดินเข้าไปในร้านไอติมที่ว่า แล้สั่งไอติมรสวานิลาชอคโกแล็ตชิฟถ้วยกลาง พร้อมเพิ่มอัลมอนต์และราดคาราเมลแสนอร่อยเข้าไปด้วย จากนั้นเขาจ่ายเงินและยื่นถ้วยไอติมให้หญิงสาว

ยื่นให้แบบๆไม่ได้ใส่ใจอะไร

ยื่นให้ไปอย่างนั้นเอง!

“กินซะสิ” เขายื่นให้และบอกอย่างอ่อนโยนหญิงสาวยื่นมาออกไปรับและใช้ช้อนตักไอติมเข้าปาก

อืม.... อร่อยจริงแฮะ หญิงสาวคิด

เงยหน้ามาอีกที พระเอกดังก็เดินไกลห่างเธอไปอีกหลายฝีก้าว

อีตานี่จะรีบไปไหนนักนะ นัดตั้งทุ่มนึง

กว่าทั้งสองจะเดินไปถึงที่จอดรถที่หญิงสาวจอดรถไว้ตรงนั้นไอติมก็ถูกกำจัดจนหมดถ้วย แล้วหญิงสาวก็รับกระเป๋าของชายหนุ่มไปเก็บไว้ที่ท้ายรถ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปนั่งและสาร์ทรถพาพระเอกดังไปโรงแรมดังจุดหมายเพื่อเซ็นต์สัญญาพรีเซ็นเตอร์โฆษณาตามแพลนงานของวันนี้ ระหว่างทางต่างฝ่ายต่างก็เงียบ ก็เลยปล่อยให้เพลงในรถเป็นตัวทำบรรยากาศละลายความอึดอัดแทนแต่พอรถคันเล็กเคลื่อนไปได้สักพัก หญิงสาวก็ลอบมองพระเอกดังอยู่บ่อยๆ ที่กล้ามองก็เพราะธนัชเผลองีบหลับระหว่างทางโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว

คงเพลียสินะ!

ที่นู่นก็ถ่ายละครหนัก ไหนพอถ่ายละครเสร็จก็ต้องรีบเดินทางกลับ นี่ถ้าเป็นเธอบ้างคงสลบตั้งแต่นั่งรอร่วมชั่วโมงที่สนามบินแล้วล่ะ

สงสัยยิมเขาจะไม่เรื่องมากและคงเป็นคนใจเย็น ใจดีอย่างที่คุณป้าว่าละมัง

ขนาดเธอมาสายเกือบๆชั่วโมงเขายังไม่ว่าสักคำ ไม่ออกอาการไม่พอใจเธอเลยสักนิด แถมยังเลี้ยงไอติมถ้วยเบ้อเริ่ม!

‘ใจดีหรือประชดกันนะ?’

สงสัยไม่บ้าก็โง่แล้วที่เลี้ยงไอติมคนที่มารับสาย แถมไม่รู้สึกผิด แต่กลับทำเนียนๆเป็นลืมเวลานัดซะงั้น

อืม... เอาเป็นว่า วันนี้ฉันยังไม่หักคะแนนคุณก็แล้วกันนะธนัช ! หญิงสาวคิดเพลง สักพักไม่นานรถคันเล็กก็พาสองคนมาถึงโรงแรม

“นิ่คุณ! ตื่นสิ” ติชาเขย่าแขนคนร่างโตพร้อมส่งเสียงเรียกปลุก เพราะอีกฝ่ายต้องบอก่าหลับสนิท

“...” เขายังคงหลับพริ้ม แก้มของเขาขาวและใสสะอาด ไม่มีสิวเลยสักนิด พระเอกเขาต้องดูดีกันขนาดนี้เลยสินะ

มิน่าถึงมีแม่ยกเยอะ! เฮ๊อะ! หมั่นไส้!

“นี่นาย ! ตื่นได้แล้ว ถึงแล้วนะ!” ติชาปลุกพระเอกดังด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าให้เขารีบๆตื่นซะแล้วไปพบลูกค้ากันได้แล้ว!

“ผมมีชื่อ! ช่วยเรียกชื่อผมด้วย!” เขาตอบกวนอารมณ์ทว่าสีหน้าคมหล่อของเขาเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์

“รู้แล้วน่า รีบๆ ตื่นสิถึงแล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก” หญิงสาวเริ่มโวยวายสีหน้ามุ่นโดยทันที

“เราสายกันตั้งแต่สนามบินแล้วนะ” เขาย้อน ทำเอาติชาเหงื่อตก

“อันนั้นฉันรู้น่า... แต่ตอนนี้เรื่องใหม่แล้วนะ!”

“งั้นเหรอ?” เขาแกล้งย้อนสายตากำลังจะระบายแววตาอย่างเดิมแต่ยังไงสายตาคมของเขาไม่ว่าจะแสดงอารมณ์ยังไงมันก้อยู่ใต้กรอบแว่วดำอยู่ดี!

เพลงไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้น

“คุณต้องสวมสูททับหน่อยนะ จะดูดีขึ้นหน่อย” หญิงสาวแนะนำน้ำเสียงอ่อนโยน

“ผมมันไม่ดูดีตรงไหน” เขาหลุดคำพูดหลงตัวเองออกมา ในใจก็ยิ้มร่า อยากรู้อาการของหญิงสาวตรงหน้าว่าจะโต้ตอบเขาต่อไปยังไง

“ฉันหมายความว่าคุณเพิ่งเดินทาง น้ำท่ายังไม่อาบดูไม่สดชื่นน่ะสิ สวมสูททับเข้าไปลูกค้าเขาก็จะได้สบายใจหน่อยที่ได้เห็นพระเอกดังในลุคส์นั้นน่ะ”

“อืม... แต่ศิตางค์บอกว่าลูกค้าก็รู้แล้วว่าผมบินตรงมาจากโปรตุเกตเลย เขาคงรับสภาพผมได้!”

“ก็สุภาพไปจะเสียหายอะไรล่ะ อย่างน้อยให้เกียรติลูกค้า ให้เกียรติสถานที่”

“แต่ผมคือยิม ธนัช ไตรรวิษณุธรรมนะ พระเอกดังจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ?” น้ำเสียงของเขาช่างมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูดปอปั้นตัวเองออกไป

ถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะ แต่มันทำให้คนฟังได้ยินแล้วอดนึกหมั่นไส้ไม่ได้ !

“คุณพูดยังกับว่าจะไปเซ็นต์สัญญาทั้งอย่างนี้”

“ไม่หรอก เอาสูทมาสิ” เขาสรุปอย่างง่ายๆ

บทจะง่ายก็ง่ายขึ้นมาจนน่าตกใจ ที่ผ่านมาก็ลีลาอยู่นั่น!

ญาญัจฉราเอี้ยวตัวไปด้านหลังรถ ร่างบางจึงถูกเหวี่ยงเข้าใกล้คนตัวโตทำให้ร่างบอบบางส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยไปทักทายปลายจมูกโด่งของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ...

“สวมซะนะคะ!” มันไม่ใช่การบังคับแต่เป็นการบอกโดยหน้าที่เออาร์ต่างหาก

“สูทผมมาอยู่ในรถคุณได้ยังไง?” พระเอกหนุ่มนึกแปลกใจ

“คุณป้าให้ฉันแวะไปเอาที่ร้านซักรีดของดาราในค่ายของเราน่ะ พอดีก่อนคุณไปถ่ายละครที่นู่น มันมีเสื้อผ้าของคุณส่งซักน่ะ พวกเสื้อผ้าที่คุณใส่เข้าฉากแล้วก็ซื้อๆเอาไว้ไง” หญิงสาวอธิบาย เพราะดาราดังอย่างยิม นอกจากงานละครจะรัดตัวจนไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นและเดินช้อปปิ้งใช้ชีวิตอย่างคนปกติธรรมดาแล้ว แต่เขาก็เป็นผู้ชานที่นำเทรนด์ อย่างแต่งตัวในแนวที่ใช่ในแบบที่ชอบ การเลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชายจากฝ่ายคอสตูมนี่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งของพระเอกดังอย่างเขา

แล้วเสื้อผ้าก็ใหม่แกะกล่อง แถมยังดูแนวๆ ในแบบที่เขาชอบเสียด้วย ฉะนั้นเป็นประจำหลังจากใส่เข้าแกและถอดออกเปลี่ยน ก็จะมีคนมารับไปซักทำความสะอาดก่อนที่จะส่งขึ้นคอนโดของดาราหนุ่ม

“มิน่าผมก็นึกว่ามันหายไปไหน” พูดจบเขาก็ก้าวลงรถและสวมสูททับทันที พลางมองจากบานกระจกประตูข้างรถเพื่อสะท้อนเงาและเช็คความเรียบร้อย

“ไปเช็คความเรียบร้อยในห้องน้ำก่อนเข้าไปห้องที่เรานัดลูกค้าไว้ก็ได้ค่ะ”

“จริงสินะ! คุณนี่ก็รอบคอบดีนะ ทั้งที่จริง... ไม่น่าจะเป็นงั้น” ประโยคนั้นของเขาพูดออกมาเพียงแต่เบาราวกับพึมพำกับตนเองแต่อีกฝ่ายที่ถูกพูดถึงกลับได้ยินอย่างเต็มสองหู

“...” ติชาอึ้ง สรุปว่าเมื่อกี้นี้ชมใช่ไหมนะที่เขาพูดน่ะ!

นายนี่มันน่านัก!!! หญิงสาวคิดหมั่นไส้จนหน้าหงิก แม้จะไม่พอใจแต่เพียงในใจแต่สีหน้ามันก็แสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว

~*~

3

คาดไม่ถึง

“ราอี! เป็นเธอจริงๆ ด้วย” ชายหนุ่มหน้าเข้มหนวดเครารุงรังท่าทางน่าเกรงขามเปล่งน้ำเสียงอุทานชื่อผู้หญิงตรงหน้าด้วยอาการตื่นเต้นดีใจของชายหนุ่มเมื่อเห็นว่าใครคือคนที่มาช่วยเขา

รัสยาน์ ราอี!

“ก็ฉันน่ะสิ!” หญิงสาวตอบ

“ขอบใจที่เธอมาช่วยฉัน” น้ำเสียงคนร่างสูงฟังดูเย็นชาไร้ความรู้สึกรู้สาแต่ทว่าแววตามันไม่อาจว่อนความหมายที่เขามีต่อราอีได้เลย

“ฉันช่วย เพราะภารกิจเป็นเรื่องใหญ่ พวกเรามีงานใหญ่ต้องทำ!” รัสยาน์ตอบน้ำเสียงเย็นชา

“ก็เลยเสี่ยงพาผมแหกคุกออกมางั้นเหรอ?” เขาบอกเสียงตื่นเต้นที่ได้ประจักษ์ว่าสิ่งที่เขาคิดมันเป็นความจริง

รัสยาน์ ราอี คือหญิงสาวที่มาช่วยให้เขาเป็นอิสระในฐานะนักโทษที่ถูกคุมขัง

“คราวหน้าคราวหลังคุณต้องระวังกว่านี้รู้ไหม คุณทำให้พวกเราวุ่นวายกันหมด” ราอีตำหนินเสียงเรียบเย็นชา

“ตอนนี้พวกตำรวจคงระดมกำลังออกตามล่าผมกันวุ่นแล้ว” ชายหนุ่มสันนิษฐาน

“ฉันรู้!” เธอตอบ

“อีกหน่อยพวกมันก็คงกระชั้นใกล้เข้ามา” เขาคาดการ

“เรามีเวลา คุณพ่อวางแผนไว้หมดแล้ว ฉันจะพาคุณไปที่คลินิกของเรา จะมีการผ่าตัดแปลงโฉมคุณที่นั่น” รัสยาน์ ราอีบอกแผนการต่อไป

“รัสยาน์นาคลินิก ในเครือโรงพยาบาลราอีน่ะเหรอ?” เขาทวน

“ใช่!”

“นายต้องแปลงโฉมใบหน้า เพื่อไม่ให้ตำรวจตามตัวเจอ”

“กลยุทธเดียวกันกับบิลลาเดนเลยนะ!”

“นี่ไม่ใช่เวลาของอารมณ์ขัน” หญิงสาวเสียงเด็ดขาดและยังคงฟังดูเย็นชาไร้ความรู้สึกไม่เปลี่ยนแปลง

“ผมแค่ล้อคุณเล่นราอี ครั้งหลังสุดที่คุณมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สดใสเวลาที่คุยกับผมน่ะมันเมื่อไรกัน ทุกวันนี้คุณมีแต่ความเย็นชาปั้นปึ่งให้ผม มันรู้สึกนะรู้ไหม การที่ผมไม่พูดไม่ได้หมายความว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลย” เขาตอบเสียงสำนึก

“ความจริง... ระหว่างเรามันก็ไม่มีอะไรต้องจำต้องรู้สึกนี่! อีกอย่างภารกิจของพวกเรามีมาก” น้ำเสียงหญิงสาวตอบเรียบ

“เราจะทำยังไงกันต่อไป?”

“คุณพ่อให้ผ่าตัดศัลยกรรมคุณให้หน้าตาเหมือนเคน อาคิรา เขาเป็นนักร้องดาวรุ่งดวงใหม่ แต่เขากำลังจะตายด้วยอุบัติเหตุ คุณพ่อมีเซ้นต์ติดต่อกับพวกล่าวิญญาณได้”

“ก็เลยจะให้ผมสวมรอย?”

“ใช่! ต่อจากนี้ คุณคือ เคน อาคิรา นักร้องดาวรุ่งดวงใหม่”

“แล้วต่อจากนั้น”

“คุณก็จะเข้าใกล้ยิม ธนัชมากขึ้น เพราะเคน เป็นนักร้องและมีแผนจะวางอัลบั้มในเร็วๆนี้ แต่เขาโชคร้ายคงตายก่อน และอีกอย่างเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้บริหารค่ายละครดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเหมาะมาก ถ้าคุณสวมรอยเป็นอาคิรา การกำจัดธนัช เจ้าพ่อมดแวมไพร์ เสี้ยนหนามของเผ่าพันธุ์ของพวกเรามันก็จะง่ายขึ้น!”

“ฟังดูโหดจริง?” เขาเย้ยสีหน้าโหดและเครารุงรังซ่อนรอยสแหยะยิ้มไว้ไม่มิดเลย

ลำพังชาร์ฟฟาร์ นักโทษต้องคดีหนักเขาถูกจับขังลำพังในคุกใต้ดิน มันก็จบสถานะทางโลกภายนอกแล้ว แม้ความแกร่งอย่างไม่มีใครเทียมทานมันก็ไม่มีวันได้ใช้ความแกร่งเหล่านั้นแล้ว หากไม่เพราะปฏิวัติผู้เป็นพ่อของรัสยาน์ ราอี ต้องการใช้ประโยชน์จากความสามารถที่ชาร์ฟฟาร์มี และหาไม่ได้จากใครในโลกรึแวมไพร์สายพันธุ์นักล่าตนใดอีกแล้ว!

“แปลกงั้นเหรอ ถ้าพวกเราไม่กำจัดพวกแวมไพร์ที่เหลืออยู่ พวกเรานั่นล่ะจะลำบาก อีกอย่างยิม ธนัชเป็นแวมไพร์ที่มีเชื้อสายของพ่อมดด้วยครึ่งหนึ่ง ทั้งอิทฤทธิ์และความอยู่ยงคงกระพันของเขา มันจะเป็นอันตรายต่อพวกเราอย่างสูงสุด!” รัสยาน์น้ำเสียงเหี้ยมและระคนไปด้วยแววตาแห่งความมุ่งมั่น

“ทั้งหมด ผมตามใจคุณอยู่แล้วราอี” เขาตอบด้วยรอยยิ้มละมุน

~*~

4

ลับ

“ลิน! รับไว้” เสียงพี่ณัชร้องเรียกให้หญิงสาวนักข่าวสาวเพื่อนร่วมงานรับสิ่งที่เขากำลังจะส่งให้

ทันใดนั้นกระเป๋าสะพายกล้องใบกระทัดลัดก็ลอยละลิ่วมาเข้ามือน้อยๆของอลิน นักข่าวสาวแบบไม่ทันตั้งตัว

เกือบรับไม่ทันแน่!

“แล้วมันอะไรกันอ่ะคะพี่ณัช” อลินถามด้วยความสงสัย ในสถานการณ์ที่อยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเพราะมีชายฉกรรณ์สี่ส้าห้าคนกรูเข้ามาอย่างกับจะหาเรื่องเอาชีวิตทั้งเธอและพี่ณัชให้หมดลมหายใจลงตรงนี้!

“ไม่ต้องถาม! วิ่งก่อนเลยไปเร๊ว วิ่ง! มันสำคัญมาก ในนั้น!” พี่ณัชสั่งหน้าตาตื่นอย่างกับหนีตายมาจากไหน

อลินไม่มีทางเลือกนอกจากเริ่มก้าวเท้าออกวิ่ง วิ่งหนีกับฝูงชายฉกรรณ์สี่ห้าคนที่กำลังวิ่งไล่กวดเธอมาติดๆ

“เร็วเข้า! อย่าให้พวกนั้นเอากระเป๋าไปได้!” พี่ณัชร้องบอก

ในขณะนาทีเดียวกัน กลุ่มชายฉกรรณ์รูปร่างกำยำพวกนั้น ก็วิ่งกรูเข้ามาประชิดตัวพี่ณัชเหมือนกับกำลังจะหาเรื่อง

เอาอีกแล้วเหรอเนี่ย! มีเรื่องตลอดพี่ณัชนี่ก็เหลือเกิน!

อลินนึกบ่นในใจ ทุกครั้งที่มาเที่ยวกลางคืนเพื่อสังสรรค์ผ่อนคลายทีไร พี่ณัชช่างภาพบัดดี้ของเธอมักจะมีเรื่องมีราวบ่อยๆ จนบางครั้งไม่ทันได้เที่ยวได้ปลดปล่อยอะไรก็หมดสนุกเสียแล้ว

ครั้งนี้ก็เหมือนเคย…

แต่... ไม่รู้ล่ะบอกให้วิ่งก็วิ่งก่อนแล้วกัน! อลินสรุปความคิดพร้อมออกแรงวิ่งสุดตัว

 

 

 

ชายร่างใหญ่สองคนเข้าประชิดตัวพี่ณัชด้วยความรวดเร็ว แสดงอาการข่มขู่แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พี่ณัชกลัวเลยแม้แต่น้อย

“ไง... ตามฉันมาทำไมล่ะเพื่อน?” พี่ณัชถามเสียงเข้ม สีหน้ารึก็ท้าทายยียวนไปโดยอัตโนมัติ

“ส่งหลักฐานมา!” ชายฉกรรณ์หน้าโหดคนหนึ่งออกคำสั่งแกมขู่บังคับจะเอาอะไรบางอย่างจากพี่ณัช แถมพวกลูกสมุนก็ทำท่าจะเข้าตะลุมบอลหมายเอาชีวิตพี่ณัชเอาเสียง่ายๆ ส่วนลูกสมุนของมันอีกสองคนก็แยกตัวออกไปวิ่งไล่กวดอลิน

พวกมันวิ่งไวยิ่งกว่าเสือชีตาร์เสียอีก งานนี้อลินจะรอดไม่รอดต้องฝากชะตาไว้ที่บุญกรรมแต่ชาติปางเก่าปางก่อนเสียกระมัง นอกจากวิ่งไวไม่มีใครปาน ยังหน้าโหดหุ่นล่ำเถื่อน เถื่อนที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นผู้ชายมาน่ะ ส่วนทางฟากณัช ปาปาราซซี่หนุ่มขาใหญ่แห่งสถานีข่าวบันเทิงนั้น ขณะนี้สถานการณ์ก็ยังไม่พ้นขีดอันตราย! หนีตาย เอาตัวให้รอดคือสิ่งที่ณัชต้องทำให้ได้ในขณะนี้ !

“ของอะไรคร๊าบบบ ผมไม่ได้ขโมยอะไรออกมาจากพวกพี่นี่ครับผม” พี่ณัชลากเสียงราวกับตั้งใจจะกวนอารมณ์ แม้ช่างภาพหนุ่มหุ่นล่ำจะมีเจตนาอย่างนั้นจริงๆก็เถอะ

“ก็แกทำเสียมารยาทในร้าน เที่ยวที่นี่เขาห้ามถ่ายรูป แกไม่รู้รึไง โง่หรือเซ่อกันแน่ เขามีกฎเหล็กห้ามถ่ายรูปพวกคนมีชื่อเสียงน่ะ” เสียงชายฉกกรณ์คนหนึ่งตะคอกดัง

“ก็ใครจะไปรู้ ใครจะไปสังเกต เขาก็มาเที่ยวๆกันทั้งนั้น”

“แกไม่แหกตาล่ะ ป้ายข้างหน้าทางเข้า” ชายหนุ่มหน้านักเลงพยักเพยิดหน้าให้อีกฝ่ายหันไปมองป้ายที่ว่า

“อ่อ ผมมาเที่ยวครับไม่ได้มาอ่านป้าย” ณัชตอบน้ำเสียงยั่วประสาทสุดขีด

“ไอ้นี่วอนตีน พวกไฮโซคนมีชื่อเสียงมาเที่ยวกันที่นี่ เขาต้องการความเป็นส่วนตัว คงไม่ปลื้มแน่ที่มีพวกนักข่าวกากๆอย่างแกมาแอบถ่ายรูปพวกเขาน่ะ”

“ก็มันไม่ใช่เรื่องของผมครับ!”

“อะไรที่แกเอาออกมานั่นแหล่ะคือสิ่งที่แกต้องคืน!” หัวหน้าชายฉกรรณ์สั่งเสียงเข้ม แววตาวาวโรจน์ฉายแววดุดันน่าเกรงขามแม้ในความมืด

ภาพอันน่ากลัวของชายฉกรรณ์พวกนั้นจะมองเห็นไม่ชัดเจนนัก

แต่สถานการณ์และสิ่งที่พวกมันกำลังรุกมันสร้างความตื่นกลัวให้เกิดขึ้นกับณัช ช่างภาพหนุ่มเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ต้องซ่อนความกลัวเอาไว้ภายใน!

“คืนอะไร ก็ผมไม่ได้เอาอะไรไปนี่ครับคุณ” พี่ณัชยังไม่เลิกกวน ทำเป็นกล้า เอาความกวนเข้าข่มเหมือนกัน ทั้งที่ภายในกลัวถูกกระทืบจะตาย

“แกพูดแบบนี้ อยากมีเรื่องเรอะ?” เท่านั้นชายคนหนึ่งก็เข้าชาร์จหวังจะล็อคตัวพี่ณัชไว้

แต่พี่ณัชไหวตัวทันกระโดดหลบด้วยความรวดเร็ว

“พวกคุณไม่เห็นรึไง ผมนี่ก็มีแต่ตัว จะค้นกันหน่อยไหมล่ะ? แต่ถ้าไม่เจออะไรที่พวกคุณหา ผมแจ้งความคุณกลับนะ ข้อหาหมิ่นประมาทหาว่าผมขโมยของน่ะ อ้อ ขู่กรรโชกอีกกระทง” พี่ณัชเสียงเข้มเข้าใส่หวังทำใจดีสู้เสือไปอย่างนั้นเพราะลำพัง  3รุม 1ยังไงพี่ณัชก็สู้ไม่ได้ ถึงจะสูงล่ำไม่แพ้พวกมัน แต่ปริมาณคนมันน้อยๆกว่า เข้าตำราน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ยังไงๆ พี่ณัชเขาคงต้องยับแน่ๆงานนี้!

“แบบนี้มันพูดกวนตีนแล้วล่ะว่ะ! เอามันตรงนี้เลย  เอาให้ตายคาตีนกันตรงๆ เต็มๆเลย ไม่ได้ของคืนก็ฝากรอยมันไว้ซะหน้าร้านนี่ล่ะ” ชายร่างกำยำหัวหน้าฝูงมาเฟียผับที่ทำอาชีพการ์ดของสถานบันเทิงเพื่อบังหน้า อดไม่ไหวตั้งท่าจะซัดพี่ณัชเข้าจริงๆ ทั้งร่างกายก็ออกท่าทางว่าจะซัดเข้าให้จริงๆ เพราะอารมณ์มีนมาแล้ว

อารมณ์ที่ว่า ก็อารมณ์ขึ้นไงล่ะ!

พี่ณัชนี่ก็เหลือเกิน ยียวนกวนประสาทใครไม่กวน ไปกวนตีนพวกมาเฟีย แบบนี้สักวันคงไม่ได้ตายดี

“ของอยู่ในกระเป๋าใบนั้นใช่ไหม? ฉันเห็นแกโยนส่งให้ผู้หญิงสวยๆที่มากับแกอ่ะ หล่อนหนีไปแล้วสิ” ชายร่างบึ้กหมายถึงอลินน่ะ

“...” ณัชปิดปากเงียบไม่ว่าอะไร สีหน้ายังคงความยียวนไว้ตามเดิม

“เงียบ แสดงว่าจริงน่ะสิ นังผู้หญิงนั่นหนีไอ้สองคนนั้นไม่พ้นหรอก สองคนนั้นวิ่งไวเสียงยิ่งกว่าปรอท ให้แกเลือกวิธีตายให้หล่อนไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกัน” มันขู่ สีหน้าเอาจริงมาก

“ให้จับได้ก่อนสิ พวกแกคิดว่าฉันกลัวพวกแกหัวหดรึไง บ้านนี้เมืองนี้มีกฎหมายนะเว้ย!”

“กฎหมายที่อยู่ข้างพวกกูไง” มาเฟียนักเลงขาใหญ่ประจำผับมันก็ปากเก่งไม่แพ้กันสีหน้าของพวกมันขึงขังน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ดุจากรูปการณ์แล้วณัชตกที่นั่งลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย

“ถุย! มีแต่ตำรวจชั่วๆเท่านั้นแหล่ะที่หากินและหนุนพวกแก ตำรวจดีๆก็ยังมีโว้ย” พี่ณัชสบถกลับ เขาก็เลือดขึ้นหน้าแล้วเหมือนกัน

ตอนแรกก็ชักจะกลัวๆ ตอนนี้ใจมันสู้เสียแล้ว สามรุมหนึ่งก็รุมวะ อย่างน้อยเอาให้มันตายไปข้างหนึ่งเลย!

“งั้นก็ลุยมันก่อนเลย” ว่าเสร็จทั้งสองก็รุดเข้าจะทำร้ายร่างกายพี่ณัชจนต่างฝ่ายต่างตะลุมบอนออกแรงแลกหมัดเข้าสู้กันบริเวณหน้าร้าน จนเริ่มเป็นจุดสนใจคนเที่ยวแถวนั้น แต่ก็ไม่มีใครแสดงตัวเป็นพลเมืองดีออกมาช่วยใคร ฝ่ายอลินก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งพาตัวเองออกมาจากย่านสถานบันเทิงไฮโซ พอพ้นปากทาง ก็คิดอยู่ว่าจะได้เรียกแท็กซี่และตามคนมาช่วย ใครจะกล้าแจ้งตำรวจล่ะมีเรื่องในย่านนี้ต้องเอาผู้ใหญ่มาคุยถึงจะได้ คิดเพลงๆก็เหมือนมีใครตามเธอมา ทำเอาพะว้าพะวงคอยหันหลังกลับไปมองตลอดทาง

“อ๊ะ!” อลินอุทานด้วยความตกใจสุดขีด

แต่ไม่ทันแล้ว มีใครบางคนดักตัวเธอไว้ที่มุมหนึ่งของถนนก่อนที่จะพ้นย่านสถานบันเทิงแถวนั้น ทำเอาอลินตกใจอุทานออกมาเสียงดัง

เนื้อตัวก็แทบสั่น เธอไม่เคยกลัวอะไรอย่างนี้มาก่อนเลยและเธอก็ไม่รู้ว่าพี่ณัชไปก่อเรื่องอะไรทำไมเธอต้องรับผิดชอบกระเป๋าสีดำใบนี้และต้องหนี หนีแล้วก็หนี??

“...”

“อย่าส่งเสียง ผมมาดี” เสียงชายร่างสูงโปร่ง

“คุณเป็นใคร?” อลินกระซิบถาม เสียงเล็กเล็ดรอดออกมาจากมือหนาอุ่นของเขาที่ปิดปากเธอเอาไว้ไม่ให้หญิงสาวส่งเสียงเพราะความตกใจกลัว

“เป็นใคร ไม่สำคัญหรอกคุณ แต่ตอนนี้ ผมช่วยคุณได้” เขาตอบ

“คุณตามฉันมา ต้องการอะไร?” อลินทำเสียงเข้มถามขึ้นแววตาเขียวปั๊ดตั้งใจจะขู่เอาไว้ก่อน เพราะไม่รู้เขาเป็นคนดีหรือคนเลว

แต่ท่าทางคุณน่าจะเป็นคนเลวมากกว่าคนดี เพราะคนดีๆที่ไหนจะมาซุ่มในที่มืดๆหลังแหล่งบันเทิงเถื่อนๆพวกนี้เล่า?

คงเป็นพวกหื่นแถวหน้าตั้งหน้าตั้งตาหาเหยื่อแถวนี้ล่ะสิ!

“ผมอยากได้หลักฐานในนั้น” เขาแสดงเจตนาตรงๆ ชัดเจนไม่อ้อมค้อม

“ไม่ได้! อันนี้ไม่ได้ มันไม่ใช่ของๆคุณ ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณอยู่ดีๆจะมาเอาไปทำไม”

“พวกคุณเป็นนักข่าวสินะ”

“คุณรู้ได้ยัง?”

“รู้สิ!”

“คุณต้องการอะไร?”

“เอางี้ ฟังนะ! ผมเป็นตำรวจ และกำลังตามคดีสำคัญคดีหนึ่งอยู่” ร.ต.อ. พศวีร์เจรจาอย่างใจเย็นสุขุม ดวงตาคู่คมของเขามองจ้องหญิงสาวอย่างนิ่งลึกราวกับต้องการสะกดจิตอีกฝ่ายให้อยู่ในอาณัติบงการของเขา

แต่มันไม่ง่ายเลย

“บ้าไปแล้ว แล้วมันมาเกี่ยวกับฉันได้ยังไงล่ะ?” อลินดื้อดึง

“ก็เพราะเพื่อน... เอ่อ แฟนคุณน่ะ เขาถ่ายรูปพวกผู้ต้องสงสัยในผับนั่นไว้ได้น่ะสิ” เขาอ้าง

“ฮ๊า... คุณว่าไงนะ?” อลินสาดเสียงออกไปแทบจะฟังเป็นเสียงกรี๊ด เธออยากจะบ้าตาย นั่นพี่ณัช พี่ร่วมงานที่ออฟฟิศและเป็นทีมงานทีมเดียวกันต่างหาก

นี่ผู้ชายคนนี้จะมาบอกว่าเขาเป็นตำรวจแล้วจะให้เธอเชื่อได้ยังไง เดาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่ณัชยังเดาผิดเลย แล้วอย่างนี้จะวิเคราะห์คดีและจับคนร้ายผิดตัวด้วยรึเปล่าเนี่ย ?

“ก็แฟนคุณแอบถ่ายภาพพวกมัน ผมหมายถึงผู้ต้องสงสัยน่ะ พวกมันกำลังเจรจาค้าของผิดกฎหมายเมื่อกี้ไว้ในกล้องนี้... ผมหมายถึงกล้องถ่ายรูปในกระเป๋าน่ะ” เขาเงียบดูอาการหญิงสาวว่าจะพูดว่ายังไง   

อลินได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งตั้งสติ

หลักฐาน!

พวกค้าของผิดกฎหมายงั้นรึ?

เธอก็ซวยน่ะสิ!

วุ่นวายจริงๆ เลยที่ต้องถูกโยงใยมายุ่งเรื่องของชาวบ้านเนี่ย พี่ณัชนะพี่ณัช ดารามีไม่ไปถ่าย ไปถ่ายไอ้พวกมาเฟียทำไม มันจะทำอะไรก็เรื่องของพวกมัน นี่ดูสิหาเหาใสหัวจนได้! แล้วพี่ณัชปลีกตัวไปแอบถ่ายชาวบ้านเขาตอนไหนล่ะเนี่ย?

งง! ทำอะไรไม่ปรึกษาเดือดร้อนกันไปเต็มๆ

“แล้วทำไมชั้นต้องให้คุณด้วย”

“ผมบอกคุณไปแล้วไง ผมเป็นตำรวจ!”

“ตำรวจจริงรึปลอมก็ไม่รู้” อลินตอบพร้อมน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะหยัน ก็ตำรวจดีๆที่ไหนจะมาวิ่งข่มขู่ประชาชนตัวเล็กๆอย่างเธอกันล่ะ!

“พูดอย่างงี้อยากดูบัตรข้าราชการของผมใช่ไหม?” ร.ต.อ. หนุ่มมาดนิ่งท้าทายกลับบ้าง ผู้หญิงคนนี้ท้าทายชอบลองดี เดี๋ยวจะจัดให้ร้องไห้คามือเลย!

“ถึงคุณเป็นตำรวจจริงๆ แต่ใครจะรู้ว่าคุณมันเป็นตำรวจดีรึตำรวจเลวๆล่ะ สมัยนี้อะไรๆก็ไว้ใจไม่ได้หรอก”

“งั้นคงต้องคุยกันยาว”

“หมายความว่ายังไง?”

“ก็หมายความว่า คุยตรงนี้คงไม่สะดวกน่ะสิ!”

“ไม่สะดวกยังไง?”

“ก็พวกนั้นมันตามคุณมาเป็นฝูง เดี๋ยวมันก็วกกลับมาจนได้ มันไม่ยอมหรอกที่จะปล่อยคุณหลุดรอดไปน่ะ!” เขาเสียงดุตามประสา

“ก็แล้วทำไมฉันต้องไปกับคุณเล่า?”

“ถ้าคุณไม่อยากไปกับผม คุณก็อยู่รอไอ้พวกกักขฬะนั่นอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” เขาทำทีเหมือนจะขู่แต่สายตาคู่คมนั้นกลับเต้นระบำเป็นประกายระยิบระยับราวกำลังล้อเล่นให้เธอรู้สึกกลัวท่ามกลางสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วก็มีเพียงเขาเท่านั้นในที่นี้ที่จะสามารถปกป้องช่วยเหลือเธอได้

และเธอควรจะให้ความร่วมมือเขามันจึงจะถูก!

“นี่คุณ!”

“งั้น... “ ชายหนุ่มเบรกเสียง ก่อนที่จะยกร่างบางขึ้นอุ้มและพูดออกมาต่ออีกว่า

“ไปกับผมตอนนี้ เดี๋ยวนี้ คุณไม่มีทางเลือกแล้ว!”

“ม่ะ....” อลินกำลังอ้าปากจะประท้วงปฏิเสธ

“อย่าส่งเสียงนะ! เดี๋ยวพวกมันรู้ว่าเราอยู่ไหน เงียบไว้!!!” สิ้นคำสั่งเสียงเข้มดุอย่างเข้มข้นของนายตำรวจหนุ่ม ร่างสูงกว่าก็รวบคนร่างบางยกขึ้นอุ้มอย่างง่ายดายไม่สะท้านต่อน้ำหนักตัวของเหล่อน และเดินลอบเข้าไปในกลีบความมืดค่ำของรัตติกาล



[1] AR(Artist Relation) - ผู้จัดการส่วนตัวดาราศิลปิน ที่ดูแลคิวงานและเรื่องค่าจ้าง ดาราบางคนให้ดูแลรวมไปถึงเรื่องส่วนตัวที่จะมีผลต่อภาพลักษณ์ด้วย

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024