เลศอรุณ (พินธุนาถ) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: เลศอรุณ
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 220.00 บาท 55.00 บาท
ประหยัด: 165.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ความรักหมายเลข 1

 

โลกเปลี่ยนไปเสมอ ไม่มีอะไรคงอยู่ที่เดิม มีเพียงความรักเท่านั้นที่ยังยืนหยัดเพื่อทดสอบกาลเวลา

 

เลศอรุณ

 

เริ่มต้นรัก 

 

- 1 -

 

ลมเย็นยามเช้าพากันพรั่งพรูเข้ามา เมื่อประตูกระจกบานเลื่อนเปิดออก หญิงสาวเสียบหูฟังเพื่อฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือ หยิบแก้วคาราเมล มัคคิอาโตที่ชงเองเดินออกไปนั่งรับลมที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวสีขาวริมระเบียง กิ่งก้านไม้เลื้อยที่ปลูกอยู่เหนือกันสาดห้อยระย้าปลิวไหวตามสายลม

          พระอาทิตย์สีส้มดวงโตค่อย ๆ แย้มหน้าออกมาทักทายจากยอดตึกสูงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเคลื่อนขึ้นสู่แผ่นฟ้ากว้างสีฟ้าสดใส ปุยเมฆสีขาวสะอาดเคลื่อนตัวอ้อยอิ่งอย่างเกียจคร้าน ประกายแดดทอแสงลงไปยังสายน้ำที่พริ้วไหวไปตามแรงลมและคลื่นของเรือโดยสาร ส่องแสงระยิบระยับราวกับมีคนกำลังโรยกากเพชรสีเงินลงไป

ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า สาย บ่าย เย็น หรือแม้แต่ในช่วงค่ำคืน ทิวทัศน์ตรงนี้ไม่เคยน่าเบื่อ หญิงสาวทอดตามองป้ายชื่อร้านของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ

            “Barista Café”ร้านกาแฟริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งดัดแปลงจากบ้านไม้โบราณที่ปลูกมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

            แม้จะมีอายุพอ ๆ กับหญิงชราคนหนึ่ง ทรุดโทรม ผุกร่อนไปบ้างตามกาลเวลา แต่มันก็ยังคงความงดงามและโรแมนติกไว้เหมือนเดิม

            ทำเลตรงนี้อาจไม่ดีนักหากจะคิดในเชิงธุรกิจ เพราะทางเข้าด้านหน้าตั้งอยู่ในตรอกแคบ ๆ ของย่านเก่า ซึ่งหากไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าด้านในมีร้านกาแฟสวย ๆ บรรยากาศดีตั้งอยู่ แต่กิจการก็ไปได้เรื่อย ๆ และไข่มุกมีความรู้สึกว่ามันจะต้องดีขึ้น เพราะบรรยากาศของร้านเป็นแบบที่ใครได้แวะเข้ามาแล้วจะต้องอยากกลับมาอีก และลูกค้าก็ยังช่วยบอกปากต่อปากให้ด้วย

            หญิงสาวผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลาย หยิบถ้วยกาแฟร้อนรสชาติโปรดปรานขึ้นมาจิบ ขณะปล่อยสายตาทอดมองไปตามกระแสน้ำสีขุ่นที่ม้วนตัวเป็นละลอกคลื่นยามเมื่อเรือลำน้อยใหญ่แล่นผ่านไป

            กำลังคิดเพลิน หางตาก็จับภาพบางสิ่งลอยเพยิบ ๆ อยู่ตรงท่าน้ำของร้าน มองไปเหมือนมีร่างคนมาเกาะอยู่ตรงเชิงบันไดทางขึ้น แวบหนึ่งที่หญิงสาวขนลุกซู่

            แต่...บ้าน่า คนที่ไหนจะมาลอยอยู่ตรงนั้น อาจจะเป็นแค่กะลามะพร้าวกับเศษผ้าที่บังเอิญลอยมาเกาะอยู่ด้วยกันก็ได้ ไข่มุกรีบปัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง แล้วกลับมาคิดถึงร้านกาแฟของตัวเอง

            มันเป็นความฝันสมัยวัยรุ่นของเธอ ที่อยากจะเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ น่ารัก ๆ บรรยากาศดี ไข่มุกหลุดยิ้มเมื่อมองไปรอบร้านกาแฟของตัวเอง นี่มันยิ่งกว่าใช่เสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะมีตายายเป็นเจ้าของบ้านเก่าหลังนี้ เธอก็คงไม่มีปัญญาเป็นเจ้าของร้านนี้ได้

            เอ่อ...อะไรก็ตามที่อยู่ตรงท่าน้ำนั่น มันเหมือนจะขยับได้นะ

            คราวนี้ไข่มุกเริ่มหันไปมองอย่างจริงจังแต่ก็เห็นไม่ชัดนัก เอาล่ะ...ไม่ว่ามันจะเป็นแค่เศษขยะ หรือว่าเป็นคนจริง ๆ ก็ไปดูให้มันเห็นกับตาไปเลย หญิงสาวบอกกับตัวเอง ก่อนจะวางถ้วยกาแฟลง ดึงหูฟังออกจากหูแล้วลุกขึ้นเดินช้า ๆ ออกไปที่ท่าน้ำ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นส่วนประกอบต่าง ๆ ของสิ่งนั้นชัดเจนขึ้น

            มันคงไม่ใช่แค่กะลามะพร้าวกับเศษผ้าแล้วล่ะ ไข่มุกรู้สึกมือตัวเองเย็นเฉียบขณะถอดกลอนประตูเหล็กลงบันไดแล้วเดินไปตามทางเล็กๆ ไปยังท่าน้ำ

          ร่างของผู้ชายคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนแผ่นคอนกรีตของท่าน้ำ คลื่นจากเรือที่แล่นผ่านซัดร่างของเขาอยู่ไปมา

          มันเป็นไปได้ที่จะมี...ศพ...คนตายลอยน้ำมาติดตามท่า แต่ไข่มุกไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เป็นคนพบเจอเอง

            เสี้ยวหน้าด้านที่โผล่พ้นออกมาให้เห็นซีดขาวจนแทบจะไม่มีสีเลือดไข่มุกได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อจ้องมองร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่กับพื้นท่าน้ำอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะเห็นว่าแขนข้างหนึ่งของร่างนั้นขยับได้หญิงสาวจ้องตาโตเพื่อดูให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป พลางขยับเท้าก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง

ตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงครางเบา ๆ จากนั้นชายหนุ่มก็ค่อย ๆ พลิกกายขึ้นมา ไข่มุกรีบเดินเข้าไปใกล้ทรุดตัวลงข้างเขา เอื้อมมือไปแตะแขนแล้วเขย่าเรียกเบา ๆ

            “คุณ...คุณคะ...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

          ร่างที่นอนนิ่งอยู่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มีแววสับสนว้าวุ่นอยู่ในดวงตาสีเข้มของเขา และเมื่อเหลือบเลยมาเห็นเธอเข้าร่างสูงใหญ่นั้นก็สะดุ้งเบา ๆ รีบเขยิบกายถอยห่างเธอเล็กน้อย คิ้วเข้มขมวดมุ่นขณะจ้องมองมาที่เธออย่างหวาดระแวง

            “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ไข่มุกถามพร้อมกับยิ้มให้ นึกยินดีที่ท่าทางเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก

            ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบตัวเอง ร่างสูงใหญ่ที่เปียกโชกไปทั้งตัวนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตลายทางสีเข้ม กางเกงยีนส์ และรองเท้าหนังกลับหุ้มข้อ

            เขาแต่งตัวดี และน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอด้วย ที่สำคัญเขาหน้าตาดีทีเดียว

            “ทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะคะ” ไข่มุกถามด้วยความประหลาดใจ

            อีกฝ่ายหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพิศวงไม่แพ้กันมามองเธอ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอีกครั้งราวกับเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนจะยกมือขึ้นจับที่หน้าผาก ไข่มุกจึงเห็นว่ามีแผลแตกลึกอยู่เหนือไรผมของเขา

            “คุณเลือดออกด้วย...” หญิงสาวร้องขึ้น แต่ตัวคนเจ็บดูไม่ใส่ใจกับบาดแผลของตัวเองนัก

            เขายังคงทำท่างุนงง ก่อนจะพูดขึ้นเป็นประโยคแรกด้วยเสียงแหบแห้ง

            “ที่นี่ที่ไหน...”

            “ท่าน้ำของร้านฉันค่ะ” ไข่มุกตอบ พร้อมกับบอกชื่อย่านที่พักของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าคำตอบของเธอไม่ได้ทำให้เขาหายข้องใจนัก

            “คุณมาจากไหนคะ ตกจากเรือมาเหรอ”ความน่าจะเป็นแวบแรกผ่านเข้ามาในสมองของไข่มุกแต่ถ้าคิดว่าเมาแล้วตกน้ำก็ไม่น่ารอด ทั้งกางเกงยีนส์ทั้งรองเท้าหนังของเขา หากว่ายน้ำไม่แข็งจริงคงเอาตัวไม่รอด แล้วเธอก็ไม่ได้กลิ่นเหล้าจากตัวเขาด้วย

“หรือว่าเรือล่ม...หรือชนกัน”ไข่มุกหาตัวเลือกให้หลายอย่างซึ่งมันต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาลงมาอยู่ในแม่น้ำได้

            “ไม่...ไม่ใช่” ชายหนุ่มส่ายหน้าแรง ๆ

            “อ้าว...ถ้าอย่างนั้น...มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงล่ะคะ” ไข่มุกถามซ้ำอีก

            แต่คนถูกถามไม่ยอมตอบ เขาพยุงกายลุกขึ้นยืน พยายามจะก้าวเดินออกไป แต่เมื่อลงน้ำหนักที่เท้าข้างหนึ่ง ชายหนุ่มก็นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด

            “จะให้ฉันช่วยอะไรไหมคะ” ไข่มุกลุกขึ้นเดินตามเขามา พอเขายืนเธอถึงได้เห็นว่าเขาสูงมากจนเธอต้องเงยหน้าพูดกับเขา

            “ไม่เป็นไรครับ...ขอบคุณมาก”

เป็นคำตอบที่ไข่มุกไม่คิดว่าจะได้ยิน นอกจากนั้นเขายังทำท่าจะเดินหนีเธอไปอีก ทั้งที่สภาพร่างกายก็ไม่ค่อยจะอำนวยนัก

            ไข่มุกมองร่างสูงที่เปียกโชกไปทั้งตัว ก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งหรอกนะ แต่ทนไม่ได้ที่จะนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลย หญิงสาวจึงพูดขึ้น

            “แต่คุณน่าจะไปทำแผลก่อนนะคะ ให้ฉันขับรถไปส่งคุณที่โรงพยาบาลไหมคะ หรือคุณจะโทรหาใครหรือเปล่า เพราะฉันว่ามือถือของคุณน่าจะใช้ไม่ได้แล้วล่ะ” ไข่มุกบอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา

            ชายหนุ่มหยุดยืนจ้องมองโทรศัพท์ในมือของไข่มุกเขม็ง ก่อนจะรีบล้วงดูตามกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ทั้งโทรศัพท์หรือแม้แต่กระเป๋าสตางค์

            แต่แทนที่จะสนใจว่าข้าวของหายไป ชายหนุ่มกลับส่ายหน้าช้า ๆ แล้วตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด

            “ผมไม่รู้จะโทรหาใคร”

            เอาเข้าไป...ไม่มีญาติอีกต่างหาก ไข่มุกแอบถอนใจอยู่ในอก ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้

            “หรือว่าคุณโดนจี้คะ” หญิงสาวทำตาโต แม้จะเห็นว่าชายหนุ่มยังคงสวมนาฬิกาข้อมืออยู่ ท่าทางจะเป็นของมีราคาด้วย

            แต่คนถูกถามก็ยังไม่ยอมตอบอีกจนไข่มุกชักเริ่มขัดใจ ทำไมทำตัวมีลับลมคมนัยจัง ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ หรือว่า...หญิงสาวชักเริ่มคิดไปในทางที่ไม่ค่อยดี เธอเองก็อยู่ตัวคนเดียวเสียด้วย หรือบางทีเธอน่าจะทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วปล่อยให้เขาจัดการเรื่องของตัวเองอย่างที่เขาต้องการ

            เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามกัดฟันก้าวเท้าออกเดินไข่มุกก็รีบวิ่งแซงขึ้นบันไดไปเปิดประตูเหล็กให้ ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินกระโผลกกระเผลกขึ้นบันไดเตี้ย ๆ นั้นเข้าไปในตัวร้านด้านบน

            “เดี๋ยวพอออกจากร้านของฉันไปแล้ว คุณก็แค่เดินตรงไปเรื่อย ๆ ออกจากซอยก็ถึงถนนใหญ่แล้วล่ะ ไม่ไกลหรอก” พูดออกไปแล้ว ไข่มุกก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนใจดำอย่างไรชอบกล แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เธอก็เลยบอกว่า

            “ฉันเข้าไปหยิบกุญแจเปิดประตูรั้วด้านหน้าก่อนนะ”

            หญิงสาวผลักบานประตูกระจกเข้าไปในร้าน แล้วหยิบพวงกุญแจซึ่งวางอยู่ในตะกร้าบนชั้นหลังเคาน์เตอร์ เมื่อแอบมองผ่านผนังกระจกออกไป ก็เห็นร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งตัวเปียกโชก มือข้างหนึ่งเกาะร่มคันใหญ่ซึ่งกางไว้ตรงโต๊ะลูกค้าอีกมือยกขึ้นกุมขมับที่มีเลือดแห้งกรังอยู่บนบาดแผล

            ไข่มุกถอนใจอย่างว้าวุ่น ในสมองของเธอคิดหลายเรื่องมากว่าควรจะทำอย่างไร จะใจดำปล่อยให้เขาเดินออกไปจากร้านทั้งสภาพอย่างนี้น่ะเหรอ...อย่างน้อยขับรถไปส่งเขาหน่อยก็ยังดีนะ หญิงสาวบอกกับตัวเองแล้ววิ่งขึ้นไปบนห้องหยิบกุญแจรถกับผ้าขนหนูสะอาดติดมือมาด้วย

            เมื่อลงมาข้างล่าง เธอก็เห็นชายหนุ่มนั่งกุมขมับอยู่ที่โต๊ะลูกค้าหน้าร้าน สีหน้าเต็มไปด้วยท่าทีครุ่นคิด ไข่มุกส่งผ้าขนหนูให้เขาเช็ดหน้า พอเห็นคราบเลือดของตัวเองเลอะผ้าขนหนูสีขาว ชายหนุ่มก็ทำท่าเกรงใจ

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เช็ดไปเถอะ...เดี๋ยวฉันจะขับรถไปส่งคุณเอง แต่คิดว่าน่าจะแวะทำแผลก่อนแล้วค่อยไปส่งคุณที่บ้าน”

            ไข่มุกอดคิดไม่ได้ว่าประโยคสุดท้ายของเธอทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งน้อย ๆ เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองเธอ แวบหนึ่งที่เธอแอบเห็นวี่แววของความตระหนกอยู่ในดวงตาคู่นั้น ชายหนุ่มกลืนน้ำลายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

            “ผมพยายามคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่...ผมนึกอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”มีวี่แววของความสับสนว้าวุ่นใจอยู่อย่างชัดเจนบนใบหน้าของฝ่ายนั้น

            ไข่มุกได้แต่อึ้ง ขณะได้ยินเสียงทอดถอนใจดังมาจากร่างที่ยังเปียกชุ่มโชก พร้อมกับหยดเลือดที่เริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของเขา ชายหนุ่มบอกกับเธออย่างสิ้นหวัง

            “ที่จริงผมนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร...”

 

ไข่มุกเหลือบดูนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังตรงหน้า ใกล้ถึงเวลาเปิดร้าน เมื่อครู่เธอโทรสั่งลูกน้องแล้ว ว่าให้รีบเข้าไปเปิดร้านให้ก่อน

หญิงสาวปรายตามองร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวถัดไป สีหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ชายหนุ่มเพิ่งออกมาจากห้องทำแผลเมื่อครู่ และทั้งสองกำลังนั่งรอยาของเขาอยู่    

นี่มันนิยายชัด ๆ ... จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีลอยมาติดอยู่ที่ท่าน้ำ แถมยังความจำเสื่อมอีกต่างหาก  แล้วฉันจะทำยังไงดีเนี่ย...ไข่มุกได้แต่ตะโกนถามตัวเองอยู่ในใจขณะแอบลอบมองอีกฝ่ายอยู่เงียบ ๆ

            ผมดำสนิทของเขาเริ่มแห้ง คราบเลือดยังจับอยู่ตรงไรผมเหนือพลาสเตอร์ยาแผ่นใหญ่ที่ปิดเอาไว้ บาดแผลที่หน้าผากเย็บราวสิบเข็ม แต่มันไม่ได้หนักหนาจนถึงขั้นจะทำให้สมองกระทบกระเทือน นอกจากหัวแตกกับข้อเท้าแพลง ชายหนุ่มก็ไม่ได้บาดเจ็บที่อื่นอีก

            หลังทำแผลให้เขาเสร็จ แพทย์ผู้รักษาสั่งยาให้ และทำท่าจนปัญญากับอาการที่ชายหนุ่มจำอะไรไม่ได้เลย หลังจากตรวจอย่างละเอียด เอ็กซเรย์สมองดูแล้วทุกอย่างเป็นปกติ โดยคุณหมอก็ไม่อาจบอกได้ว่าเพราะอะไรความจำของชายหนุ่มจึงได้หายไปหมด ได้แต่แนะนำให้ไปพบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

            ตลอดเวลาเธอเห็นเขานั่งกัดกรามแน่น แววตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ท่าทางเหมือนเด็กนักเรียนที่กำลังอยู่ในห้องสอบและกำลังเผชิญหน้าอยู่กับข้อสอบระดับหิน

            “มีอะไรอย่างอื่นบ้างไหมคะ ที่คุณพอจะนึกออก” ไข่มุกถามขึ้นเหมือนชวนคุย

            ชายหนุ่มหันมามองเธอด้วยสายตาอ่อนล้า เธอรู้ว่าเขาบอกหลายครั้งแล้วว่าจำได้แค่ว่าลืมตาขึ้นที่ท่าน้ำของร้านเธอ นอกนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย แต่มันก็น่าจะมีภาพอะไรสักอย่างค้างอยู่ในสมองบ้างสิ

            ชายหนุ่มส่ายหน้า พร้อมกับขยับเท้าข้างซ้ายที่พันผ้าพันแผลเอาไว้ ไข่มุกยังคงเอียงคอมองเพื่อรอว่าเขาจะขยายความอะไรมากกว่านั้น แต่สีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายดูว่างเปล่าราวกับหน้ากระดาษที่ไร้ตัวอักษร

            ไข่มุกไม่รู้จะทำอย่างไร เลยยิ้มให้เขา นึกในใจ...แล้วไงต่อล่ะ

            เป็นไปได้หรือที่คนเราจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างนี้ ขนาดหมอเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไร ไข่มุกลอบมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ถ้าเขาแกล้งทำล่ะ...แต่เขาจะแกล้งไปเพื่ออะไร หรือเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่

            ไข่มุกนึกถึงสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงของชายหนุ่มในตอนแรก หลายครั้งที่เธอแอบเห็นว่าเขาสะดุ้งเวลาที่มีคนเดินมาใกล้ และมีท่าทางเหมือนกังวลอะไรบางอย่าง

            หากให้คิดไปในทางร้ายๆ ไข่มุกก็อยากจะคิดว่าเขาอาจกำลังหนีใครหรือหนีอะไรบางอย่างมา แต่ดูแล้วก็ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะบ่งชี้ว่าเป็นเขาคนไม่ดี เขาไม่ได้ดูเป็นคนอันตราย ตรงข้ามเธอคิดว่าลึกๆ แล้วเขากำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่ด้วยซ้ำ

            ระหว่างนั่งรอเขาอยู่หน้าห้องตรวจ ไข่มุกพยายามโทรหาอนงค์ณัฐเพื่อนซี้คนเดียวที่เธอคิดว่าจะพึ่งได้ในเวลานี้ แต่ก็ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นปิดเครื่องหรือว่าแบต ฯ หมด

มีเสียงเรียกชื่อเธอให้ไปรับยา ไข่มุกจึงลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อรับยาและจ่ายค่ารักษาพยาบาลเมื่อกลับมาที่เก้าอี้ เธอก็หยิบยาในถุงออกมาดู มียาแก้ปวดลดไข้ ยาฆ่าเชื้อ และยาอื่นอีกสองถุง ขณะที่กำลังนั่งคิดว่าจะทำอย่างไรดี ชายหนุ่มก็พูดขึ้น

            “ผมนึกอะไรไม่ออกเลย รู้แต่ว่า...” เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เปลี่ยนใจ

            “มันสับสนไปหมดน่ะครับ” เขาบอกพร้อมกับเอานิ้วบีบขมับเหมือนปวดศีรษะ

            ท่าทางเขาก็ดูอ่อนใจกับอาการของตัวเองเหมือนกัน ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาบนผนังแล้วยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ไข่มุกแทบจะโยนความรู้สึกสงสัยหรือหวาดระแวงในตัวเขาทิ้งไปจนหมด

            “คุณกลับก่อนก็ได้ครับ ผมคิดว่าคุณคงมีธุระต้องรีบไป”

            พอเห็นไข่มุกขมวดคิ้ว เขาก็ตอบยิ้ม ๆ

            “ผมเห็นคุณคอยมองแต่นาฬิกา คงจะรีบไปเปิดร้านใช่ไหมครับ ไปเถอะครับ...ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจัดการได้ เท่านี้ผมก็ขอบคุณมากที่ช่วยผม”

            น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาทำเอาไข่มุกรู้สึกวาบเข้าไปในหัวใจด้วยความอาทรจนต้องเตือนตัวเองว่าเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เธอเพิ่งรู้จักไม่กี่ชั่วโมง

            “แล้วคุณจะทำยังไงต่อล่ะคะ” ไข่มุกอดเป็นห่วงไม่ได้

            “ผมว่าจะนั่งที่นี่อีกสักพัก บางทีอาจจะนึกอะไรออกก็ได้”

            แล้วถ้ายังนึกไม่ออกล่ะ ไข่มุกถามตัวเองอยู่ในใจ เธอแอบมองเท้าของชายหนุ่มที่พันผ้าพันแผลเอาไว้ หมอบอกว่าอย่างน้อยก็ต้องสองสามวันกว่าจะดีขึ้น ถ้าเขาเดินเหินสะดวกกว่านี้เธอคงรู้สึกผิดน้อยลงไปหน่อยหากจะทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วทิ้งเขาไว้

            “คุณไม่ต้องเป็นกังวลหรอกครับ ผมไม่เป็นไรจริง ๆ”

            ไข่มุกได้แต่นิ่ง นึกไม่ออกว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรดี หญิงสาวก็เลยบอกเอาดื้อ ๆ ว่า

            “งั้นเดี๋ยวฉันมานะคะ ขอไปโทรศัพท์หน่อย”

            “เชิญครับ...”ชายหนุ่มบอกเสียงสุภาพ

            ไข่มุกหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหมายเลขที่ตั้งเอาไว้เป็นเบอร์โทรด่วน แล้วเดินหลบไปตรงมุมห้องแอบมองชายหนุ่มอยู่ห่าง ๆ เธอเห็นเขาเอาหน้าซุกลงบนฝ่ามือ มีเสียงสัญญาณเรียกในโทรศัพท์อยู่สองสามครั้ง ไข่มุกก็แทบจะถอนใจออกมาดัง ๆ เมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายรับสายเสียที

            “ฮัลโหล...” ฝ่ายนั้นตอบรับเธอ แต่ก็ยังพูดอะไรยืดยาวเหมือนกำลังคุยอะไรติดพันกับคนอื่น ก่อนจะกลับมาพูดเสียงรัวเร็ว

            “นี่แก...ฉันกำลังจะประชุมกับลูกค้านะ มีอะไรจะเล่าก็เขียนใส่เฟซไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะไปเปิดอ่าน”

            “ไม่ได้...ฉันมีอะไรจะปรึกษาแกเดี๋ยวนี้” ไข่มุกขู่ฟ่อใส่เพื่อน

            “อะไรวะ...” เพื่อนออกแนวบู๊ “ก็บอกแล้วว่าตอนนี้กำลังรีบ อย่าบอกนะว่าแกคิดสูตรขนมใหม่ได้”

            “บ้า...ฉันไม่ได้ติงต๊องขนาดนั้นหรอก แล้วฉันก็โทรหาแกตั้งหลายครั้งแล้วด้วย ทำไมไม่ยอมรับสาย นี่ถ้าฉันเกิดโดนใครสักคนกำลังตามฆ่าแล้วโทรหาแก ป่านนี้ฉันคงตายไปแล้ว”

            “แล้วไงล่ะ...มีใครตายหรือเปล่า” อีกฝ่ายส่งเสียงกวน ๆ ถามกลับมา

            “มีคนลอยมาติดที่ท่าน้ำหน้าร้านของฉัน”ไข่มุกตอบเสียงเย็น

            “ฮื่อ...อะไรนะ แกเจอศพเหรอ” คราวนี้ผู้เป็นเพื่อนทำเสียงตกใจ

            “ไม่ใช่ศพหรอก เขายังไม่ตาย” ไข่มุกรีบบอก เพราะรู้ว่าเพื่อนเป็นโรคกลัวผีขนาดหนัก

            “แค่บาดเจ็บนิดหน่อย ฉันก็เลยพาเขามาโรงพยาบาล ตอนนี้ปลอดภัยแล้วแต่...” เธอยังพูดไม่จบ อีกฝ่ายก็ขัดขึ้น

            “ถ้าให้เดาฉันว่าต้องเป็นผู้ชาย...หนุ่ม...หล่อ...ที่สำคัญ...” อีกฝ่ายทำเสียงล้อเลียน ซึ่งคนฟังแทบจะนึกสีหน้าของฝ่ายนั้นออก

            “ต้องตัวใหญ่แน่ ๆ ฉันฟังเสียงแกก็รู้ ใช่ไหม...”

            ไข่มุกแอบเหลือบตามองเพดาน คบกันมานานมากเกินไปก็แบบนี้แหละ แค่ได้ยินเสียงก็จับพิรุธได้แล้ว หญิงสาวรู้สึกหน้าร้อนวาบอย่างช่วยไม่ได้ ขณะแอบมองร่างสูงที่นั่งนิ่งอยู่

            “แล้วไงต่อ...ตกลงเขาเป็นใคร จู่ ๆ มาลอยตุ๊บป่องอยู่ท่าน้ำหน้าร้านแกได้ยังไง”

            “ยังไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร”

            “อ้าว...ทำไมไม่รู้ ไหนว่าเขาบาดเจ็บนิดหน่อยไง”

            “ทางกายน่ะใช่...” ไข่มุกตอบ ก่อนจะเล่ารายละเอียดคร่าว ๆ ให้เพื่อนฟังอย่างรวดเร็ว อนงค์ณัฐนิ่งฟังโดยไม่ขัด จนเธอเล่าจบ ผู้เป็นเพื่อนก็พูดตอบมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบายใจนัก

            “แล้วแกคิดจะทำไง...ฉันรู้ว่าแกน่ะชอบช่วยคน แต่เราไม่รู้ที่มาที่ไปของเขาเลยนะ ถ้าเป็นคนร้ายจะทำยังไง”

            ไข่มุกมองไปที่เจ้าตัวคนที่กำลังถูกพูดถึง เขาดูห่างไกลจากคำว่า ‘คนร้าย’ มาก

            “ฉันว่าเขาไม่น่าใช่คนร้ายหรอก”

            “แกจะรู้ได้ยังไง คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ” อนงค์ณัฐเถียงอีก

            “แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ทิ้งเขาไว้อย่างนี้น่ะเหรอ เขาขาเจ็บด้วยนะ”

            “ก็แล้วแกจะพาเขากลับไปที่บ้านแกเหรอ” อีกฝ่ายย้อนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงรัวเร็วเหมือนละล้าละลังใจเช่นกัน

            “ตอนนี้ฉันไม่ว่างด้วยสิ ไม่งั้นฉันก็จะไปหาแกหรอก”

            ไข่มุกได้แต่เงียบ เพราะเธอหวังว่าอนงค์ณัฐจะมาอยู่เป็นเพื่อนได้ อย่างน้อยมีคนช่วยคิดอีกคนก็ยังดี

“นึกออกแล้ว แกก็พาเขาไปโรงพักสิ เดี๋ยวตำรวจจัดการเองแหละ” ผู้เป็นเพื่อนแนะนำ

“ฉันถามเขาแล้ว แต่เขาไม่อยากไปโรงพัก”

            “อ้าว...ทำไมไม่ยอมไป แปลกๆ นะ” อนงค์ณัฐทำเสียงสงสัยชัดเจน

“ถ้างั้นก็เป็นเรื่องของเขาแล้วล่ะ เขาบอกเองนี่นาว่าเขาจัดการได้ อย่าลืมนะว่าแกอยู่คนเดียว ถึงเขาไม่ใช่คนร้าย แต่เขาก็เป็นผู้ชาย และถึงเขาจะความจำเสื่อม เขาก็ยังเป็นผู้ชายอยู่ดีสมัยนี้คนเราหากินกันแปลกๆ ระวังไว้หน่อยก็ดีนะ” อนงค์ณัฐพูดยืดยาวเหมือนเคยมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาก่อน

            ไข่มุกชักเริ่มรู้สึกว่าเป็นการเสียเวลาเปล่าจริง ๆ กับคนที่เธออุตส่าห์คิดว่าจะช่วยตัวเองได้ แต่เธอก็ไม่มีเหตุผลที่ดีมาขัดแย้งคำพูดของเพื่อนได้

            “แต่ฉันจะบอกเขายังไงดีล่ะ เป็นแกจะบอกเขายังไง” ไข่มุกยังอดหงุดหงิดไม่ได้ เลยพาลเอากับเพื่อน

            “ไม่เห็นต้องบอกอะไรเลย ตอนนี้แกเดินออกมาจากเขาแล้วไม่ใช่เหรอ ก็ไปเลย...” เพื่อนยุส่ง

            “อย่างมากก็เจอกันแค่ครั้งเดียว เขาจำแกไม่ได้หรอก ยิ่งความจำเสื่อมอย่างนี้ยิ่งจำไม่ได้ อีกอย่างเท่านี้แกก็เป็นพลเมืองดีสุด ๆ แล้ว เชื่อฉันเถอะ ถ้าแกอยากให้ฉันพูดนะ ฉันขอบอกว่าฉันภูมิใจในตัวแกมาก จริง ๆ นะ กลับไปดูร้านเถอะ...ตอนนี้ฉันต้องวางแล้วจริง ๆ ลูกค้ามาแล้ว”

            “โอเค...” ไข่มุกวางสายจากเพื่อน เธอหยุดยืนมองร่างสูงที่ยังนั่งถอนใจยาว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

            หากช่วยเหลือเขาไม่ได้มากไปกว่านี้ ถึงเดินกลับเข้าไปหาเขาอีกก็คงไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะอึดอัดใจกันเปล่า ๆ ในที่สุดไข่มุกก็ตัดสินใจหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ตามคำแนะนำของเพื่อน

รายละเอียด

คำโปรย เลศอรุณ

 

เป็นนิยายรักเรื่องที่ ๑ ในชุดเรื่องรักสามเวลา อันประกอบด้วย

เลศอรุณ คราสตะวัน แรมพร่างดาว

 

เช้าอันสดใสวันหนึ่ง ไข่มุกเจ้าของร้านกาแฟริมน้ำ ได้เจอชายหนุ่มนิรนามลอยตามสายน้ำมาติดอยู่ที่ท่าน้ำหลังร้านของเธอ

เขาบาดเจ็บและความจำเสื่อม จำไม่ได้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร และเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เธอจึงตั้งชื่อเขาว่า อรุณ เธอช่วยเหลือและให้เขาช่วยงานอยู่ที่ร้านกาแฟ

ตลอดเวลาที่พักอยู่ด้วยกัน ไข่มุกรู้สึกว่าอรุณพยายามจะปิดกั้นความทรงจำอันเลวร้ายบางอย่างเอาไว้ และทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่ยอมค้นหาว่าตัวเองเป็นใคร และทำงานอยู่ในร้านกาแฟเล็ก ๆ ของเธอไปเรื่อย ๆ

จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดเหตุร้ายที่ทำให้ความทรงจำของอรุณกลับคืนมา เขารู้ว่าตัวเองคือตรัย และจำเรื่องเศร้าสะเทือนใจสุดจะบรรยายที่ทำให้เขาไม่อยากจะจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้รับรู้ว่า ตัวเองไม่ใช่คนตัวเปล่า แต่มีพันธะทางหัวใจกับผู้หญิงอีกคน

จะทำอย่างไรในเมื่อนายอรุณได้ให้หัวใจของเขาทั้งดวงไปกับไข่มุกเสียแล้ว

นอกจากปัญหาหัวใจแล้ว ตรัยยังต้องผจญกับความโลภของเหล่าคนที่พยายามจะเอาชีวิตของเขาอีกด้วย

แต่...ความรักมักจะมีเส้นทางของมันเองเสมอ เมื่อเจอคนที่ใช่ ไม่ว่าจะต้องพบกับอุปสรรคอย่างไร มันก็จะนำพาเส้นทางของคนทั้งสองให้มาบรรจบกันได้เองในที่สุด


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (81 รายการ)

www.batorastore.com © 2024