The Great Gatsby (สุดที่รักผู้มั่งคั่ง)

The Great Gatsby (สุดที่รักผู้มั่งคั่ง)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: great_gatsby
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 149.00 บาท

เนื้อหาบางส่วน

บทที่

1

ผมยังจำคำที่พ่อสอนไว้ตั้งแต่ผมยังเด็กและอ่อนหัดกว่านี้ได้ดี 

“เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยากจะจับผิดใคร”  พ่อบอกผม  “ขอให้จำไว้ว่าทุกคนในโลกไม่ได้มีโอกาสอย่างเจ้า” 

พ่อไม่พูดอะไรมาก  และเราก็มักจะสงวนท่าทีในการสนทนากันอยู่แล้ว  ผมรู้ดีว่าพ่อต้องการสื่อความหมายอะไรมากกว่านั้น
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเป็นคนที่ไม่ตัดสินอะไรง่ายๆ  นั่นคือนิสัยอยากรู้อยากเห็นจนทำให้ผมต้องตกเป็นเหยื่อของความเจ้าเล่ห์เพทุบายจากผู้คนมิใช่น้อย  ความรู้สึกนึกคิดที่แปลกประหลาดนี้จะไวมากเมื่อประสบกับคนปกติธรรมดา  จนทำให้ตอนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยผมถูกปรักปรำอย่างไม่ยุติธรรมว่าเป็นนักการเมือง  เนื่องจากผมติดต่อลับๆ  กับเหล่าคนพาลที่ไม่มีใครรู้จัก  ผมช่างหาความจริงใจจากผู้คนแทบไม่ได้–บ่อยครั้งที่ผมต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ว่างหรือไม่ก็ไม่แยแส  เมื่อผมได้รับสัญญาณในใจว่าหนุ่มสาวพวกนั้นหลอกลวงหรือไม่ก็ปิดบังอะไรบางอย่างไว้อย่างชัดเจน  ผมก็ยังไม่อยากด่วนตัดสินอะไรใครด้วยยังเกรงว่าผมอาจจะเข้าใจผิดไปบ้างอย่างที่พ่อเตือนไว้อย่างวางท่า  และผมเองก็วางท่าเชื่อว่าคนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน

หลังจากที่เหนื่อยหน่ายกับการทำตัวแบบนี้  ผมก็ได้สติว่ามันถึงที่สุดแล้ว  ผมอาจจะเคยพบคนหลายชนชั้นทั้งสูงและต่ำ  แต่พอมาถึงจุดหนึ่งผมก็ไม่สนใจแล้วล่ะว่าใครจะมาจากไหน  ตอนที่ผมกลับมาจากชายฝั่งตะวันออกเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา  ผมรู้สึกอยากให้คนทั้งโลกไม่แตกต่างกันและยึดถือคุณธรรมตลอดไป  ผมไม่ต้องการที่จะมีญาณวิเศษที่จะหยั่งรู้จิตใจใครอีก  ยกเว้นแกตซ์บีชายหนุ่มที่มีชื่อตามเรื่องนี้เท่านั้น–แกตซ์บีผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของอะไรทุกอย่างที่ผมเคยสบประมาทไว้อย่างแท้จริง  หากชนชั้นสูงคือการวางมาดให้ดูโอ่อ่าแล้วล่ะก็  เขาก็ช่างทำตัวได้น่าขบขัน  ความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ราวกับว่าตัวเขาถูกผูกติดไว้กับเครื่องจับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นห่างออกไปเป็นหมื่นไมล์  การตอบสนองนี้ไม่สามารถจับอารมณ์อย่างหนึ่งซึ่งจะเรียกให้ไพเราะก็ได้ว่า  ‘การแสดงออกทางอารมณ์ที่สร้างสรรค์’  –มันเป็นของกำนัลพิเศษสำหรับความหวัง  ความยินยอมพร้อมใจสุดแสนหวาน  แบบที่ผมไม่เคยพบและคงจะไม่พบในผู้ใดได้อีก  ไม่หรอก  สุดท้ายแกตซ์บีก็กลับตัวได้ดี  เขาถูกเอาเปรียบ  ฝุ่นผงที่ปลิวว่อนคือร่องรอยที่เหลือไว้เมื่อตื่นจากฝัน  ซึ่งทำให้ผมหยุดสนใจเรื่องราวที่เดี๋ยวเศร้าเดี๋ยวสุขของมนุษย์ได้สักระยะ 

*  *  *

ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวหนึ่งที่โด่งดังและมีอันจะกินทางแถบมิดเวสต์มาแล้วสามชั่วอายุคน  คาราเวย์  เป็นตระกูลหนึ่งที่สืบทอดกันมาจากดยุกแห่งบุกลอยช์  แต่ต้นตระกูลที่แท้จริงของผมคือพี่ชายของปู่ซึ่งมาตั้งรกรากที่นี่ในปี  ค.ศ.  1851  ท่านส่งคนไปแทนในสงครามกลางเมืองและเริ่มธุรกิจขายส่งเครื่องมือช่างซึ่งสืบทอดมาจนถึงพ่อของผมในปัจจุบัน 

ผมไม่เคยเห็นคุณปู่ท่านนี้  แต่คิดว่าผมเหมือนท่านนะ  โดยดูจากภาพวาดที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่แขวนไว้ในห้องทำงานของพ่อ ผมจบการศึกษาจาก  นิว  เฮฟเวนในปี  1915  หลังจากที่พ่อของผมจบได้ยี่สิบห้าปีพอดี  และจากนั้นไม่นานผมก็เข้าร่วมในการย้ายถิ่นทิวทอนิก  (Teutonic  migration)  ที่ยืดเยื้อออกมา  หรือที่รู้จักกันในชื่อของมหาสงคราม[1]  ผมอยู่หน่วยจู่โจมซึ่งตะลุยหนักมากจนรู้สึกสับสนเมื่อสิ้นภารกิจ  ดินแดนแถบมิดเวสต์นี้แทนที่จะเป็นศูนย์กลางที่น่าอยู่บนโลก  กลับดูเหมือนว่าจะกลายเป็นพื้นที่เน่าเฟะมากที่สุดในจักรวาลแล้วตอนนี้–ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปทางตะวันออกและเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจตราสารหนี้  ทุกคนที่ผมรู้จักล้วนอยู่ในวงการธุรกิจตราสารหนี้ทั้งสิ้น  ผมจึงคิดว่าผมคงได้รับการสนับสนุนอีกสักคน  ลุงป้าน้าอาทั้งหลายของผมต่างทุ่มเถียงกันให้วุ่นวายราวกับว่าพวกเขากำลังเลือกโรงเรียนเตรียมให้กับผม  แล้วในที่สุดก็พูดว่า  ‘ก็เอาสิ’  ด้วยสีหน้าลังเลแต่จริงจัง  พ่อยอมที่จะให้เงินสนับสนุนหนึ่งปีและหลังจากที่ล่าช้ามานานแล้ว  ผมก็เดินทางไปตะวันออกอย่างแน่วแน่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี  ค.ศ.  1922

สิ่งที่ต้องทำก่อนอื่นคือหาบ้านเช่าในเมือง  ตอนนั้นเป็นฤดูร้อนและผมก็เพิ่งมาจากดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้  ดังนั้นจึงเป็นความคิดที่ดีทีเดียวเมื่อเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งชวนให้หาบ้านแถบชานเมืองเช่าอยู่ด้วยกัน  เขาเจอบ้านไม้หลังเล็กๆ หลังหนึ่ง  ค่าเช่าแปดสิบเหรียญต่อเดือน  แต่สุดท้ายบริษัทก็ส่งตัวเขาไปทำงานที่กรุงวอร์ชิงตัน  ผมก็เลยต้องอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง  ผมมีสุนัขตัวหนึ่ง  อย่างน้อยก็มีได้สองสามวันก่อนที่มันจะหายไปไหนก็ไม่รู้  แล้วก็รถดอดจ์คันหนึ่งกับหญิงชราชาวฟินแลนด์ที่ช่วยปูที่หลับปัดที่นอนและหาอาหารเช้าพร้อมกับสวดมนต์พึมพำหน้าเตาอบ 

ผมเหงาอยู่แค่ไม่กี่วัน  จนเช้าวันหนึ่งที่ได้ยินเสียงใครบางคนซึ่งมาถึงที่นี่ก่อนผมเสียอีกเรียกให้ผมหยุด

‘คุณรู้ไหมว่าจะย่านเวสต์เอ้ก[2]ไปทางไหน’  เขาถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้  ผมก็เลยต้องบอกทางเขาไป  จากนั้นผมก็ไม่รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป  ผมกลายเป็นผู้นำทาง  ผู้บุกเบิก  และเจ้าถิ่นตัวจริง  ช่วยไม่ได้ที่เขาต้องถามไถ่ผมเกี่ยวกับเรื่องของเมืองนี้  และที่มาพร้อมๆ  กับแสงแดดและใบไม้แรกผลิสะพรั่งพร้อมไปทั่วทุกสารทิศ–รวดเร็วดั่งฉายหนัง–นั่นคือความเชื่ออย่างแรงกล้าที่ว่าชีวิตเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อย่างเข้าฤดูร้อน 

อย่างหนึ่งที่ต้องทำคืออ่านหนังสือจำนวนมากมาย  พร้อมกับความกระชุ่มกระชวยจากการสูดอากาศบริสุทธิ์  ผมหาซื้อหนังสือเป็นสิบๆ  เล่มเกี่ยวกับการเงิน  การธนาคาร  สินเชื่อ  และหลักทรัพย์เพื่อการลงทุน  หนังสือพวกนี้จัดวางเรียงอยู่บนชั้นหนังสือเป็นสีแดงสลับกับสีทองอย่างกับแบงก์พิมพ์ใหม่จากโรงกษาปณ์ก็ไม่ปาน ราวกับว่าผมได้ล่วงรู้ถึงความลับสุดยอดซึ่งมีแต่มิดาส  มอร์แกนและมิเซนุสเท่านั้นที่ทราบ  และผมก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะอ่านเล่มอื่นๆ  อีกหลายเล่ม  ผมค่อนข้างสนใจงานประพันธ์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย–
มีอยู่ปีหนึ่งที่ผมเขียนบทบรรณาธิการอย่างจริงจังและสร้างชื่อให้กับหนังสือพิมพ์เยล–และตอนนี้ผมก็กำลังคิดจะนำเรื่องพวกนั้นกลับมาในชีวิตของผม  และกลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่หาตัวจับได้ยากที่สุดอีกครั้ง  ‘บุรุษผู้รอบรู้’  นี้มิใช่เป็นเพียงคำคม–แต่ชีวิตเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากกว่าที่มองผ่านกระจกเพียงบานเดียว

นับเป็นโอกาสดีที่ผมได้เช่าบ้านหลังหนึ่งในชุมชนที่แปลกประหลาดที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ  บนเกาะเล็กๆ  ที่อึกทึกแห่งนั้น บนพื้นที่ที่ขยายตัวออกไปทางทิศตะวันออกของกรุงนิวยอร์ก  เป็นที่ตั้งของผืนดินที่ไม่ธรรมดาสองผืนท่ามกลางผืนดินที่น่าสนใจอื่นๆ
ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเมือง  20  ไมล์  ผืนดินรูปไข่ขนาดมหึมาสองผืน รูปทรงเหมือนกันหมด  และมีอ่าวเล็กๆ  คั่นกลางไว้อย่างแนบแน่น
ผืนดินทั้งสองแปลงนี้ยื่นออกไปในทะเลสาบน้ำเค็มแห่งซีกโลกตะวันตก เหมือนยุ้งฉางอันชุ่มฉ่ำขนาดใหญ่ของเกาะลองไอส์แลนด์ มันก็ไม่ได้เป็นรูปไข่เต็มวง–คือมันเหมือนกับเรื่องไข่ของโคลัมบัสที่ถูกทุบตรงปลายให้บุบ–แต่ความเหมือนกันทางกายภาพต้องสร้างความสับสนให้กับบรรดานกนางนวลที่บินเหนือมันไปตลอดกาล สำหรับพวกที่บินไม่ได้แล้ว  สิ่งประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเว้นแต่เพียงรูปร่างและขนาดเท่านั้น

ผมอาศัยอยู่ในย่านเวสต์เอ้ก–ใช่เลย  เป็นบริเวณที่วิลิศ-
มาหราน้อยกว่า  แม้ว่าจะปรากฏให้เห็นความแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่บริเวณสองแห่งนี้ก็มีความแตกต่างกันไม่น้อยทีเดียว  บ้านของผมตั้งอยู่ตรงปลายสุดย่านเวสต์เอ้กแห่งนี้  ห่างจากลองไอส์แลนด์
เพียง 50  หลา  และถูกบีบอยู่ระหว่างที่ดินแปลงใหญ่สองผืน  ด้วยค่าเช่าหนึ่ง  12,000–15,000  เหรียญต่อฤดูกาล  ทางด้านขวามือของผมเป็นตึกใหญ่โต  ไม่ว่าจะเอามาตรฐานใดมาวัด สร้างเลียนแบบ
ออแตลเดอวีล  4  ในเมืองนอร์มังดี  มีหอคอยสร้างใหม่อยู่ทางด้านหนึ่ง  และมีเถาไอวี่เลื้อยเป็นเส้นบางๆ  กับสระว่ายน้ำหินอ่อน  และสนามหญ้าพร้อมสวนขนาดกว้างใหญ่ไพศาลกินเนื้อที่มากกว่า  40 เอเคอร์  นี่คือคฤหาสน์แกตซ์บี  หรือไม่ก็น่าจะใช่  เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้จักมิสเตอร์แกตซ์บี  แต่ก็ต้องเป็นคฤหาสน์ที่มหาเศรษฐีชื่อนั้นอาศัยอยู่  ส่วนบ้านของผมเก่าคร่ำครึ  หลังเล็กกระจิ๊ด  ไม่เป็นที่สังเกต ดังนั้นผมจึงได้ทัศนาความงดงามของสระว่ายน้ำ  สนามหญ้าของเพื่อนบ้านได้บ้าง  รวมทั้งได้ใกล้ชิดบรรดามหาเศรษฐีอย่างถนัดตา-ทั้งหมดนั่นด้วยราคา  80  ดอลลาร์ต่อเดือน 

ทั่วทั้งอ่าวเล็กๆ  แห่งนั้นจะปรากฏภาพของพระราชวังสีขาวแห่ง
ย่านอิสต์เอ้ก[3]ที่สะท้อนน้ำเปล่งประกาย  และเรื่องราวแห่งคิมหันต-ฤดูก็ได้เริ่มต้นขึ้นจริงๆ  แล้วในเย็นวันหนึ่ง  ขณะที่ผมขับรถไปถึงที่นั่นเพื่อรับประทานอาหารค่ำร่วมกับทอม  บูแคแนนและเดซี่ผู้เป็นลูกของลูกพี่ลูกน้องของผม  ผมเคยรู้จักทอมตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย และตอนสิ้นสุดสงครามใหม่ๆ  ผมก็เคยไปพักอยู่กับพวกเขาที่ชิคาโกเป็นเวลาสองวัน 

สามีของเธอผู้มีร่างกายกำยำแข็งแรง  เขาเคยเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่แข็งแกร่งที่สุดของนิว  เฮฟเวนเป็นคนดังระดับชาติก็ว่าได้  และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยวัย 21  ปี  จนทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากนั้นดูจืดชืดไปหมด  ครอบครัวของเขาร่ำรวยล้นฟ้า  แม้ในมหาวิทยาลัย  การใช้เงินอย่างมือเติบของเขาก็เป็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์–แต่ตอนนี้เขาออกมาจากชิคาโกแล้ว  และเดินทางมายังฝั่งตะวันออกนี้พร้อมด้วยแฟชั่นอย่างหนึ่งที่ทำให้ใครๆ ต้องอ้าปากค้าง  อาทิ  เขาสั่งม้ายกคอกจากเลก  ฟอเรสต์  เพื่อลงแข่งโปโล  เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกับผมจะร่ำรวยพอที่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้ 

ผมก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดพวกเขาถึงได้พากันมาทางฝั่งตะวันออก  พวกเขาเคยอยู่ในฝรั่งเศสเป็นปีโดยไม่มีเหตุผลใดเป็นพิเศษ  จากนั้นก็เทียวไปโน่นไปนี่ไม่หยุดหย่อน  ไปทุกที่ที่มีคนเล่นโปโลแล้วก็ต้องเป็นคนรวยด้วย  เดซี่บอกผมทางโทรศัพท์ว่าคราวนี้เป็นการย้ายถิ่นอย่างถาวร  แต่ผมก็ไม่เชื่อหรอก–ผมเดาใจเธอไม่ออกแต่รู้สึกได้ว่าทอมน่าจะเร่ร่อนตลอดไป  เพราะเขาโหยหาความอึกทึกครึกโครมอันน่าเร้าใจบางอย่างของเกมฟุตบอลที่ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ 

แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่งที่ค่อนข้างร้อนและลมพัดแรง  ผมขับรถไปยังอิสต์เอ้กเพื่อไปพบเพื่อนเก่าสองคนนี้ที่ผมแทบจะไม่รู้จักเลยก็ว่าได้  บ้านของพวกเขาดูหรูหรายิ่งกว่าที่ผมคาดไว้เสียอีก  คฤหาสน์สไตล์โคโลเนียล-จอร์เจียนสีแดง-ขาว  มองลงไปเห็นอ่าว  สนามหญ้าทอดยาวจากชายหาดมาจนถึงประตูหน้า
บ้านยาว  ¼  ไมล์  จากนั้นผมก็ขับรถฝ่าแสงแดด  ผ่านพื้นทางวิ่ง
ปูอิฐและอุทยานดอกไม้ที่กำลังถูกแดดแผดเผา ในที่สุดเมื่อมาถึงบ้านก็เห็นเถาองุ่นสีสดเลื้อยติดกำแพงขึ้นไปราวกับเป็นแรงผลักให้ก้าวไป บริเวณด้านหน้าบ้านมีแนวหน้าต่างแบบฝรั่งเศสแยกออกไปเป็นสองด้าน  ค่อยๆ  สะท้อนแสงจ้าสีทองที่ตอนนี้กำลังรับลมร้อนแรงในช่วงบ่าย  และทอม  บูแคแนนในชุดขี่ม้ากำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนระเบียงหน้าบ้าน

เขาเปลี่ยนไปจากตอนที่อยู่นิว  เฮฟเวน  ตอนนี้ด้วยวัยสามสิบ  เขามีผมสีน้ำตาลอ่อน  ดูหยิ่งยโสและวางมาด  ดวงตาที่ฉายแววทรนงกับลักษณะท่าทางที่ออกไปทางก้าวร้าวตลอดเวลา  แม้ชุดขี่ม้าหรูหราบอบบางนั้นก็ไม่อาจซ่อนอำนาจอันทรงพลังของร่างนั้นไว้ได้–ดูเหมือนว่าเขากำลังสวมรองเท้าคู่ระยิบระยับและผูกเชือกตึงขึ้นมาถึงปลาย  จนคุณมองเห็นมัดกล้ามเมื่อไหล่ของเขาขยับอยู่ภายใต้เสื้อคลุมบางๆ  นี่คือร่างของชายบึกบึน–ร่างที่เหี้ยมโหด

น้ำเสียงของเขาดังและแหบห้าว  บวกกับอารมณ์ฉุนเฉียวและสายตาที่มองคนอย่างเหยียดๆ  แม้แต่กับคนที่เขาชอบ–และก็มีหลายคนที่เฮฟเวนเกลียดชังเขาเข้ากระดูกดำ

“ตอนนี้อย่าคิดว่าฉันจะไม่มีความเห็นอะไรอีกแล้ว”  ดูเหมือนว่าเขาพูดเช่นนั้น  “ก็เพราะว่าฉันแข็งแรงกว่า  และเก่งกว่าใครๆ”  เราเคยอยู่ในสมาคมนักศึกษาปีสุดท้ายเดียวกัน  ถึงเราจะไม่สนิทสนมกัน  ผมก็รู้สึกได้ตลอดว่าเขายอมรับผมและก็อยากให้ผมชอบเขาที่เป็นคนแข็งกร้าวเช่นนี้เราคุยกันต่อไปอีก  2-3  นาทีบนระเบียงที่แดดส่อง

“ฉันเป็นเจ้าของสิ่งนี้ที่เลิศหรูอลังการมาก”  เขาพูดพร้อมกับสายตาที่ส่ายไปมาไม่หยุดนิ่ง 

เขาจับผมหันกลับไปด้วยแขนข้างหนึ่ง  ส่วนแขนหนาๆ  อีกข้างก็ชี้ไปมาตามทิวทัศน์ด้านหน้า  แล้วเลื่อนไปยังสวนสไตล์อิตาเลียนที่อยู่ต่ำลงไป  ต่อไปที่ต้นกุหลาบกลิ่นฉุนที่ปลูกไว้บนพื้นที่ครึ่งเอเคอร์  และเรือยนต์ที่โคลงเคลงตามกระแสน้ำนอกชายฝั่ง

“มันเคยเป็นของดีเมน  พ่อค้าน้ำมัน”  แล้วจู่ๆ  เขาก็จับตัวผมหมุนกลับอีกครั้งอย่างมีมารยาท  “เข้าไปข้างในกันเถอะ” 

เราเดินผ่านห้องโถงเพดานสูงเข้าไปยังบริเวณพื้นที่โล่งสีแดงอมชมพูที่เชื่อมต่ออย่างประณีตกับตัวบ้านด้วยหน้าต่างแบบฝรั่งเศสที่ยาวจนสุดปลายทั้งสองด้าน  หน้าต่างถูกแง้มไว้และแสงแวววาวที่ส่องกระทบกับใบหญ้าเขียวสดดูเหมือนสะท้อนเข้ามาในบ้าน  ลมเย็นๆ  พัดเข้าไปในห้องจนทำให้ผ้าม่านปลิวไสว  เข้าหน้าต่างทางหนึ่งและออกหน้าต่างอีกทางหนึ่งราวกับธงทิวที่โบกพลิ้วแล้วก็พันเป็นเกลียวขึ้นไปจนชนฝ้าเพดานที่มีลวดลายดังหน้าขนมเค้กแต่งงานก่อนร่วงลงมาเหนือผืนพรมสีแดงแล้วพลิ้วไหว  ทำให้เกิดเป็นเงาเหมือนดั่งลมในทะเล 

เบาะนั่งขนาดใหญ่คือสิ่งเดียวที่ติดสนิทอยู่กับห้อง มีหญิงสาวสองคนลอยล่องอยู่บนนั้นราวกับอยู่บนบอลลูนที่ยึดติดไว้  เธอทั้งคู่ในอาภรณ์สีขาวกำลังโยกคลอนไปมาราวกับว่าพวกเธอเพิ่งถูกพัดกลับเข้ามาหลังจากที่ลอยไปรอบๆ  บ้าน  ผมยืนนิ่งอยู่สักครู่เพื่อฟังเสียงผ้าม่านโบกสะบัดและเสียงสั่นแกรกๆ  ของรูปภาพบนผนัง  จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังปังเมื่อทอม  บูแคแนนปิดหน้าต่างด้านหลังเพื่อปิดกั้นสายลมพวกนั้น  แล้วทั้งผ้าม่าน  พรม  และหญิงสาวทั้งสองก็ค่อยๆ  สงบลง 

ผมไม่รู้จักหญิงสาวผู้ที่อายุน้อยกว่า  เธอนั่งเหยียดยาวไปทางปลายเบาะนั่งด้านหนึ่ง

โดยแทบจะไม่ขยับและเชิดปลายคางขึ้นนิดหน่อยราวกับว่าเธอกำลังเชิดหน้าไม่ให้อะไรสักอย่างหล่น  หากเธอชายตามองเห็นผมสักหน่อยแล้วล่ะก็  เธอคงไม่ทำเช่นนั้น–แน่นอน  ผมงงงันจนต้องกล่าวขอโทษเธอเบาๆ  ที่เข้ามารบกวนส่วนหญิงสาวอีกคนหนึ่งคือเดซี่  เธอพยายามที่จะลุกขึ้นยืน–เธอฝืนเชิดหน้าให้ได้–และแล้วเธอก็หัวเราะออกมาอย่างไร้เหตุผล  เสียงเล็กๆ  มีเสน่ห์  ผมเองก็พลอยหัวเราะตามไปด้วยก่อนเดินตรงเข้าไปในห้อง



[1]Great War ต่อมาหมายถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว

[2]West Egg ย่านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของชายฝั่งด้านเหนือ (North Shore) ของเกาะลอง (Long) Island ปัจจุบันคือย่านคิงส์พอยท์ (King poin)

[3]East Egg  ย่านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของชายฝั่งด้านเหนือ (North Shore)ของเกาะลอง (Long Island) ปัจจุบันคือย่านแซนด์พอยท์ (Sand Point)

 

รายละเอียด

 "หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เจย์ แกตซ์บี บุรุษลึกลับ
 ผู้สร้างเนื้อสร้างตัวจนกลายเป็นมหาเศรษฐีได้เฝ้าแสวงหาความมั่งคั่ง ความร่ำรวยและผู้หญิงที่เขาสูญเสียไปให้กับชายคนอื่นด้วยความมุ่งมั่นและทนเจ็บปวดยาวนาน การได้กลับมาพบกันอีกครั้งของแกตซบีและเดซี่ บูแคแนน เป็นเค้าลางแห่งเรื่องราวเศร้าสลด งานเขียนฉบับกะทัดรัด ไม่ยิ่นเย้อ และโน้มน้าวใจของ ‘ฟิตซ์เจอรัลด์’ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวผ่านสายตาที่ปราศจากอคติของ นิก คาราเวย์ ผู้เป็นทั้งเพื่อนบ้านและเพื่อนแท้ของแกตซ์บีซึ่งบอกเป็นนัยว่าความหายนะ และโศกนาฏกรรมเฝ้าคอยอยู่"

 

สุดที่รักผู้มั่งคั่ง

THE  GREAT  GATSBY

 

 

อฟ.สกอตต์ฟิตซ์เจอรัลด์ เป็นเพื่อนที่ชอบโต้คารมกันกับนักเขียนชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ  เออร์เนส เฮมมิงเวย์  ซึ่งเขาได้สนับสนุนฟิตซ์เจอรัลด์ให้เขียนงานของเขาให้ลุล่วงด้วยความซื่อสัตย์ต่องานศิลปะ แต่ไม่พอใจกับแนวโน้มของฟิตซ์เจอรัลด์ที่จะทำให้วรรณกรรมของเขาเป็นเชิงพาณิชย์  อย่างไรก็ตาม นวนิยายส่วนใหญ่ของฟิตซ์เจอรัลด์ก็ขายไม่ค่อยดี
ดังนั้น รายได้ส่วนใหญ่ของเขาจึงมาจากงานทำนิตยสารและเขียนเรื่องสั้น ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะต้องคล้อยตามความต้องการของบรรณาธิการ

9  ปีหลังจาก เดอะ เกรต แกตซ์บี ได้ตีพิมพ์ นวนิยายเล่มต่อมาคือ  Tender Is The Night ซึ่งเขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อเขียนให้จบ แต่น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร และทำให้อาชีพนักเขียนของเขาก็ถดถอยลงเรื่อยๆ

ในครึ่งหลังของช่วงปี 1930 ฟิตซ์เจอรัลด์ได้งานเขียนสคริปต์ภาพยนตร์ และเขาทำต่อเป็นอาชีพจนกลายเป็นงานเขียนเชิงพาณิชย์ กระทั่งเขาเสียชีวิต อาชีพนักเขียนของเขาก็ตายไปพร้อมกัน 

ต่อมาผลงานของเขากลับมาได้รับการยกย่องอย่างนานัปการ เดอะ เกรต แกตซ์บี ได้กลายเป็นนิยายคลาสสิกที่เป็นแบบฉบับของคนอเมริกัน  แม้แต่มหาเศรษฐีด้านไอทีผู้มั่งคั่งอย่าง บิลล์ เกตส์ และ เมลินดา ผู้เป็นภรรยาต่างก็ชื่นชอบและกล่าวถึงนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

 

 

คำนำผู้แปล

 “เดอะ เกรต แกตซ์บี (The Great Gatsby) วรรณกรรมอมตะชิ้นสำคัญที่ได้รับการจัดให้เป็นลำดับที่สองของนวนิยายดีที่สุด 100 เรื่อง จากบรรดานวนิยายที่ถือว่าดีเด่นของคริสต์ศตวรรษที่ 20  โดย  Modern Library 100 Best Novels  เป็นงานเขียนในลักษณะเล่าเรื่องโดยตัวละครตัวหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนลองไอส์แลนด์และในกรุงนิวยอร์ก ระหว่างหน้าร้อนปี 1922  หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในยุคนั้นคนอเมริกันค่อนข้างฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายกันอย่างมือเติบ และจัดงานรื่นเริงกันเป็นประจำ

เรื่องนี้  เอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์  ได้ประพันธ์เอาไว้โดยมีแก่นเรื่องสำคัญ (Theme) อย่างน้อย 2-3 แก่น ได้แก่ การเสียดสี
ความฝันของคนอเมริกัน  (American Dream)  ที่คิดว่าแม้คนยากจนก็อาจมีโอกาสเป็นมหาเศรษฐีได้ด้วยความสามารถและขยันหมั่นเพียร
ตัวละครต่างพากันเดินทางย้ายฝั่งจากมิดเวสต์ (ภาคกลางค่อนมาทางตะวันตกของประเทศ) มาอยู่ฝั่งตะวันออก เช่น นิวยอร์ก แมนฮัตตัน ฯลฯ แต่แล้วชีวิตก็เหมือนดั่งความฝัน คือเป็นเพียงความสุขชั่วคราว ความสำเร็จเป็นเพียงภาพลวงตา แก่นที่สองคือความขัดแย้งระหว่างชนชั้น (Class Conflict) โดยเฉพาะระหว่างเศรษฐีผู้ดีเก่า (Old Money) และพวกที่เพิ่งมารวย (New Money) จากธุรกิจเหมืองแร่หรือการขายเหล้าเถื่อน ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามในสมัยนั้น แน่นอนพวกผู้ดีก็จะดูถูกและไม่ยอมรับพวกกลุ่มใหม่ เนื่องจากบางคนอาจจะไร้การศึกษา ไม่รู้จักมารยาทในการเข้าสังคม และแก่นสุดท้ายคือการเสื่อมสลายของสังคม (Decay of Society) สภาพสังคมที่ขาดคุณธรรม การคบกันอย่างหน้าไหว้หลังหลอก ขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีต่างๆ นานา

ภายในเรื่องปรากฏสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนสร้างไว้ 2 อย่างที่เป็นนัยสำคัญ คือป้ายโฆษณาแว่นตาที่เป็นภาพดวงตากลมโตของ
ด็อกเตอร์ ที เจ เอกเคิลเบอร์ก เหนือหุบเขาขี้เถ้า (Valley of Ashes)
อันเสื่อมโทรมแทนความหมายของการถูกละเลยจากสายตาของพระเจ้า และดวงไฟสีเขียวๆ อันเป็นสัญลักษณ์แทนความฝันของแกตซ์บีที่เขาเฝ้ามองมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ซึ่งกลายเป็นเพียงดวงไฟ
สีเขียวมิอาจจับต้องได้อีกฟากฝั่งหนึ่งของอ่าวเท่านั้น

ผู้เขียนตั้งใจเขียนตัวละครอย่าง แกตซ์บี ให้เป็นสุภาพบุรุษหนุ่มรูปงามแสนโรแมนติก ผู้ซึ่งมุ่งมั่นทำทุกอย่างเพื่อความรัก เพื่อย้อนเวลาหาอดีตอันแสนหวาน แต่สุดท้ายความยิ่งใหญ่ของความฝันที่เขาบูชา และวาดไว้ก็ทำให้เขาเป็นได้เพียงชายหนุ่มที่น่าเวทนาคนหนึ่ง แกตซ์บีคือเหยื่อของสังคมอเมริกันในยุคนั้น ความจริงแล้วเขามิได้ยิ่งใหญ่เพียงด้านความรัก แต่ยิ่งใหญ่ในวิถีชีวิต ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้ดิ้นรน แม้สุดท้ายก็มิอาจต่อสู้กับผู้คนและสภาพสังคมจอมปลอมได้

แม้วรรณกรรมเรื่องนี้จะเคยได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ผู้แปลก็ยินดีและถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ถ่ายทอดงานเขียนชิ้นสำคัญของโลกให้ท่านผู้อ่าน ทั้งรุ่นเก่าที่เคยอ่านแล้ว และผู้อ่านรุ่นใหม่ได้อ่าน ทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้รับความประทับใจกับอีกผลงานของผู้แปลชิ้นนี้

ชลลดา ไพบูลย์สิน

 

 

สังคมยุคแจ๊ส

The  Jazz  Age

มีวรรณกรรมอยู่เพียงไม่กี่เล่มที่จะทำให้สังคมเกิดความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวกได้เท่ากับ  เดอะเกรตแกตซ์บี  (The  Great Gatsby)  หรือ  สุดที่รักผู้มั่งคั่ง  ของ  เอฟ.สกอตต์ฟิตซ์เจอรัลด์ (F.Scott  Fitzgerald)   และในแง่ความคิดเห็นของผู้คนที่มีต่อคุณค่าทางวรรณคดี  หนังสือเล่มนี้ได้รับการจดบันทึกไว้ว่ามียอดขายที่น่าผิดหวัง  ครั้งแรกที่ตีพิมพ์เมื่อปี  ค.ศ.  1925  นั้น  ฟิตซ์เจอรัลด์ไม่เป็นที่กล่าวขานถึง  ทั้งๆ  ที่เขามีชื่อเสียงพอสมควรจากหนังสือเล่มก่อนหน้า  กระทั่งหลังจากการเสียชีวิตของเขาเมื่อปี  ค.ศ.  1940  หนังสือเล่มนี้ก็ถูกรวมอยู่ในรายการหนังสือแจกฟรีให้กับบรรดาบุรุษและสตรีที่เข้าร่วมกับกองทัพในสงครามโลกครั้งที่สอง  นั่นหมายความว่าหนังสือจำนวน  150,000  เล่มเริ่มไหลเวียนในกองทัพจนเริ่มเป็น
ที่คุ้นเคยของชาวอเมริกันโพ้นทะเล  ผลที่ตามมาคือ  เรื่องราวของเดอะ  เกรต  แกตซ์บีก็ค่อยๆ  ซึมซาบเข้าไปในจิตวิญญาณของคนอเมริกัน  และได้รับความนิยมในขณะที่มันน่าจะถูกลืมไปเสียสนิทแล้ว 

เนื้อหาของหนังสือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมซึ่งมีอยู่ในสังคมอเมริกันในช่วงปี  1920  เทียบได้กับการแบ่งชนชั้นในประเทศอื่นๆ  สหรัฐอเมริกามีสังคมชนชั้นสูงในรูปแบบของผู้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่มีความมั่งคั่งมาช้านาน  บรรดาผู้ดีเหล่านี้มีอิทธิพลเหนือผู้คนอื่นๆ  พวกเขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับงานเลี้ยงสังสรรค์ตลอด  ‘ยุคแจ๊ส’  กระทั่งในช่วงปี  1920  ที่มีการห้ามดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์  ส่งผลให้เกิดการก่ออาชญากรรม  แต่มันก็สร้างความร่ำรวยให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่งด้วยการลักลอบค้าเหล้าเถื่อน  หรือการค้าสุราอย่างผิดกฎหมาย  และเมื่อคนสองกลุ่มนี้มารวมกัน  พวกเขาก็จัดระเบียบสังคมอย่างฉาบฉวย 

                เรื่องราวของ  เดอะ  เกรต  แกตซ์บี  ได้ขดเป็นเกลียวเข้าสู่โศกนาฏกรรม  ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ  เข้ามาอย่างต่อเนื่อง–การฆ่าคนตายโดยประมาท  หรือโดยเจตนา  และการฆ่าตัวตาย-โศกนาฏกรรมที่ดูเหมือนว่าเรื่องราวยิ่งน่ากลัวขึ้นทุกขณะ  ช่างตรงกันข้ามกับความมากเกินพอดีของความมีชีวิตชีวาและฟูฟ่องที่มีมาก่อนหน้า 

ต่อมานวนิยายเรื่องนี้ได้รับความนิยมมากจนส่งผลให้เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้มีปัญญาแห่งสหรัฐ–ถือว่าเป็นหนังสือที่เป็นตัวแทนแห่งยุค  ในความเป็นจริงแล้วคนส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงน้อยมาก  หรือไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยกับผู้คนประเภทที่บรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้  แต่ก็เป็นชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มคนที่น่าหลงใหลจนอดเคลิ้มไปกับจินตนาการที่สร้างขึ้นไม่ได้  ในลักษณะเดียวกับที่ยุค  1960  เกิดขึ้นจริงเฉพาะตรงใจกลางเมืองชายฝั่งตะวันตก
ยุค  1920  ก็เกิดขึ้นจริงเฉพาะในคฤหาสน์และบริเวณที่มั่งคั่งร่ำรวยของสหรัฐเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว  มันคือความขัดแย้งกันของชีวิตความเป็นอยู่ย่อยๆ  ทั้งหลาย  ความมั่งคั่งและธรรมชาติของ
กลุ่มคนผู้ร่ำรวยที่มีมากเกินค่าเฉลี่ยของสามัญชนทั่วไป  เป็นสิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้มีความทรงพลัง 

ในนวนิยายเรื่องนี้  ไมร์เทิล ภรรยาเจ้าของอู่ซ่อมรถผู้ต่ำต้อย ถูกล่อลวงให้ใช้ชีวิตฉาบฉวยและเริ่มมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับ  ทอม
บูแคแนน  ผู้ร่ำรวย  ซึ่งนำไปสู่โศกนาฏกรรมให้กับทั้งเธอและสามี
ของเธอ

เดอะ  เกรต  แกตซ์บี  ดึงดูดความสนใจให้ผู้อ่านเพลิดเพลินไปกับการแอบมองชีวิตของผู้คนซึ่งถูกเยาะเย้ยเหมือนเป็นคนผิดปกติ โง่เง่า  และหลงงมงาย  รวมทั้งยินดีที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนั้น ซึ่งให้มุมมองทางด้านศีลธรรมที่ผิดแตกต่างไปกับการดำเนินเรื่องราว งานของฟิตซ์เจอรัลด์เปรียบเทียบได้กับเรื่องของโธมัส  ฮาร์ดี นักเขียน
ชาวอังกฤษ  ผู้ซึ่งมีแนวคิดเดียวกันที่ว่าผู้คนมีแนวโน้มจะเอาใน
สิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับในชีวิต  และเหยื่อที่แท้จริงก็คือบรรดาผู้ที่ไล่ตามให้ทันไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือโดยแรงดึงดูดก็ตาม ผลที่ตามมาคือ  เดอะ  เกรต  แกตซ์บี  เป็นนวนิยายโศกนาฏกรรมที่กำเนิดขึ้นในยุค  1920  ของอเมริกา  ซึ่งเป็นปรปักษ์กับงานแห่งศตวรรษที่  19 ของอังกฤษ  มีการเขียนเย้ยหยันไว้อย่างชัดเจนจากนักเขียนทั้งสองคนนี้  ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าพวกเขาตั้งใจพูดถึงบรรดาผู้ที่มีเวลาน้อยนักในชีวิตจริง 

จากมุมมองทางประวัติศาสตร์  หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของสหรัฐ  ยุคแห่งการห้ามปรามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งสิ้นสุดลงในปี  ค.ศ.  1933  เมื่อรัฐบาลสหรัฐรับรู้ถึงการเหน็บแนมสถานการณ์  คุณค่าทางศีลธรรม (Christian  values)  ได้นำไปสู่การห้ามปรามในความพยายามที่จะเตือนสติสังคม  และสร้างชาติอเมริกันให้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น  ในความจริงแล้ว  ชาวบ้านก็ต้มเหล้าเถื่อนดื่มเอง  หรือไม่ก็ซื้อหาจากตลาดมืด  ด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้ผู้กระทำผิดร่ำรวยพอที่จะมีอิทธิพลเหนือตำรวจ  การติดสินบน  การทุจริตที่มีมากมาย  ดังนั้นพวกอนุรักษ์นิยมจึงต้องยอมรับว่าการห้ามปรามดังกล่าวตรงกันข้ามกับสัญชาตญาณของพวกเขา 

6  ปีต่อมาและสงครามโลกครั้งที่สองได้เริ่มขึ้น  เกิดการสลับขั้วอำนาจและทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจที่ร่ำรวย  ในยุคหลังสงคราม  คนอเมริกันเจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จ ประเทศสหรัฐไม่ได้รับความเสียหายจากสงคราม  และหลายประเทศก็ได้กู้ยืมเงินจากสหรัฐเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

เดอะเกรตแกตซ์บี  กลายเป็นหน้าต่างที่น่าเข้าไปค้นหายังโลกแห่งหนึ่งที่เคยมีอยู่และหายไปแล้ว  โลกซึ่งองค์ประกอบต่างๆ ของสังคมสหรัฐได้จมลงสู่ก้นบ่อแห่งคุณธรรมและจริยธรรม  เป็นเรื่องที่เตือนให้ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนเสื่อมโทรม  และไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ  นวนิยายเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับค่านิยมและภาพลักษณ์ต่างๆ  อันใสสะอาดที่คนอเมริกันต้องการที่จะส่งเสริมในช่วงปี  1950  ในขณะที่คนรุ่นใหม่กลายเป็นผู้ดูแลประเทศที่น่าภาคภูมิใจของพวกเขา  ความไร้ศีลธรรมถูกปัดเข้าไปใต้พรม  และได้รับอนุญาตให้อยู่ได้เฉพาะแต่ในดินแดนแห่งนวนิยายเท่านั้น 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024