มือปราบเจ้าหัวใจ (อัคนี)

มือปราบเจ้าหัวใจ (อัคนี)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: มือปราบเจ้าหัวใจ
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 260.00 บาท 65.00 บาท
ประหยัด: 195.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

คำนำ

 

            ชีวิตนี้ไม่เคยเขียนนิยายแอคชั่นมาก่อน แต่อยู่มาวันหนึ่งพี่ทองหลางก็โทร.มาชักชวนให้เขียนนิยายชุดร่วมกันเป็นเรื่องราวของพระเอกสี่เหล่าทัพ ทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ และตำรวจ แวบแรกที่ได้รับสายนั้นคือดีใจที่พี่เขานึกถึงเรา สำนักพิมพ์ไว้วางใจให้เรารับผิดชอบงานสำคัญ ๆ อย่างนี้แล้วก็ตกลงอย่างง่ายดาย(มาก)

                พอจะเริ่มเขียนค่อยมานั่งมึน ฉันจะเขียนอะไรดี เที่ยวได้ขนหนังสือมาอ่าน หาภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศมาดูจนตาแฉะเอามาสร้างแรงบันดาลใจกระทั่งได้ร้อยตำรวจเอกคณินทร์ เวโรจน์ นายตำรวจจากหน่วยป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมาเป็นตัวตั้งสร้างเรื่องราว

            ตลอดการทำงานของเรื่องนี้นอกจากสนุกกับแนวใหม่ ๆ ที่เพิ่งหยิบจับเป็นครั้งแรกแล้วยังได้ทำความรู้จักกับนักอ่านหน้าใหม่ ๆ หลายท่าน ขอขอบคุณที่เป็นกำลังให้กันตลอด ขอบคุณพี่ ๆ อีกสามคน ทองหลาง เฟื่องนคร และอักษรากับการทำงานร่วมกันมาด้วยดี ขอบคุณพี่ทองหลางที่นึกถึงน้องคนนี้ และยังช่วยแนะนำในเวลาติดขัดทั้งยังคอยเป็นกำลังใจในวันพารานอยด์

                ขอขอบคุณคุณทางสำนักพิมพ์ในความไว้วางใจ และอีกครั้ง...ผู้อ่านทุกท่าน

 

ขอบคุณจากหัวใจ

อัคนี

 

สำหรับชีวิตลูกผู้ชายเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์คนหนึ่ง

ชีวิตพลีหมดเพื่อชาติ

แต่หัวใจ...เพื่อเธอเพียงผู้เดียว

 

 

 

 

บทนำ

 

                สามทุ่มห้านาทีกลางซอยเปลี่ยวซอยหนึ่งชายสองคนลงจากท้ายรถมอเตอร์ไซค์โดยไม่สนใจสีหน้าสงสัยของคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง พวกเขาสวมเสื้อสีเข้มโดยคนเตี้ยร่างสันทัดกว่าสวมเชิ้ตลายตาหมากรุกสีดำพาดเทาปล่อยชายคลุมขอบกางเกงยีนส์ ส่วนคนตัวสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดสวมเสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงินเข้มพื้นเรียบ เสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งกลับปากซอยห่างออกไปทิ้งสองหนุ่มต่างวัยเดินโต๋เต๋อยู่ท่ามกลางหญ้าคารกสูงท่วมหัวสองข้างทาง นอกจากพวกเขาแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นเลย...ถ้าไม่นับกบเขียดที่แข่งกันร้องระงมส่งสัญญาณให้พรรคพวกมันรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฝนจะตก

                ผืนฟ้าดำทะมึนเกิดเสียงครืนขึ้นเป็นระยะสลับกับแสงแปลบปลาบ ลมแรงพัดวู่พาเอาเศษฝุ่นผงปลิวว่อนอยู่ในบรรยากาศ เหล่านี้ไม่เหมาะแก่การเดินเล่นแต่ชายสองคนที่เพิ่งลงจากมอเตอร์ไซค์เมื่อครู่กลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน

                “ผู้กองว่าจะเจออะไรมั้ยครับ” จ.ส.ต.ขจรเอ่ยถามชายหนุ่มร่างสูง ไม่ได้ต้องการคำตอบมากไปกว่าทำลายความเงียบวังเวง โดยหน้าที่และอุดมการณ์แล้วขจรหรือจ่าจ้อนไม่หวั่นเกรงเรื่องใดเว้นก็แต่อย่างเดียวที่ทำใจเท่าไหร่ไม่ได้สักที สายตาเหลียวมองรอบ ๆ ดูลอกแลก บางคนเขาว่าผีไม่มีในโลกแต่ใครจะรับประกันได้ล่ะว่ามันไม่มีจริง

                “ใจเย็นจ่า” เสียงกลั้วหัวเราะดังปลอบเมื่อเจ้าตัวเห็นท่าทางกลัวผีขึ้นสมองของคู่หูก่อนวกกลับมาตอบคำถาม “วันนี้ไม่มีวันอื่นก็ต้องมี ข้อมูลประกอบอื่นเราได้มาเกือบครบหมดแล้ว ขาดอีกแค่ขั้นเดียวงานนี้เป็นอันจบ ข้างหน้านั่นแน่ะคำตอบของเรา เดี๋ยวก็รู้”

                คำตอบยาว ๆ ทำลายบรรยากาศชวนขนลุกลงได้มาก ขจรเหลือบมองหัวหน้ากึ่งคู่หูด้วยแววตานับถือเหมือนเช่นเคย จะวันนี้หรือวันแรกทำงานร่วมกันชายหนุ่มอายุน้อยกว่าเขาเกินรอบยังคงความเข้มแข็งมุ่งมั่นพร้อมด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม พลังแรงกล้าของเจ้าตัวกลบเกลื่อนความรู้สึกว่าจ่าอายุมากอย่างเขาต้องมาเป็นลูกน้องเด็กจนหมดสิ้น ยิ่งทำงานร่วมกันมากเท่าไหร่ยิ่งมีความนับถือชายหนุ่มมากขึ้นทั้งยังนึกชอบใจความบ้าบิ่นในหลาย ๆ ครั้ง ถึงวินาทีบุกตะลุยทีไรขจรรู้สึกได้กลับเป็นหนุ่มอีกครั้งทีนั้น

                “เลิกทำตาซึ้งได้แล้วจ่าลงมือเถอะ” ร.ต.อ.คณินทร์เตือนคู่หูขณะทั้งคู่เดินมาจนเกือบสุดซอย เห็นหลังคาโกดังขนาดใหญ่ตระหง่านอยู่ต่อหน้าไม่ไกลจากนั้น ขจรเปลี่ยนทีท่าอย่างคนรู้งาน ควักเหล้าชนิดขวดแบนออกจากข้างเอวเปิดฝาส่งให้หัวหน้าลงมือก่อน คณินทร์รับมาอย่างรวดเร็วเปิดฝากระดกขวดกรอกเหล้าเข้าคออึกหนึ่งก่อนเทส่วนที่เหลือลงบนเสื้อจนเหม็นคลุ้งตลอดร่าง ฝนเริ่มโปรยละอองลงต้อนรับทีละน้อย ขจรรีบทำอย่างเดียวกันเป็นการตบตาศัตรูหากว่าถูกพวกมันจับได้จากนั้นสองร่างอาศัยความมืดวิ่งหลบหลีกเข้าใกล้โกดัง ต้นหูกวางขนาดใหญ่ต้นหนึ่งถูกใช้เป็นที่กำบังอย่างดีแถมโชคยังเข้าข้างส่งฝนกระหน่ำเทลงมาเวรยามเดินขวักไขว่รอบโกดังจึงไม่สนใจนัก

                คณินทร์กับขจรซุ่มดูความเคลื่อนไหวอยู่กว่ายี่สิบนาทีทุกอย่างดูสงบนิ่งไม่มีใครเข้าออก ด้วยสายตาของตำรวจเห็นความผิดปกติก็เพียงการเฝ้าเวรยามแน่นหนาเกินไปเท่านั้น สิบนาทีถัดมาการรอคอยที่เหมือนจะสูญเปล่าดูมีค่าขึ้นเมื่อรถหกล้อคันหนึ่งแล่นเข้ามา คณินทร์ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานทันท่วงทีขณะขจรยกกล้องส่องทางไกลขึ้นดูรถคันนั้นให้ชัดแล้วพึมพำ

                “ไม่ติดป้ายทะเบียน”

จากสถิติผู้กระทำผิดกฎหมายมักเผลอแสดงพิรุธขั้นพื้นฐานเสมอเช่นการใช้ป้ายทะเบียนปลอมหรือไม่ติดเสียเลยอย่างเจ้ารถคันนี้ คณินทร์ไม่มีอาการแปลกใจ เขารู้อยู่แล้วว่ามีความเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ การได้เห็นกับตาอีกครั้งหลังซุ่มสังเกตการณ์ ตามเก็บหลักฐานมานานยืนยันได้ดีทีเดียว ความเคลื่อนไหวบางอย่างนั่น...เป็นเรื่องผิดกฎหมายซึ่งอยู่ในความดูแลของเขาเสียด้วย

รถหกล้อหายลับเข้าโกดังนานราวกับจะไม่กลับออกมาอีกแต่แล้วก็กลับออกมาตอนใกล้เวลาสี่ทุ่มตรง ในความมืดคณินทร์ยังอุตส่าห์สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างแปลกไป ชายหนุ่มทำเสียงหยันในลำคอ

“ขาเข้ารถสีอะไรจ่า”

ขจรนึกอยู่อึดใจ ดวงตาเขาเบิ่งกว้างมองตามรถที่กำลังแล่นลับเมื่อนึกออก “สีขาว! แต่นี่มัน”

“ดำ”

มีการสับเปลี่ยนรถอย่างไม่ต้องสงสัยหรือไม่เจ้าพวกชอบเย้ยกฎหมายก็คงเล่นตลกบางอย่างเพื่อเปลี่ยนสีรถเป็นการหลบหลีกการติดตาม คณินทร์เก็บกล้องขนาดจิ๋วบรรจุกล่องพลาสติกกันน้ำอย่างดีกลับลงกระเป๋ากางเกง ถ้าพวกมันคิดว่ารอดสายตาก็เสียใจด้วย ภาพต่าง ๆ ถูกบันทึกไว้หมดแล้ว

“วันนี้พอแค่นี้ ไปเถอะ”

 

“เฮ้ย พวกมึงเป็นใครวะ” เสียงร้องทักอย่างข่มขู่ดังขึ้นจากทางด้านหลังระหว่างตำรวจคู่หูเดินกลับออกมาตามทางเดิม คนถามกระโจนลงจากรถกระบะ ปิดประตูปังเดินอ้อมมาดักหน้า ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำทั้งมันและฝ่ายตำรวจเปียกโชก สายตาจับผิดมองสองร่างที่ยืนโงนเงนอยู่ครู่ก่อนตรงเข้ากระชากคอเสื้อคณินทร์ “กูถามก็ตอบสิวะ เข้ามาทำไมแถวนี้ ตอบไม่ดีไส้แตกแน่มึง”

ในซอยเปลี่ยวแห่งนี้ไม่มีบ้านคนแม้แต่หลังเดียว ดูมันระแวงเต็มที่กับการปรากฎตัวของชายแปลกหน้าทั้งสอง ฝนตกไม่ลืมหูลืมตาชะกลิ่นเหล้าจางลงกว่าความตั้งใจของคนพรางตัวพอสมควรแต่สภาพที่คนตัวสูงเซถลาตามแรงกระชากคอเสื้อราวกับนกปีกหักกับอาการยืนแทบไม่อยู่ช่วยบอกฝ่ายตรงข้ามถึงระดับความเมาได้ขั้นหนึ่ง สีหน้ามันเริ่มลังเลแต่ปลายมีดสีเงินเงาวับยังคงจ่อช่วงท้องผู้กองหนุ่มนิ่ง

“เอิ๊ก มีด อารายกานเพ่ จายเย็นเย้นอย่าทำโผมเลยค้าบ” คณินทร์ทำเป็นสะอึกเสียงดัง ตะเบ็งตอบมันด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้แข่งกับเสียงฝน ยกมือท่วมหัวไหว้ปลก ๆ

“เมาเรอะ” มันพึมพำเหมือนยังไม่ไว้ใจ จังหวะนั้นขจรที่ทำท่ายืนโงนเงนยิ่งกว่าคณินทร์ เดินขาพันกันเข้าหาเจ้าคนถือมีด ดวงตาปรืออยู่ครึ่ง ๆ กับรอยยิ้มฉ่ำบอกอาการเมา แน่ล่ะว่าคงไม่มีคนสติครบถ้วนคนไหนยิ้มออกท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้

“เฮ่น้อง แถวนี้มีห้องน้ำมั้ยวะ” ระหว่างถามขจรมีอาการพะอืดพะอมเหมือนจะคายของเก่าอย่างเห็นได้ชัด สองตาฉ่ำปรือนอกจากจ้องหน้าคนถูกถามแล้วไม่เหลือบแลคณินทร์แม้แต่นิดเดียว

มือถือมีดคมกริบค่อย ๆ ลดลง สายตามันแสดงความเชื่อขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัยว่ากำลังเผชิญหน้ากับคนเมาหยำเปสองคนจึงไม่คิดสนใจอีก มันปล่อยคอเสื้อคณินทร์แถมด้วยมองเหยียด ๆ เมื่อชายหนุ่มรูดตัวลงนั่งแปะบนพื้นเปียกด้วยสภาพดูไม่ได้ แต่ก่อนจะเดินกลับไปที่รถขจรที่ยังไม่ได้รับคำตอบเรื่องห้องน้ำก็เซแทด ๆ เข้าหามันพร้อมกับย้ำถาม

“เอ้าน้อง ว่างาย” อาการพะอืดพะอมชักมีมากขึ้นทุกที ฝ่ายถูกยึดแขนไว้แน่นสะบัดทำท่าจะผลักแต่ไม่ทัน...

-โอ้ก-

“เฮ้ย! ไอ้ห่าเอ๊ย”

ของเหลวกลิ่นเหม็นเปรี้ยวพุ่งออกจากปากขจรพรวดใส่เสื้อ คนถูกอ้วกใส่สบถลั่นเงื้อหมัดจะซัดเข้าให้ด้วยความโมโหแต่ต้องรีบเปลี่ยนใจผลักขจรออกห่างก่อนจะถูกอีกฝ่ายอ้วกรดอีกรอบด้วยความหงุดหงิด เดินกลับรถอย่างหัวเสีย

ไฟท้ายแดงวาบท่ามกลางสายฝนห่างสายตากลับเข้าไปทางโกดัง คนขับไม่เห็นว่าลับตาแล้วคนเมาทั้งสองดีดตัวลุกขึ้นท่าทางคล่องแคล่วราวกับตัวติดสปริงก่อนระเบิดเสียงหัวเราะ

“ผมเพิ่งรู้ว่าจ่าคอนโทรลอ้วกได้ด้วย”

“เมื่อเย็นกินมากไปหน่อยต่างหากล่ะครับ พอล้วงคอนิดเดียวก็ออกมาเลย” แววตาขจรยังเต้นระริกด้วยความขบขัน สะใจกับการแก้คืนเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อครู่

พวกเขาไหวตัวตั้งแต่ได้ยินเสียงรถไล่หลังแล้วจึงแกล้งเดินโงนเงนตามแผนสำรองยามถูกพวกมันพบเห็น คณินทร์ชูนิ้วโป้งให้คู่หู “เยี่ยมยอด รีบไปดีกว่าจ่าก่อนพวกมันจะกลับออกมาอีกรอบ”

 

“ในนี้ไม่มีบ้านคนนี่” คณินทร์พึมพำ ขจรพยักหน้าเห็นด้วย อีกไม่เท่าไหร่พวกเขาจะถึงปากซอยแต่ตลอดสองข้างทางนอกจากป่าหญ้ารก ๆ แล้วไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดพอให้นึกออกว่าแท็กซี่จะขับเข้ามาส่งผู้โดยสารที่นั่น เว้นแต่โกดัง

ต่างสบตากันแวบหนึ่ง รีบกระโจนลงป่าหญ้าข้างทาง แท็กซี่คันดังกล่าวขับผ่านไปหลังจากนั้น เสียงรถควรจะดังไกลออกไปทว่าไม่นานมันกลับจอดนิ่งลงใกล้ ๆ ที่ซ่อนตัวนายตำรวจทั้งสอง คณินทร์รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลชะโงกมองรถต้องสงสัยจอดติดเครื่องเปิดไฟฉุกเฉิน เขาไม่แน่ใจว่าในรถมีผู้โดยสารหรือไม่กระทั่งพยายามมองฝ่าสายฝนเห็นเงาดำในรถเคลื่อนไหวเกินหนึ่ง เงานั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว...ผิดปกติ

ด้วยสัญชาตญาณ คณินทร์พุ่งตัวนำหน้าขจรออกไปอย่างรวดเร็ว รถแท็กซี่โยกสั่นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเข้าใกล้ ภายในห้องโดยสารกำลังเกิดการต่อสู้ระหว่างคนสองคน คนร่างใหญ่หันหลังจึงไม่เห็นคนภายนอก แต่ฝ่ายตัวเล็กกว่ามองเห็น อาศัยเรี่ยวแรงฮึดทั้งถองและถีบ ตะกายเปิดล็อกประตูจนสำเร็จ ร่างนั้นกระโจนพรวดหนีออกจากรถ ผมยุ่งเสื้อผ้าหลุดลุ่ย อย่างที่คณินทร์เห็นแล้วโทสะพุ่งทะยานตรงเข้าตะปบคนขับแท็กซี่หื่นกาม เสยหมัดเข้าปลายคางหมัดเดียวสลบไม่ทันต่อสู้ใด ๆ

ขจรมองอย่างทึ่งทั้ง ๆ รู้อยู่เต็มอกถึงความสามารถด้านหมัดมวยของหัวหน้า ท่ามกลางสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเจ้าตัวไม่วายพึมพำ “สุดยอด!”

คณินทร์ยักไหล่ เขาแค่จะสั่งสอนเดนมนุษย์ก่อนจับเข้าตะราง มันดันใจเสาะสลบเหมือดไปซะก่อน ก็ดีจะได้ไม่ต้องเหนื่อยแรงมาก ชายหนุ่มส่งต่อคนขับแท็กซี่และหน้าที่ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของพื้นที่รวมถึงรถพยาบาลให้ขจร ตัวเองย่อเข่าลงตรงหน้าหญิงสาวท่าทางตื่นตระหนก นั่งคุดคู้ซุกหน้ากับหัวเข่าอย่างกลัวสุดขีด

“คุณปลอดภัยแล้ว” มือที่วางลงบนบ่าบอบบางชะงักรีบชักกลับ กัดกรามแน่นกับอาการสะดุ้งสุดตัว หญิงสาวเคราะห์ร้ายเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างตื่น ๆ แว่นกรอบหนาสีขาวฝ้าพรายด้วยหยาดน้ำฝน ปากบางสั่นระริกขณะเจ้าตัวพึมพำ

“ขอบคุณนะคะ” ยังไม่ทันได้ยินหล่อนเอ่ยต่อจากนั้นร่างก็พับลงในอ้อมแขนผู้กองหนุ่มที่รีบผวารับไว้ทันท่วงที

“คุณ!”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1

 

                เสียงพูดคุยใกล้หูดังบ้างเบาบ้างเกิดขึ้นตลอดเวลาแต่ ‘มินตรา’ ไม่อาจจับความได้ว่าพวกเขาพูดว่าอย่างไร รู้สึกเพียงแต่ว่าร่างกายเจ็บระบมถูกยกขึ้นวางบนพื้นที่เรียบค่อนข้างนิ่ม ภายในนั้นหนาวจัดจนอยากยกมือขึ้นกอดอกแต่ไม่มีแรงพอ

                “ฝากด้วยนะครับ”

                เสียงห้าวทุ้มของใครคนหนึ่งคล้าย ๆ เหมือนเคยได้ยิน มินตราพยายามนึกด้วยสติกึ่งหลับกึ่งตื่นทั้งยังฝืนจะลืมตาให้ได้หากก็ไร้ผลอีกเหมือนเดิม

                “ไม่ต้องห่วงครับเดี๋ยวทางเราจะเร่งติดต่อญาติ”

                จากคำตอบนี้มินตราคิดว่าใครคนนั้นคงวางใจพอจะจากไปจึงไม่มีเสียงตอบกระทั่งหล่อนรู้สึกถึงสัมผัสอ่อนโยนบนหลังมือ กับเสียงกระซิบมั่นคง

                “ก็แค่ฝันร้าย ไม่ต้องห่วงอะไร ขอให้ตื่นมาอย่างสดใสนะครับ”

                เขาจะไปแล้วหรือ...มินตราอยากคว้ามือเขาไว้ ลุกขึ้นมองหน้าให้ชัดอีกหน่อยหลังจากเริ่มจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงเดียวกับชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตไว้ ถ้าได้ขอบคุณสักครั้งคงดี

มืออบอุ่นละจาก ความมืดโรยตัวลงกดทับมากกว่าเดิม มินตราไม่ได้ยินเสียงใดอีก มีเพียงความเงียบเย็นห้อมล้อมตัว

 

กลิ่นยา...มินตรารู้สึกตัวอย่างสะลึมสะลือพร้อมกับจมูกได้กลิ่นฉุนที่ตนเกลียดแสนเกลียด พอลืมตาได้สัมผัสก็ต้องรีบหลับลงใหม่เมื่อถูกแสงสีขาวจัดจ้าแยงตา ครู่หนึ่งหญิงสาวจึงทำสำเร็จ สิ่งที่ปรากฎแก่สายตาคือเพดานสูงสีขาวสะอาด มินตราเอียงหน้านิดหนึ่งไปตามทิศทางเสียงกุกกักใกล้ตัว เห็นพยาบาลสาวท่าทางใจดีกำลังส่งยิ้มปลอบโยน

“คุณอยู่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ต้องตกใจนะคะ แค่ฟกช้ำและตกใจมากจนหมดสติเท่านั้น”

ตกใจมาก? มินตราทวนคำพยาบาลสาวในใจแล้วนึกย้อนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อย่างช้า ๆ หล่อนทำงานเกินเวลาแทบทุกวัน บางวันค่อนข้างดึกแต่ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดชวนหวาดผวาเหมือนเมื่อคืน ออกจากออฟฟิซหล่อนเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง คนขับเป็นตาลุงอัธยาศัยดีชวนคุยได้ไม่หยุด แต่เพราะทำงานหนักติด ๆ มาหลายวัน ต้องตื่นเช้านอนดึกตลอดทำให้ทนความง่วงไม่ไหวเผลอหลับ มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนรถแท็กซี่เลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยว ตอนนั้นตกใจสุดขีดจำได้ว่าร้องถามออกไปเสียงสั่น

“มาผิดทางหรือเปล่าคะลุง”

คนขับเงยขึ้นส่งยิ้มใส่กระจกมองหลัง “ไม่ผิดหรอกหนู นี่มันทางลัด”

“ทางลัด?” ไม่ใช่ร่ำรวยมาจากไหน แต่ถ้าไปตามทางปกติหล่อนก็มีจ่าย ไม่เห็นต้องพาเข้าทางลัดเปลี่ยว ๆ อย่างนี้เลย ขณะกำลังงงกึ่งระแวงลุงคนขับเอ่ยด้วยเสียงชวนผวา

“ทางลัดไปสวรรค์ไงหนู”

เสียงหัวเราะต่อจากประโยคนั้นท่ามกลางสายฝนกระหน่ำภายนอกรถชวนให้นึกถึงหนังฆาตกรรม ใจหล่นร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มแต่พยายามใจดีสู้เสือ

“แหมลุงมุขเยอะจังค่ะ อีกไกลมั้ยคะกว่าจะถึง” ปากถามตามองหาทางหนีทีไล่แล้วหน้าเสีย นอกจากสายฝนกับความมืดก็เห็นแต่หญ้ารกสูงท่วมหัว ไม่เห็นบ้านคนสักหลัง...นะโมตัสสะ ป้าจันขาช่วยมินต์ด้วย!

คนขับแท็กซี่ตอบคำถามด้วยการจอดรถแถมปีนข้ามจากเบาะคนขับมาด้านหลัง นาทีนั้นมินตราสวดมนต์ไม่จบบท เบิกนัยน์ตาหลังแว่นกว้างปากคอสั่น กระโจนหนีชายวัยกลางคนจนหลังติดประตู

“จะไปไหนเล่า สวรรค์อยู่นี่แล้วเดี๋ยวพี่พาไปนะน้องนะ”

“ลุงปล่อยหนูไปเถอะ หนูไม่มีเงินให้หรอก” ใจจริงอยากด่าซะให้แสบแต่นาทีนี้หลังจากคำนวณผลได้ผลเสียในเวลาอันจำกัดมินตราคิดว่าลองใช้ไม้อ่อนดูก่อนไม่น่าเสียหาย...แต่ก็ไม่ได้ผล

คนขับหื่นกามเลียปากแผล็บ ลากขาหล่อนเข้าหาตัว “เงินไม่เอาหรอก อยากได้น้องต่างหาก”

กรี๊ด!!!

จากนั้นมินตราไม่รู้แล้วว่าเหวี่ยงมือเท้าถูกส่วนใดของคนใจทรามบ้าง ความต้องการมีแค่หลุดพ้นจากมันให้ได้ แต่เรี่ยวแรงน้อยนิดเทียบไม่ได้เลยกับผู้ชายร่างกำยำ พอหล่อนสู้ไม่ยอมง่าย ๆ ตาลุงคนขับจึงทั้งตบทั้งต่อยทึ้งผมเมื่อหล่อนตะเกียกตะกายหนี ความเจ็บปวดแล่นทั่วร่างกายยังไม่เท่าตกใจสุดขีดเพราะเสียงเสื้อขาดด้วยน้ำมือหยาบ

เป็นหลานป้าต้องสู้คน จำไว้นะ...ป้าจันสอนเสมอตั้งแต่จำความได้ มินตรากัดฟันแน่นข่มความเจ็บปวด ฮึดเฮือกสุดท้ายถีบมันเต็มแรงแล้วเปิดประตูพุ่งตัวออกมา จังหวะนั้นเองที่ผู้ชายคนหนึ่งตรงเข้าจัดการกับคนขับ หล่อนไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้แต่ว่าพอหลุดออกจากรถ แทนที่จะวิ่งหนีกลับขาสั่นนั่งซุกหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น จนเสียงหนึ่งดังขึ้น

“คุณปลอดภัยแล้ว”

 

“ใครพาฉันมาส่งโรงพยาบาลคะ” มินตราเอ่ยถามนางพยาบาลคนเดิม

“ดิฉันเพิ่งเข้าเวรเมื่อเช้า ไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ”

“งั้นเหรอคะ” พึมพำเสียดาย “ไม่เป็นไรค่ะขอบคุณมาก”

นางพยาบาลคงเห็นหล่อนทำท่าจะถามอีกจึงตัดบทว่า “ถึงอาการไม่สาหัสแต่คุณบาดเจ็บไม่น้อยเลยนะคะ พักผ่อนเถอะค่ะ ทางโรงพยาบาลแจ้งให้ทางบ้านคุณทราบแล้ว ป่านนี้คงกำลังมา”

 

                รถกระบะสี่ประตูแล่นเลี้ยวเข้าจอดหน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาลด้วยความเร่งร้อน เสียงล้อเบียดถนนดังสนั่นทำให้ผู้คนบริเวณนั้นมองด้วยสายตาตำหนิแต่ดูเหมือนคนในรถดังกล่าวไม่สนใจมากนัก ประตูสามด้านเปิดผางออก หญิงวัยกลางคนอ้วนหนึ่งผอมหนึ่งกับเด็กชายท่าทางคล่องก้าวพรวดลงมา

                “จอดตรงนี้ไม่ได้นะครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวิ่งมาเตือนสีหน้าก้ำกึ่งระหว่างตำหนิกับเกรงใจ

                “รู้แล้วน่า” จันทรา หญิงวัยกลางคนเจ้าของร่างผอมตอบเสียงดัง ชะโงกหน้ากลับเข้ามาสั่งคนขับ “หาที่จอดแล้วตามมานะโว้ย ข้าไปก่อนล่ะ”

                ร่างผอมเดินอาด ๆ ไม่รอใคร ใจลอยละลิ่วไปหาหลานสาวตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล มันน่าแค้นใจอยู่นิดเดียวตรงที่เหตุเกิดวันที่หล่อนไปงานขึ้นบ้านใหม่ของเพื่อนที่กาญจนบุรี

                “รอข้าด้วยสิโว้ยนังจัน” เนียมพาร่างตุ้มตุ้ยเดินตามเพื่อนแทบไม่ทันไม่เหมือนเด็กชายวัย 7 ขวบที่วิ่งปรูดนำหน้าไปก่อน ไวอย่างกับปรอท

                “เร็วเข้าสิ ข้าใจร้อน ป่านนี้หลานข้าเสียขวัญถึงไหนแล้วไม่รู้”

                ในชีวิตจันทรา เรื่องความรักไม่เคยกรายใกล้ ในสมองมีแต่งานกับเงิน คำนวณกำไรขาดทุนจนเป็นสาวเทื้อคาบ้านแต่เจ้าตัวไม่เดือดร้อน มีน้องสาวคนหนึ่งเป็นสาวสวยอ่อนหวานแตกต่างกับหล่อนอย่างสิ้นเชิง ด้วยความสวยน่ารักนี้เองทำให้มีหนุ่ม ๆ คอยขายขนมจีบและแต่งงานไปตั้งแต่อายุยี่สิบสาม แต่ความรักหวานชื่นกลับไม่จีรัง อยู่กันแค่ปีเดียวไอ้เจ้าน้องเขยตัวดีเริ่มออกลายเจ้าชู้ต้องเลิกรากันในที่สุดทั้ง ๆ ตอนนั้นน้องสาวหล่อนกำลังตั้งท้องอ่อน ๆ

                “ช่างหัวมัน ไม่มีพ่อแต่ลูกเอ็งก็มีป้านะโว้ย” จันทราประกาศตัวพร้อมดูแลน้องสาวอย่างดีกระทั่งถึงวันคลอด ทันทีที่ได้สบตาหลานตัวน้อยหล่อนก็หลงรักเข้าเต็มเปา วันนั้นเองเป็นวันเดียวกับที่ต้องสูญเสียน้องสาวไปตลอดกาล

                “ห้องไหนเหรอยาย” ลูกเต๋าหันมาร้องถามด้วยความเป็นห่วงพี่มินต์อยากเยี่ยมเร็ว ๆ

                “1102 นั่นไง” จันทราตอบตามที่ได้สอบถามพยาบาลไว้ก่อนหน้านี้ แค่เห็นป้ายหมายเลขห้องทั้งสามดูเหมือนจะมีแรงเดินมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า ลูกเต๋าไวกว่าเพื่อนวิ่งนำไปก่อน จัดแจงเปิดประตูให้ยาย ๆ ทั้งสอง

                ภายในห้องพักพิเศษเงียบสงบ จันทราปราดเข้ายืนชิดเตียงและเพียงแค่เห็นรอยช้ำบวมบนใบหน้าหลานรักน้ำตาก็ปริ่มด้วยความสงสาร

                “อย่าร้องไห้ซีวะเดี๋ยวหลานมันตื่นมาเห็นใจเสียหมด” เนียมเตือนเพื่อนแถมขึงตาใส่หลานไม่ให้ปลุกคนบนเตียง

            จันทรารีบปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะยิ้มกว้างรับขวัญหลานสาวที่ลืมตาขึ้น “มินต์”

                “ป้า ป้าเนียม” มินตราโผกอดจันทรา ส่งยิ้มให้เนียมทำเหมือนไม่เห็นคนตัวเล็กอีกคนจนโดนประท้วง

                “หนูก็มานะพี่มินต์” ลูกเต๋าเขย่งเกงกอย ยิ้มอวดฟันหลอ

                “มาเยี่ยมพี่เหรอ”

                “ใช่ หนูจะมาอัดไอ้คนที่ทำพี่มินต์เจ็บ”

                ท่าทางชกลมแบบเอาเป็นเอาตายด้วยกำปั้นเล็ก ๆ ดูยังไงก็ไม่น่าทำให้คนถูกชกเจ็บได้ แต่มินตราเห็นแล้วซึ้งใจ “ขอบใจนะ”

                เหตุเพิ่งเกิดหมาด ๆ เมื่อคืน การพูดพาดพิงถึงทำให้ดวงตาสุกใสหม่นลงนิดหนึ่ง จันทราสบตาเนียมอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปหลานสาวแสนสดใสคนเดิมอาจจะหายไป ผู้เป็นป้าแท้ ๆ โยกศีรษะหลานสาว พูดเสียงดัง

                “ทำหน้าให้มันดี ๆ ซิวะ เป็นหลานป้ามันต้องถึก ๆ ไหนดูซิ” จันทราเชยคางมินตราสำรวจร่องรอยถูกทำร้าย ในใจอยากแล่นไปจัดการกับคนทำซะเดี๋ยวนี้ แต่เพื่อปลุกปลอบกำลังใจ จำต้องทำทีเหมือนเรื่องร้ายแรงนี้ไม่มีอะไร...ต่อหน้าหลาน “โฮ้ยสบายมาก หน้ายังสวยเช้ง เนื้อตัวไม่บุบสลาย ไม่เป็นไรแล้วอีกประเดี๋ยวก็เดินปร๋อกลับบ้านได้”

“จริงจ้ะ หนูคองเซิม”

“คอนเฟินโว้ยริจะพูดเสือกพูดไม่ถูกอีกไอ้เต๋านี่” เนียมเขกกะโหลกหลานชายดังโป๊ก

คนกำลังเสียขวัญได้ยินยายหลานเถียงกันแล้วหัวเราะคิก “ป้าเนียม คอนเฟิร์มต่างหากล่ะ”

“อ้าวเหรอ เออ ๆ นั่นแหละ”

เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน ปัดเป่าบรรยากาศสีหม่นหายเป็นปลิดทิ้ง

               

หลังรอผลตรวจร่างกายอย่างละเอียด จันทราได้รับรายงานจากแพทย์เจ้าของไข้ว่ามินตราปกติดีทุกอย่างหล่อนค่อยสบายใจ มินตรารีบเปลี่ยนชุด อยากกลับบ้านใจจะขาด โรงพยาบาลต่อให้สะดวกสบายแค่ไหนก็ไม่ใช่สถานที่น่านอนเลยสักนิด แต่งตัวเสร็จ ถ้าไม่นับรอยบวมช้ำบนใบหน้าและแขนขา สีหน้าหญิงสาวยังคงสดใสประดับด้วยรอยยิ้มสว่าง ด้วยกำลังใจที่ได้รับจากคนใกล้ชิด มินตราลุกขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว หล่อนไม่ยอมเก็บฝันร้ายเมื่อคืนมาทำให้ตัวเองเสียกำลังใจง่าย ๆ เสียแต่ว่าจากนี้คงเข็ดขยาดแท็กซี่ไปตลอดเท่านั้นเอง

“เสร็จละค่ะ”

“อืม งั้นไปกันเลย เดี๋ยววันนี้ป้าจะทำของอร่อยให้กิน”

“ป้าด้วย” เนียมอาสา ลูกเต๋าพยักหน้าหงึก ๆ เป็นลูกคู่

“ขอบคุณค่ะ งั้นมินต์จะกินให้พุงกางเลย อ้าวลุงเสือมาด้วยเหรอคะ” กระพุ่มไหว้ผู้มาใหม่

“มาสิวะ มารับคนแถวนี้กลับบ้านไงล่ะ” เสือผัวยายเนียมรับไหว้ ตอบกลั้วหัวเราะ

“งั้นก็ไปกันเลย” จันทราว่า จูงมือมินตราออกจากห้อง

ชักขบวนผ่านมาถึงเคาน์เตอร์ด้านหน้ามินตราทำท่าเหมือนนึกบางอย่างได้ “เดี๋ยวค่ะป้า”

“มีอะไรเรอะ”

“หนูมีเรื่องอยากถามคุณพยาบาลหน่อย ป้ารอแป๊บนะ” แต่ความอยากรู้ จันทราจึงตามหลานสาวแจทำให้ได้ยินคำถามเต็มสองหู “ขอโทษนะคะ ช่วยเช็กได้มั้ยว่าเมื่อคืนใครพาดิฉันมาส่งโรงพยาบาล”

มินตราถามพร้อมแจ้งชื่อนามสกุล พยาบาลตรวจสอบอยู่ครู่ก็ได้คำตอบว่า “ทราบแต่เป็นพลเมืองดีค่ะ ไม่ได้แจ้งชื่อไว้ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เปล่าค่ะ ขอบคุณมาก”

เสียดายจัง...แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามยังไม่รู้แล้วจะขอบคุณเขาได้ที่ไหน มินตรานึก ยังดีที่ท่ามกลางความมืดและสายฝนหล่อนยังจดจำเขาไว้ได้ทั้งน้ำเสียงและหน้าตา...

 

เสียงเคาะขวดเหล้าว่างเหล่าประสานกับร้องเพลงถูกบ้างไม่ถูกบ้างของชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ดังลั่นซอย คนเดินผ่านไปมาหลายคนเบ้หน้าให้เหล่าขาเมา บางคนอดรนทนไม่ไหวถึงกับนินทาระยะเผาขน

“คนเดี๋ยวนี้แย่นะวัน ๆ กินแต่เหล้างานการไม่ทำ ดูซิกลางวันแสก ๆ เมาเละซะแล้ว”

“เบา ๆ สิเธอ” เพื่อนสาวเอ่ยเตือนรีบฉุดแขนคนช่างนินทาเดินห่างวงเหล้าหน้าร้านขายของชำให้เร็วที่สุด ใคร ๆ เขาก็ว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา แล้วยิ่งเกิดคนเมาอาละวาด ร้อยละร้อยหาคนช่วยไม่ค่อยได้

ประโยคด่าลอยลมเมื่อครู่ดังพอให้ขาเมานั่งใกล้ทางเดินที่สุดได้ยิน เขายิ้มสมคะเน...แสดงว่าละครฉากนี้เนียนพอ

“คุณได้ความว่าไงบ้าง” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเข้ม แต่งกายด้วยเสื้อยืดคอกลมลายยี่ห้อเครื่องดื่มชูกำลังทับในกางเกงยีนสีมอเอ่ยถามชายหนุ่มนั่งชิดกันทางด้านซ้ายทั้ง ๆ ริมฝีปากประดับรอยยิ้ม นัยน์ตาเยิ้มฉ่ำอย่างคนเมา

“จะมีการนัดส่งของกันวันนี้แน่นอนครับท่าน”

“ของคุณล่ะ”

คำถามนี้จำเพาะให้คณินทร์ตอบ ในอ้อมแขนชายหนุ่มกอดถังพลาสติกใส่น้ำแข็งว่างเปล่าจับมันคว่ำลงใช้ต่างกลอง มือยังเคาะตามจังหวะเพลงร้องลั่น ๆ ชวนหนวกหูแต่ปากตอบเป็นงานเป็นการ

“เหมือนกันครับ”

“แน่ใจหรือว่าไม่ใช่ข่าวลวง” ชายขี้เมาอายุมากสุดในกลุ่มหรือแท้จริงก็คือพันตำรวจตรีเจษฎาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

เกมตำรวจจับผู้ร้ายในโลกคอมพิวเตอร์ไม่ยากเกินพิชิต แต่ในโลกความเป็นจริงซับซ้อนกว่ามาก เหล่าผู้ร้ายมืออาชีพขยันหาวิธีพลิกแพลงรับมือกับทางการไม่เคยซ้ำ ในสายงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดก็เช่นกัน การปล่อยข่าวลวงถูกใช้มาตลอดทำให้การสืบหาตัวต้นตอเป็นไปอย่างยากเย็น สายสืบจำนวนไม่น้อยถูกจัดการ ทำร้ายร่างกายไปจนถึงฆ่าทิ้ง สายตาเจษฎาหยุดอยู่ที่ลูกน้องมือดี คณินทร์ เวโรจน์ เป็นหนึ่งในกลุ่มถูกพวกพ่อค้ายาหมายหัว ทุกวันนี้เจ้าตัวถึงต้องทำตัวประหนึ่งขอมดำดิน

“ผมแน่ใจ” คณินทร์ตอบ

ทำให้แววตาหนุ่มขี้เมาทั้งวงเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นวูบหนึ่ง ได้ยินเช่นนั้นเจษฎาจึงพยักหน้า สั่งการดังพอให้ได้ยินเฉพาะกลุ่ม

“งั้นก็ลุย ลงมือตามแผน”

 

เย็นวันเดียวกันชายหนุ่มกลุ่มดังกล่าวมาพร้อมกันยังจุดนัดหมายได้แก่โรงงานน้ำแข็งแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร หลังจากสืบรวบรวมข้อมูลมาเป็นแรมเดือนถึงได้ความว่าพ่อค้ายารายนี้ปล่อยข่าวลวงให้ตำรวจหัวหมุนและทำการซื้อขายยาสำเร็จอยู่หลายครั้ง นำมาซึ่งความเจ็บใจฝ่ายตำรวจ

หน้าโรงงานน้ำแข็งค่อนข้างพลุกพล่านทั้งจากรถขับผ่านไปมา พ่อค้าแม่ขาย คณินทร์ในฐานะหัวหน้าทีมพยักหน้าให้กับนายตำรวจคนอื่น ๆ ที่ต่างอยู่นอกเครื่องแบบ กลุ่มหนึ่งแต่งตัวเหมือนจิ๊กโก๋ท้ายซอยยึดเอาลานโล่งหน้าโรงงานเป็นสนามฟุตบอล

“ไข่ปิ้งครับไข่ปิ้ง” เสียงร้องขายของดังแทรกความจอแจพร้อมกับคณินทร์ในชุดม่อฮ่อมเก่า ๆ หาบไข่ปิ้งกับข้าวเหนียวย่างมาหยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงงาน

“ขายยังไงน้อง” คนงานโรงน้ำแข็งสวมแต่กางเกงตัวเดียวเพื่อความสะดวกในการทำงานเร่เข้ามาทันทีที่เห็นของกินปะทังความหิว

“สามใบยี่สิบ ข้าวเหนียวห่อละสิบ รับอย่างไหนดีลูกพี่” คณินทร์ถามเสียงกวน

ลูกค้าหันไปตะโกนถามพรรคพวกก่อนหันมาสั่ง “ไข่ปิ้งยี่สิบขอซอสเยอะ ๆ ล่ะ”

“ครับ ๆ”

ระหว่างก้ม ๆ เงย ๆ หยิบไข่ใส่ถุงคณินทร์ไม่หยุดมือสักนิดเมื่อลูกค้าขี้สงสัยถามขึ้นว่า “เพิ่งมาขายแถวนี้เหรอไม่เคยเห็นหน้า”

“อ่อครับ อยู่บ้านนอกอดแห้งอดแล้งมาหาบไข่ปิ้งขายดีกว่าเยอะ”

เหมือนคำตอบจะกระทบใจคนถาม ฝ่ายนั้นพยักหน้าท่าทางเห็นอกเห็นใจ รับถุงไข่ปิ้งแล้วยื่นแบงก์ยี่สิบให้ “เออ ๆ ขอให้ขายดี ๆ รวยเมื่อไหร่อย่าลืมเอาตังค์ไปทำหน้าล่ะ เห็นใกล้ ๆ แล้วตกใจว่ะ”

คณินทร์รีบยกมือขึ้นปิดรอยบากลึกบนแก้มขวาเหมือนอับอายพลางเอ่ยขอบคุณลูกค้าคนแรก ฝ่ายนั้นไม่ได้รู้เลยว่านอกจากหน้าแท้จริงจะไม่มีรอยแผลใด ๆ แล้วตัวเขายังไม่ใช่ดำเป็นถ่านเหมือนที่เห็นอยู่ตอนนี้เสียด้วย

เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงรถแวนสองคันถึงแล่นตรงมา คณินทร์มองเขม็งยังรถเป้าหมายจนแน่ใจ ก้มหน้าต่ำเหมือนจัดของกระซิบสั่งเป็นรหัสผ่านวิทยุสื่อสารเครื่องจิ๋ว

“น้ำมาปลากินมด”

รถแวนสองคันบีบแตรดังสนั่นแหวกผู้คนในซอยแคบ ๆ เข้ามา กลุ่มที่ได้รับรหัสสัญญาณวิ่งเลี้ยงบอลไม่สนใจว่าจะถูกรถชน หมายมั่นแต่จะเตะเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามจนได้เรื่อง...

-เอี๊ยด-

รถคันหน้าเบรกกะทันหัน คนรถเปิดประตูลงมาสีหน้าถมึงทึง สบถลั่น “ไอ้เวรเอ๊ย ตรงนี้ไม่ใช่สนามบอลนะโว้ย”

“โทษครับพี่ ๆ” กลุ่มนักฟุตบอลผงกหัวขอโทษขอโพย

คนขับมองตาขวาง สายตานั้นส่งเลยไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าโรงงาน “ทำไมไม่ดูแล ปล่อยให้ไอ้พวกนี้มาป้วนเปี้ยนเต็มไปหมด”

เท่านั้นเองที่ชายร่างผอมในชุดเสื้อสีฟ้าอ่อนกางเกงสีดำขยับกุลีกุจอเดินกึ่งวิ่งพร้อมกับเป่านกหวีโบกมือไล่สิ่งกีดขวางหน้าโรงงานแตกกระเจิง พ่อค้าแม่ค้าเข็ญรถบ้างหาบบ้างหนีเป็นการใหญ่ ไม่ใช่กลัวยามจอมขี้เกียจแต่เป็นคนขับหน้าดุต่างหาก

“โอ๊ย ๆ พี่เดี๋ยว เพื่อนผมมันยังเก็บบอลอยู่ใต้ท้องรถ”

เสียงร้องตกใจสุดขีดตอนคนขับกระโดดกลับขึ้นรถเตรียมเหยียบคันเร่งนั่นเองทำให้หน้าดุนั้นเขียวสลับแดงด้วยความโกรธเข้าไปอีก ชะโงกหน้าออกจากหน้าต่างตะโกน “รีบเลยนะมึง แบนติดถนนไม่รับประกัน”

“ขอบคุณครับ ๆ” ลูกบอลพลาสติกถูกหยิบออกจากใต้ท้องรถจนได้ รถแวนสองคันขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว หน้าโรงงานไม่เหลือใครอยู่อีก...แม้แต่พ่อค้าขายไข่ปิ้ง

 

หลังจากโดนไล่ตะเพิด พ่อค้าแม่ค้าต่างแตกฮือพ้นมาจากหน้าโรงงานน้ำแข็ง เสียงบ่นพึมพำดังให้ได้ยินเป็นระยะ คณินทร์หาบกระจาดไข่ปิ้งวิ่งรวมกลุ่มมาติด ๆ จนถึงมุมตึกไม่ไกลจากนั้น เขาวางหาบลงทำท่าปลดกางเกงเหมือนจะปลดทุกข์เบา รอกระทั่งคนอื่น ๆ ผ่านไปจนหมดจึงผลุบหายเข้าไปในซอยเดินสวนกับชายหนุ่มอีกคนที่สวมชุดเหมือนกันราวกับแกะตรงเข้าหาบกระจาดไข่ปิ้งแทน

เกือบสุดซอยมีแยกเล็ก ๆ คณินทร์เดินกึ่งวิ่งทะลุออกมาอีกซอยหนึ่งแทบพร้อมกับรถตู้ติดสติ๊กเกอร์ยี่ห้อลูกอมหลากสีจอดรับ

คณินทร์กระโดดผลุงเข้ารถที่ขจรรีบปิดประตูตามหลัง ขยับเข้านั่งประจำตำแหน่งหน้าจอมอนิเตอร์ต่อสายพ่วงระโยงระยาง พรมนิ้วบนแป้นคีย์บอร์ดป้อนคำสั่งที่มีแต่คนสร้างมันขึ้นมารู้ เพียงสามวินาทีบนหน้าจอก็ปรากฎภาพจากกล้องจิ๋วที่จิ๊กโก๋จอมปลอมลอบติดใต้ท้องรถในตอนแกล้งมุดเข้าไปเก็บบอล

“ชัดแจ๋วเลยผู้กอง” ขจรออกปากชม อดตื่นเต้นกับ ‘ของเล่น’ ของหัวหน้าไม่ได้สักที

ผู้กองหนุ่มแห่งหน่วยป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกระชากยางเหนียวทำเป็นรอยบากบนหน้าออกด้วยความรำคาญ อีกมือหนึ่งคว้าจอยสติ๊กแบบเดียวกับที่ใช้เล่นเกมเมื่อยังเด็ก

“ยังหรอกจ่ามันต้องดูหลังจากนี้” คณินทร์เอ่ยยิ้ม ๆ ขยับมือบังคับจอยสติ๊กส่งเจ้าของเล่นหน้าตาเหมือนแมลงสาบวิ่งจู๊ดจากใต้ท้องรถที่จอดสนิทพล่านตามคันบังคับไม่ต่างจากกำลังเล่นเกม กล้องประสิทธิภาพสูงเล็กจิ๋วที่ประดิษฐ์อยู่นานมีทั้งที่ตาทั้งสองข้างเพื่อมองมุมด้านหน้ากับยอดสุดของหนวดสองเส้นเพื่อมองรอบทิศทาง

แมลงสาบอิเล็กทรอนิกส์วิ่งไปไม่เท่าไหร่ก็เก็บภาพชายเป้าหมายได้ คณินทร์กดปุ่มEnterเพื่อบันทึกภาพนิ่งโดยที่ระหว่างนั้นบันทึกวีดีโอไปพร้อมกัน

ขจรสังเกตการณ์อยู่ใกล้ชิดดูภาพอย่างตั้งใจสลับกับมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของผู้กองหนุ่ม “ผมว่าถ้าผู้กองไม่เอาดีทางตำรวจ ไปเป็นอัจฉริยะทางคอมพ์ได้สบายมาก”

แวววูบไหวผ่านนัยน์ตาคมแวบหนึ่ง คำตอบเรียบไม่บอกความรู้สึก “นั่นล่ะจ่าความฝันผมตอนเด็ก ๆ ล่ะ”

ความฝันของเด็กชายคณินทร์ เวโรจน์กับพี่ชายผู้บ้าเกมคอมพิวเตอร์เป็นชีวิตจิตใจคือการได้เปิดบริษัทผลิตเกมด้วยกันในวันหนึ่ง เด็กชายทั้งสองนอกจากตะลุยเล่นเกมเป็นบ้าเป็นหลังแล้วยังชอบศึกษาหาความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ความฝันที่ถูกตั้งมั่นมาตั้งแต่จำความได้คงเป็นรูปร่างถ้าไม่เกิดจุดหักเหสำคัญ

คณินทร์หรี่ตาเมื่ออดีตบางช่วงตอนกลับเข้ามาในสมอง พวกค้ายาเสพติดทั้งโลกเป็นศัตรูของเขารวมทั้งพวกมันในจอนี่ด้วย!

                ขณะผู้กองหนุ่มคิดถึงอดีต ขจรกลับสะดุดอยู่ที่คำว่าเด็ก เขาลูบกระเป๋าสตางค์ในกางเกงด้านหลังที่ในนั้นบรรจุรูปลูกและเมียสุดที่รัก เอ่ยพึมพำ

“วันนี้วันเกิดลูกผม ป่านนี้แกคงชะเง้อรอพ่อให้ไปเป่าเค้กพร้อมหน้า”

มือที่บังคับจอยสติ๊กชะงัก ดวงหน้าหล่อเหลาหันมาสบตาคู่หูด้วยความเข้าใจ ภารกิจตรงหน้าต่อให้จบได้ในวันนี้คงไม่สามารถแยกย้ายได้ทันที ยังมีเรื่องต้องสะสางอีกมากทีเดียว

"ถ้าลูกรู้ว่าจ่ากำลังทำอะไรเขาจะต้องภูมิใจ"

แววตาขจรฉายรอยภาคภูมิในหน้าที่ของตน เอ่ยติดตลกกึ่งโล่งอก "ยังดีที่เมียผมไม่ใช่คนงี่เง่า"

ถ้าบอกว่ามาทำงานฝ่ายนั้นไม่เคยโทร.จิกสักครั้งเดียว

"พวกเขาไม่รู้ใช่ไหม"

ขจรยิ้มให้กับคำถามนี้ "ผมเป็นแค่จ่าแก่ ๆ ทำหน้าที่เสมียนเท่านั้นล่ะ"

เมียจ่าแก่ ๆ รู้แค่นั้น ขจรนึกภาพออกว่าถ้าปล่อยให้เมียรู้ความจริงคงนอนไม่หลับทุกครั้งที่เขาออกจากบ้านมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับพวกพ่อค้ายาเสพติด คณินทร์ตบบ่าคู่หูโดยไม่เอ่ยบอกสักคำว่าวันนี้ก็เป็นวันเกิดมารดาเขาเช่นกัน

“งั้นก็ทำให้มันจบ” ภาพเคลื่อนไหวจากกล้องจิ๋วเก็บภาพระหว่างการซื้อขายได้สำเร็จ คณินทร์สั่งการ “ปลากินเบ็ดแล้วจับไปขายได้เลย!”

 

ในที่สุดขบวนการค้ายาที่เฝ้าติดตามมานานก็ถูกรวบจับได้พร้อมหลักฐาน คณินทร์เก็บของเล่นใส่กระเป๋ากางเกง สูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความปลอดโปร่ง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวกะพริบราวกับจะแสดงความยินดี ชายหนุ่มโบกมือให้ขจรที่รับกลับบ้านทันทีหลังงานเสร็จ หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าต่อสายหาคนที่ไม่ได้กลับไปหามาเป็นปีเพราะไม่อยากให้คนที่หมายหัวเขาทำอันตรายคนรอบข้าง

“นิน อยู่ไหนน่ะลูก”

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ผมรักแม่นะครับ”

เสียงตอบจากมารดาเจือสะอื้น แต่ถึงคุยโดยไม่เห็นหน้าชายหนุ่มยังรู้สึกได้ว่าเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ มีเรื่องราวคุยกันมากมาย เมื่อวางสายความคิดถึงที่เคยมีอยู่ยังเท่าเดิม แต่มีความอิ่มเอมเพิ่มเติมเข้ามา

ชายหนุ่มเดินตรงมายังรถเก๋งคันเก่ง  เสียงไซเรนแว่วผ่านไปทำให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขาต่อสายถึงโรงพยาบาลทันทีเพื่อสอบถามอาการหญิงสาวโชคร้ายผู้นั้น

“ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ อ๋อครับ อาการเธอเป็นยังไงบ้าง”

“ทีแรกยังซึม ๆ ค่ะ แต่พอญาติมาก็ร่าเริงเหมือนไม่เป็นไร” นางพยาบาลตอบหลังจากถามจากเพื่อนที่อยู่เวรช่วงเช้าเรียบร้อย

คณินทร์เอ่ยขอบคุณสำหรับข้อมูล กดตัดโทรศัพท์แล้วระบายยิ้ม “ร่าเริงงั้นเหรอ เป็นผู้หญิงที่แปลกดีจริง ๆ”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (61 รายการ)

www.batorastore.com © 2024