
มัจจุราชฝึกหัด (ปีย์วรา)
ประหยัด: 140.00 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
มัจจุราชฝึกหัด
บทประพันธ์ ปีย์วรา
บทที่ 1
บัลลังก์สีทองตั้งเด่นอยู่กลางห้องโถงขนาดใหญ่ เหนือบัลลังก์ร่างของชายวัยกลางคนผิวขาวนวลผ่องนั่งอยู่อย่างสง่างาม ใบหน้าคมสัน ดวงตายาวรีเข้มดุแต่มีแววอ่อนโยนแฝงอยู่ด้วย ที่ศีรษะสวมมงกุฎสีทองสลักลวดลายไทยงดงาม เสื้อผ้าที่สวมใส่ ชุดด้านในเป็นสีดำทั้งเสื้อและกางเกง ปกคอเสื้อขลิบสีขาว ส่วนตัวเสื้อผ่าหน้าเป็นแถบสีขาวยาวถึงชายเสื้อด้านล่าง
เสื้อคลุมสวมทับชุดสีดำเป็นสีทองทั้งตัว รองเท้าสีดำเช่นกางเกง ใบหน้ายามนี้เคร่งเครียด สุวรรณเลขาและสุวาลย์เลขาสบตากันและค่อยๆ เหลือบมองใบหน้าของพญามัจจุราชพร้อมกัน
“พวกท่านไม่ต้องมาแอบมองข้า ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าเครียดเรื่องอันใด ข้าให้ท่านไปตามเหลนของข้ามา ทำไมจึงกลับมาแต่พวกท่าน ไอ้เหลนข้ามันอยู่ที่ใดหรือ”
ท่านพญามัจจุราชเอ่ยเสียงค่อนข้างดัง ดวงตาจ้องมายังใบหน้าของสุวรรณและเบนมาที่สุวาลย์ ยมทูตผู้ซื่อสัตย์ขวาและซ้ายก้มหน้าไม่กล้าตอบคำถามของประมุขแห่งนรกภูมิ
“ท่านตอบสิสุวรรณ” สุวาลย์กระซิบกับเพื่อน
“ท่านนั่นแหละตอบ” สุวรรณกระซิบตอบกลับมา
“ไม่ต้องเกี่ยงกัน มันไปไหน นอน หนีเที่ยวหรือไม่ยอมมา”
“นอนพระเจ้าค่ะ ไม่ยอมมาพระเจ้าค่ะ”
สุวรรณเอ่ยออกมา สุวาลย์เป่าลมออกทางปากแล้วเงยหน้าขึ้นเสริมคำตอบของสุวรรณว่า
“พูดอย่างไรก็ไม่ยอมพระเจ้าค่ะ”
“มันไม่ยอมมาเพราะพวกท่านบอกมันใช่ไหมว่าข้าต้องการอะไรจากมัน”
“พระเจ้าค่ะ”
สุวรรณตอบรับพร้อมสุวาลย์แล้วก้มหน้านิ่ง พวกเขาลืมไปว่าท่านพญามัจจุราชไม่ให้พูดอะไรทั้งสิ้นจนกว่ามัจโจ เหลนของท่านจะมาถึงที่ห้องนี้เสียก่อนแต่สุวรรณพูดอย่างไรมัจโจก็ไม่ยอมลุกจากที่นอนจึงบอกจุดประสงค์ที่พญามัจจุราชเรียกพบ
มัจโจถึงกับส่ายศีรษะเร็วๆ ล้มตัวกลิ้งบนเตียงนุ่มไม่ยอมลุกและปฏิเสธเสียงแข็ง อย่างไรก็จะไม่ไปพบปู่ทวดให้สุวรรณกับสุวาลย์มาเรียนปู่ทวดตามนั้น
“ข้าใช้พวกท่านทีไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง ข้าจะไปตามมันเอง”
ร่างสูงใหญ่ลุกยืนแล้วก้าวลงจากแท่นบัลลังก์เดินออกจากห้องโถงไปทางซ้ายมือซึ่งเป็นที่พักของมัจโจ เหลนผู้สืบทอดบัลลังก์เพียงผู้เดียว ท่านเคยพูดกับมัจโจครั้งหนึ่งกับการรับตำแหน่งพญามัจจุราชแทนท่านแต่มัจโจปฏิเสธอ้างว่า พ่อของเขากับปู่ของเขายังไม่ยอมรับหน้าที่นี้ ทำไมปู่ทวดจึงบังคับเขาและเหตุนี้ทำให้ท่านพญามัจจุราชโกรธเหลนมากถึงกับออกคำสั่งให้มัจโจรับตำแหน่งต่อจากท่านไม่ว่าจะเร็วหรือช้ามัจโจก็ต้องขึ้นนั่งบัลลังก์พญามัจจุราช
พญามัจจุราชก้าวเข้ามาในห้องนอนของเหลนที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน เหลนชายเป็นหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงนี่แหละเป็นสิ่งที่ท่านอยากให้เหลนเป็นพญามัจจุราชต่อจากท่าน
“ว่าไงไอ้เหลนรัก ลุกขึ้นมาประเดี๋ยวนี้แล้วไปพบทวดที่ห้องโถงคดีความ ทวดให้เวลาเจ้าแค่นาทีเดียวสำหรับการล้างหน้าแปรงฟัน หากเกินแม้เศษเสี้ยววินาที เจ้าเจอดีแน่ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าดีที่ทวดจะให้เจ้าเจอมันคืออะไร”
“โอย.ไม่เอาหรอกปู่ทวด ผมไม่รับตำแหน่งนั่น ปู่ทวดอย่ามาบังคับได้มั้ย ทำไมไม่บังคับปู่กับพ่อผมล่ะมาบังคับผมทำไม”
มัจโจโวยวายกับคำสั่งแกมบังคับของปู่ทวด เขาอ้างปู่กับพ่อให้ปู่ทวดโกรธเล่นๆ เสียอย่างนั้น ท่านพญามัจจุราชถึงกับหน้าร้อนขึ้นมาทันทีทันใด ท่านคิดถึงลูกชายกับหลานชายเมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมา ท่านอยากสละบัลลังก์ให้กับลูกชายแต่ลูกรู้ทันและไม่อยากเป็นผู้ตัดสินคดีความต่างๆ จึงหมั่นเพียรทำบุญกุศลแต่เนิ่นๆ กระทั่งถึงเวลาที่พ่อจะให้ก้าวขึ้นไปนั่งบัลลังก์ เขาก็ได้รับบุญกุศลนั้นไปเกิดบนสวรรค์เป็นเทวดา ส่วนลูกชายเมื่อเห็นพ่อหนีปู่ด้วยการรักษาศีล ภาวนาและทำทานก็ทำบ้างเพื่อหลีกหนีการเป็นพญามัจจุราชและก็ทำสำเร็จได้ไปเกิดบนสวรรค์เช่นเดียวกับพ่อ ทิ้งลูกชายไว้กับปู่ซึ่งท่านพญามัจจุราชจะไม่ยอมปล่อยให้เหลนหนีบัลลังก์เช่นเดียวกับลูกชายและหลานของท่าน
ใช่ว่าลูกและหลานจะรังเกียจการรับตำแหน่งพญามัจจุราชแต่เพราะพวกเขาเบื่อการตัดสิน พวกเขามีจิตใจอ่อนไหวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้เพราะบัลลังก์แห่งความยุติธรรมต้องเที่ยงตรง ผู้ตัดสินคดีความผิดของมนุษย์โลกที่วิญญาณหลุดจากกายหยาบมาแล้วต้องรับโทษทัณฑ์ที่ตนทำไว้ครบถ้วนทุกคนโดยใครทำกรรมดีไว้ผลกรรมดีก็จะถูกบันทึกไว้ในยมโลก ใครทำกรรมชั่วไว้ก็ถูกบันทึกเช่นเดียวกัน เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้ามารับผลกรรมเหล่านั้น ทุกคนก็ต้องพบกับการตัดสินที่ถูกต้องและตรงประเด็นไม่ผิดเพี้ยนลำเอียงแต่อย่างใด
พวกเขามีเมตตาสูงจึงรับหน้าที่นั้นไม่ได้ ท่านพญามัจจุราชไม่โทษลูกกับหลานที่หนีบัลลังก์แต่เพราะกุศลที่พวกเขาสร้างไว้ส่งให้พวกเขาไปเกิดในที่ที่พวกเขาต้องการ เมื่อกำลังจะหมดสิ้นทายาทรับช่วงต่อ ท่านพญามัจจุราชจึงไม่ปล่อยมัจโจให้เที่ยวเล่นเป็นหนุ่มน้อยเนื้อหอมอีกต่อไป
“ทวดไม่ได้บังคับเจ้าแต่เหลือเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ต่อจากทวด ถึงเวลาที่เจ้าต้องฝึกงานกับทวดแล้วละมัจโจ ตามท่านสุวรรณสุวาลย์ไปพบทวดที่ห้องโถงชำระคดีความประเดี๋ยวนี้”
“โอ้ย.ไม่ไป ไม่ทำ ไม่รับ ไม่ชอบ ไม่..” เขาโวยวายต่อหน้าปู่ทวด
“หยุด..ถ้าเจ้าไม่อยากถูกกักบริเวณจงทำตามคำสั่งของทวด ท่านสุวรรณ ท่านสุวาลย์ จับตัวมันตามข้ามา”
พญามัจจุราชหมุนร่างสูงสง่าก้าวยาวๆ ออกจากห้องนอนของเหลนโดยไม่สนใจกับคำตัดพ้อตามหลังท่าน
“ปู่ทวดใจร้าย ทีกับปู่กับพ่อผมไม่บังคับ มาบังคับผมทำไม ใจร้าย ใจดำ ใจ..ใจอะไรอีกล่ะ”
เขาชะงักคำและคิดคำใหม่จะว่าปู่ทวดต่อแต่สุวรรณกับสุวาลย์ไม่เปิดโอกาสให้เขาคิด ทั้งสองตรงเข้ามาคว้าแขนมัจโจคนละข้างแล้วลากตัวลงจากเตียงนอนออกจากห้องไปอย่างทุลักทุเล
“ไม่ไป ปล่อยผมนะลุงสุวรรณ ลุงสุวาลย์ ปล่อยผมสิ ผมบอกว่าไม่ไปไงเล่า ปล่อยสิ ปล่อย...”
“อย่าดื้อเลยครับ ท่านปู่ทวดยังไม่โกรธมากนะครับ ถ้าโกรธมากเมื่อไหร่ท่านมัจโจจะถูกกักบริเวณคราวนี้ไปเที่ยวไม่ได้นะครับ”
สุวรรณแกล้งขู่ให้มัจโจกลัวการกักบริเวณเพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาไม่มีทางแอบหนีเที่ยวได้เลย พอก้าวพ้นห้องนอนก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงตามผิว เนื้อตัวปวดแสบปวดร้อนนอนครวญครางอยู่ในห้องนอน จะออกไปเดินเล่นก็ยังไม่ได้ มัจโจกลัวมากจึงยอมมาพบปู่ทวดแบบไม่เต็มใจเท่าไรนัก
“ปู่ทวดจะให้ผมทำอะไรก็สั่งมาสิครับ ผมจะกลับไปนอน”
เหลนเอ่ยน้ำเสียงติดรำคาญกับคำสั่งของท่านพญามัจจุราช ผู้สูงวัยมองหน้าเหลน มัจโจโตพอรับผิดชอบบัลลังก์อันยิ่งใหญ่นี้แล้วแต่การตามใจเหลนมาตั้งแต่เด็กทำให้มัจโจเอาแต่ใจ ใครขัดใจไม่ได้และเพราะปล่อยตามใจอย่างนี้มัจโจจึงไม่กลัวใครนอกจากปู่ทวดเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“นับต่อจากนาทีนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องฝึกงานกับทวดรวมทั้งกับท่านสุวรรณ ท่านสุวาลย์ด้วย เริ่มจากดูบัญชีกรรมดีกรรมชั่ว ศึกษาให้เข้าใจว่ากรรมดีกับกรรมชั่วต่างกันอย่างไร ถามท่านสุวรรณได้ทุกเวลา ส่วนบัญชีความผิดของคนที่ตายแล้วลงมาอยู่ในนี้ถามท่านสุวาลย์ บัญชีหมดลมหายใจก็ถามท่านสุวาลย์ บัญชีความดีแห่งปีถามท่านสุวรรณ เริ่มทำงานได้แล้ว”
พญามัจจุราชอธิบายให้มัจโจเข้าใจงานที่จะต้องฝึกฝนให้เก่ง มัจโจมองหน้าปู่ทวดสายตาและใบหน้าสงสัยบัญชีหมดลมหายใจกับบัญชีความดีแห่งปี
“ปู่ทวดครับ บัญชีหมดลมหายใจกับบัญชีความดีแห่งปีมันคืออะไรครับ มีด้วยหรือครับใครคิดขึ้นมาครับ”
คำถามของเหลนทำให้พญามัจจุราชนิ่งไปครู่หนึ่ง บัญชีที่เหลนสงสัยเพิ่งมีเพิ่มจากบัญชีกรรมดีกรรมชั่วและบัญชีความผิด ท่านเป็นผู้ตั้งขึ้นมาเองและให้สุวรรณกับสุวาลย์ทำบัญชีนี้ซึ่งช่วยให้รู้ชัดเจนว่าใครทำดีไว้มากแค่ไหนในแต่ละปีและก่อนหมดลมหายใจนั้นอยู่ช่วงเวลาไหน สุวรรณและสุวาลย์จะได้ขึ้นไปรับดวงวิญญาณเหล่านั้นได้ถูกต้องและตรงเวลาพอดี
“ทวดคิดเอง ทำไมมีปัญหาอะไรรึ”
“มีครับ ถ้าปู่ทวดทำบัญชีความดีแห่งปีขึ้นมาแล้วทำไมไม่มีบัญชีความชั่วแห่งปีบ้างละครับ พอพวกมนุษย์ตายปุ๊บ บัญชีปรากฏปั๊บ จับตัวลงโทษได้เร็วทันใจยิ่งกว่า 6 จีอีกนะครับปู่ทวด”
ท่านพญามัจจุราชจ้องหน้าเหลนที่พูดมากเกินไปแล้ว สุวรรณกับสุวาลย์อมยิ้ม สุวาลย์กระซิบกับมัจโจว่า
“ท่านมัจโจแค่ 5 จีข้ายังเล่นไม่ค่อยได้เลยนะครับ นี่ไปถึง 6 จีแล้วเหรอครับ ถ้าเล่นเป็นแล้วช่วยสอนพวกเราหน่อยนะครับ”
“ได้ครับลุง เดี๋ยวผมจะสอนให้แต่ต้องพาผมหนีปู่ทวดไปเที่ยวนะครับ”
มัจโจกระซิบตอบกลับมา พญามัจจุราชมองหน้าลูกน้องคนสนิทพร้อมเอ่ยเสียงดัง
“กระซิบอะไรกับมัน คิดจะพามันหนีเที่ยวรึไง อย่าหวังเลย ถ้าไม่ผ่านงานแกก็อย่าหวังจะได้ไปโฉบเฉี่ยวที่ไหนเจ้ามัจโจ อีกเรื่อง ในเมื่อแกคิดคำว่าบัญชีความชั่วแห่งปีขึ้นมาใหม่ แกก็ทำมันด้วย ท่านสุวาลย์สอนทำบัญชีเดี๋ยวนี้ ห้ามไปไหนเด็ดขาด ท่านสุวรรณดูบัญชีหมดลมหายใจแล้วขึ้นไปรับวิญญาณพวกนั้นลงมาเร็ว”
“พระเจ้าค่ะ”
สุวรรณทำตามคำสั่งของท่านพญามัจจุราช กวาดสายตาไปบนจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าแตะนิ้วที่หน้าจอรายชื่อผู้ที่กำลังจะเสียชีวิตก็ขึ้นเป็นตัวหนังสือสีแดงกะพริบให้เห็น เขาเงยหน้ามองพญามัจจุราช
“ข้าพระบาทจะไปรับดวงวิญญาณพระเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ”
พญามัจจุราชเอ่ยอนุญาต ร่างของสุวรรณก็หายวับไป มัจโจมองปู่ทวดพร้อมทำหน้าเบื่อหน่าย
“ปู่ทวดครับ ผมขอเที่ยวอีกสักพักได้มั้ย ยังไปไม่ทั่วเลยครับ ขอไปบนโลกมนุษย์สักวันสองวันค่อยมาทำงานได้มั้ยครับ”
“ไม่ได้ เจ้าต้องเริ่มงานเดี๋ยวนี้ ท่านสุวาลย์ สอนมันได้แล้ว ถ้ามันดื้อข้าอนุญาตให้ท่านลงโทษมันได้แต่เอาแค่เบาะๆ นะเดี๋ยวมันจะแกล้งโอดโอยไม่ทำงาน มันเจ้าเล่ห์ใช่ย่อย”
“พระเจ้าค่ะ”
สุวาลย์รับคำสั่งแล้วหันมามองมัจโจ ชายหนุ่มร่างสูงผิวสีแทน จมูกโด่ง ดวงตาสีนิล คิ้วเข้ม ริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูราวกับเป็นปากของหญิงสาว กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายกับคำสั่งของพญามัจจุราชแต่ก็ยอมเดินตามสุวาลย์ไปที่โต๊ะตัวใหญ่ ที่นั่นมีเครื่องมือไฮเทคทันสมัยเช่นบนโลกมนุษย์ จอสี่เหลี่ยมแบบเดียวกับคอมพิวเตอร์ โปรแกรมต่างๆ อัดแน่นในจอนั้นไม่ว่าจะเรียกใช้โปรแกรมอะไรได้ทั้งหมดและสามารถส่งสัญญาณติดต่อกันรวดเร็วกว่าโลกมนุษย์หลายร้อยเท่าทีเดียว
มัจโจชอบเครื่องมือเหล่านี้จึงเรียนรู้งานจากสุวาลย์เกี่ยวกับการทำบัญชีต่างๆ ได้เร็วและสามารถทำได้คล่องแต่เพราะไม่อยากให้ปู่ทวดจับขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์สีทองที่ยิ่งใหญ่จึงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ถามสุวาลย์บ่อยครั้งและจิ้มหน้าจอสี่เหลี่ยมผิดๆ ถูกๆ
“ลุงสุวาลย์ ตรงนี้ทำยังไง บัญชีความดีแห่งปีกับความชั่วแห่งปีมันเหมือนกันไม่ใช่รึ”
“อย่าเรียกลุงได้มั้ยท่านมัจโจ เรียกแค่พี่ก็พอ ข้ายังไม่แก่สักหน่อย” สุวาลย์กระซิบแล้วเชิดหน้าทำหน้าตึงให้ชายหนุ่มรุ่นลูกหัวเราะเล่นๆ
“รุ่นพี่ของพ่อผมเนี่ยนะจะให้เรียกพี่ ก็ได้ๆ เรียกพี่ก็ได้ ท่านพี่สุวาลย์ครับ บัญชีความชั่วแห่งปีจะลงรายชื่ออย่างไรหรือครับ ต้องเอาความชั่วของใครมาวัดหรือเปล่าครับ”
มัจโจแกล้งสุวาลย์อย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกแต่สุวาลย์ก็ไม่โกรธ บางครั้งมัจโจให้สุวรรณกับสุวาลย์ใช้คำว่า ผม แทนคำว่า ข้า แต่ท่านยมทูตทั้งสองก็ฝืนใช้ไม่ได้นานก็ต้องกลับมาใช้คำเดิมที่คุ้นปากและท่านพญามัจจุราชไม่สนับสนุนให้ตามกระแสสังคมใหม่ของมนุษย์ยกเว้นเครื่องมือในการทำงาน เครื่องมือบันทึกสิ่งต่างๆ ที่ต้องใช้ในงานเท่านั้น
“ใครชั่วมากชั่วน้อย ทำดีมากทำดีน้อยก็ไล่ตามกันไปและใครโดดเด่นกับเรื่องชั่วหรือเรื่องดีก็นำขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแล้วค่อยตัดสิน”
“ไม่เข้าใจครับ ขอพักสายตาสักงีบแล้วจะตื่นมาฟังคำอธิบายต่อนะครับท่านลุง เอ๊ย ท่านพี่สุวาลย์”
มัจโจนั่งฟุบหลับบนเก้าอี้เสียอย่างนั้น เขาจะยืดเวลาการฝึกงานกับสุวรรณและสุวาลย์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่อยากเป็นพญามัจจุราชไม่อยากตัดสินคดีความต่างๆ ไม่อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภพภูมินรกแห่งนี้ เขาคิดถึงปู่กับพ่อที่เลี่ยงการเป็นทายาทสืบทอดจากปู่ทวดได้สำเร็จ เขาต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องรับภาระหน้าที่ต่อจากปู่ทวด
เขาหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้และไม่สามารถติดต่อปู่กับพ่อได้ สุวรรณบอกกับเขาว่าปู่ของเขาไปเกิดในภพภูมิสวรรค์ พ่อของเขาก็เช่นกันแต่ไม่บอกว่าปู่กับพ่อทำอย่างไรจึงได้ไปเกิดในที่ๆ ต้องการสมดังที่ปรารถนาหรือเขาจะต้องสืบทอดบัลลังก์พญามัจจุราชต่อจากปู่ทวดจริงๆ
สุวาลย์ได้แต่ถอนหายใจกับสิ่งที่มัจโจทำ มัจโจเป็นผู้มีจิตอ่อนโยน หากได้ไปอยู่ในโลกมนุษย์มัจโจจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเมตตา ขี้สงสาร ชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเลยทีเดียวแต่มัจโจคือทายาทของท่านพญามัจจุราชไม่ใช่มนุษย์จึงสร้างความลำบากใจให้กับพญามัจจุราชรวมทั้งสุวรรณกับสุวาลย์ด้วยเพราะต้องทำให้มัจโจ เข้มแข็ง เด็ดขาดกล้าตัดสินปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุและผลแต่ท่าทางจะยากเสียแล้ว
“ท่านสุวาลย์ เป็นอย่างไร เหลนข้าเรียนรู้งานไปถึงไหน” พญามัจจุราชก้าวมายืนหน้าโต๊ะทำงานของสุวรรณสุวาลย์ คำถามของเขามีภาพมัจโจฟุบหลับกับโต๊ะเป็นคำตอบดีกว่าคำพูดจากปากของสุวาลย์
“ภาพฟ้องพระเจ้าค่ะ” สุวาลย์ยิ้มน้อยๆ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ปลุกมันขึ้นมาทำงานต่อ”
“ปล่อยให้พักสักครู่ก็ดีนะพระเจ้าค่ะ” สุวาลย์ออกความคิดเห็นแบบเกรงๆ ต่อท่านพญามัจจุราช
“ตามใจมันอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะโตสักที ทุกวันนี้มันเล่นปานเด็ก 5 ขวบเพราะพวกท่านเกรงใจข้ายอมทำตามใจเจ้ามัจโจใช่หรือไม่”
“พระเจ้าค่ะ” สุวาลย์ก้มศีรษะยอมรับสิ่งที่พญามัจจุราชพูด
“ต่อไปไม่ต้องเกรงใจข้า หากจะให้มัจโจเป็นพญามัจจุราชที่เข้มแข็งเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจพระเจ้าค่ะ”
สุวาลย์รับคำสั่งอีกครั้ง สุวรรณปรากฏร่างตรงหน้าพญามัจจุราชพร้อมดวงวิญญาณหญิงสาว ใบหน้าของหญิงสาวซีดขาว กิริยาเบลอๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นเต็มที่
“มาแล้วพระเจ้าค่ะ”
“เป็นอะไรล่ะ ท่าทางสะลึมสะลือ” ท่านมัจจุราชถามลอยๆ ขณะก้าวเดินไปยังบัลลังก์ทอง
“เสพยาเกินปริมาณพระเจ้าค่ะช็อคตายคาเตียงพระเจ้าค่ะ” สุวรรณตอบคำถามของท่านมัจจุราช
“หน้าตาดี หุ่นก็ดี ผิวพรรณน่าจะเป็นลูกคนมีตังค์แต่ทำไมติดยาเสพติดขนาดเสพย์ถึงตายเชียวรึท่านสุวรรณ” สุวาลย์มองสำรวจรูปร่างและการแต่งตัวของหญิงสาวพร้อมการคาดเดา
“ยังไม่ได้ตรวจสอบประวัติ ท่านตรวจให้ที” สุวรรณตอบกลับมาและส่งงานให้สุวาลย์ทันที
“ปลุกมัจโจ สอนงานตรวจสอบประวัติวิญญาณหญิงสาวผู้นี้โดยด่วน ส่วนท่านพาวิญญาณของนางไปห้องพักชั่วคราว รอให้สุวาลย์ตรวจสอบประวัติกับความผิดก่อนค่อยพามาฟังคำตัดสิน รอให้ยาหมดฤทธิ์ด้วย นี่ถ้าจะไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว”
“พระเจ้าค่ะ เมื่อตอนที่ข้าพระบาทพาตัวมา ญาติเพิ่งเปิดประตูเข้าไปเห็น ร้องไห้กันระงม”
“คนที่เสียใจก็คือพ่อแม่พี่น้องละนะ พวกนี้คิดถึงแต่ตัวเองไม่คิดถึงบุคคลที่รักรอบข้าง หากสำนึกสักนิดว่ายาที่เสพย์เข้าไปมันเป็นอันตรายทำให้ถึงตายได้ก็คงไม่เป็นอย่างนี้ พ่อแม่ก็ไม่เสียใจตัวเองก็ไม่ต้องตายอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ เฮ้อ.โลกมนุษย์มันวุ่นวายมากขึ้นทุกที”
พญามัจจุราชมองวิญญาณของหญิงสาวที่นั่งหมอบกับพื้นด้วยความสมเพชมากกว่าสงสาร สุวรรณลากหญิงสาวออกไปทางปีกซ้ายของโถงใหญ่ สุวาลย์ปลุกมัจโจจากการงีบหลับแล้วชี้ไปที่หน้าจอสี่เหลี่ยม
“นี่เป็นหน้าประวัติของทุกคนที่ถูกบันทึกไว้ ท่านมัจโจ ดูตามนะตอนนี้เรากำลังจะดูประวัติของผู้หญิงเสพยาจนตาย”
“ผู้หญิงเสพยา เสพย์จนตายเลยหรือลุง” มัจโจทำหน้าตื่นเต้นกับคำพูดของสุวาลย์แต่สุวาลย์จิ๊ปากกับคำว่าลุงแล้วก้มลงกระซิบข้างหูมัจโจ
“บอกให้เรียกพี่ไง”
มัจโจหัวเราะออกมา พญามัจจุราชหันมาจ้องตาขุ่นขวาง
“หัวเราะอะไรของเจ้า ทวดให้ตรวจประวัติของหญิงนางนั้น ท่านสุวาลย์เร่งด่วนนะ”
“พระเจ้าค่ะ” สุวาลย์รับคำรีบตรวจสอบประวัติของวิญญาณหญิงสาวด้วยตัวเอง
“ผมหัวเราะลุงสุวาลย์ครับปู่ทวด ลุงจะให้ผมเรียกพี่ เรียกได้มั้ยครับ”
“ทำไมต้องฟ้องด้วยเล่าท่านมัจโจ” สุวาลย์หันมาดุเบาๆ
“ได้ ถ้าแกอยากจะเรียก แต่ท่านสุวรรณกับท่านสุวาลย์ หากจะเทียบอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับปู่เจ้านั่นแหละ ถ้าเขาอยากให้เรียกก็เรียกหน่อย เขาอยากเป็นหนุ่มคงกะพันไม่มีวันแก่”
พญามัจจุราชพูดแล้วยิ้มน้อยๆ มัจโจหันมามองสุวาลย์แกล้งทำตาโต สุวาลย์กัดฟันใส่แล้วเมินหนีสายตาล้อเลียน
“โห.รุ่นปู่เชียวเหรอครับลุง แต่จะว่าไปแล้วลุงสุวรรณกับลุงสุวาลย์ก็ยังหนุ่มอยู่เลยไม่เห็นแก่ตรงไหน รูปร่างหน้าตาก็ดี ลุงสุวรรณสูงผิวออกขาว ลุงสุวาลย์ผิวคล้ำไปนิดแต่ก็หล่อ เอ.ผมเรียกพี่ดีมั้ยน๊า”
“เจ้ามัจโจ อย่ามัวพูดเล่นรีบทำงาน ตรวจสอบประวัติหญิงนางนั้นอย่างละเอียดแล้วตรวจดูความดีความชั่วของนางด้วย ความผิดที่นางเคยก่อรวมทั้งความดีที่เคยทำแล้วรายงานทวด ห้ามให้ท่านสุวาลย์รายงาน เข้าใจไหม”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
มัจโจยกมือพนมยกขึ้นเหนือศีรษะและใช้คำพูดเป็นทางการอย่างที่ไม่เคยใช้กับปู่ทวดมาก่อน สุวรรณเดินมาได้ยินถึงกับยิ้ม สุวาลย์หัวเราะกับท่าทางจริงจังของทายาทท่านมัจจุราช...
******