ผมอยากเป็นนักวาดนิยายภาพการ์ตูน (ไพบูลย์ พันธุ์เมือง)
ประหยัด: 70.00 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ผมอยากเป็นนักเขียนนิยายภาพการ์ตูน
๑.
นักวาดรูปด้วยผงถ่าน
ผมเป็นคนพิการ หลังค่อมเดินขากะเผลก แถมพ่อแม่ยากจน ผมชอบวาดเขียน แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนในโรงเรียนสอนศิลปะ เช่น เพาะช่าง เพราะพ่อของผมตาย ตั้งแต่ผมยังมีอายุ ๕ ขวบ แม่ไม่มีเงินส่งให้เรียนต่อหลังเรียนจบ ม.ศ.๓ แต่อาศัยความสนใจ พยายามฝึกฝนตนเอง ผมพยายามส่งภาพวาดเข้าร่วมแสดงและประกวดในงานเดือนสิบ เมืองนครศรีธรรมราช โดยไม่เคยได้รับรางวัลใด ๆ แต่ เมื่อใดที่มีการประกวดวาดภาพในสถานที่ ต่อหน้าคณะกรรมการ ผมจะได้รางวัลไม่รางวัลที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือไม่ก็ชมเชยทุกปี ทำให้ผมเป็นที่รู้จักของครู-อาจารย์ศิลปะ ผู้เป็นกรรมการตัดสินประกวดวาดรูป โดยเฉพาะ อาจารย์แนบ ทิชินพงศ์ ศิลปินอาวุโสของจังหวัด ที่มีเมตตาต่อผมและผมก็ให้ความเคารพนับถือท่าน ว่าเป็นเสมือนอาจารย์ของผมคนหนึ่ง
ผมมีน้องชายและน้องสาวอีก ๒ คน คือเจริญและวันดี เจริญมีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรงเหมือนคนปรกติทุกประการ ส่วนวันดีเป็นเหมือนผม คือแรก ๆ เราต่างเกิดมาดี มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง เหมือนเด็กอื่น ๆ แต่พอเรียนจบชั้น ป.๔ อาการประหลาดก็เกิดขึ้น แรก ๆ คือรู้สึกขาแข้งอ่อนเปลี้ย ทำให้เวลาที่ต้องเดินมาก ๆ หรือยืนนาน ๆ จะปวดเมื่อยจนทนไม่ไหว ผมเองตอนแรก ๆ ก็เพียรพยายามรักษากับหมอในโรงพยาบาล กระทั่งเข้าวัดบวชเป็นสามเณร เพื่อใช้สิทธิในการเดินทางไปรักษาตัวที่กรุงเทพมหานคร
แต่ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ทุกๆ โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร ที่ผมไปหาให้หมอตรวจ/รักษา ไม่มีหมอหรือโรงพยาบาลแห่งไหนรักษาอาการของผมได้ มีแต่จ่ายยาให้มารวม ๆ กันเป็นลัง ให้ผมขนกลับบ้าน และผมต้องกลับมาอยู่เมืองนครฯ ในเพศของสามเณร ในสภาพเดิม ๆ
แต่ในเมื่อผมจำเป็นต้องดำเนินชีวิตต่อไป ผมต้องดิ้นรนใฝ่หาโอกาสที่ดีกว่า นั่นคือการฝึกวาดรูปและหาทางกลับเข้าเรียนต่อชั้นมัธยม ๔,๕,๖... ซึ่งผมได้เขียนเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเรื่อง “ครูไพบูลย์ เป๋ หลังค่อม ผู้ไม่ยอมจำนนต่อคำเย้ยหยัน” จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ เล่าเรื่องตอนที่ผมต้องต่อสู้ในเพสของสามเณรพิการ ที่ต้องไปอยู่หาที่เรียน ต้องทนต่อความอดอยากโหยหิว อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี แต่ผมยังไม่ได้เขียนเล่า ในส่วนที่ผมอุปสมบทเป็นพระ ๑ พรรษา แล้วลาสิกขาออกมา พเนจรร่อนเร่ ไปตามจังหวัดต่าง ๆ แถบชายฝั่งทะเลอันดามัน โดยยึดเอาวิชาวาดรูปเหมือนด้วยผงถ่านคาบอน เป็นวิชาทำมาหากิน...
ก่อนอื่นผมขอเล่า เรื่องของวันดีน้องสาวที่เกิดมามีกรรมเช่นเดียวกับผม แถมเวลาต่อมาเธอมีอาการร้ายแรงกว่าผมตรงที่ พอเป็นสาว เธอมีหน้าตาดี มีหนุ่ม ๆ มาติดพัน เธอพยายามลบปมด้อยของร่างกาย โดยการหาซื้อยามากินเอง หวังจะให้หายจากอาการที่เป็นอยู่ เช่น ให้เดินเหินได้สะดวก ไม่ปวด ไม่เมื่อย ปรากฎว่าแรก ๆ ได้ผล และเธอยังแนะนำยาที่เป็นเม็ดบรรจุแผง ชื่อยา “เพร็ตนิโซโลน” ให้ผมลองซื้อมากินด้วย แรก ๆ ผมลองซื้อมากินปรากฎว่าสามารถเดินได้ทั้งวัน ไม่ปวดเมื่อย แต่ผมไปอ่านพบในหนังสือพิมพ์... พบว่า ยาดังกล่าวมีฤทธิ์ทำลายไขกระดูก ผมเลยหยุดและบอกให้วันดีหยุด แต่เธอไม่หยุด เพราะเธออยากเป็นสาวที่ไม่ป่วยและพิการ
ทำให้มีชายหนุ่มอายุอ่อนกว่าผม ๒ ปี ชื่อนายทวี เป็นชาวอำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราชอาชีพกรีดยาง มาสู่ขอและแต่งงาน หลังแต่งงานแม่แบ่งขายที่ดินข้างบ้าน ให้เธอกับสามีไปซื้อสวนยางเป็นของตนเอง อยู่ที่อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ แต่หลังแต่งงานอาการผิดรูปผิดร่าง ของร่างกายอันมีสาเหตุมาจากยาที่เข้าไปทำลาย ทำให้ขาสองข้างหดสั้น เวลาเดินก้าวขาไม่ออก เวลานอนยืดขาไม่ตรง และกระดูกสันหลังโค้งงอ จนกลายเป็นคนหลังค่อม ตัวเตี้ย...
วันดีจึงอยากเปลี่ยนอาชีพจากการทำสวนยาง ไปตั้งร้านค้าขาย เพราะการค้าขายทำให้เธอ ได้นั่งขายอยู่กับบ้าน ไม่ต้องไปเดินเก็บน้ำยางช่วยสามี เธอจึงขายสวนยางไปหาซื้อที่ดินในจังหวัดภูเก็ต พบที่ที่เจ้าของจะขาย เป็นที่ลุ่มป่าจาก อยู่ติดถนนสายอนุสาวรีย์(ท้าวเทพกษัตรีย์)-บางโรง อำเภอถลาง
ก่อนปลูกบ้านทำร้านค้า ต้องจ้างคนถางทำลายต้นจาก แล้วถมดินสูงพ้นระดับน้ำ แล้วปลูกเป็นเรือนโรง ขายของชำและขายน้ำชากาแฟ ปรากฏว่าขายดี แต่อาการป่วยที่ปรากฏมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สามีคิดตีจาก จึงพอเธอมีลูกชาย-หญิง ๒ คน สามีก็ขอหย่า โดยสามีขอแบ่งสินทรัพย์ เป็นรถจักรยานยนต์ไปคันเดียว อย่างอื่นถือว่าเป็นของภรรยา
วันดีต้องขายบ้านและที่ดินอีกหน ก่อนออกเดินทางแบบเสี่ยงโชค มาซื้อบ้านที่ปลูกเป็นห้องแถว ในซอยหลังโรงเรียนศรียาภัย จังหวัดชุมพร และลงมือทำมาค้าขายอีกครั้ง ทำให้สามารถเลี้ยงดูลูกหญิง-ชายมาจนลูกโตเข้าโรงเรียนประถมและมัธยม อาศัยว่าลูกหญิง-ชายทั้ง ๒ คนเป็นเด็กเรียนเก่ง ระดับเกรด ๔ ลูกสาวคนพี่จึงสอบเข้าวิทยาลัยพยาบาล ลูกชายเรียนหลักสูตรสาธารณสุข เพราะไม่มีทุนส่งให้เรียนแพทย์
ขณะที่ลูก ๆ กำลังเรียน วันดีอ่านพบในหนังสือพิมพ์ว่า กระดูกต้นขาสามารถผ่าตัดเปลี่ยนได้ และจะทำให้ผู้ป่วยเดินได้อีก เธอจึงเดินทางไปผ่าตัดเปลี่ยนกระดูก ที่โรงพยาบาลในจังหวัดสงขลา แต่พอเปลี่ยนกระดูกกลับมาแล้ว เธอเดินยืนไม่ได้อีกเลย...
ท้ายสุดเมื่อลูกสาวคนโตเรียนจบพยาบาล ได้รับการบรรจุเป็นพยาบาลวิชาชีพ ที่โรงพยาบาลปะทิว จังหวัดชุมพร ลูกชายเรียนจบสาธารณสุข ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานสาธารณสุข ประจำสถานีอนามัยพรุตะเคียน อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร วันดีขายบ้านในซอยหลังโรงเรียนศรียาภัย มาอยู่กับลูกสาวที่บ้านพักพยาบาล หลังโรงพยาบาลปะทิว
ทว่า จากการผ่าตัดที่ทำให้เดินไม่ได้ วัน ๆ มีแต่นั่งนอนอยู่กับที่ วันดีกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายกับลูกๆ และเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ คอยแต่ดุด่าว่าร้ายลูก ๆ ทั้งสองตลอดเวลา จนลูกทั้งสองคนเข้าหน้าแทบไม่ติด และเมื่อไม่ได้ดังใจเธอก็เครียดจนป่วยหนัก ตลอดวันเธอต้องนอนตะแคงขวา จนปอดเสียไปข้างหนึ่ง ก่อนลาจากโลกไป เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๕๔ ขณะที่มีอายุได้ ๖๕ ปี
ส่วนตัวผม จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ผมพยายามรักษาสุขภาพด้วยวิถีธรรมชาติ เป็นหมอให้ตนเอง เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ อาศัยธรรมะ ลด เลิก ละ... พยายามแก้ที่ตัวเองไม่ไปแก้ไขคนอื่น ทำให้ผมสามารถรับราชการเป็นครูมาได้ จนอายุ ๕๘ ปี ได้ตำแน่งอาจารย์ ๓ ระดับ ๘ จากนั้นผมสมัครเข้าโครงการ “เปลี่ยนเส้นทางชีวิต” (เออลี่รีไทร์)จากราชการครู ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ เพื่อมาเป็นศิลปินวาดรูปและนักเขียน (มีผลงานเขียนได้รับการตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม รวมเรื่องสั้น, นวนิยาย, นิยายเยาวชน, และหนังสือเด็ก มากกว่า ๑๐ เล่ม และได้รับรางวัลต่าง ๆ ในงานเขียนมาพอสมควร เช่น รางวัลช่อการะเกด พานแว่นฟ้า เซเว่นบุ๊คอะวอร์ด นายอินทร์อะวอร์ด เดลินิวส์...) โดยที่ปัจจุบันผมยังคงเดินได้ ขับรถยนต์เองได้ เคยขับรถยนต์ท่องเที่ยวไปคนเดียว ไปถึงเชียงใหม่ ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ เขาพระวิหาร...
ต่อไปนี้ คือเรื่องราวและเหตุการณ์ในชีวิตของผม ที่ต้องการนำมาถ่ายทอดสู่ผู้อ่าน...
ตอนที่ผมยังบวชเป็นสามเณร ในวัดมีพระรูปหนึ่งสอบเปรียญธรรม ๓ ประโยคได้ ใคร ๆ เรียก “ท่านมหา” ท่านมหาชอบวาดรูปและอุตส่าห์เดินทางไปเรียนวาดรูปเหมือน ด้วยผงถ่านคาบอน มาจากช่างจีน ที่กรุงเทพมหานคร ท่านมหาจึงรับงานวาดรูปเหมือน จากรูปถ่ายให้กับโยม ๆ แทบจะไม่มีเว้นว่าง
ผมไปเฝ้าดูอยู่สองสามวัน ว่ามีขั้นตอน วิธีการอย่างไร แล้วผมก็ลองหัดวาดดูบ้าง ปรากฏว่าผมวาดได้ และผู้ที่ได้เห็นต่างกล่าวชมกันว่า
“เณรบูลย์วาดออกมาดูมีชีวิตชีวา มากกว่าที่ท่านมหา...วาด” ทำให้ระหว่างที่บวชเป็นสามเณร ผมมีงานวาดรูปเหมือนให้ชาวบ้าน จำนวนไม่น้อยกว่าที่ท่านมหา โดยชาวบ้านถวายค่าตอบแทนให้รูปละ ๓๐ บาท ใช้เวลาวาดรูปละ ๒ วัน ทว่า ผมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ผมพยายามหัดวาดรูปด้วยดินสอ แล้วระบายด้วยสีน้ำ จึงพอผมสึกออกมา ผมลองไปสมัครประกวดวาดรูป ร่วมกับคนอื่น ๆ ในงานเดือนสิบ งานประจำปีของจังหวัดนครศรีธรรมราช ทำให้ได้รู้จักกับครู-อาจารย์ที่สอนวิชาวาดรูป ดังที่กล่าวข้างต้น
“ฝีมือของเณรดีมาก เคยไปสมัครสอบเพื่อเอาวุฒิวาดเขียนตรี โทกับเขาบ้างหรือเปล่า คนที่ไม่ได้เรียนในเพาะช่าง เขาเปิดโอกาสให้สอบวาดเขียนตรี โท เอก ด้วยนะ รู้หรือยัง?” อาจารย์แนบ ทิชินพงศ์ถาม
“จะต้องไปสอบที่เพาะช่างอย่างนั้นหรือครับ?” ผมถาม
“ถ้าอยู่ในเขตปริมณฑลกรุงเทพฯ ต้องไปสอบที่โรงเรียนเพาะช่าง แต่ถ้าอยู่ต่างจังหวัด วาดเขียนตรีวาดเขียนโท เขาจัดให้สอบในจังหวัดที่เป็นที่ทำการภาคศึกษา อย่างจังหวัดนครเรา ก็เป็นสนามสอบแห่งหนึ่งในภาคใต้ เณรลองไปถามที่แผนกศึกษาธิการจังหวัด เขาจะเปิดรับสมัครในราว ๆ เดือนพฤศจิกา แล้วไปสอบในราว ๆ เดือนมีนาคมและเดือนเมษายนของทุกปี”
เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๐๕ ผมจึงเข้าสู่สนามสอบวาดเขียนตรี-โท ทำให้พบว่าในสนามสอบ มีทั้งพระภิกษุ สามเณร ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครูโรงเรียนราษฎร์... มาสอบเอาวุฒิวาดเขียนตรี-โท กันอย่างคับคั่ง ทำให้ได้รู้จักกันว่าในจังหวัดนครศรีธรรมราช ใครมีฝือมือทางวาดรูป โดยก่อนหน้านั้นต่างไม่เคยรู้จักกัน
การสอบวาดเขียนตรีและวาดเขียนโท จะต้องสอบ ๖ ชุดวิชาคือ ๑ วิชาครู(สอบข้อเขียน ๒ วิชาลายไทย(สอบวาดลายไทย) ๓ ลายเครือเถา(วาดลายดอกไม้ประดิษฐ์ แบบลายแกะสลักบานหน้าต่างโบสถ์ วิหาร) ๔ วาดหุ่นนิ่ง(วาดสิ่งของต่าง ๆ กระทั่งผลไม้ มะละกอ แตงโม) ๕ วาดเส้น(วาดภาพดอกไม้มีกลีบซ้อน เช่นบานชื่น กุหลาบ ยี่โถ หรือดอกไม้อื่น ๆ) และ ๖ ภาพร่าง (คือภาพวิวทิวทัศน์ มีบ้านเรือน อาคารหรือสิ่งก่อสร้าง เช่นโบสถ์ วิหาร) และถ้าเมื่อใดสอบได้ ๔ ชุด/วิชาขึ้นไป โดยมีวิชาครูรวมอยู่ด้วย จะได้รับประกาศนียบัตรวาดเขียนตรี ส่วนถ้าใครสอบได้หมดทั้ง ๖ ชุดจะได้ประกาศนียบัตรวาดเขียนโท
หลักสูตรวาดเขียนตรี-โท ที่มีทั้งหมด ๖ ชุด/วิชา นับว่าหาได้ยากนักที่ใครจะสามารถสอบคราวเดียว แล้วได้หมด ๖ ชุด/วิชา แต่มักจะสอบได้กันปีละ ๑-๒ ชุด หรือ ๓ ชุด ชุดใดที่ยังสอบไม่ได้ต้องสอบซ้ำอีกในปีถัด ๆ ไป จนกว่าจะสอบได้หมดทุกชุด/วิชา นั่นแหละจึงจะมีสิทธิ์ขอรับประกาศนียบัตรวาดเขียนโท และนำวุฒิบัตรไปใช้สมัครงาน สอนนักเรียน หรือไม่ก็ไปเป็นช่างเขียนประจำหน่วยงานต่าง ๆ เช่นช่างเขียนประจำสำนักงานเทศบาล
การสอบทุกชุด ยกเว้นภาพร่าง(ภาพทิวทัศน์) ใช้สถานที่สอบในอาคารโรงเรียน เพื่อใช้โต๊ะและเก้าอี้นักเรียน ช่วงที่โรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน ส่วนวิชาภาพร่าง ผู้สอบต้องนำกระดานรองเขียน ไปนั่งวาดในสถานที่จริง ซึ่งข้อสอบอาจให้วาดกุฏิ โบสถ์ วิหาร อาคาร บ้านกระท่อม... ในวัดหรือที่อื่น ๆ โดยเลือกมุมเอาเองตามถนัด แต่ต้องให้อยู่ในสายตา ของคณะกรรมการผู้ควบคุมสอบ ป้องกันการวาดให้กัน
ผู้สอบจึงต่างคนต่างนั่งก้มหน้า แม้ว่าจะสามารถพูดจาหรือติชมกันได้ ด้วยว่าการสอบจะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน อยู่ที่ฝีมือของแต่ละคน อันต่างกับการสอบที่เป็นข้อเขียน ที่จะให้ดูเพื่อคัดลอกหรือบอกกันไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ผู้สอบทุกคนรับรู้และปฏิบัติ
ผลสอบครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ผมสอบได้ ๕ ชุด/วิชา คือ วิชาครู, ลายไทย, ลายเครือเถา, หุ่นนิ่ง และภาพร่าง ที่ยังสอบตกคือวาดเส้น หรือวาดภาพดอกไม้ในแจกัน หมายความว่าอีกชุด/วิชาเดียวผมก็จะได้วุฒิบัตรวาดเขียนโท และการที่ผมสามารถสอบวาดเขียนตรี-โท ปีแรก/ครั้งแรกได้ถึง ๕ ชุด ที่ไม่ค่อยจะมีใครเคยทำได้มาก่อนหน้านั้น ทำให้ชื่อเสียงของผม เป็นที่รู้จักของผู้สอบวาดเขียนทุกคน
หลังจากผมอุปสมบทเป็นพระ ๑ พรรษาหรือ ๓ เดือน ให้แม่ตามคำขอของแม่ ผมก็ลาสิกขาบท ออกมาใช้ชีวิตแบบศิลปิน ไปมาหาสู่คบค้ากับเพื่อน ๆ ที่เป็นนักวาดรูปด้วยกัน มีนายทหารในค่ายวชิราวุธ ยศจ่าสิบเอก เช่น จ่าสิบเอกคำนึง สุวรรณพาหุ จ่าสิบเอกมาโนช ธรรมหิเวศน์ และสิบโทต่างใจ ศรีถัทธ์ สารวัตรทหาร ที่สมัครสอบวาดเขียนตรี-โทมาด้วยกัน ทั้ง ๓ คนชอบผมมาก เมื่อผมเดินทางจากบ้านศาลาบางปู เข้าเมืองนครเมื่อใด ผมมักไปพักอาศัยอยู่กับ เพื่อนสารวัตรทหารคือสิบโทต่างใจ
และจาการที่ผมชอบมาพักอยู่ที่บ้านเพื่อนซึ่งเป็นสารวัตรทหาร ทำให้ผมได้รู้จักกับหลานสาวของนายทหารคนหนึ่ง ชื่อจ่าสิบเอกจำเนียร...
นายทหารคนนี้ไม่ได้สอบวาดเขียน ทั้งไม่นับเนื่องอยู่ในความเป็นเพื่อนของผม นอกจากว่านายทหารคนนี้ มีหลานสาวชื่อนางสาวรจิตร (ขอสงวนนามสกุล) รจิตรเรียนจบ ปวช.จากโรงเรียนการช่างสตรีนครศรีธรรมราช เรียนจบวิชาเย็บ ปัก ถัก ร้อย... แต่กลับสนใจการวาดรูป และชอบการวาดรูปมากกว่าวิชาที่เรียน เนื่องจากวิชาวาดรูปไม่มีโรงเรียนใด ในจังหวัดนครศรีธรรมราชเปิดสอน ทำให้เธอต้องฝึกฝนตนเองแล้วไปสอบ
ผมทราบว่า รจิตร สอบได้วิชาครู ลายไทย และลายเครือเถา รวม ๓ ชุด/วิชา มาจากการสอบคราวที่แล้ว ที่ยังสอบไม่ผ่านคือวิชาหุ่นนิ่ง วาดเส้น และภาพร่างหรือภาพทิวทัศน์
ขณะที่สิบเอกคำนึง และจ่าสิบเอกมาโนช ยังเหลือแต่วิชาภาพร่างหรือภาพทิวทัศน์ อีกวิชาเดียวก็จะได้วุฒิบัตรวาดเขียนโท โดยทั้งสองต่างสอบตกมาปีแล้วปีเล่า ซึ่งในการสอบวาดเขียนตรี-โท บางคนสอบมาเป็น ๑๐ ปี ปล้ำสอบวิชาภาพร่างวิชาเดียวไม่ได้ ทำให้หลาย ๆ คนมองว่าวิชานี้มันยากสาหัสนัก ขณะที่ผมเองกลับรู้สึกว่าง่าย
ในค่ายทหาร... นอกจากนายทหารผู้สนใจศิลปะวาดรูป ยังมีนายทหารนายสิบ ชื่อสิบโทสมบูรณ์ ที่ไม่สนใจศิลปะวาดรูป แต่สนใจการถ่ายภาพ
ทุกวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ถ้าไม่ติดเวร สิบโทสมบูรณ์จะขับรถ จักรยานยนต์ สะพายกล้องออกไปหางานถ่ายรูป ตามบ้านเรือนของชาวบ้านที่อยู่นอก ๆ เมือง โดยไปรับจ้างถ่ายรูปให้กับคนแก่ คนชรา... ที่ลูกหลานอยากจะมีรูปถ่ายของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย... ไว้ประดับบ้าน และกราบไหว้บูชา หากว่าวันหนึ่งเมื่อแต่ละท่านต้องตายจากไป ทำให้สิบโทสมบูรณ์ มีรายได้ในแต่ละเดือน มากกว่ารายได้จากเงินเดือนทหารสองถึงสามเท่า
ในการออกไปถ่ายรับจ้างถ่ายรูป สิบโทสมบูรณ์มักเจอรูปถ่ายเก่า ที่หลุดลอก แทบจะมองไม่เห็นใบหน้า และชาวบ้านขอให้สิบโทสมบูรณ์ทำให้ใหม่ ซึ่งภาพถ่ายถ้าจะอัดใหม่ จะต้องใช้ฟิล์มจึงจะอัดได้ จึงมีช่างภาพบางคนนำภาพไปถ่ายซ้ำ ล้างอัดออกมาแล้วแต่งแต้มด้วยหมึกจีน ซึ่งช่างถ่ายที่มีฝีมือทางวาดรูปด้วยเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้รูปออกมาในลักษณะพอดูได้ แต่สิบโทสมบูรณ์ทำไม่เป็น สิบโทสมบูรณ์จึงรับเอาภาพถ่ายเก่าเหล่านั้น มามอบให้ผมนำไปวาดใหม่ วาดขยายใหญ่ 8 ½ x 14 นิ้วกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์สวยงาม ชาวบ้านชอบ ทำให้ผมมีงานวาดรูปในทุกๆ เที่ยว ที่สิบโทสมบูรณ์ออกไปถ่ายภาพ
ผมคิดค่าวาดรูปละ 50 บาท สิบโทสมบูรณ์พาไปใส่กรอบ นำไปส่งลูกค้าในราคารูปละ100 บาท นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ผมต้องปั่นจักรยาน เข้ามาที่บ้านของเพื่อนสารวัตรทหาร สิบโทต่างใจทุก ๆ วันเสาร์ เพื่อมาส่งงานและรับงานใหม่ไปวาด ทำให้ผมมีรายได้ในทุก ๆ สัปดาห์ พร้อมกันนั้นผมก็ฝันหาอนาคต ว่าเมื่อใดที่ผมสอบวาดเขียนโทชุดสุดท้ายได้ ผมจะไปสมัครสอบเป็นครู สอนวาดเขียนที่โรงเรียน แห่งใดแห่งหนึ่งสักแห่ง
ทว่าวุฒิวาดเขียนโทและวาดเขียนเอก จะมีตำแหน่งเปิดรับ อยู่เฉพาะในโรงเรียนเทศบาลและโรงเรียนมัธยมของรัฐบาล จะไม่เปิดรับในโรงเรียนประชาบาลหรือโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไป คล้ายกับว่าวิชาวาดเขียน มีความสำคัญเหมาะแต่กับเด็ก ๆ โรงเรียนในเมืองเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่เป็นอยู่ในสังคมจนถึงปัจจุบัน
การที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งครูสอนวาดเขียนของผม ทำให้ผู้คนในย่านบ้านศาลาบางปู ไม่มีใครรู้ แถมยังมองว่าผมเป็นหนุ่มพิการ ด้อยความสามารถ ไม่มีอาชีพและไม่มีอนาคต