ทาสรักจอมบดินทร์ (ศศิภา)

ทาสรักจอมบดินทร์ (ศศิภา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786163613783
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 310.00 บาท 77.50 บาท
ประหยัด: 232.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ทัันทีที่แท็กซี่สีขาวน้ำเงินเลี้ยวเข้าจอดเทียบฟุตปาธ หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ ทางตอนท้ายก็ยื่นธนบัตรที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วส่งให้คนขับรถ รอรับ เงินทอนอีกอึดใจจึงเปิดประตู ลงมา จากนั้นจึงก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดสูงยี่สิบ ขั้นหน้าอาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีเสาไฟตั้งอยู่ขนาบข้าง ข้างละหนึ่ง เสา บัดนี้ไฟทั้งสองดวงสว่างจ้าเนื่องจากเป็นเวลาค่อนดึก เลยสามทุ่มมา เกือบชั่วโมงแล้ว ทุกย่างก้าวของเธอแผ่วเบายิ่งนัก อาจเพราะสวมรองเท้า ผ้าใบ หาใช่ส้นสูงเฉกเช่นสาวๆ คนอื่นสวมใส่ไม่ รองเท้าผ้าใบของเธอ มองปราดเดียวก็ดูออกว่าเคยเป็นสีขาวมาก่อน แต่บัดนี้มันกระดำกระด่างและออกสีนำ้ตาลเหลือง เก่าครำ่ราวกับสวมใส่มาเป็นสิบปี สีตลรัศมีเดินมาถึงบันไดขั้นบนสุด หยุดยืนมองตัวอาคาร ชั้นเดียวขนาดสองคูหาสีนนำ้ตาลทึบทึม ค่อนข้างเก่าเนื่องเพราะสร้างมา เป็นร้อยปีแล้ว เธอมองเห็นสภาพของมันได้ค่อนข้างชัดเจนเนื่องเพราะ แสงจันทร์ในคำ่คืนนี้สาดกระทบอย่างพอดิบพอดี เสาต้นใหญ่สองต้น ด้านหน้าทางเข้าตึกแห่งนั้น ลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบโรมันยังคง ดูงดงาม แม้จะมีพื้นผิวบางส่วนผุกร่อนหรือกะเทาะออกไปบ้างก็ยังดูอ่อน หวานชดช้อยด้วยรอยแกะสลักรูปดอกไม้และใบไม้ ตรงหัวเสา แต่เมื่อเบือนสายตาขึ้นไปมองป้ายด้านบนก็พบว่าป้ายชื่อของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ซึ่ง เขียนไว้ว่า ‘พิพิธภัณฑ์ราชาธิราช’นั้นเอียงกระเท่เร่ ราวกับไม่มีคนมาดูแล เอาใจใส่มานานแล้ว หญิงสาวแหงนเงยหน้ามองจ้องอยู่อึดใจ จึงล้วงมือ เข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนที่มีรอยขาดตรงหัวเข่า หยิบยางรัดผมสีดำเส้น หนึ่งขึ้นมา รวบผมดำขลับของตนไว้กลางศีรษะ เรียบร้อยแล้วจึงยก นาฬกาข้อมือขึ้นดูเวลา เมื่อพบว่าอีกสิบนาทีพิพิธภัณฑ์แห่งนั้นจะปิด ิ ก็รีบสาวเท้าผ่านประตูไม้บานใหญ่เข้าไปด้านใน สีตลรัศมีเดินไปทางซ้าย เพื่อซื้อตั๋วเข้าชม มีคูหาตั้งอยู่สองคูหา แต่พบพนักงานเพียงคนเดียวนั่งอยู่ แถมยังนั่งสัปหงกซะด้วย เธอยืน รีรออยู่ครู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังหลับสบายจึงตัดสินใจปลุก “คุณคะ คุณ...” เมื่อใช้เสียงอ่อนเสียงหวานไม่เป็นผล เจ้าตัว จึงตะโกนจนเกือบสุดเสียง “คุณคะ!” พนักงานคนนั้นทะลึ่งตัวพรวดลุกขึ้นยืน โค้งคำนับแบบก้มตำ่ จนส่วนบนแทบขนานพื้นอยู่แล้ว “ครับนาย! มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ!” คนปลุกหรี่ตามองก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ วางมือลงบนโต๊ะแล้ว เคาะเรียก “ฉันมาซื้อตั๋วค่ะ” ชายหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา ทำหน้าตางุนงงอยู่ครู่ จนสีตลรัศมี ต้องถามย้ำอีกครั้ง เขาจึงได้สติ รีบพรวดพราดเข้าประจำที่นั่ง ฉีกตั๋วใบ หนึ่งออกมาแล้วยื่นให้เธอ ทว่าหญิงสาวยังไม่ทันได้รับไป เขากลับชักมือ กลับ แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “เอ่อ...คุณจะเข้าไปดูตอนนี้จริงเหรอครับ อีกสิบนาทีจะปิดแล้ว นะครับ” “ค่ะ...ฉันต้องเข้าไปดูวันนี้ มีบางเรื่องที่ฉันต้องรีบเก็บข้อมูลด่วน” เพราะคำยืนยันหนักแน่น และสีหน้าจริงจังทำให้เธอได้ตั๋วใบ นั้นมา สีตลรัศมีเดินผ่านห้องโถงใหญ่ เลี้ยวไปทางซ้ายตามลูกศรชี้ ภายใน ค่อนข้างสลัวเนื่องเพราะเปิดไฟเพียงน้อยดวง เธอคะเนเอาเองว่าเจ้าของ พิพิธภัณฑ์คงต้องการประหยัดไฟมากกว่าอยากทำให้สถานที่แห่งนี้ ‘ขลัง’ มากขึ้น ร่างเล็กเดินไปตามทางเดินแคบๆขนาดพอเดินเคียงกันสองคน มาระยะหนึ่ง จึงเลี้ยวเข้าห้องห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องเก็บภาชนะบรรจุอาหาร พวกโอ่งดินเผา หรือเครื่องลายครามต่างๆ ดูแบบผ่านๆเพราะเคยเข้ามา สำรวจก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นจึงเดินต่อ เข้าไปอีกห้องหนึ่งซึ่งเก็บสมุด บันทึกบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของราชาปุระเอาไว้ภายใต้ตู้กระจก เป็นจำนวนมาก บางเล่มก็ถูกหนูแทะเล็มจนแหว่งวิ่น บางเล่มหากใช้มือ จับก็คงฉีกขาดอย่างไม่ต้องสงสัย สีตลรัศมีหยิบสมุดบันทึกพร้อมกับ ปากกาในกระเป๋าออกมา ก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าสมุดเล่มหนึ่ง ก่อนจดข้อมูล อะไรบางอย่างลงไป ระหว่างนั้นเธอเหมือนได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับอยู่ไกลแสนไกล ทว่าในอกเธอกลับดังก้องจน สะเทือนเลือนลั่นไปหมด “...จันทร์” คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน มือที่กำลังจดยิกๆ ชะงักค้างอยู่ กลางอากาศ พร้อมกับที่ผู้เป็นเจ้าของเอียงศีรษะ นิ่งฟังเสียงลึกลับนั้น อีกครั้ง ...เงียบ... สิ่งที่เธอได้ยินกลับมีแต่ความเงียบสงัดเท่านั้น...เงียบจนเธอคิด ว่าตัวเองหูแว่วไป หญิงสาวเลิกสนใจ หันกลับมาจดข้อมูลลงไปในสมุดต่อเมื่อเสร็จแล้วจึงเดินตรงไปยังห้องทางด้านหลังสุดที่เธอเคยไม่เคยย่างเท้า เข้าไปเพราะเมื่อห้าเดือนก่อน ห้องนั้นยังเป็นเพียงห้องว่างเปล่า กระทั่ง สองเดือนที่แล้ว หนังสือพิมพ์ปุระนิวส์ได้ลงข่าวว่านักโบราณคดีกลุ่มหนึ่ง ได้ขุดค้นพบรูปปั้นสำคัญของกษัตริย์คนหนึ่งของราชาปุระ และนำมาไว้ ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้มาศึกษา การค้นคว้าว่ารูปปั้น นั้นเป็นของกษัตริย์คนไหน นับว่าเป็นเรื่องง่ายเพราะลักษณะเฉพาะตัว ของกษัตริย์ผู้นั้น สีตลรัศมีสูดลมหายใจลึก รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องห้องนั้น หญิงสาวมองผ่านเข้าไปด้านใน เห็นเงาตะคุ่มของบุรุษร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า ในมือถือดาบและ กำลังเงื้อขึ้นมาเหนือศีรษะ เธอจรดปลายเท้าเข้าไปด้านใน มาหยุดยืนอยู่ หน้ารูปปั้นนั้น เมื่อเลื่อนสายตาจากปลายดาบ ลงมายังใบหน้าของเขา สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาเป็นใครคือหน้ากากที่ปิดส่วนดวงตาลงมาถึงแก้ม ด้านซ้าย มีกษัตริย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่สวมหน้ากากเช่นนี้...องค์รเณศ ภูวดล! สีตลรัศมีจ้องมองใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นอยู่ พักใหญ่ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาเบื้องล่าง ตรงฐานของรูปปั้นมีตัวอักษร เรียงกันอยู่สองบรรทัด หญิงสาวคุกเข่าลงกับพื้น แล้วก้มหน้าอ่านมัน อย่างตั้งอกตั้งใจ หนึ่งใจภักดิ์ เพื่อแผ่นดินตราบชีวาวาย หากหนึ่งรัก ขอจงรักตราบนิรันดร์ อุปาทานหรือไรไม่ทราบได้ ทันทีที่เสียงของเธอสิ้นสุดลงพลันมีเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น ...เหมือนเช่นเมื่อครู่ มันดังผะแผ่วราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล แต่มันกลับสะท้อนก้องในหัวใจของเธออย่างน่าประหลาด สีตลรัศมีเงยหน้าขึ้นมา หันซ้ายหันขวามองหาต้นเสียง ทั้งๆ ที่ รู้ว่า...ไม่มีหรอก ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้นอกจากเธอ แม้แต่ในพิพิธภัณฑ์ แห่งนี้ก็มีเพียงเธอ ส่วนพนักงานคนนั้นป่านนี้คงหลับปุ๋ยไปแล้วละมัง สีตลรัศมีสลัดศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ในวินาทีนั้นเอง แสงจันทร์เบื้องนอกก็สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกด้านบนเข้ามา ส่องเป็นกระทบกับรูปปั้นของกษัตริย์ผู้นั้น ท่ามกลางแสงจันทร์สีนวลตา เธอมองเห็นประกายเงาวับจากหน้ากากที่เขาสวมใส่อยู่ มันดำมะเมื่อม สะท้อนกับแสงจันทร์ราวกับไม่ได้เป็นเพียงหิน สีตลรัศมีขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม ยกมือขยี้ตาทั้งสองข้าง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ต้องผงะไปเมื่อพบว่ากษัตริย์ที่ถูกสลักจากหิน คนนั้นบัดนี้นั่งอย่างงามสง่าน่าเกรงขามอยู่บนม้าตัวเขื่องสีดำสนิท และกำลังจับจ้องมองเธอด้วยแววตาสีเขียวอมเทา...ดวงตาที่บันทึกใน ประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าเป็นดวงตาที่มีเสน่ห์ต่อสตรีเพศมากที่สุด นี่มันอะไรกัน! เธอสร้างภาพพวกนี้ขึ้นมาเองใช่ไหม! สิ่งที่เธอเห็นมันเป็นแค่จินตนาการ... เสียงในใจขาดหาย เมื่อบุรุษผู้นั้นกระตุกบังเหียน ควบขับม้า โผนทะยานเข้าหาเธอ มือข้างหนึ่งเอื้อมออกมาราวกับต้องการจะขยำ้คอ เธอไว้ สีตลรัศมีตกใจ ขาแข็งก้าวไม่ออก ขยับตัวไม่ได้ เมื่อเป็น เช่นนั้นเธอจึงกรีดร้องสุดเสียงก่อนจะหมดสติไปในทันใด ถึงกระนั้นเสียง เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามาในหัวของเธอ...เสียงก้องกังวาน ทรงอำนาจ และีกระแสเสียงของความเป็นเจ้าชีวิตอย่างชัดเจน “รัศมีจันทร์!”

รายละเอียด

ทัันทีที่แท็กซี่สีขาวน้ำเงินเลี้ยวเข้าจอดเทียบฟุตปาธ หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ ทางตอนท้ายก็ยื่นธนบัตรที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วส่งให้คนขับรถ รอรับ เงินทอนอีกอึดใจจึงเปิดประตู ลงมา จากนั้นจึงก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดสูงยี่สิบ ขั้นหน้าอาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีเสาไฟตั้งอยู่ขนาบข้าง ข้างละหนึ่ง เสา บัดนี้ไฟทั้งสองดวงสว่างจ้าเนื่องจากเป็นเวลาค่อนดึก เลยสามทุ่มมา เกือบชั่วโมงแล้ว ทุกย่างก้าวของเธอแผ่วเบายิ่งนัก อาจเพราะสวมรองเท้า ผ้าใบ หาใช่ส้นสูงเฉกเช่นสาวๆ คนอื่นสวมใส่ไม่ รองเท้าผ้าใบของเธอ มองปราดเดียวก็ดูออกว่าเคยเป็นสีขาวมาก่อน แต่บัดนี้มันกระดำกระด่างและออกสีนำ้ตาลเหลือง เก่าครำ่ราวกับสวมใส่มาเป็นสิบปี สีตลรัศมีเดินมาถึงบันไดขั้นบนสุด หยุดยืนมองตัวอาคาร ชั้นเดียวขนาดสองคูหาสีนนำ้ตาลทึบทึม ค่อนข้างเก่าเนื่องเพราะสร้างมา เป็นร้อยปีแล้ว เธอมองเห็นสภาพของมันได้ค่อนข้างชัดเจนเนื่องเพราะ แสงจันทร์ในคำ่คืนนี้สาดกระทบอย่างพอดิบพอดี เสาต้นใหญ่สองต้น ด้านหน้าทางเข้าตึกแห่งนั้น ลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบโรมันยังคง ดูงดงาม แม้จะมีพื้นผิวบางส่วนผุกร่อนหรือกะเทาะออกไปบ้างก็ยังดูอ่อน หวานชดช้อยด้วยรอยแกะสลักรูปดอกไม้และใบไม้ ตรงหัวเสา แต่เมื่อเบือนสายตาขึ้นไปมองป้ายด้านบนก็พบว่าป้ายชื่อของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ซึ่ง เขียนไว้ว่า ‘พิพิธภัณฑ์ราชาธิราช’นั้นเอียงกระเท่เร่ ราวกับไม่มีคนมาดูแล เอาใจใส่มานานแล้ว หญิงสาวแหงนเงยหน้ามองจ้องอยู่อึดใจ จึงล้วงมือ เข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนที่มีรอยขาดตรงหัวเข่า หยิบยางรัดผมสีดำเส้น หนึ่งขึ้นมา รวบผมดำขลับของตนไว้กลางศีรษะ เรียบร้อยแล้วจึงยก นาฬกาข้อมือขึ้นดูเวลา เมื่อพบว่าอีกสิบนาทีพิพิธภัณฑ์แห่งนั้นจะปิด ิ ก็รีบสาวเท้าผ่านประตูไม้บานใหญ่เข้าไปด้านใน สีตลรัศมีเดินไปทางซ้าย เพื่อซื้อตั๋วเข้าชม มีคูหาตั้งอยู่สองคูหา แต่พบพนักงานเพียงคนเดียวนั่งอยู่ แถมยังนั่งสัปหงกซะด้วย เธอยืน รีรออยู่ครู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังหลับสบายจึงตัดสินใจปลุก “คุณคะ คุณ...” เมื่อใช้เสียงอ่อนเสียงหวานไม่เป็นผล เจ้าตัว จึงตะโกนจนเกือบสุดเสียง “คุณคะ!” พนักงานคนนั้นทะลึ่งตัวพรวดลุกขึ้นยืน โค้งคำนับแบบก้มตำ่ จนส่วนบนแทบขนานพื้นอยู่แล้ว “ครับนาย! มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ!” คนปลุกหรี่ตามองก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ วางมือลงบนโต๊ะแล้ว เคาะเรียก “ฉันมาซื้อตั๋วค่ะ” ชายหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา ทำหน้าตางุนงงอยู่ครู่ จนสีตลรัศมี ต้องถามย้ำอีกครั้ง เขาจึงได้สติ รีบพรวดพราดเข้าประจำที่นั่ง ฉีกตั๋วใบ หนึ่งออกมาแล้วยื่นให้เธอ ทว่าหญิงสาวยังไม่ทันได้รับไป เขากลับชักมือ กลับ แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “เอ่อ...คุณจะเข้าไปดูตอนนี้จริงเหรอครับ อีกสิบนาทีจะปิดแล้ว นะครับ” “ค่ะ...ฉันต้องเข้าไปดูวันนี้ มีบางเรื่องที่ฉันต้องรีบเก็บข้อมูลด่วน” เพราะคำยืนยันหนักแน่น และสีหน้าจริงจังทำให้เธอได้ตั๋วใบ นั้นมา สีตลรัศมีเดินผ่านห้องโถงใหญ่ เลี้ยวไปทางซ้ายตามลูกศรชี้ ภายใน ค่อนข้างสลัวเนื่องเพราะเปิดไฟเพียงน้อยดวง เธอคะเนเอาเองว่าเจ้าของ พิพิธภัณฑ์คงต้องการประหยัดไฟมากกว่าอยากทำให้สถานที่แห่งนี้ ‘ขลัง’ มากขึ้น ร่างเล็กเดินไปตามทางเดินแคบๆขนาดพอเดินเคียงกันสองคน มาระยะหนึ่ง จึงเลี้ยวเข้าห้องห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องเก็บภาชนะบรรจุอาหาร พวกโอ่งดินเผา หรือเครื่องลายครามต่างๆ ดูแบบผ่านๆเพราะเคยเข้ามา สำรวจก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นจึงเดินต่อ เข้าไปอีกห้องหนึ่งซึ่งเก็บสมุด บันทึกบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของราชาปุระเอาไว้ภายใต้ตู้กระจก เป็นจำนวนมาก บางเล่มก็ถูกหนูแทะเล็มจนแหว่งวิ่น บางเล่มหากใช้มือ จับก็คงฉีกขาดอย่างไม่ต้องสงสัย สีตลรัศมีหยิบสมุดบันทึกพร้อมกับ ปากกาในกระเป๋าออกมา ก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าสมุดเล่มหนึ่ง ก่อนจดข้อมูล อะไรบางอย่างลงไป ระหว่างนั้นเธอเหมือนได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับอยู่ไกลแสนไกล ทว่าในอกเธอกลับดังก้องจน สะเทือนเลือนลั่นไปหมด “...จันทร์” คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน มือที่กำลังจดยิกๆ ชะงักค้างอยู่ กลางอากาศ พร้อมกับที่ผู้เป็นเจ้าของเอียงศีรษะ นิ่งฟังเสียงลึกลับนั้น อีกครั้ง ...เงียบ... สิ่งที่เธอได้ยินกลับมีแต่ความเงียบสงัดเท่านั้น...เงียบจนเธอคิด ว่าตัวเองหูแว่วไป หญิงสาวเลิกสนใจ หันกลับมาจดข้อมูลลงไปในสมุดต่อเมื่อเสร็จแล้วจึงเดินตรงไปยังห้องทางด้านหลังสุดที่เธอเคยไม่เคยย่างเท้า เข้าไปเพราะเมื่อห้าเดือนก่อน ห้องนั้นยังเป็นเพียงห้องว่างเปล่า กระทั่ง สองเดือนที่แล้ว หนังสือพิมพ์ปุระนิวส์ได้ลงข่าวว่านักโบราณคดีกลุ่มหนึ่ง ได้ขุดค้นพบรูปปั้นสำคัญของกษัตริย์คนหนึ่งของราชาปุระ และนำมาไว้ ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้มาศึกษา การค้นคว้าว่ารูปปั้น นั้นเป็นของกษัตริย์คนไหน นับว่าเป็นเรื่องง่ายเพราะลักษณะเฉพาะตัว ของกษัตริย์ผู้นั้น สีตลรัศมีสูดลมหายใจลึก รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องห้องนั้น หญิงสาวมองผ่านเข้าไปด้านใน เห็นเงาตะคุ่มของบุรุษร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า ในมือถือดาบและ กำลังเงื้อขึ้นมาเหนือศีรษะ เธอจรดปลายเท้าเข้าไปด้านใน มาหยุดยืนอยู่ หน้ารูปปั้นนั้น เมื่อเลื่อนสายตาจากปลายดาบ ลงมายังใบหน้าของเขา สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาเป็นใครคือหน้ากากที่ปิดส่วนดวงตาลงมาถึงแก้ม ด้านซ้าย มีกษัตริย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่สวมหน้ากากเช่นนี้...องค์รเณศ ภูวดล! สีตลรัศมีจ้องมองใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นอยู่ พักใหญ่ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาเบื้องล่าง ตรงฐานของรูปปั้นมีตัวอักษร เรียงกันอยู่สองบรรทัด หญิงสาวคุกเข่าลงกับพื้น แล้วก้มหน้าอ่านมัน อย่างตั้งอกตั้งใจ หนึ่งใจภักดิ์ เพื่อแผ่นดินตราบชีวาวาย หากหนึ่งรัก ขอจงรักตราบนิรันดร์ อุปาทานหรือไรไม่ทราบได้ ทันทีที่เสียงของเธอสิ้นสุดลงพลันมีเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น ...เหมือนเช่นเมื่อครู่ มันดังผะแผ่วราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล แต่มันกลับสะท้อนก้องในหัวใจของเธออย่างน่าประหลาด สีตลรัศมีเงยหน้าขึ้นมา หันซ้ายหันขวามองหาต้นเสียง ทั้งๆ ที่ รู้ว่า...ไม่มีหรอก ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้นอกจากเธอ แม้แต่ในพิพิธภัณฑ์ แห่งนี้ก็มีเพียงเธอ ส่วนพนักงานคนนั้นป่านนี้คงหลับปุ๋ยไปแล้วละมัง สีตลรัศมีสลัดศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ในวินาทีนั้นเอง แสงจันทร์เบื้องนอกก็สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกด้านบนเข้ามา ส่องเป็นกระทบกับรูปปั้นของกษัตริย์ผู้นั้น ท่ามกลางแสงจันทร์สีนวลตา เธอมองเห็นประกายเงาวับจากหน้ากากที่เขาสวมใส่อยู่ มันดำมะเมื่อม สะท้อนกับแสงจันทร์ราวกับไม่ได้เป็นเพียงหิน สีตลรัศมีขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม ยกมือขยี้ตาทั้งสองข้าง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ต้องผงะไปเมื่อพบว่ากษัตริย์ที่ถูกสลักจากหิน คนนั้นบัดนี้นั่งอย่างงามสง่าน่าเกรงขามอยู่บนม้าตัวเขื่องสีดำสนิท และกำลังจับจ้องมองเธอด้วยแววตาสีเขียวอมเทา...ดวงตาที่บันทึกใน ประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าเป็นดวงตาที่มีเสน่ห์ต่อสตรีเพศมากที่สุด นี่มันอะไรกัน! เธอสร้างภาพพวกนี้ขึ้นมาเองใช่ไหม! สิ่งที่เธอเห็นมันเป็นแค่จินตนาการ... เสียงในใจขาดหาย เมื่อบุรุษผู้นั้นกระตุกบังเหียน ควบขับม้า โผนทะยานเข้าหาเธอ มือข้างหนึ่งเอื้อมออกมาราวกับต้องการจะขยำ้คอ เธอไว้ สีตลรัศมีตกใจ ขาแข็งก้าวไม่ออก ขยับตัวไม่ได้ เมื่อเป็น เช่นนั้นเธอจึงกรีดร้องสุดเสียงก่อนจะหมดสติไปในทันใด ถึงกระนั้นเสียง เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามาในหัวของเธอ...เสียงก้องกังวาน ทรงอำนาจ และีกระแสเสียงของความเป็นเจ้าชีวิตอย่างชัดเจน “รัศมีจันทร์!”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (68 รายการ)

www.batorastore.com © 2024