ห้วงรักไฟเสน่หา (เทียนธีรา)

ห้วงรักไฟเสน่หา (เทียนธีรา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ห้วงรักไฟเสน่หา
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 259.00 บาท 64.75 บาท
ประหยัด: 194.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ผู้ร้ายปากแข็ง

 

ปลายเดือนมกราคม...

สายลมยามเช้าที่โชยมาเพียงแผ่วๆ พัดใบไม้ให้แกว่งไกว บ้างปลิดปลิวพลิ้วลอยไปตามกระแสลมเย็นอันสดชื่น หมู่ไม้ดอกหลากชนิดพากันชูช่อบานสะพรั่งอย่างมีชีวิตชีวา น้ำค้างสีใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายพราวระยับตามยอดหญ้า ท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยเงาดำทะมึนของหมู่มวลเมฆฝนกลับเปิดโล่งสว่างสดใส บ่งบอกให้คนที่มาเยือนรู้ว่านี่คือบรรยากาศหน้าหนาวของภาคเหนืออย่างแท้จริง

รถสปอร์ตโฟร์วีลสมรรถนะสูงแบบเจ็ดที่นั่งกำลังแล่นออกจากสนามบินของจังหวัดเชียงใหม่ด้วยความเร็วคงที่ มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของไร่ วลีพรรณ

ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นประดับไปด้วยภูเขาลูกย่อมๆ และต้นส้มที่ปลูกเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งตอนนี้กำลังออกผลดกจนกลายเป็นสีเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา

แสงแดดอ่อนยามเช้าเริ่มส่องแสงลงมากระทบกับน้ำค้างสะท้อนเป็นภาพระยิบวิบวับแวววาวหยอกล้อกับสายลมที่เคลื่อนไหวเพียงบางเบาเป็นระยะๆ คล้ายดั่งใครบางคนที่เคยฝากรอยยั่วเย้าเอาไว้บนเรียวปากนุ่มโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจสักนิด

มือเรียวบางดั่งหยกสลักของ ยศสิตาขยับไปกดปุ่มข้างๆ ประตู ลดระดับกระจกลงมาเพื่อสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์และความสดชื่นที่หาแสนจะยากนักในกรุงเทพบ้านของหล่อนอย่างเต็มที่ หญิงสาวยังคงตื่นเต้นและดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนสวยงามตรงหน้านี้เช่นเดิม แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้มาเยือนยังไร่แห่งนี้ก็ตาม... ดนัย อนุนาท พ่อของหล่อนมักจะพามาที่นี่เสมอตั้งแต่เด็กจนโต อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ยกเว้นปีก่อนที่แล้วไม่สามารถมาได้เพราะพิมลพร อนุนาท ผู้เป็นมารดาเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว

ปีนี้ยศสิตาอายุได้ 21 ปี แล้วพึ่งเรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆ และมีโครงการจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศฝรั่งเศส ส่วนน้องสาวคือ อริสรา อนุนาท อายุ 19 ปี ยังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยในชั้นปีที่สอง

เจ้าของไร่แห่งนี้คือ พ่อเลี้ยงภูชิต พิริยะกร เพื่อนสนิทของดนัยนั่นเอง

“สวยจังเนอะพี่เอย”

เสียงเจื้อยแจ้วใสๆ ของอริสราผู้เป็นน้องสาวดังขึ้นทำลายความเงียบและสมาธิของยศสิตาซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับทัศนียภาพที่สวยงามด้านนอก

เมื่อเห็นพี่สาวกำลังดื่มด่ำธรรมชาติ หล่อนจึงไม่รบกวนอีก

“คุณพ่อคะ” อริสาหันไปทางบิดา “ไร่นี้กว้างสักกี่ไร่คะ” หล่อนถามเพราะพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้เกินกว่าจะคะเนด้วยสายตา

“เกือบๆ พันไร่ล่ะมั้ง” ดนัยตอบลูกสาวคนเล็กตามที่รู้มา

“โอ้โห!” สาวน้อยอุทานตาโตก่อนจะยิ้มให้ผู้เป็นพ่ออีกครั้ง “คุณลุงคงรักคุณป้ามากเลยใช่ไหมคะถึงตั้งชื่อไร่ตามชื่อของคุณป้า” อริสราถามต่อ

คนเป็นพ่อระบายยิ้มบางๆ “ใช่แล้วลูก”

การสนทนาของอริสราและบิดาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องส่วนยศสิตายังจดจ่ออยู่กับสิ่งสวยงามภายนอกรถ ความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้าราวกับสวรรค์บนดินก็ไม่ปานพลางสะกดดวงตาสวยใสกลมโตจนแทบไม่อยากจะละสายตาไปแม้สักเสี้ยววินาที

อีกไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมารถคันนั้นก็แล่นมาจอดบริเวณหน้าบ้านไม้ทรงไทยขนาดใหญ่ซึ่งทำจากสักทองทั้งหลัง รอบๆ นั้นถูกตกแต่งอย่างประณีตด้วยสวนหย่อมอันมีหมู่มวลดอกไม้ประดับนานาพรรณ

ดนัยผลักประตูรถให้เปิดออกและสาวเท้าดุ่มเข้าไปหาเจ้าของบ้านทั้งสามอันได้แก่ พ่อเลี้ยงภูชิต แม่เลี้ยงวลีพรรณ และภูริภัชร์ผู้เป็นลูกชายยืนรออยู่แล้ว

เพื่อนรักทั้งสองจะโผเข้ากอดกันทันทีด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง

ยศสิตาก้าวตามลงมาก่อนจะชะงักฝีเท้าเมื่อเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับดวงตาคมดุที่กำลังจ้องมองหล่อนอย่างพิจารณา ใบหน้าหวานละมุนตึงขึ้นทันที เปลือกตาที่ประดับไว้ด้วยขนตางอนกะพริบปริบๆ เพราะเกลียดจับใจ ไม่อยากแม้แต่จะมอง! แต่กระนั้นก็ยังอุตส่าห์สู้สายตากับเขาอย่างไม่คิดจะหลบ

ใบหน้าหล่อคมคร้ามของภูริภัชร์ยังคงเรียบเฉยเย็นชาราวกับปีศาจน้ำแข็ง โดยมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ฉายแววระริกไหวเป็นเชิงขบขันกิริยาของหญิงสาวด้วยความเคยชิน ไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้งหล่อนก็มักจะมีท่าทีแบบนี้ใส่เขาอยู่เสมอ

ชายหนุ่มกวาดสายตามองร่างอ้อนแอ้นราวกับกำลังประเมินส่วนเว้าส่วนโค้งไปทั่วเรือนกายหล่อน เริ่มตั้งแต่วงหน้ารูปไข่ที่ประดับด้วยนัยน์ตาดำขลับดุจนัยน์ตากวางป่า กลีบปากแสนรั้นรูปกระจับเป็นสีชมพูระเรื่อรับด้วยคางเรียวมน ศีรษะสวยได้รูปสไลด์ผมยาวสลวย อกอวบเต็มตึงซึ่งซ่อนอยู่ในเสื้อยืดตัวน้อยอวดโอ้ความโค้งนูนกลมกลึง เอวบางลาดลงไปยังสะโพกผายงอนงามดั่งบั้นท้ายเสือชีตาห์ และช่วงขาเรียวยาวซึ่งโผล่พ้นกระโปรงยีนส์สั้นสีซีดที่หล่อนใส่อยู่ 

วิธีการมองของเขาเล่นงานยศสิตาจนหน้าร้อนผะผ่าวและประหม่าขึ้นมาดื้อๆ หล่อนเกลียดสายตาแบบนั้นเป็นที่สุด เหมือนเขากำลังใช้สายตาแทนนิ้วเรียวยาวสัมผัสไปทั่วทุกอณูเนื้อของหล่อนในทุกครั้งที่มีโอกาส แล้วไหนจะแววตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเจือไว้ด้วยความยั่วเย้านั้นอีกล่ะ มันชวนให้เตลิดเพริดไปเสมือนมีมือเกร็งแกร่งสอดเข้ามาในใต้เสื้อของหล่อน ทะลุลอดบราเซียร์ แล้วคลึงขยำส่วนนั้นอย่างเร่าร้อน

...คุณพระช่วย!!...

หล่อนเอ่ยเพียงในใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากมนทันที และมีบางจังหวะที่นิ้วปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ช่วยกันรุมจิก ตะบี้ตะบันบีบคลึงที่ปลายถันของหล่อน

“ไม่นะ!” ยศสิตาอุทานออกมาเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาสายตาทุกคู่หันพรึบมองมายังหล่อนเป็นตาเดียวกัน วินาทีนั้นหญิงสาวจึงรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากเพราะจินตนาการที่ไปไกลเหนือการควบคุม ใบหน้าหวานแดงแปร๊ดขึ้นด้วยความอับอาย

เป็นอะไรของเขา ภูริภัชร์ขมวดคิ้วผูกเป็นปมอย่างสงสัย หากยังคงวางฟอร์มเก๊กหน้าขรึมตามแบบฉบับของตน

“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า พี่พี”

เสียงของอริสาราวกับระฆังช่วยชีวิต ยศสิตาจึงกลบเกลื่อนสถานการณ์อันน่าขายหน้า รีบกระวีกระวาดตามน้องสาวเข้าไปทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสองคนและกล่าวทักทายตัวต้นเหตุอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้

“ว่าไงเราสบายดีไหม” ภูริภัชร์กล่าวทักทายอริสราอย่างสนิทสนม เอื้อมมือมาขยี้ผมหล่อนเล่นอย่างเอ็นดูเช่นเคย

ภาพนั้นกระทบหัวใจที่กำลังวูบไหวส่งผลไปยังเปลือกตาคู่สวยต้องหลุบมองลงพื้นเพื่อบดบังรัศมีอันร้อนผะผ่าวของเปลวไฟริษยา ภูริภัชร์ให้ความเป็นกันเองสนิทสนิมกับอริสราแบบนี้มาตลอดแต่กับหล่อน... เขาจะวางตัวห่างเหิน เย็นชา ชวนให้ยะเยือกบาดลึกเข้าไปในขั้วหัวใจราวกับกำลังถูกโอบล้อมด้วยน้ำแข็งขั้วโลก

“สบายดีค่ะพี่พี... แล้วพี่พีล่ะคะ กลับมาจากเมืองนอกเอาพี่สะใภ้แหม่มมาฝากเอิงหรือเปล่า?” อริสราพูดสัพยอกอย่างสนิทสนมเช่นกัน

“ไม่มีหรอกครับ เพราะพี่ชอบสาวไทย” ตาคมเข้มชำเลืองมองไปทางคนหน้ามุ่ย

ยศสิตาเบ้ปาก แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินตามผู้ใหญ่ทั้งสามเข้าบ้านไป ทิ้งให้ภูริภัชร์และอริสราคุยกันอย่างถูกคอตามลำพัง

 ชายหนุ่มแอบมองตามหลังคนที่เดินดุ่มๆ ไป กิริยาอันแนบเนียนไม่รอดพ้นจากสายตาอันช่างสังเกตของอริสราไปได้ หล่อนจับตามองท่าทีของยศสิตาและภูริภัชร์อยู่เงียบๆ รู้สึกถึงความพิเศษลึกๆ ที่ทั้งคู่มีให้กันได้ไม่ยากนัก คนหนึ่งเอาแต่ทำหน้าบึ้งใส่ ส่วนอีกฝ่ายก็ขยันยั่วอยู่ในที

 “เอ... ถ้าอย่างนั้นใครกันน้อจะมาเป็นพี่สะใภ้ของเอิง” อริสราแสร้งถามต่อเมื่ออยู่กันสองคนพลางแอบหวังว่าถ้าได้ภูริภัชร์มาเป็นพี่เขยก็คงดีไม่น้อย

“ใจเย็นๆ สิครับสาวน้อย”

“ต้องบอกเอิงคนแรกเลยนะคะ” หญิงสาวคะยั้นคะยออย่างคนที่คุ้นเคยกันดี

 

แม่เลี้ยงวลีพรรณยืนรอยศสิตาและอริสาอยู่ในบ้าน เมื่อสองสาวตามเข้ามาสมทบแล้ว หญิงวัยกลางคนที่ยังดูสวยสง่างามก็เยื้องย่างก้าวนำขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง มาหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่งซึ่งอยู่ถัดจากบันไดไปทางปีกซ้ายของตัวบ้าน

“พักห้องเดิมนะจ๊ะหลานๆ”

นางส่งกุญแจห้องให้กับยศสิตา หญิงสาวรับมาก่อนจะไขออกแล้วเปิดประตูเข้าไปพลางกวาดสายตาส่องสำรวจคร่าวๆ

“ห้องสวยเหมือนเดิมเลยค่ะคุณป้า” ยศสิตาหันมายกมือไหว้ขอบคุณ

“ป้าจัดไว้ให้หลานสาวคนสวยของป้าทั้งสองคน” แม่เลี้ยงวลีพรรณเอ่ยยิ้มแย้ม

ยศสิตาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปกอดแม่เลี้ยงวลีพรรณผู้ใจดีและเอ็นดูหล่อนกับน้องอย่างจริงใจตลอดมา อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นทำให้สีหน้าที่กำลังสดใสหม่นลงยามประหวัดคิดไปถึงผู้เป็นมารดาซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว

“ตามสบายนะจ๊ะ ป้าขอลงไปดูความเรียบร้อยข้างล่างก่อน” แม่เลี้ยงวลีพรรณเอ่ยขอตัวและปล่อยให้สองสาวอยู่เป็นส่วนตัว

ยศสิตากับอริสราลงมือจัดเสื้อผ้าใส่ตู้จนเสร็จ หลังจากนั้นยศสิตาจึงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ กลับออกมาอีกทีก็พบว่าน้องน้อยของหล่อนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเสียแล้ว ร่างอรชรยืนมองภาพนั้นพลางระบายยิ้มอย่างเอ็นดู ก็ไม่แปลกนักที่อริสราจะหลับในตอนนี้เพราะเมื่อเช้าครอบครัวของหล่อนออกเดินทางจากบ้านมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อมารอขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินแรกจากกรุงเทพมาเชียงใหม่

“สงสัยจะเพลีย” เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องและปิดประตูอย่างเบามือ พยายามไม่ให้เสียงรบกวนการนอนของน้อง

 ร่างอรชรลงมาถึงชั้นล่างและเดินเลยออกนอกตัวบ้าน ขณะนั้นสายมากแล้ว ผืนนภาสว่างสดใสเป็นสีฟ้าไปตลอดทั้งแนว มีปุยเมฆสีขาวลอยละล่องเป็นก้อนอยู่ประปราย

ยศสิตาทอดน่องสำรวจทั่วบริเวณบ้านทรงไทยอย่างคุ้นเคยทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมานัก สิ่งที่หล่อนชอบมากที่สุดก็คือแปลงกุหลาบซึ่งปลูกแซมกันหลายสีแข่งกันผลิดอกอวดความงามและส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ขณะนั้นเองรถจี๊ปคันใหญ่ก็โฉบเข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ กับที่หล่อนยืนอยู่ คนขับลดกระจกลง

“คนบ้าอีกแล้ว! ยศสิตาบ่นขมุบขมิบเพียงเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าคมคร้ามนั้นชัดเจน

หญิงสาวหมุนตัวเตรียมเดินหนีแต่ก็ช้าไปเมื่อเสียงห้าวทุ้มเอ่ยขึ้นขัดจังหวะเท้าที่กำลังจะก้าว

“เห็นหน้าผมก็เตรียมตัวหนีเลยเหรอ?

“ใครหนี? แขนเรียวยกขึ้นกอดอก ใบหน้าแสนหวานบึ้งตึง วางท่าเฉยเมยราวกับนางพญาบนเสลี่ยงทอง

“ก็ใครบางคนแถวๆ นี้สงสัยจะกลัว” เขาพูดหมิ่นๆ ขยิบตาอย่างยียวน

“ไม่เคยกลัว ทำไมเอยต้องกลัวคุณด้วย”

“ไม่รู้สิ” ภูริภัชร์ยักไหล่ “คุณต้องถามตัวเองดูว่าทำไมต้องกลัวผม” สายตาคมดุจ้องมองใบหน้าเรียวสวยอย่างจับพิรุธ

“ก็บอกแล้วเอยไม่ได้กลัว” ยศสิตายังทำเสียงแข็งกลบเกลื่อน

“เห็นๆ กันอยู่ว่ากำลังจะหนี” เสียงทุ้มยั่ว “ถ้าไม่กลัวจริงๆ ก็ขึ้นรถ จะพาไปเที่ยวรอบๆ ไร่”

ใบหน้าแสนพยศเชิดขึ้นเมื่อถูกท้าทาย นึกอยากปฏิเสธนักแต่น้ำเสียงและแววตาหยามหยันเหมือนหล่อนเป็นพวกขี้กลัวทำให้ยศสิตาต้องขยับไปใกล้กับประตูอีกฝังของรถจี๊ปคั้นนั้นเพื่อขึ้นรถตามคำเชิญของเขา แต่รถดันสูงเกินไปทำให้หญิงสาวไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้ง่ายๆ

ภูริภัชร์กลั้นยิ้มบนใบหน้า พอยต์เท้าลงจากรถอย่างรวดเร็ว เดินอ้อมมาหา และโดยที่ยศสิตาไม่ทันได้ตั้งตัว มืออุ่นๆ ของเขาก็กระชับเข้าที่เอวอ้อนแอ้น แล้วส่งหล่อนขึ้นไปนั่งบนรถโดยใช้เวลาแค่เสี้ยวนาที

ฝ่ายนั้นตวัดตามองขุ่น ใบหน้าแสนหวานง้ำงอแดงระเรื่อด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด รอยสัมผัสอุ่นๆ จากมือแกร่งเมื่อสักครู่ยังอบอวลอยู่ที่เอวหล่อน

ชายหนุ่มหัวเราะร่วน รู้สึกสนุกกับท่าทีพยศผยองของหล่อนยิ่งนัก ใบหน้าหล่อคมจึงจงใจโน้มลงมาใกล้ๆ อย่างอยากแกล้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแหบพร่ารวยระรินลงบนใบหูขาวสะอาด

...หน้างอจังเลย...

“ใครหน้างอ!” เสียงหวานตวาดแว๊ด มองเขาตาขวาง “พูดจาให้ดีๆ นะ”

“จะมีใครเสียอีกล่ะ” เขากระดกคิ้วขึ้น ยิ้มร่าราวกับอ่านใจหล่อนได้

“เอยคงเสียสติเป็นแน่ ถ้ายิ้มแย้มให้คนที่ฉวยโอกาสอย่างคุณ”

ภูริภัชร์หัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจ “ไม่ได้ฉวยโอกาสครับยาหยี เพียงแต่...

“เพียงแต่อะไร?” คิ้วเรียวผูกกันเป็นปม

“เพียงแต่” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะเอ่ยต่อ “ตั้งใจจะช่วย”

คำนั้นยิ่งทำเอายศสิตาหน้าคว่ำหนักยิ่งกว่าเดิม

“คราวหลังไม่ต้อง เอยช่วยตัวเองได้”

“อืม...” เขาบุ้ยปาก พยักหน้าล้อเลียน แล้วแกล้งยั่วกลับไป “จะจำใส่ใจไว้ก็แล้วกัน”

ภูริภัชร์ฮัมเพลงเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับอย่างอารมณ์ดี หลังจากนั้นจึงบังคับให้รถแล่นอย่างช้าๆ ไปตามถนนซึ่งเป็นทางเข้าไร่ ยศสิตาอดไม่ได้ที่จะแอบปรายหางตาชำเลืองมองเสี้ยวหน้าของคู่อริ ใบหน้าสวยสะบัดพรืดออกไปมองข้างทางอย่างหงุดหงิดเมื่อคิดถึงคำพูดอันยียวนกวนประสาทของอีกฝ่าย ทำไมเขาชอบกวนตะกอนอารมณ์ของหล่อนให้ขุ่นนัก หรือเป็นเพราะ

ความคิดนั้นสะดุดลงเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ

“คุณหนูเอยคนสวยครับ” ใบหน้าคมเหล่มองและยิ้มมุมปาก “หน้าผมมันน่าเกลียดขนาดไม่อยากจะหันมาแลเลยเหรอ?

ยศสิตาหันมาตวัดค้อนใส่แล้วเบือนหน้าไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

“เอยเหรอจะสวยสู้สาวๆ ของคุณ!” ไม่รู้อะไรทำให้หล่อนแขวะเขากลับไปเช่นนั้น

“พูดเหมือนหึงผม”

“บ้า!” ปากรูปกระจับเม้มลงเพียงนิด “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำไมเอยต้องหึงคุณด้วย”

ท่าทางกระฟัดกระเฟียดแสนรั้นนั้นทำเอาปากหยักกระดกยิ้มอย่างนึกขัน

“งอนซะขนาดนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแอบหึงผม” เขาพูดราวกับมานั่งอยู่ในใจของหล่อน หญิงสาวก็ไม่เข้าใจตัวเองนักหรอกว่าทำไมต้องตั้งแง่ใส่คนบ้านี้นักหนา

“อย่ามาโมเมนะ คนอะไรหลงตัวเองสิ้นดี” ยศสิตาปฏิเสธเสียงแข็งแต่ใบหน้ากลับร้อนผะผ่าวขึ้น

“ไม่ได้โมเม” เขาทำหน้าทะเล้น ยักคิ้วให้หนึ่งข้าง “คนปากแข็ง กลบเกลื่อนไม่มิดชิดเอาซะเลย” ก่อนจะสำทับไปอีก

หญิงสาวตีหน้ามุ่ยทันทีแล้วเอ่ยประโยคที่ใช้เป็นเกราะกำบังตัวเอง “เอยไม่ได้ชอบคุณ และไม่มีวันจะชอบ จำไว้ด้วย”

“หนักแน่นจังเลยนะ หึๆ” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินคำพูดแข็งขันของหล่อน เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหล่อนจะปากแข็งไปถึงไหน

 

ภูริภัชร์ขับรถไปรอบๆ ไร่พร้อมกับถือโอกาสตรวจความเรียบร้อยไปด้วย รถจี๊ปคู่ใจแล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงท้ายไร่ท้องฟ้าที่สดใสโปร่งโล่งในตอนเช้าตรู่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นก้อนเมฆสีเทาทะมึนเกลื่อนกล่น สายลมเย็นๆ พัดแรงขึ้น อากาศรอบๆ มัวซัว หยาดฝนเม็ดเล็กเริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ก่อนที่จะค่อยๆ หนาทึบขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเม็ดขนาดใหญ่ กระหน่ำเทลงมาบนพื้นดินราวกับฟ้ารั่วจนมองไม่เห็นทาง

ยศสิตาเริ่มขยับตัวเกร็งๆ อย่างใจคอไม่ดีเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า ภูริภัชร์รู้สึกถึงความกังวลของคนแสนพยศข้างๆ ทันทีเมื่อหล่อนเงียบเสียงลง

“ไม่ต้องกลัวนะ” เขาหันมาปลอบเสียงนุ่ม “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

ชายหนุ่มประคองรถไปจอดหน้ากระท่อมหลังหนึ่งซึ่งเขาปลูกไว้ให้เป็นที่พักของคนงาน ลำขายาวๆ ก้าวลงจากรถและไม่ลืมจะหยิบเสื้อโค้ดตัวใหญ่ที่พาดอยู่บนเบาะรถฝั่งคนขับลงมาด้วย ร่างสูงสมาร์ตอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่งและดึงข้อมือเล็กๆ ให้ลงมาจากรถ

เสื้อตัวใหญ่ถูกใช้กำบังเม็ดฝนก่อนที่เขาจะพาหล่อนวิ่งลิ่วเข้าไปในกระท่อมเพื่อหลบฝน

มือหนาเกร็งแกร่งรีบเปิดประตูกระท่อม พาหล่อนเดินผ่านเข้าไปในนั้นและปิดประตูเมื่อทิศทางของเม็ดฝนสาดเข้าทางนั้นพอดี ชายหนุ่มเดินไปเปิดหน้าต่างอีกฝั่งเพื่อให้อากาศถ่ายเทมากขึ้น แสงสีทองแปลบปลาบกะพริบเข้ามาทางหน้าต่างเป็นระยะๆ ชวนให้สถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนั้นน่าประหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้นไปอีก

เมื่อชายหนุ่มหันกลับมาอีกทีก็เห็นว่ายศสิตากำลังเดินกลับไปกลับมาเป็นหนูติดจั่น

“คงอึดอัดมากสินะที่ต้องมาถูกขังอยู่กับคนที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้า” เสียงทุ้มติดประชด

“ก็มากอยู่” หล่อนประชดกลับด้วยน้ำเสียงแดกดันทันที

เท้าเล็กๆ เดินไปยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ชายหนุ่มก้าวตามไปประชิด ลำแขนแข็งแรงทั้งสองข้างยกขึ้นเท้าคร่อมร่างอรชรเอาไว้ราวกับเป็นกรง นั่นเท่ากับหล่อนถูกขังอยู่ในอ้อมแขนของเขา

หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่อยู่ไม่ห่าง ลมหายใจอุ่นวาบเป่าพ่นรดใส่หน้าผากมนเป็นระยะ หัวใจดวงน้อยเต้นตุบๆ ถี่รัวด้วยความหวาดหวั่นในขณะที่ตาสองคู่สบประสานสายตากันนิ่ง ยศสิตาเผลอจับจ้องอย่างลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์ นี่เป็นครั้งแรกหลังจาก... ครั้งนั้น ที่หล่อนได้เห็นหน้าเขาในระยะใกล้ชิดขนาดนี้

ดวงตากลมแป๋วยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้ ใบหน้าคมคร้ามประดับด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหา จมูกเขาโด่งเป็นสันรับด้วยริมฝีปากหยักได้รูปแต่ทว่าบางสวยราวกับริมฝีปากผู้หญิง ช่วงบ่ากว้างผึ่งผาย ช่วงแขนแข็งแรงน่าสัมผัส หน้าอกกลัดแกร่งขวางเต็มไปด้วยมัดกล้ามหนั่นแน่น เอวสอบเพรียวไม่มีไขมันส่วนเกิน มันเป็นความหล่อเหลาในทุกมุมมองอย่างหาตัวจับยาก เขาช่างเต็มไปด้วยความเป็นบุรุษเพศสมชายชาตรี สามารถดึงดูดให้อิสสตรีเข้าใกล้ได้อย่างไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด

“กลัวผมหรือกลัวใจตัวเอง?” เขาจงใจก้มลงมาถามด้วยเสียงชวนสยิวในระยะกระชั้นชิดจนปากแทบจะสัมผัสกับปาก น้ำเสียงนั้นแฝงไว้อะไรบางอย่างที่มีความหมายลึกซึ้งแล่นปลาบเข้าไปในขั้วหัวใจของหล่อนจนจังหวะของชีพจรไหวแกว่ง

“หลีกไปนะ ถอยไปห่างๆ เลย” หญิงสาวโวยวายอย่างกลบเกลื่อน ยกมือขึ้นดันไหล่หนาเอาไว้

“ขยันไล่จังเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ แทบจะเป็นกระซิบแต่ให้ความรู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก มืออุ่นจัดเลื่อนลงมากระชับที่เอวอ้อนแอ้นและกระตุกเข้าหาร่างหนาของเขาอย่างรวดเร็วจนหน้าท้องแบนราบถูกเบียดเข้ากับต้นขาแกร่ง

ยศสิตาดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลังและผลักใสเพื่อให้หลุดออกจากพันธนาการอันแข็งแรงราวกับคีมเหล็กนั้นแต่ภูริภัชร์กลับรัดร่างอรชรเข้าหาแน่นกว่าเดิมจนทำให้ทรวงอกนุ่มหยุ่นดั่งเยนลี่จมหายวับเข้าไปกับอกแกร่งกว้าง

“ปล่อยนะ!” หญิงสาวร้อง “คุณมีสิทธิ์อะไรมากอดเอย คนฉวยโอกาส!

“คำก็ฉวยโอกาส สองคำก็ฉวยโอกาส”

“ก็มันจริงๆ นี่”

ภูริภัชร์ไม่ปล่อยแต่กลับยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยสายตาแสนเสน่หาชวนสะท้านจนเปลือกตาคู่สวยต้องหลุบมองต่ำอยู่แค่อกเขา

“ทำไมต้องกลัวที่จะอยู่ใกล้ๆ ผม...หือ?” มือหนาเชยคางมนขึ้น ตาสองคู่สบกันนิ่ง

“เพราะคุณชอบรังแกและฉวยโอกาสกับเอยอยู่ตลอดแบบนี้ไง” เสียงหวานตวัดใส่ทั้งที่หัวใจเต้นแรงระรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอกสืบเนื่องจากการที่เขาเข้าประชิดตัว

ยศสิตากำลังโกรธตัวเองที่มีปฏิกิริยาบ้าๆ ทุกครั้งยามอยู่ใกล้ๆ เขา คำพูดนั้นชวนให้ร้อนรุ่ม สัมผัสของเขาชวนวาบหวาม แล้วถ้าเขาทำอย่างนั้นล่ะ... มันจะเร่าร้อนขนาดไหน... ไม่! หล่อนต้องไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น หญิงสาวพร่ำบอกตัวเองในใจ

“รังแกตอนไหนจำไม่ได้” เขาแสร้งทำเป็นลืม

“ก็ที่” ยศสิตาอึกอักพูดไม่ออก ทั้งๆ ที่อยากจะเอากรงเล็บข่วนหน้าหล่อๆ นั่นเต็มทีกับการที่เขาทำให้หล่อนหน้าม้านม้วนต้วนแบบนี้

“ที่ผมจูบคุณเมื่อคราวก่อนโน่นเหรอ” ภูริภัชร์ตอบให้อย่างรู้ทัน ชายหนุ่มไม่พูดเปล่าแต่ดวงตาคู่นั้นยังจดจ้องมองที่ริมฝีปากอิ่มอย่างมีความหมาย

“ใช่! คุณมันพวกชอบเอาเปรียบผู้หญิง”

“ผมนึกว่าคุณชอบซะอีก ผมรู้นะว่านั่นเป็นจูบแรกของคุณ และคุณก็โหยหามันอยู่ตลอดเวลา”

“บ้า! ใครโหยหา...จูบที่ไร้รสชาติจืดชืดแบบนั้นเหรอ เอยไม่คิดจะจำมันหรอก” เสียงหวานตอกกลับ เชิดใบหน้าขึ้นมองเขาอย่างท้าทาย หล่อนรู้สึกเจ็บใจทุกครั้งเมื่อหวนคิดไปถึงตอนที่ตัวเองโดนภูริภัชร์ขโมยจูบ ซึ่งมันเป็นจูบแรกจากผู้ชายที่หล่อนพร่ำบอกกับตัวเองว่าเกลียดนักเกลียดหนา แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมรสจุมพิตนั้นถึงได้หอมหวานและตราตรึงใจอย่างประหลาดแบบนั้น ความรู้สึกวาบหวามเกิดขึ้นกับร่างกายหล่อนทุกครั้งยามเมื่อนึกถึงปลายลิ้นอุ่นจัดที่สอดแทรกดุนดันเข้ามาในโพรงปากนุ่มและตวัดลิ้นระริกไล้เลาะเล็มด้านในอย่างช่ำชอง

“งั้นเหรอ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเรามาลองพิสูจน์กันอีกรอบดีมั้ย”

สิ้นคำ...ริมฝีปากหยักก็ครอบลงกลีบปากแสนรั้นอย่างต้องการจะสั่งสอนคนปากดี ตาสวยเบิกโพลง!  ตั้งตัวไม่ทัน การจู่โจมอย่างรวดเร็วนั้นราวกับอสรพิษฉกเหยื่อ...

สมองของยศสิตาหมุนเคว้ง หยุดสั่งการชั่วขณะ ม่านตาพร่าพราย หมดเรี่ยวแรง เพียงแค่จูบของเขาก็ทำให้หล่อนตัวอ่อนปวกเปียก มือเรียวบางไล้ไปตามอกกว้างก่อนจะไต่ขึ้นไปคล้องคอเขาไว้เพื่อยึดเป็นหลัก

ลิ้นสากระคายดุนดันเข้าไปเก็บเกี่ยวตักตวงเอาความหวานจากโพรงปากนุ่มราวกับภมรหนุ่มดูดดื่มเอาความหวานของน้ำผึ้งรสเลิศ จากความต้องการที่จะสั่งสอนคนปากแข็งในตอนแรก กลับทำให้เขาเตลิดเพริดกับความหวานล้ำที่ได้รับ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้สำรวจไปตามเอวอรชร สะโพกกลมมน ก่อนจะสอดเข้าใต้ชายเสื้อยืดสีขาว เลื่อนไปตามเนื้อแท้และเข้ากอบกุมความนุ่มหยุ่นของเนินทรวงอวบอิ่มอย่างแผ่วเบา หญิงสาวแทบจะขาดใจตายยามเมื่อเขาเริ่มบีบคลึง ร่างบางสั่นระริก กายสาวตื่นเตลิด ช่องท้องขมวดเกร็งและวาบหวามไปหมดจากสิ่งที่ถูกกระทำอยู่ในตอนนี้

“ห......หยุด...” ยศสิตาครางออกมาเหมือนคนละเมอเสียงดังเท่ากระซิบ และพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีผลักอกเขาไว้แต่ชายหนุ่มกลับยิ่งระดมจูบอย่างดูดดื่มจนหล่อนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ริมฝีปากหนาดูดเม้มกลีบปากอิ่มสลับบนล่างเบาๆ อยู่เป็นนานกว่าจะถอนจูบ

ปากรูปกระจับกลายเป็นสีแดงจัด ใบหน้าหวานระเรื่อแดง ดวงตาหวานหยดกะพริบถี่ๆ จ้องมองหน้าเขาเขม็งเหมือนตื่นจากความฝัน...

“คนบ้า คนฉวยโอกาส เกลียดที่สุด!

“บอกมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ผมจำได้ขึ้นใจ” ภูริภัชร์อมยิ้ม

“จะบอกอย่างนี้ตลอดไป”

“หมายความว่าจะอยู่ทะเลาะกับผมไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม” เขาพูดด้วยอารมณ์ขบขัน หลิ่วตาให้อย่างล้อเลียน

“บ้า!!!” หญิงสาวตวัดเสียงใส่ มองเขาตาเขียวปั๊ด!

“ไม่อยากอยู่กับผมจริงๆ น่ะเหรอ” เขาจ้องหล่อนนิ่ง ใบหน้าแสนหวานที่เปล่งปลั่งด้วยเลือดสาว งดงามราวกับดอกกุหลาบแรกแย้ม ผมยาวปล่อยสลวยเต็มบ่า เวลานี้มันช่างชวนมองจนทำให้ชายหนุ่มจับจ้องไปอย่างลืมตัว

“จ้องอะไร?

“อยากรู้ว่ารสจูบผมมันจืดชืดจริงหรือเปล่า”

“ใช่! จืดชืด ไร้รสชาติและน่าขยะแขยงที่สุด” หญิงสาวหยีหน้า ตอบโต้ออกไปด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง หล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าจูบของเขาช่างหวานหวามตรึงใจยิ่งนัก

“เพราะผมมันเป็นแค่ชาวไร่ต่ำต้อยใช่ไหม ไหนจะไปเทียบชั้นคุณหนูเอยลูกสาวเจ้าของโรงแรมชื่อดังได้” พูดจบเขาก็หันหลังเดินไปหยุดตรงหน้าต่าง ยืนกอดอกมองสายฝนที่กำลังตกพรำๆ อยู่ข้างนอก อย่างไม่คิดจะสนใจหล่อนอีก

หญิงสาวสะอึก คำพูดนั้นทำให้คนฟังคอแข็งทันที นึกอยากจะตะโกนใส่หน้านักว่าหล่อนไม่เคยคิดรังเกียจที่เขามีอาชีพอะไร คนอะไรช่างสรรหาคำพูดมาประชดประชันเก่งนัก จะว่าไปแล้วสถานะทางการเงินของครอบครัวเขาก็มั่งคั่งและมั่นคงกว่าครอบครัวหล่อนด้วยซ้ำ แต่เหตุผลที่หล่อนตั้งป้อมกับเขาก็เพราะ... กลัวใจตัวเองต่างหาก ภูริภัชร์เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ หล่อนเองก็ประจักษ์ต่อสายตามาแล้ว ยศสิตาเกลียดความเป็นผู้ชายเจ้าเสน่ห์ของเขา!

ร่างอรชรเดินไปนั่งลงที่อีกมุมหนึ่งและไม่ยอมปริปากพูดอะไรเช่นกัน ต่างคนต่างเงียบตามแบบฉบับของตัวเอง ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในสภาวะที่น่าอึดอัดชั่วขณะ

“จะไปฝรั่งเศสเมื่อไหร่?” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

หญิงสาวมองไปทางภูริภัชร์อย่างแปลกใจ เขารู้เรื่องที่หล่อนกำลังจะไปเรียนต่อด้วยเหรอ?

“เดือนหน้าค่ะ...” เสียงหวานตอบเรียบๆ  “...แล้วคุณจะแต่งงานกับคุณอิงฟ้าเมื่อไหร่?” ไม่รู้อะไรทำให้ยศสิตาถามโพล่งออกไปอย่างนั้น แล้วก็นึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเขาหันมาจ้องหล่อนอย่างค้นคว้าราวกับกำลังจับพิรุธ

“อยากให้แต่งจริงๆ น่ะเหรอ? คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตาที่นิ่งเฉยกลับมาแพรวพราวระยับอีกครั้ง

“มันเรื่องของคุณนี่”

 “แน่ใจนะว่าถ้าผมแต่งกับคนอื่นจริงๆ แล้วจะไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง”

“แน่ใจสิ ทำไมเอยจะต้องร้องไห้ด้วย” ยศสิตาย่นจมูกใส่และโต้เสียงแข็งก่อนจะสะบัดตัวฟึดฟัดลุกขึ้นหันหลังให้เขาอย่างรวดเร็วเพื่อซ่อนอะไรหลายอย่างที่อาจจะเผยให้อีกฝ่ายได้สังเกตเห็น

รอยยิ้มแสนเสน่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่มแต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร ร่างสูงสง่าก็เดินไปเปิดประตูกระท่อมออก ตอนนี้ฝนเริ่มซาลงเหลือเพียงละอองเม็ดเล็กๆ เขาจึงหันไปคว้าข้อมือบางให้เดินตามและพากลับไปยังรถ หลังจากนั้นรถจี๊ปคันเดิมก็แล่นช้าๆ จากท้ายไร่มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของไร่

ตลอดทางยศสิตานั่งคอแข็งและถ้าจะมองอะไรสักอย่างก็คงเป็นวิวทิวทัศน์ข้างทาง ยกเว้นสิ่งเดียวที่หล่อนไม่มองก็คือใบหน้าหล่อคมคร้ามของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หากชายหนุ่มก็ไม่คิดจะตอแยนอกจากอมยิ้มเป็นระยะๆ เมื่อปรายตามองเสี้ยวหน้าสวยหวานที่ขยันทำหน้าบูดบึ้งใส่เขา

ภูริภัชร์ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีรถจี๊ปคันนั้นก็ตีวงเข้ามาจอดอย่างนิ่มนวลบริเวณลานจอดรถหน้าบ้านวลีพรรณ หญิงสาวไม่เสียเวลาคิด รีบก้าวพรวดลงจากรถด้วยความรวดเร็วและเดินฉับๆ เข้าบ้านอย่างไม่เหลียวหลัง

สายตาคู่คมได้แต่มองตามแผ่นหลังหล่อนแล้วส่ายหัวยิ้มๆ

งอนอีกตามเคย เขารำพึงในใจกับตัวเอง

ส่วนอีกคนเมื่อปิดประตูห้องแล้วก็รีบตรงเข้าห้องน้ำ ไปหยุดยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่หน้ากระจกพลางย่นจมูกใส่ตัวเอง เมื่อคิดถึงรสจูบที่ซาบซ่านหวานระรื่นและแสนอบอุ่นของเขาใบหน้าขาวเนียนก็แดงซ่านขึ้นมาอีกทันที

“เผลอให้คนขี้เก๊กนั่นจูบอีกจนได้”  เสียงหวานบ่นพึมพำแต่ริมฝีปากเย้ายวนกลับเผลอยิ้มเขินๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว

รายละเอียด

วิธีการมองของเขาเล่นงานยศสิตาจนหน้าร้อนผะผ่าวและประหม่าขึ้นมาดื้อๆ หล่อนเกลียดสายตาแบบนั้นเป็นที่สุด เหมือนเขากำลังใช้สายตาแทนนิ้วเรียวยาวสัมผัสไปทั่วทุกอณูเนื้อของหล่อนในทุกครั้งที่มีโอกาส แล้วไหนจะแววตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเจือไว้ด้วยความยั่วเย้านั้นอีกล่ะ มันชวนให้เตลิดเพริดไปเสมือนมีมือเกร็งแกร่งสอดเข้ามาในใต้เสื้อของหล่อน ทะลุลอดขอบบราเซียร์ แล้วคลึงขยำส่วนนั้นอย่างเร่าร้อน

          ...คุณพระช่วย!!...

หล่อนเอ่ยเพียงในใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากมนทันที และมีบางจังหวะที่นิ้วปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ช่วยกันรุมจิก ตะบี้ตะบันบีบคลึงที่ปลายถันของหล่อน

เสียงหวานที่ครางกระเส่ายิ่งกระตุ้นเร่งเร้าให้เขาเดินหน้าไม่หยุด มือหนาสอดเข้าไปเกาะเกี่ยวเอาบิกิสีหวานออกไปตามเรียวขาสวย มืออีกข้างช้อนเข้าไปใต้ต้นขาแล้วยกขึ้นจนเนินเนื้อโล่งเปลือยปะทะกับแก่นกายยาวแกร่ง

“พี่พีขา รักเอยนะคะ” เสียงหวานวอนขอการเติมเต็มอย่างซ่านกระสัน

ภูริภัชร์แทบคลั่ง!

“ช่างร้อนแรงได้ใจเหลือเกินเอยจ๋า”

มือหนาเลื่อนลงไปกระชากกางเกงนอนของตนลงไปค้างไว้ที่ต้นขาแล้วกุมกำความมหึมาพาโจนจ้วงผ่านกลีบเนื้อนวลจมดิ่งเข้าไปจนมิดซึ่งผนังอันอ่อนนุ่มก็คลี่แย้มโอบรัดเขาอย่างเต็มใจ

“แน่นจัง แต่เอยชอบค่ะ”

“โอย...เอยจ๋า” ชายหนุ่มครางเสียงแหบโหยเมื่อถูกตอดรัดจนปวดหนึบๆ

“พี่พีขา...อีกนิดนะคะ”

“ได้เลยจ้ะที่รัก” ภูริภัชร์ก้มมองใบหน้าแสนหวานยวนสวาทแล้วจึงกระแทกกระทั้นเลื้อยมุดเข้าออกให้เร็วขึ้นจนกลายเป็นจังหวะเร่าร้อน

เสียงหน้าขากระทบกันดังเปรี๊ยะๆ ผสานกับเสียงครางกระเส่าของทั้งคู่ราวกับมโหรีวงเล็กที่กำลังบรรเลงเพลงสวาทอย่างไพเราะเพราะพริ้ง ดอกไม้สวยรัดรึงความแข็งแกร่งเต็มแรง น้ำหวานถูกกลั่นออกมาไม่ขาดสาย

“พี่จะไม่ไหวแล้วเอยจ๋า...”

“เอยก็เหมือนกันค่ะ” ใบหน้าแสนหวานแหงนเงยเหยเก “เอยรอไม่ไหวแล้ว”

ได้ยินเสียงเว้าวอนปนกระเส่าของสาวสวย ภูริภัชร์ยิ่งเพิ่มการดิ่งลึกเข้าอีกจนกลายเป็นจังหวะถี่ระรัวราวเสียงกองศึก

 

 

สวัสดีค่ะผู้อ่านที่รัก    

พบกับเทียนธีราอีกครั้งในรูปแบบของอีบุ๊คค่ะ โดยเรื่องห้วงรักไฟเสน่หานี้ เคยตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์อินเลิฟในชื่อ ‘พายุสายสวาท’ ในปี ๒๕๕๕ เมื่อหมดสัญญานานาจึงนำมาลงให้อ่านอีกครั้งในรูปแบบของอีบุ๊คค่ะ โดยกลับมาใช้ชื่อเรื่องเก่าที่เคยอัพให้อ่านในเว็บนิยายเมื่อสามปีก่อนซึ่งตอนที่ลงนั้นยอดวิวทะลุล้านเลยเชียว เพี้ยงๆ ขอให้ยอดโหลดเหมือนยอดวิวด้วยเถอะ อิอิ

ทั้งนี้เนื้อหาจะยังคงเดิมทุกประการแต่มีการรีไรท์สำนวนและปรับในส่วนของเลิฟซีนเหมือนต้นฉบับเดิม ส่วนหนังสือที่เป็นรูปเล่มนั้นตอนนี้ที่หน้าเว็บของสำนักพิมพ์หมดลงแล้ว ที่นานาก็ไม่มี แต่น่าจะพอหาได้บ้างในร้านนิยายออนไลน์บางร้านค่ะ

ปีนี้มีนิยายหมดสัญญาอีกสามสี่เรื่องเดี๋ยวนานาจะทยอยเอาลงมาให้อ่าน ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ยังรักกันเรื่อยมาค่ะ

รักค่ะ

เทียนธีร

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024