พรายผยอง (หงส์หยก) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: พรายผยอง
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 350.00 บาท 87.50 บาท
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอน 1

 ลึกเข้าไปบริเวณเชิงเขาห่างไกลสายตาผู้คน ตามทางเดินแนวยาวที่ค่อนข้างแคบและรกครึ้ม ไม่มีผู้ใดผ่านเข้าออกบ่อยนัก หากไม่สังเกตคงมองไม่รู้ว่ามีผู้ใช้เส้นทางนี้สัญจร สุดทางคือกระท่อมหลังเล็กซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ที่ขึ้นปกคลุม ในความมืดมิดปรากฏลำแสงสีแดงเปล่งประกายออกมาจากกระท่อมหลังดังกล่าว บางครั้งค่อยเลือนรางลง บางครั้งกลับมีประกายเจิดจ้าขึ้นมา สร้างความกังขาให้แก่เจ้าของดวงตาคู่หนึ่ง ที่ยืนนิ่งสังเกตความเป็นไปอยู่ไกลออกมาจากบริเวณนั้นพอสมควร

 ‘เมียงยา’ หญิงสาววัยสิบแปดปี ในชุดโจงกระเบน ผ้าแถบคาดอก ขยับผ้าคลุมไหล่ให้เข้าที่ ผุดลุกผุดนั่ง จับจ้องไปยังลำแสงจากกระท่อมตาไม่กะพริบ สองเท้าค่อยย่างขยับเข้าไปใกล้ ประกายของแสงที่วับวาบ เมื่อต้องใบหน้ารูปไข่ได้สัดส่วน เผยให้เห็นดวงตากลมโต ที่พยายามสอดส่ายหาที่มาข้อข้องใจ

 ขยับเรื่อยเข้ามาไม่นานจึงถึงจุดหมาย หญิงสาวใช้ไม้ที่พอหาได้ใกล้ตัว เจาะผ่านใบแฝกด้านข้างกระท่อม จนเป็นรูเล็กๆ พอให้สายตามองผ่านเข้าไปด้านในได้ ลำแสงที่มองเห็นหายไปแล้ว หากยังมีแสงจากตะเกียงที่ตั้งอยู่ กระจายรัศมีทำให้พอมองเห็นความเป็นไปจากด้านในได้เป็นอย่างดี แต่แล้วดวงตาของเมียงยามีอันต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ

 คุณพระช่วย!...ภาพที่เห็นคือร่างชายวัยกลางคน นุ่งเพียงผ้าเตี่ยวปกปิดร่างกายส่วนล่าง กำลังนอนดิ้นทุรนทุรายไปมา ดวงตาเบิกค้างทรมานราวจะขาดใจ บริเวณแผ่นหลังและหน้าอกเปลือยเปล่า มองเห็นรอยสักเป็นปื้นซึ่งกำลังมีเลือดสีแดงซึมออกมา เท้าสองข้างจิกพื้นจนเกร็งไปทั้งร่าง บางครั้งบิดตัวคุดคู้เข้าหากัน สักพักดูผ่อนคลาย ทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดโอย แสดงความทุกข์ทรมาน เจ้าของร่างกำมือทั้งสองข้างแน่น เหมือนกำลังพยายามต่อต้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน

 ภาพตรงหน้าทำเอาหญิงสาวพึมพำเสียงแผ่วเบาออกมา “พ่อ!...”

 ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริด เธอก็ถูกมือหนึ่งปิดปากเอาไว้แน่น ก่อนจะลากออกมาจากกระท่อมหลังนั้นอย่างรวดเร็ว

 

  เมียงยาถูกพากลับมาที่บ้านไม้หลังเล็กชั้นเดียว สภาพทรุดโทรมไม่ได้รับการบำรุงรักษา อยู่ห่างออกมาจากเชิงเขา ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดที่กำลังเกิดขึ้น แคร่ไม้หน้าบ้านเป็นสถานที่สนทนาระหว่างสองแม่ลูกยามนี้

 ‘สีมา’ หญิงวัยกลางคนในชุดโจงกระเบน มีผ้าคาดอกแบบชาวบ้านเรียบง่าย จ้องหน้าเมียงยาบุตรสาวด้วยความขัดเคือง ที่แอบล่วงละเมิดคำสั่งของหล่อนจนได้ น้ำเสียงดุดันต่อว่าอย่างไม่พอใจ

 “แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้เอ็งไปที่นั่นอีก” 

 “สิ่งที่แม่กำลังปิดบังข้ามาตลอด มันคือสิ่งนี้หรือ เกิดอันใดขึ้นกับพ่อหรือจ๊ะแม่...พ่อกำลังจักตาย ไยแม่ไม่ช่วยพ่อ” เมียงยาร้องไห้ไปพูดไป

 “ผู้ใดก็ช่วยพ่อเอ็งไม่ได้ดอก” นางตอบลูกเสียงเครือ

 น้ำตาเจ้ากรรมพานไหลออกมาแทนคำพูดทั้งหมด ความลับที่พยายามปกปิดบุตรสาวมานานหลายปี กำลังจะถูกเปิดเผย เมียงยานิ่งมองมารดา  เห็นถึงความอัดอั้นภายในที่ทะลักทลายออกมาผ่านทางน้ำตา

“พ่อเป็นอะไรจ๊ะแม่...”

“อาคมต่างๆ ที่พ่อของเอ็งรับสืบทอดมา กำลังเล่นงานพ่อของเอ็ง”

 เมียงยาหันมามองมารดาเชิงถาม ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ สีมาค่อยระงับอาการเศร้าโศกลงเพียงเล็กน้อย คิดว่าคงปิดบังลูกสาวอีกต่อไปไม่ได้เสียแล้ว จึงจำต้องอธิบาย ให้ฟังโดยละเอียด

“เมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่เอ็งยังไม่เกิด พ่อของเอ็งสืบทอดวิชามาจากอาจารย์ที่เขมร ผู้ที่นับว่าขมังเวทวิชาอาคมแก่กล้า แต่เมื่อใช้มันไม่ถูกทาง คุณไสยเลยเข้าตัว ทำให้ทุกข์ทรมานอย่างมาก เรียกอีกนัยหนึ่งก็คือของเข้าตัว”

“อย่างที่พ่อกำลังเป็นอยู่” เมียงยาพูดต่อจากคำของมารดา

“ถูกแล้ว มันทรมานมาก...และมันจักเป็นเช่นนี้หากไม่มีผู้สืบทอดรับวิชาต่างๆ ไปจากเจ้าของร่าง อาจารย์ของพ่อเอ็งมีบุญคุณชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเอ็งสงสารจึงตัดใจรับวิชาต่างๆ มา เพื่อให้อาจารย์จากไปอย่างสงบ พ่อเอ็งไม่ได้รักในวิชาที่ถ่ายทอดมา เพราะเห็นว่ามันเป็นโทษ และเพื่อหนีจากผู้คนที่มักตามมาให้ปลุกเสกของศักดิ์สิทธิ์อยู่บ่อยครั้ง พ่อเอ็งจึงหนีออกมาจากหมู่บ้าน ข้ามเขตชายแดนเขมรเข้ามาที่นี่ จนเจอกับแม่”

“ข้าจำได้ว่าเราย้ายบ้านมาอยู่เชิงเขาตั้งแต่ข้ายังเล็กๆ”

“พ่อของเอ็งไม่ต้องการสานต่อวิชา เนื่องจากเห็นว่าคุณไสยเป็นสิ่งเหนือความเป็นจริง ที่ทำให้เสียหายไปถึงผู้รับและผู้ให้ ทุกคืนเดือนเพ็ญพ่อเอ็งจึงต้องทุกข์ทรมานมาตลอด หลายครั้งที่พ่อของเอ็งนอนดิ้นทุรนทุรายเพราะความร้อนจากวิชา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพ่อของเอ็งก็พยายามแข็งขืนมันอย่างเต็มความสามารถ  เราสองคนย้ายมาอยู่กันตามลำพังที่เชิงเขานี้ เมื่อเอ็งโตขึ้นพ่อเอ็งจึงต้องแยกออกไปอยู่กระท่อมนั้นในคืนเดือนเพ็ญ ไม่อยากให้เอ็งเห็นภาพอันน่าเวทนา”

เมียงยาเริ่มครุ่นคิดตาม จำได้ว่าหลายครั้งที่พ่อของเธอหายออกไปจากบ้าน แล้วกลับเข้ามาในรุ่งเช้า

เสียงผู้เป็นแม่อธิบายต่ออีกว่า “อาคมที่รุ่มร้อนเหนือการควบคุม มันสามารถทำอะไรก็ได้กับผู้ที่พบเห็น เพียงเพื่อต้องการให้คนผู้นั้น เข้าไปรับสืบทอดวิชาต่อ พ่อเอ็งจึงต้องแยกตัวออกไป” ผู้เล่าเริ่มร้องไห้กระซิก “พ่อเอ็งเคยพูดว่าอยากให้อาคมต่างๆ ตายไปพร้อมกับตัว ไม่อยากให้ใครต้องมารับรู้ความเจ็บปวด อย่างที่เป็นอยู่อีก เพราะมันทรมานมาก”

“ข้าสงสารพ่อจ้ะแม่”

คำพูดของลูกสะกิดให้ความรู้สึกของผู้เป็นแม่รันทดใจมากขึ้นไปอีก สำหรับสีมาความรักระหว่างเธอกับ‘มะลอ’สามี ดำเนินมาท่ามกลางความสุข ตั้งแต่เธอตัดสินใจแยกจากครอบครัวมา มะลอก็ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวที่ดี แม้จะติดขัดอยู่ที่ในค่ำคืนเดือนเพ็ญก็ตาม

“เดี๋ยวรุ่งเช้า พอพ่อเอ็งกลับมาก็คงดีขึ้น”

“พ่อจะเป็นอย่างนี้อีกนานมั้ยแม่” น้ำเสียงสั่นเครือ ฟังแล้วรู้ชัดว่าความกังวลยังมีมากมาย

“ตราบจนสิ้นลมหายใจ”

สองแม่ลูกร้องไห้กอดกันแน่น ท่ามกลางแสงจันทร์สุกสว่าง ความยาวนานที่ต้องรอคอยการกลับมาของบิดา กลายเป็นค่ำคืนอันแสนทรมาน แม้สองแม่ลูกจะเข้าไปนอนในบ้านแล้ว แต่ไม่อาจหลับตาลงได้ ความรู้สึกหลากหลายที่เกิดขึ้น แม้ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยออกมาก็สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี สองแม่ลูกเกาะกุมมือกันแน่น สัมผัสถึงเส้นชีพจรที่เต้นตุบๆ คล้ายเสียงท่องมนตร์อยู่ภายในใจ เพื่อขอให้ผู้เป็นพ่อกลับมาถึงบ้านด้วยความปลอดภัย

 

สายหมอกยามเช้าเริ่มจางลงช้าๆ เมื่อรัศมีสีทองแผ่เข้ามาโอบล้อมทั่วอาณาบริเวณ ตรงช่องระหว่างแนวเขามีลำแสงลอดผ่านพอมองเห็นเป็นทางยาว เมื่อตกกระทบลงบนแมกไม้สีเขียวกลายเป็นมนตร์เสน่ห์แห่งขุนเขา ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติไว้ได้อย่างลงตัว

 ธารน้ำตกจากแนวเขา ไหลเป็นทางยาวเรื่อยลงมาเล่นระดับ บริเวณโขดหินไม่ไกลจากบริเวณนั้น เมียงยานั่งเหม่อลอย ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังติดตา

 “เมียงยา” เสียงเรียกแผ่วเบาและอบอุ่นดังขึ้นทางด้านหลัง

 เสียงคุ้นเคยทำให้หญิงสาวหันไปมองด้วยท่าทีเบิกบานขึ้นมา

“พ่อ” หล่อนวิ่งเข้าไปกอดเขาไว้แน่น คล้ายหวั่นว่าจะมีผู้พรากพ่อไปเช่นนั้น

 มะลอกอดตอบบุตรสาวนิ่งเงียบ แววตาหมองเศร้าลงกว่าเดิม เมื่อทราบจากสีมาก่อนหน้าแล้วว่าบุตรสาวรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว

“แม่บอกว่าเอ็งยังไม่ได้กินข้าว พ่อเลยมาตาม” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พ่อกลับมาตอนไหนจ๊ะ”

“หลังจากเอ็งออกมาไม่นาน”

“พ่อจ๋า...ข้าสงสารพ่อ” หล่อนร้องไห้ออกมาอีก

ผู้เป็นพ่อยกมือเช็ดน้ำตาให้บุตรสาวแผ่วเบาพร้อมบอก “หากเอ็งสงสารพ่อจริง จงอย่าเศร้าหมองให้พ่อเห็น ชีวิตพ่อมีเพียงเอ็งกับแม่เท่านั้น ที่จะเป็นกำลังใจให้พ่อได้ พ่อจักพยายามเข้มแข็งต่อสู้กับมันให้ถึงที่สุด”

“พ่อจักต้องทรมานแบบนี้อีกนานแค่ไหนจ๊ะ”

“ตราบที่ร่างกายจะทานทนมันได้นั่นแหละ...เมียงยาไม่ว่าอะไรจักเกิดขึ้น จงอย่าเข้าไปอยู่ในอาณาเขต วังวนของสิ่งที่เห็นเป็นอันขาด มันจักทำให้เอ็งเดือดร้อน...เหมือนอย่างที่มันกำลังเกิดขึ้นกับพ่อ”

หญิงสาวสบตาบิดา เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เสียงผู้เป็นพ่อไขข้อข้องใจบอกว่า

“มนตร์ด้านมืดเปลี่ยนคนดีให้เป็นคนร้าย เพียงเพื่อต้องการให้รับทอดบางสิ่งจากมัน มันทำได้ทุกอย่าง...” มะลอเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

มะลอเดินเข้าไปในบ้านพักของอาจารย์ผู้ชุบเลี้ยง ภายในห้องพิธีเต็มไปด้วยของขลังมากมาย ธูปที่จุดกำใหญ่ส่งกลิ่นคลุ้งทั่วบริเวณ เทียนบางเล่มเปลวไฟดับลงแล้ว บางเล่มยังวูบไหวไปตามแรงลมเฉื่อย ทั่วทั้งห้องอับทึบ

 มะลอมองเห็นอาจารย์วัยชราของตน กำลังนอนดิ้นทุรนทุรายทุกข์ทรมาน ประกายสีเหลืองนวลปรากฏตามร่างกาย จึงวิ่งเข้าไปตะโกนร้องเรียกเป็นภาษาเขมรด้วยความตกใจ

“อาจารย์...อาจารย์...อาจารย์เป็นอะไรไป”

“ออกไป...ไอ้มะลอ...อย่าเข้ามา” เสียงอาจารย์ร้องบอกเป็นภาษาเขมรตอบมา แววตาที่ส่งมาแสดงถึงความปรารถนาดีจากใจ แต่สักครู่ดวงตาของอาจารย์เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาราวกับคนละคน รวมไปถึงน้ำเสียงที่เร่าร้อนเร่งรัดขึ้นมา “ไอ้มะลอ...เอ็งต้องช่วยข้า...ข้าเจ็บ...ข้าปวดเหลือเกิน”

“อาจารย์...ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร”

“จงรับทอดอาคมต่อจากข้า เจ้าจงเป็นผู้สืบทอดมันต่อจากข้า มันจะทำให้ข้าหายเจ็บ...หายปวด...โอ๊ย...” สิ้นคำก็นอนลงดิ้นทุรนทุรายอีกครั้ง “รับสิไอ้มะลอ เอ็งจงรับปากข้า”

“เพื่ออาจารย์ ข้ายินดีทำทุกอย่าง ข้ายินดีเป็นผู้สืบทอด” มะลอรับคำ ด้วยคิดช่วยเหลือผู้มีพระคุณให้รอดพ้นความเจ็บปวด

 อาจารย์ที่มีท่าทีและน้ำเสียงอ่อนแรงบอกขึ้นมา “ไอ้มะลอ อย่าไปเชื่อมัน...มันกำลังหลอกเอ็ง...อย่าไปเชื่อมัน ออกไปเสีย”

มะลอที่ดูเหมือนงุนงงกับเหตุการณ์ เริ่มลังเล ร่างอาจารย์เริ่มดิ้นทุรนทุรายหนัก

“ไอ้มะลอ เอ็งต้องช่วยข้า...ช่วยข้า เอ็งรับปากข้าแล้ว...เอ็งยินดีช่วยข้าใช่ไหม” น้ำเสียงแหบพร่าเหมือนจะขาดใจเสียให้ได้

มะลอเข้าไปจับตามเนื้อตัวอาจารย์ พบว่าเขาร้อนผ่าวไปทั้งร่าง จึงขยับถอยออกมาด้วยความตกใจ

“หากเอ็งจะรับทอดมันจากข้า จงนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าข้า...เร็วเข้า”

ท่ามกลางความตกใจและอยากช่วยเหลืออาจารย์ มะลอคลานเข่าเข้าไปตรงหน้าตามที่อีกฝ่ายร้องบอก สักครู่ร่างอาจารย์ที่นอนดิ้นทุรนทุราย ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตรงข้ามกัน พลางเอื้อมมือจับศีรษะของมะลอกดลงเล็กน้อย ท่องมนตร์พึมพำ

 ฉับพลันร่างมะลอมีอันกระตุกวูบ ร้อนรุ่มไปทั่วร่างเหมือนมีพลังบางอย่างแล่นเข้าสู่ภายใน สักพักหนึ่งจึงค่อยๆ คลายจากอาการลง เพียงเท่านั้นร่างอาจารย์ก็ทรุดลงกระอักเลือดออกเป็นลิ่มๆ ลงนอนหมดแรง มะลอคลายจากอาการเกร็งร่างกาย ก่อนวิ่งเข้ามาประคองอาจารย์ร้องเรียกเสียงดังลั่น

“อาจารย์...อาจารย์...ไหนบอกว่าข้าจักช่วยอาจารย์ได้...อาจารย์”

“ไอ้มะลอเอ๋ย...สุดที่ข้าจะช่วยเอ็งได้...ข้า...ช่วยเอ็ง...ไม่ได้จริงๆ” เสียงอาจารย์ขาดหายเป็นช่วงๆ “มนตร์กีรตา...อาคมเขมร มันต้องการ...ให้มีผู้สืบทอด...เพื่อใช้อาคมในทางอธรรม หากเอ็งไม่ใช้ ในวันหนึ่ง...มันก็จะเล่นงานเอ็ง เหมือน...อย่างที่ข้าเป็นอยู่” ขาดคำอาจารย์ล้มลงแน่นิ่งสิ้นใจอยู่ตรงนั้น

“อาจารย์...อาจารย์...” เสียงร้องเรียกกลายเป็นเสียงร้องไห้ดังออกมาด้วยความเสียใจ กับการจากไปของอาจารย์

 

 ภาพเหตุการณ์ในอดีตค่อยเลือนหายไปจากความทรงจำของมะลอ เขาไม่ได้เล่าให้บุตรสาวฟังเรื่องราวของตน ยกมือโอบกอดกระชับร่างบุตรสาวเข้ามาแนบอกอย่างแสนรัก

“พ่อจักไม่มีวันให้มันเกิดขึ้นกับเอ็ง...เมียงยา”

“พ่อจ๋า...ทางไหนที่ข้าจักช่วยเหลือพ่อได้ ข้ายินดีทำ ข้าไม่อยากเห็นพ่อทรมานแบบนั้นอีก”

“ทางเดียวคืออยู่ห่างพ่อให้มากที่สุดในคืนเดือนเพ็ญ...นั่นเป็นสิ่งที่เอ็งทำได้...เมียงยา”  

ไม่มีคำพูดใดต่อจากนั้น สองพ่อลูกจึงพากันกลับไปยังบ้าน

สีมาที่รออยู่ด้วยใจจดจ่อรีบยกกับข้าวสองสามอย่างออกมาวางบนแคร่หน้าบ้าน เมื่อเห็นสองพ่อลูกกลับมาถึง สีหน้าผู้เป็นมารดาแม้จะยิ้มแย้มเชื้อเชิญให้สามีและลูกลงมือกินอาหาร แต่เป็นรอยยิ้มที่แห้งเหือดอย่างเห็นได้ชัด ด้วยมันไม่ได้มาจากส่วนลึกภายใน หากเป็นสิ่งที่ปั้นแต่งขึ้นมาบดบังความรู้สึก

อาหารเช้าในวันนี้ไม่ได้พร่องลงไปมากนัก สำหรับเมียงยาเหตุการณ์เมื่อคืน ยังผ่านเข้ามาในความทรงจำเป็นระยะ

                                                  

มันสำปะหลังสองสามเข่งถูกเทลงกองรวมกันไว้ บริเวณลานหน้าเรือนทรงไทยใต้ถุนสูง หญิงวัยกลางคนดึงเอาผ้าที่คลุมใบหน้าออกมาเช็ดเหงื่อที่ชุ่มกาย ก่อนจะเข้ามานั่งใต้ร่มไม้ ใกล้กับน้องสาวที่รออยู่ครู่ใหญ่แล้ว

หลังกระดกน้ำจากขันเข้าปากอั๊กๆ ‘ดาว’ ผู้พี่สาวจึงเปิดฉากการสนทนาขึ้น

“วันนี้มาคนเดียวรึสีมา”

“จ้ะ...วันนี้ข้ามาคนเดียว ไม่อยากให้เมียงยามันรู้”

“มีลับลมคมในอันใดอีกเล่า” พี่สาวสอบถามเสียงเรียบ

“ที่ข้ามาวันนี้ ก็จะมาถามพี่ดาวว่าพอรู้จักบ้านเจ้าขุนมูลนายที่ใดบ้างไหม”

นางดาวหันมองหน้าน้องสาวท่าทางแปลกใจ “เอ็งถามทำไมสีมา”

“ข้าจักให้เมียงยามันไปทำงาน”

อีกฝ่ายสบตาสีมาคล้ายตั้งคำถาม แต่เพียงครู่เดียวก็ถอนหายใจยาวออกมา เหมือนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

“เมียงยามันรู้เรื่องแล้วรึ”

“จ้ะ...สิ่งที่ข้ากลัว...มันกำลังใกล้เข้ามา พี่ดาวพอรู้จักบ้านใครที่จักฝากมันเข้าไปทำงานได้บ้าง ข้าจักให้มันไปอยู่กับเขาสักระยะ”

“ที่เรือนคุณรัศมี ข้าเห็นมีบ่าวเข้าออกอยู่มากมาย ข้าจักลองเข้าไปถามให้”

“เร็วๆ นะพี่ดาว ข้าร้อนใจ”

“อย่าเร่งข้านักเลยนังสีมา เอ็งก็รู้ว่าคุณเถกิงผัวคุณรัศมีเจ้าชู้นัก ข้าห่วงเสียแต่ว่านังเมียงยา...เฮ้อ...”

“เอาเถิด ข้าจักสั่งสอนมันให้เจียมตัว ไม่ให้มันไปยุ่งกับเขาดอก”

“ลูกเอ็งน่ะไม่ยุ่ง แต่คุณเถกิงนั่นสิ เขาจักมายุ่งเอง ที่ข้าหวั่นใจมากกว่านั้นก็คือคุณรัศมี เขาว่าร้ายใช่เล่น”

“เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ก็แค่อยากให้เมียงยามันออกจากบ้านไปพ้นๆ”

“เวรกรรมอันใดของพวกเอ็งหนอ นี่คิดว่าแยกไปอยู่ลำพังจะไม่มีเรื่องให้เดือดร้อน ก็ยังมีเรื่องเดือดร้อนจนได้” นางดาวถอนหายใจยาวออกมา 

 

เรือนทรงไทยหลังใหญ่ บนเนื้อที่กว่าร้อยไร่ โอบล้อมด้วยเรือนเล็กๆ สามสี่หลัง เป็นเรือนพักของ‘รัศมี’ หญิงเจ้าของกิจการโรงสีใหญ่ รวมไปถึงมีสมบัติเก่าที่ได้มาจากปู่ย่าตายาย หล่อนเป็นลูกสาวอดีตขุนนางใหญ่ผู้ล่วงลับ บิดามารดาตายจากไปหมดสิ้น ทิ้งสมบัติและกิจการโรงสีเอาไว้ให้ดำเนินกิจการมายาวนาน ซึ่งมี ‘เถกิง’ สามีเป็นผู้ดูแล

เถกิงเป็นเพียงผู้ชายธรรมดา ที่ได้มาเป็นสามีรัศมีเพราะหล่อนถูกใจเขานัก หน้าตาของเถกิงไม่ได้หล่อเหลานัก แต่เพราะมีหน่วยก้านสูงใหญ่ คมเข้ม คารม และการพูดจาประจบเอาใจ ทำให้รัศมีหลงใหลมากมาย

ภายในอาณาเขตบ้าน รัศมีเป็นประมุขใหญ่ที่เถกิงต้องให้ความยำเกรง เนื่องจากอยู่ใต้ใบบุญของภรรยา เถกิงได้รับการตามใจเกือบทุกอย่าง แม้กระนั้นยังไม่วายแอบเจ้าชู้ ไปมีเล็กมีน้อยนอกบ้าน ทำให้รัศมีต้องคอยตามล้างบัญชีอยู่บ่อยครั้ง บ่าวในเรือนที่หน้าตาสะสวยรัศมีจะไล่ออกจนหมด เหลือเพียงบ่าวหน้าตาขี้เหร่และมากอายุไว้ใช้งาน

 “ไปทำงานโรงสี...ดูรึ...ยังให้ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ตามมาเรียกร้องค่าเสียหายจนได้ คุณพี่นะคุณพี่ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เป็นไม่ยอมรับสิน่า” เถกิงกำลังถูกรัศมีอาละวาดใส่เสียงดังคับบ้าน

 ชายวัยสามสิบต้นๆ ขยับลุกขึ้นเหมือนนั่งไม่ติด กางเกงแพรกับเสื้อคอกลมผ้าบางแขนสั้นที่สวมอยู่ ถูกขยับไปมาด้วยท่าทางอึดอัด ก่อนจะเดินเข้าหาภรรยาประจบประแจง

“พี่ผิดไปแล้วจ้ะ...แหมพี่ก็เห็นน้องรัศมีจัดการได้ทุกครั้ง บ่าวในเรือนที่เป็นหญิง น้องก็ไล่ออกจนหมด เหลือแต่บ่าวชายกับพวกคนแก่”

“ถ้าหากไม่ทำแบบนี้ คุณพี่มิเวียนเข้าเวียนออกหาพวกมันหรอกรึ...คอยดูนะ...ถ้าหากมีครั้งต่อไป น้องไม่ปล่อยคุณพี่เอาไว้แน่...จะตัดแล้วสับให้เป็ดห่านมันกินเสียสิ้นเรื่อง” สายตาวาววับที่เขม็งมองสามีดุดันขึ้นมาก่อนถามต่อ “แล้ววันนี้ไม่ไปทำงานโรงสีรึ”

“วันนี้ให้ไอ้ชาติมันเข้าไปดู พี่เหนื่อยก็เลยอยากพัก”

“น้องจักให้ยายจันทร์เข้ามานวดให้ดีหรือไม่คุณพี่” หล่อนยิ้มเอาใจสามี

 เถกิงถอนหายใจยาวออกมาหงุดหงิดเสียมากกว่า หากว่าเป็นคนนวดสาวๆ สวยๆ เขาคงตอบรับรวดเร็ว 

“ไม่ละ...ขอบใจนะรัศมี พี่นอนพักดีกว่า” จบคำจึงเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง

รัศมีมองตามสามีแล้วไม่วายพึมพำตามหลัง “กลับมาถึงบ้านเป็นบอกเมื่อยอยากพัก อย่าให้รู้อีกนะว่ามีใครโผล่มาเรียกร้องอะไรอีก”

บ่าววัยยี่สิบในชุดโจงกระเบน ผ้าแถบคาดอกคลานเข่าเข้ามาท่าทางอุ้ยอ้าย เนื่องจากตัวอ้วน แถมหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อีกต่างหาก รัศมีเหลือบมองด้วยหางตา พลางสอบถามท่าทีหงุดหงิด

“มีอันใดอีรุ่ง”

“อีเย็นมันไม่ยอมกลับไปเจ้าค่ะคุณรัศมี”

ได้ยินแค่นั้น ผู้เป็นนายมีท่าทีโกรธเคืองขึ้นมา “เอ็งว่ากระไรนะอีรุ่ง”

“อีเย็นมันไม่ยอมกลับไป มันบอกว่าต้องการพบคุณท่านให้ได้เจ้าค่ะ”

“อีเย็น...มันรู้ฤทธิ์ข้าน้อยไปเสียแล้ว...ไปอีรุ่ง พาข้าไปหามัน มันคงอยากรู้จักข้ามากกว่าเดิม”

 อีรุ่งเดินนำหน้านายหญิงลงจากเรือน เมื่อพ้นเขตบันได รัศมีไม่วายหันไปทางบ่าวชายที่กำลังถางหญ้าอยู่แถวนั้น

“ไอ้ทอง เอ็งเฝ้าคุณพี่เอาไว้ อย่าให้ลงจากเรือนไปไหน รอไว้ข้าจัดการธุระเสร็จแล้ว จักกลับขึ้นมา ข้ายังคุยกับคุณพี่ไม่รู้เรื่อง”

“ขอรับคุณรัศมี”

“ถ้าข้ารู้ว่าเอ็งไม่ทำตามคำสั่ง ข้าจะหักเงินเอ็ง เข้าใจไหม”

“เข้าใจขอรับ” บ่าวชายรับคำท่าทางเกรงกลัว

 รัศมีเร่งฝีเท้าเดินตามอีรุ่งไปทางสนามหญ้าหน้าบ้าน ห่างจากตัวเรือนพอสมควร

‘อีเย็น’หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ ใส่เสื้อแขนกระปุกสีชมพูอ่อน ยกดอกรอบคอ นุ่งโจงกระเบนไหมสีชมพูเข้มรับกับสีเสื้อ ยืนยิ้มมองมาทางรัศมี ไม่มีท่าทีเกรงกลัว

ดวงหน้าที่งดงามของอีเย็นยิ่งทำให้รัศมีขัดเคืองใจ ในเรื่องความงาม รัศมีเห็นว่าตัวเองไม่ได้ด้อยไปกว่าอีเย็น จะผิดกันก็เพียงแค่อายุที่ตนคงมากกว่าอยู่บ้าง สายตาคมกริบจ้องมองหน้าอีเย็นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก่อนถามเสียงเข้ม

“ข้าบอกให้เอ็งกลับไป ทำไมเอ็งไม่กลับ”

“ข้าบอกแล้วว่าอยากพบคุณพี่เถกิง” เสียงห้วนตอบมา

 คำว่า ‘คุณพี่เถกิง’ ที่อีกฝ่ายใช้เรียกสามี บาดหูรัศมีอย่างแรง เนื่องจากเป็นสรรพนามเดียวกับที่เธอใช้เรียกสามี เล่นเอารัศมีโกรธเป็นไฟ มือไม้สั่น

“ข้าบอกให้เอ็งออกไปพ้นบ้านข้า ไม่ได้ยินรึ ไม่อย่างนั้นเอ็งจะหาว่าข้าไม่เตือน”

“คนอย่างอีเย็นไม่เคยกลัวใคร” นอกจากจะประกาศกร้าว อีเย็นยังเอาเงินที่รัศมีฝากสาวใช้มาให้ ขว้างทิ้งลงต่อหน้าอีกฝ่าย

“เงินแค่ไม่เท่าไหร่ คิดว่าจะฟาดหัวอีเย็นได้รึ” อีเย็นยกเท้าเหยียบซ้ำ “ยังไงวันนี้ข้าก็ต้องพบคุณพี่เถกิงให้ได้”

 อีเย็นเดินจ้ำพรวดทำท่าจะเข้าไปด้านใน รัศมีปราดเข้าไปกระชากผมอีเย็นหงายหลัง ก่อนเงื้อมือตบหน้าฉาดใหญ่ อีเย็นยกมือจับใบหน้าด้วยความเจ็บ ก่อนจะปราดเข้ามาตบหน้ารัศมีกลับบ้าง

“อีเย็น...นี่เอ็งตบหน้าข้ารึ” ความโกรธเกรี้ยวฉายมาทางแววตา เนื่องจากไม่เคยมีใครกล้าทำอย่างนี้กับตนมาก่อน “อีรุ่ง...จัดการมัน”

บ่าวร่างใหญ่ถลาเข้าไปหาอีเย็นปล้ำตบกันนัวเนีย รัศมีถลาเข้าไปช่วยอีกแรง อีรุ่งกอดปล้ำตบอยู่กับอีเย็นกระทั่งจับอีเย็นเอาไว้ได้ รัศมีได้ทีปราดเข้าไปตบหน้าอีเย็นอีกหลายครั้ง จนอีเย็นทรุดลงไปนั่ง รัศมีตามเข้าไปจิกผมอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา

“จำเอาไว้ว่ามึงไม่มีสิทธิ์เข้ามาเหยียบที่นี่อีก...เงินนี่มึงก็จะไม่ได้ คุณพี่มึงก็จะไม่ได้พบ ไสหัวไปให้พ้น” จบคำจึงสะบัดศีรษะอีเย็นหันไปอีกทาง

 อีเย็นที่บอบช้ำค่อยๆ ยกมือเช็ดเลือดมุมปาก คลานออกไปจากบริเวณนั้น แววตาโกรธแค้น

รัศมีหยิบถุงเงินที่หล่นอยู่ขึ้นมา สายตาแข็งกร้าวอยู่ในที น้ำเสียงดุดันเรียกบ่าวคนสนิท

“อีรุ่ง”

“เจ้าคะคุณรัศมี”

“เอ็งเอาเงินนี่ไป...แล้วจัดการปิดปากอีเย็นเสีย...อย่าให้มันมาปากกล้าด่าข้าฉอดๆ อย่าให้มันได้พบคุณพี่ อย่าให้มันมีชื่อให้ข้าระคายหู เอ็งคงรู้ว่าจะจัดการกับมันเช่นไร”

“เจ้าค่ะคุณรัศมี” อีรุ่งรับเงินแววตาวาววับอยู่ในที “อีเย็นจักไม่ได้กลับมาที่แห่งนี้อีกแน่นอนเจ้าค่ะ”

“มีแต่เอ็งเท่านั้นที่จะทำให้มันรู้จักตัวตนของข้าอย่างแท้จริง อีรุ่ง...” รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นจางๆ แต่แววตาดุดันเปล่งประกายโหดร้ายขึ้นมา

 

 ภายในห้องนอนของเถกิงขณะนี้ กำลังมีเสียงสนทนาระหว่างนายกับบ่าวแบบลับๆ เถกิงอยู่ในท่าทางร้อนอกร้อนใจกับสิ่งที่บ่าวกำลังรายงานให้ฟัง

“เอ็งว่ามันท้องรึไอ้แถน”

“ครับนาย มันมาหานายที่โรงสีจริงๆ แต่ผมให้ลูกน้องไล่มันกลับไปแล้ว”

“ดีที่ข้ารู้ทัน ไม่ไปโรงสีวันนี้” เถกิงเดินไปที่ตู้ หยิบเอาเงินจำนวนหนึ่งมาส่งให้ไอ้แถนรับไป

“เอ็งเอาเงินนี่ให้มันไปก้อนหนึ่ง แล้วขู่มันไม่ให้มาที่โรงสีอีก เข้าใจไหม”

“เข้าใจขอรับ”

“แล้วอย่าให้รัศมีรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”

“ขอรับ กระผมจักจัดการเรื่องนี้ไม่ให้มาถึงนายได้ขอรับ” ไอ้แถนรับเงินมาเหน็บใส่ชายพก ก่อนจะเดินออกไปทางประตู

 ยังไม่ทันออกไปไหน ประตูห้องก็เปิดออกด้วยรัศมี หล่อนมีท่าทีแปลกใจเมื่อเห็นไอ้แถนอยู่ภายในห้องกับสามี

“เอ็งมาทำอันใดรึไอ้แถน”

“คุณท่านเรียกมาถามเรื่องกิจการโรงสีขอรับ”

“หมดหน้าที่แล้วก็รีบไปเสียสิ นั่งรอทำพระแสงอันใดเล่า” หล่อนใส่อารมณ์หงุดหงิดเอากับไอ้แถนแล้วนั่งลงใกล้สามี

 ไอ้แถนเหลือบมองหน้าเถกิงเล็กน้อย ก่อนจะรีบกลับออกไปจากที่นั่น เถกิงเห็นท่าทีภรรยาดูหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม จึงสอบถามขึ้นอย่างเอาใจ

“เป็นอะไรมารึน้องรัศมี ท่าทางอารมณ์เสียมาจากข้างนอก”

“ไม่มีอันใดหรอกเจ้าค่ะคุณพี่...บ่าวที่ให้ทำงานน่ะสิ มันทำงานไม่ได้เรื่องขัดอกขัดใจ เลยอารมณ์เสีย” น้ำเสียงตอบสามีแบบขอไปที ทำให้อีกฝ่ายไม่ถามอะไรต่อ ด้วยรู้ว่าหล่อนกำลังหงุดหงิด

 เถกิงแอบระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ขณะความกังวลเรื่องของตัวเองยังไม่จางหายไป

 

บรรยากาศสองข้างทางดูเปลี่ยวเนื่องจากรกครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ อีเย็นลากสังขารเดินกลับมา หยุดพักเหนื่อยเป็นระยะ พลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกำลังก้าวตามมาทางนั้น อีเย็นหันขวับไปมองท่าทางหวาดหวั่น จึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจนกระทั่งสะดุดล้มลง ยังไม่ทันลุกขึ้นมาก็ได้ยินเสียงตะโกนถามมาจากด้านหลัง

“เจ็บมากหรือไม่อีเย็น”

เจ้าของชื่อหันมาทางต้นเสียง จึงเห็นว่าเป็นอีรุ่งกับบ่าวชายร่างฉกรรจ์สองสามคน ยืนจ้องมองมาด้วยสายตาดุดัน อีเย็นเหมือนรู้ชะตากรรมรีบกระเถิบถอยหนี ใจเต้นระรัวหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น สายตามองไปรอบทิศทางเหมือนหาผู้คนที่จะผ่านมาทางนั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีวี่แววจึงตัดสินใจตะโกนก้อง

“ช่วยด้วยๆ...”

 อีเย็นเหลือบมองเห็นรอยยิ้มของอีรุ่งกับคนของมัน ที่ต่างมองมาด้วยท่าทางสาแก่ใจ พวกมันย่างเท้าเข้ามาใกล้

“ร้องเรียกให้ตายก็ไม่มีใครมาช่วยมึงได้หรอกอีเย็น...จัดการมัน” เสียงอีรุ่งสั่งการ

อีเย็นกระเถิบถอยไปติดพุ่มไม้ เบียดเข้าไปจนชิด แม้ว่ามันขยับไปไหนไม่ได้อีกแล้วก็ตาม บ่าวชายพากันกรูเข้ามาจับตัวอีเย็นเอาไว้ ก่อนพากันลากเข้าไปทางพุ่มไม้เพื่อย่ำยี อีรุ่งมองตามแล้วตะโกนสำทับ

“เป็นผัวมันเสร็จก็จัดการปิดปากมันเสีย อย่าให้มันรอดไปฟ้องผู้ใดได้อีก” สีหน้าและแววตาของผู้พูดเหี้ยมเกรียมนัก

รายละเอียด

‘เมียงยา’หญิงสาวชาวไทยเชื้อสายเขมร ผู้รับสืบทอด อาคมกีรตา มาจากบิดาชาวเขมรอย่างไม่ได้ตั้งใจ อาคมกีรตาเป็นมนต์ในทางร้าย เป็นอวิชชาที่ใช้ในการทำลาย ผู้ใดรับอาคมแล้วไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่น จะร้อนรุ่มทุรนทุรายในคืนเดือนเพ็ญ

หลังการสูญเสียบิดามารดา เมียงยาต้องเข้าไปทำงานในบ้าน‘รัศมี’ลูกสาวอดีตขุนนางใหญ่ผู้ล่วงลับ

ความสวยงามของเมียงยาถูกใจ‘เถกิง’'สามีของรัศมีที่มีความเจ้าชู้อยู่เป็นทุน เถกิงเป็นคนมักมากในตัณหาราคะ พยายามทุกวิถีทางที่จะได้เมียงยาเป็นเมีย แม้รู้ว่าเธอรักอยู่กับชาติแฟนหนุ่มก็ตาม

เมียงยาและชาติตัดสินใจพากันหนีออกจากบ้านรัศมี เพื่อไปใช้ชีวิตอย่างคู่สามีภรรยาทั่วไปจนตั้งท้องขึ้นมา แต่ก็ไม่วายถูกเถกิงตามหาจนพบ เถกิงขืนใจเมียงยาทั้งที่รู้ว่าตั้งท้อง แถมยังฆ่าชาติแล้วฉุดเมียงยาออกไปกับตน

กระทั่งเมื่อคืนเดือนเพ็ญมาถึง อาคมกีรตาในร่างเมียงยาสำแดงเดช เล่นงานลูกน้องเถกิงจนล้มตาย แล้วหนีออกไปจากที่นั่น

เมียงยาหนีไปอยู่กับยายจำเลียงอีกหมู่บ้านหนึ่งปกปิดไม่ให้ใครรู้ และเมื่อยายจำเลียงก็เสียชีวิตด้วยโรคชรา ทำให้เมียงยาต้องอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง โชคชะตาที่โหดร้าย ทำให้เมียงยาเจ็บท้องและคลอดลูกตาย กลายเป็นผีตายทั้งกลม! สิงสถิตอยู่ที่นั่น ผีเมียงยาเฝ้าร้องเพลงกล่อมลูกอยู่ศาลาริมน้ำ ให้ชาวบ้านที่พายเรือผ่านไปผ่านมาได้ขนลุกขนพองตามกัน

ต่างพากันเล่าลือถึงความเฮี้ยน! ของผีตายทั้งกลม

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (84 รายการ)

www.batorastore.com © 2024