ตะวันแห่งความรัก (บุญญรัตน์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทที่ 1

 

          ร่างเล็กๆของลิซ่า คอลลินส์ ขดกลมราวลูกบอล ใบหน้าซุกอยู่ในท่อนแขน จมูก ปาก อยู่ห่างจากพื้นดินไม่ถึงนิ้ว กลุ่มควันสีดำลอยม้วนอยู่รอบตัว ซอกซอนเข้าไปในจมูกจนไอออกมาด้วยอาการสำลัก ซึ่งเธอต้องพยายามที่จะไม่ส่งเสียงดังลอดออกมา ภาวนาต่อพระเจ้าอยู่ในใจ ขออย่าให้ใครได้ยินเสียงไอเลย เพราะถ้าพวกมันได้ยิน..แค่คิดเธอก็ตัวสั่นด้วยความกลัว เพราะยังไม่รู้ว่าชะตากรรมที่จะได้รับต่อไปคืออะไร

            แต่อย่างน้อยในเวลานี้ เสียงกรีดร้องก็ได้หายไปแล้ว เธอรู้ว่าความเงียบนั้นคืออะไร ซึ่งแม้จะละอายใจอยู่แต่เธอก็ยังขอบคุณพระเจ้าที่มันเป็นเช่นนั้นเสียได้ ในตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปเสียแล้ว ขณะที่ได้ยินเสียงร้องร่ำอย่างทรมานของเอียนและแมรี่ บลาสส์กับลูกอีก 3 คน ขณะใกล้จะถึงจุดจบแห่งความตายในกองเพลิง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของพวกเขา ซึ่งถ้าตอนที่พวกทหารมาถึง เธอไม่ได้หลบออกมาอยู่ข้างนอก โดยไปแอบอยู่ในโรงที่ใช้เก็บเครื่องมือเพื่อการทำไร่ของครอบครัวนี้ เธอก็คงประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกันกับพวกของเธอ

            เมื่อคิดถึงความตาย ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านด้วยความสยดสยองขึ้นมาอีก แต่เธอรู้ขณะนี้ยังหลบหนีออกไปไม่ได้อีกเช่นกัน ฆาตกรเหล่านั้นยังอยู่ที่นี่..อยู่ในบริเวณนี้และกำลังใช้คบไฟโยนเข้าไปเผาทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่พวกสัตว์เลี้ยง เสียงหมู เสียงวัว ประสมประสานอยู่ในเสียงร้องของทุกคนในนครอบครัวบลาสส์

            เธอรู้ว่าคนพวกนั้นคือพวกผู้ก่อการร้าย ส่วนจะเป็นฝ่ายไหนนั้นลิซ่าไม่แน่ใจ ที่จริงก่อนหน้าที่จะเดินทางมาที่นี่ เธอรู้เรื่องสงครามกลางเมืองที่เกิดอยู่ในโรดิเซีย เพียงแต่ไม่คาดคิดว่า มันจะรุนแรงและเต็มไปด้วยอันตรายอย่างแท้จริง เช่นที่กำลังเผชิญอยู่ยามนี้ ยิ่งกว่านั้น เธอก็ยังคิดว่าในฐานะของผู้สื่อข่าวอเมริกัน สิ่งนั้นย่อมสามารถปกป้องคุ้มครองเธอจากอันตรายทั้งหลายไว้ได้ แต่ปรากฏว่าเธอคิดผิดถนัด น่าจะเรียกว่าเป็นความโง่เขลาเสียด้วยซ้ำ

            ขณะนอนนิ่งอยู่ในที่เดิม ลิซ่ามีความรู้สึกว่าควันไฟได้ทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เธอรู้ว่าจำเป็นจะต้องเคลื่อนย้ายตัวเองออกไปให้พ้นจากที่นี้ วิ่งหนีไปเสียให้พ้นในขณะที่ยังพอมีกำลังจะทำเช่นนั้นได้ แต่ความคิดที่จะละทิ้งที่หลบซ่อน วิ่งออกไปกลางที่โล่งแจ้งภายนอก กลับตรึงเธอไว้ราวเป็นอัมพาต เมื่อมาถึงนาทีนี้ลิซ่าก็ได้ตระหนักในสิ่งหนึ่ง ว่าตนเองยังไม่พร้อมที่จะตาย

            อีกฟากหนึ่งของผนังบางๆนั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินกลับไปกลับมาอยู่ใกล้ศีรษะ ลิซ่าแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยภาษาที่เธอไม่เข้าใจ และหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ระบายลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าทึบๆที่เดินอย่างเร่งรีบจากไป

            แรงเต้นของหัวใจเริ่มเข้าสู่ระดับปกติ ตอนที่เธอได้ยินเสียงแตกเปรี๊ยะอันเป็นเสียงที่บ่งบอกลางร้าย เธอรีบเงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองไปรอบๆและเห็นทางด้านหลังของโรงเก็บเครื่องมือกำลังถูกเปลวไฟแลบเลียอยู่..

            ไฟกำลังไหม้..เธอบอกกับตัวเอง..ปลายลิ้นอันแรงร้อนของเปลวเพลิงกำลังแลบเลียขึ้นไปบนหลังคาแล้วและบางแฉกก็กำลังเลียลามลงมาถึงผนังห้อง ซึ่งนั่นหมายความว่า เธอไม่สามารถจะซ่อนตัวอยู่ในที่นั้นได้อีกต่อไป จะต้องหนีออกไปให้พ้นจากที่หลบซ่อนแห่งนี้ ความได้ตระหนักแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ เธอยอมรับว่าขณะนี้ตนเองกำลังตื่นกลัวต่อความตายอย่างที่สุด กลัวจนไม่อาจจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายได้

            แต่เธอต้องทำให้ได้ ความกลัวกลายเป็นแรงผลักดันให้เธอคลานไปที่ประตู แม้จะอ่อนเปลี้ยสักเท่าไรก็ตาม ลมหายใจเหมือนจะติดขัดอยู่แค่ลำคอ เจ็บร้าวไปทั่ว หยาดน้ำตาพร่างลงมาตามร่องแก้ม เธอรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ตายอยู่ในบ้านไร่อันโดดเดี่ยวซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศโรดิเซียนี้ ทั้งๆที่เธอเพิ่งอายุได้แค่ 25 ปีเท่านั้น โอ..พระเจ้า..ทำไมชีวิตจะต้องมาพบกับความอยุติธรรมเช่นนี้ด้วยเล่า..?

            แม้ระยะทางจะแค่ 3 ฟุต กว่าจะไปถึงประตูแต่มันยาวไกลเหมือน 3 ไมล์ ปวดแสบปวดร้อนในจมูกด้วยควันกลุ่มใหม่ที่โหมเข้ามาเป็นลูก กล้ามเนื้อบนแผ่นหลังตึงเครียดเมื่อจะต้องคืบคลานออกไปให้พ้นจากโรงเก็บเครื่องมือแห่งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ที่รายรอบตัวอยู่ในเวลานี้คือเศษไม้ที่ติดไฟร่วงลงมาสู่พื้นดิน ลิซ่ารู้ว่า อีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น หลังคาจะต้องยุบยวบลงและเธอจะต้องนอนตายอยู่ในกองไฟนี้เอง สมองที่กำลังใกล้บ้ากำลังถามตัวเองอยู่ว่า..ความตายนั้นจะเจ็บปวดหรือไม่หนอ..และก็ได้รับคำตอบในนาทีนั้น ว่ามันจะต้องเจ็บปวดอย่างแน่นอน เธออดคิดไปถึงเสียงกรีดร้องของคนในครอบครัวบลาสส์ไม่ได้

            เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บเลย ตอนที่ทุกนิ้วจิกลงไปในดินดึงร่างตัวเองให้เคลื่อนไปข้างหน้า  ถ้าเพียงแต่ออกพ้นประตูนี้ไปเธอก็จะรอดชีวิต อย่างน้อยก็อีกสักระยะหนึ่ง เมื่อออกมาถึงหน้าประตูเธอก็หยุดอยู่ ความตื่นกลัวกลับเข้ามาสู่สมองอีกครั้ง สิ่งใดก็ตามที่รอเธออยู่นอกประตูนั้น มันสามารถสร้างความกลัวให้เกิดขึ้นได้พอๆกับที่จะอยู่และพบกับความตายในโรงเก็บเครื่องมือนี้

            “ข้าพเจ้าของมอบชีวิตไว้ในอุ้งหัตถ์แห่งพระองค์” เธอเปล่งคำภาวนานั้นออกมาแผ่วเบา และพร้อมกันเธอก็เอื้อมมือไปผลักบานประตู ซึ่งมันก็เปิดออกอย่างง่ายดาย ลิซ่าสอดส่ายสายตาออกไปภายนอก อากาศเย็นชื่นของยามค่ำคืนผ่านเข้ามาตามรอบแง้มของประตู อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าอากาศที่อบอวลด้วยกลิ่นควันไฟภายในโรงนั้นแน่..ในยามนี้ที่เธอมีความรู้สึกว่า อากาศบริสุทธิ์นั้นช่างหอมหวานเสียเหลือเกิน เธอประทับมันเข้าไว้ในจิตสำนึก ขณะสอดส่ายสายตาต่อไป..

            แม้จะเป็นยามกลางคืน แต่มันก็ไม่ได้มืดเสียทีเดียว แสงจากเปลวเพลิงที่โหมอยู่ ทั้งตัวบ้าน โรงนาและอาคารหลังต่างๆที่สร้างขึ้นไว้ สาดสว่างออกไปจนถึงลานด้านหน้าราวกับกลางวันและ ณ ที่นั้น ลิซ่าก็ได้เห็นผู้ชายที่อยู่ในชุดฟอร์มสีกากีหลายต่อหลายคน บางคนกำลังยืนมองความพินาศอันเกิดจากน้ำมือของพวกตนด้วยความพอใจ บางคนก็วิ่งไปตามสนามโดยมีคบเพลิงถืออยู่ในมือ และบางคนกำลังขนเข้าของซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติของบ้านไร่แห่งนี้ขึ้นใส่รถบรรทุกเล็กที่จอดเรียงกันอยู่หลายคัน ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับบ้านหลังใหญ่ที่กำลังลุกไหม้อยู่ในขณะนี้เลย ลิซ่าสูดลมหายใจลึกบอกตัวตัวเองอยู่ว่า ถึงอย่างไรเธอก็ยังพอมีโอกาสอยู่..แม้ว่ามันจะเป็นโอกาสอันน้อยนิดก็ตาม

            ในสภาพที่นอนคว่ำอยู่กับพื้นดิน เธอเคลื่อนตัวออกพ้นจากประตูอย่างรวดเร็ว หมายตาหมู่ไม้ที่อยู่เลยลานหน้าบ้านออกไป ถ้าเธอสามารถที่จะไปให้ถึงแนวป่านั้น ก็หมายความว่าเธอมีโอกาสที่จะซ่อนตัวอยู่ได้และอาจจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ กำลังใจก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย

            ลิซ่าคืบคลานไปตามพื้นดินรวดเร็วกว่าที่คิดว่าตัวเองจะทำได้ ไม่กล้าที่จะเหลือบแลมองไปทางไหน นอกจากมุ่งตรงไปข้างหน้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งก้อนหินและกิ่งไม้ รวมทั้งหนามแหลมเกี่ยวเสื้อผ้าเนื้อตัวจนขาดวิ่น แต่ลิซ่าไม่ได้คำนึงถึงความเจ็บปวดทางร่างกายแต่อย่างใด แทบจะไม่รู้สึกเสียด้วยซ้ำ ขณะนี้ความตั้งใจทั้งหมดอยู่ตรงที่ว่า เธอจะต้องไปให้ถึงสถานที่ที่จะสามารถหลบซ่อนอยู่ได้โดยปลอดภัยเท่านั้น

            เหลือระยะทางอีกไม่ถึง 5 หลา เธอก็จะเข้าเขตที่หมู่ไม้ที่ขึ้นอยู่แน่นทึบนั่นแล้ว แต่ทันใดมือข้างหนึ่งก็สัมผัสกับอะไรบางอย่าง..มันเป็นร่างคน..ที่เนื้อตัวเย็นเฉียบ..

            ลิซ่ารีบมองไปทางนั้นและแล้วก็ต้องตะลึงตัวแข็งไป มันเป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เธอรู้จักว่าเขาชื่อซอลลี่ เอียน..บลาสส์เป็นคนส่งเขาไปรับเธอที่สนามบินเล็กๆประจำท้องถิ่น และเขาเป็นคนขับรถพาเธอมายังบ้านไร่แห่งนี้ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินเพียงแค่ 16 ไมล์เท่านั้น และเขาก็พูดคุยกับเธอมาตลอดทาง มันเพิ่งจะเมื่อวานซืนนี้เองไม่ใช่หรือ..?

            ช่างไม่น่าเชื่อเลย ถ้าจะคิดว่า เพียงข้ามวันเดียวเขาก็ตายเสียแล้ว เขาถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหดทารุณที่สุด เลือดที่พรูพรั่งออกจากร่างกายเขา ถูกแผ่นดินแอฟริกาซึมซับไปแล้วทุกหยาดหยด เหลือไว้แต่เพียงซากศพสีน้ำตาลที่นอนอยู่ในพงหญ้า..ตรงลำคอถูกเชือดจนแทบจะขาดออกจากกัน ดวงตาที่เบิกโพลงอยู่เหมือนจะจ้องมองดูและยิ้มให้กับสรวงสวรรค์ ลิซ่ารู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาทันที เธออาเจียนออกมาจนไม่เหลืออะไรอยู่ในท้องอีกต่อไป และแล้วเธอก็พยายามใช้พละกำลังสุดท้ายที่ยังพอเหลืออยู่ดึงตัวให้ลุกขึ้น วิ่งเข้าไปในหมู่ไม้เบื้องหน้าราวคนตาบอด

            อาจเป็นปาฏิหาริย์กระมังที่เธอทำได้สำเร็จ แต่แม้กระนั้นเธอก็ยังไม่หยุดวิ่ง ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย เอรู้ว่าตัวเองจะหยุดวิ่งไม่ได้เป็นอันขาด สิ่งที่ทำให้ตกใจกลัวกำลังไล่ตามมาติดๆ เวลานี้เธอไม่สนใจกับหนามไหน่ที่เกี่ยวเนื้อตัวอยู่อีกต่อไป เธอหน้าคะมำลงกับพื้นดินถึงสองครั้ง แต่สิ่งเดียวที่กำหนดขึ้นไว้ในใจ เธอจะต้องหนีไปให้พ้นจากที่นี่..จะต้องหนีไปให้ไกลที่สุด จะต้อง..

            “คุณพระช่วย..นี่มันอะไรกัน..!”

            เสียงร้องอุทานกราดเกรี้ยวนั้น ทำให้เธอหันขวับไปมอง..พวกทหาร..พวกมันยืนอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่และอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไรเลย ความมืดภายในราวป่าและความตื่นกลัวอย่างสุดชีวิต ทำให้เธอมองไม่เห็นคนพวกนี้ จนกระทั่งเมื่อเข้ามาเกือบจะถึงตัวอยู่แล้ว..โอ..คุณพระคุณเจ้า..ขอให้เธอได้หนีไปให้ไกลกว่านี้ก่อน..อย่าให้ต้องได้พบกับความทารุณโหดร้ายเช่นที่เพิ่งผ่านพบมานั้นอีกเลย

            ลิซ่าออกวิ่งเต็มกำลังถลาไปในท่ามกลางความมืดนั้น ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งไล่ตามมาติดๆและใกล้จะถึงตัวเข้ามาทุกที และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงหอบหายใจก่อนที่ร่างของเธอจะถลาล้มลงในท่ามกลางพงหญ้าหนาทึบ พร้อมกับน้ำหนักตัวของผู้ชายคนหนึ่งที่กดทับลง ลิซ่ารีบหันไปมองด้วยสัญชาติญาณแห่งการป้องกันตนเองและทันเห็นแขนเสื้อสีกากีของเครื่องแบบที่ผู้ชายคนนั้นสวมอยู่ เธอกรีดร้องออกมาเต็มเสียงครั้งแล้ว..ครั้งเล่า..จนกระทั่งมีอะไรบางอย่างฟาดลงบนใบหน้าและโลกก็พลันมืดดับลง..

 

ลิซ่าฝันว่าเธอได้กลับไปอยู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง..ขณะนั้นเธอเป็นสาววัยรุ่นที่มีชีวิตอบอบอุ่นเป็นสุขอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของปู่ที่ เซลซาพีค เบย์ เธอคือหลานรักของปู่ เป็นเครื่องปลอบประโลมใจอย่างเดียวที่ท่านมี ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เธอต้องการแล้วจะไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว โรงเรียนที่ดีที่สุด รถยนต์คันงาม เธอพรั่งพร้อมไปหมดในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทว่า ในวัย 19 นั้น สิ่งที่เธอปรารถนาที่คือคือ เจฟฟ์..

เจฟฟ์ คอลลินส์..หนุ่มรูปหล่อนักฟุตบอลผู้มีชื่อเสียงและเป็นทายาทคนเดียวของท่านวุฒิสมาชิก เขาเป็นผู้ชายในความฝันของผู้หญิงทุกคน แม้จะออกเดทกับเขาเพียงแค่ 2 ครั้ง แต่เธอก็ปรารถนาที่จะได้อยู่เคียงข้างเขาชั่วชีวิตและสิ่งใดก็ตาม ที่ลิซ่าต้องการแล้ว เธอจะต้องได้..

            เธอมีจิตใจที่มั่นคงต่อเจฟฟ์เพียงผู้เดียว มันเป็นความตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่เธอได้รับมรดกจากปู่ผู้เป็นมหาเศรษฐี และเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์มากมายหลายฉบับ และเธอก็ทำให้เจฟฟ์ต้องออกปากขอแต่งงานกับเธอจนได้ ทั้งที่เพิ่งคบหากันได้เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น การหมั้นหมายระหว่างเขาและเธอ เป็นที่ชื่นชมของบุคคลในครอบครัวทั้งสอง

            “เป็นคู่ที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก” คือคำพูดที่ใครทุกคนวิจารณ์การหมั้นหมายครั้งนี้และลิซ่า ก็ถือประโยชน์จากความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้จะต้องการอะไรมากไปกว่าการที่ได้แต่งงานกับผู้ชาย ที่มีความเหมาะสมทุกประการเช่นเขา เธอหวังว่าชีวิตจะมีแต่ความสุขเช่นนั้นตลอดไป

            ซึ่งเอก็ได้รับมันมาอย่างเต็มเปี่ยม อย่างน้อยก็เป็นเวลาเกือบปี แม้ว่าชีวิตจะไม่ได้นำความเรืองรุ่งมาให้มากกว่าที่มันเป็นอยู่แต่เธอก็พอใจ ทั้งนี้เพราะมันเป็นการแต่งงานที่มีพื้นฐานอยู่บนความไว้วางใจและรักใคร่ในกันและกันอย่างสุดซึ้ง

            แต่ทว่า..ในความเป็นส่วนตัวแล้ว ลิซ่าก็ยังสงสัยอยู่ ชีวิตที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเพื่อให้เป็นกุลสตรีนั้น ทำให้เธอไม่ใคร่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เท่าไรนัก ตอนที่แต่งงานกับเจฟฟ์ ลิซ่ายังเป็นสาวพรหมจารีอยู่ด้วยซ้ำ เนื่องจากไม่ค่อยมีโอกาสได้พบปะกับผู้ชายคนใดเท่าไรนัก

            แต่การที่ได้ออกเดทบ้างเป็นครั้งคราวทำให้เธอมีความรู้ว่า การสัมผัสแตะต้องทางด้านร่างกายนำมาซึ่งความตื่นเต้น และความใคร่รู้ต่อความลับทั้งหลายที่ยังถูกปิดบังไว้และน่าจะมีความสุขอย่างมาก

            แต่เมื่อมาอยู่กับเจฟฟ์เข้าจริงๆมันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธอไม่เคยมีความสุขทางเพศกับเขาเลย ซึ่งเขาเองก็ดูจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะพยายามอำพรางไว้แต่ก็ยังขาดความกระตือรือร้นอยู่ดี

            เมื่อเวลาผ่านไปและทุกสิ่งทุกอย่างดูจะไม่มีอะไรดีขึ้น ลิซ่าก็เริ่มกังวลว่า..หรือความผิดพลาดนั้นจะเป็นที่ตัวเธอเอง บางทีเธออาจจะขาดความรู้ที่จะปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชายให้ตื่นตัวขึ้นมาได้ ดูเหมือนเธอจะไม่เคยกระตุ้นอารมณ์ของเจฟฟ์ให้เริงโลดขึ้นมาได้เลย นอกเสียจากเธอจะเป็นผู้หญิงในวัยสาวที่มีความสวยงามน่ารักเท่านั้น ซึ่งใครๆก็พูดกันเช่นนี้ทั้งนั้น

            ลิซ่าเป็นหญิงสาวที่มีเรือนร่างเพรียวระหง ทุกสักส่วนบนเรือนร่างนี้ วางอยู่ในตำแหน่งอันเหมาะเจาะงดงาม ใบหน้าประกอบด้วยเครื่องหน้าที่สมบูรณ์แบบ เรือนผมเป็นประกายระยับและเธอก็ใช้เครื่องสำอางน้อยมาก ซึ่งตรงกับรสนิยมของเจฟฟ์ ดวงตาเป็นสีเขียวขาบ แต่งกายงามทุกกระเบียดนิ้ว ก็แล้วมันยังมีตรงไหนให้ตำหนิได้อีกเล่า..?

            และแล้วเธอก็ได้รู้ในความผิดพลาดนั้น ก่อนหน้าที่จะครบรอบวันเกิดปีที่ 20 เพียงแค่สองวัน และเป็นวันเดียวกับที่เธอได้รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ ที่จริงเธอก็สำเหนียกความผิดปกติของร่างกายมาหลายอาทิตย์แล้ว แต่ยังไม่อาจพูดอะไรกับเจฟฟ์จนกว่าจะแน่ใจว่ามันเป็นความจริงเสียก่อน

            ในเช้าวันดังกล่าว เมื่อหมอได้ยืนยันว่าเธอตั้งครรภ์อย่างแน่นอนแล้ว ลิซ่าก็รีบกลับบ้านด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข ไม่สนใจกับนัดหมายรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนอีกต่อไป เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอทั้งแปลกใจและดีใจระคนกันที่พบว่าเจฟฟ์อยู่บ้าน ทั้งเสื้อคลุมและหมวกของเขาอยู่ในตู้ชั้นล่าง เมื่อเห็นสองสิ่งนี้เข้า ลิซ่าก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ เธอเชื่อและหวังว่าเขาจะต้องตื่นเต้นกับข่าวที่ตัวเองกำลังจะเป็นคุณพ่อครั้งนี้อย่างแน่นอน

            เธอเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เธอมั่นใจว่าเจฟฟ์จะยังคงอยู่ในห้องอย่างแน่นอนและเขาก็อยู่จริงๆ บนเตียงนอนขนาดใหญ่ที่นอนร่วมกับเธอมาทุกคืน เพียงแต่ว่าในตอนเช้าวันนี้ เขาอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง..!

            เธอเกือบจะหย่าขาดจากเขาตั้งแต่วันนั้นถ้าไม่เห็นกับลูกในท้อง เจฟฟ์ถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างไม่อับอาย บอกกับเธอว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน เป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของเขามาก่อน เขาให้คำมั่นสัญญาว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เขาถึงกับอ้อนวอนขออย่าให้เธอบอกให้ใครรู้ถึงสิ่งที่ได้มาพบเห็นด้วยตัวเองในเช้าวันนี้..ขอโอกาสให้เขาอีกสักครั้ง ซึ่งในที่สุดลิซ่าก็ใจอ่อนพอที่จะยอมทำตามคำขอร้อง ซึ่งก็เพราะเห็นแก่ลูกในท้องดังกล่าว

            แต่ทว่า..มันเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงครั้งที่ 2 ที่เธอปล่อยให้เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาของเจฟฟ์ก็ดูจะหนักหนาขึ้นทุกๆวัน..

            แต่ทว่า เมื่อเจนนิเฟอร์ลืมตาขึ้นดูโลกเขาก็เปลี่ยนไป โดยทุ่มเทความรักทั้งหมดให้กับลูกแทนตัวเธอ ซึ่งทำให้ลิซ่าไม่อาจพรากลูกไปจากเขาได้ ขณะเดียวกันเธอก็ไม่รู้ว่า ในวันข้างหน้าจะบอกให้ลูกเข้าใจได้อย่างไรว่า แท้ที่จริงแล้วพ่อมีความรักในตัวผู้ชายอื่นมากกว่าที่จะรักแม่..ทั้งนี้เพราะเขาได้แสดงให้เธอเห็นเช่นนั้นจริงๆ

            แต่แล้ว..ก็มาถึงวันหนึ่งที่ลิซ่ามีความรู้สึกเหมือนโลกได้ทลายลงต่อหน้าต่อตา ความฝันทั้งมวลของเธอได้สูญสลายไปสิ้น เมื่อหมอได้บอกให้เธอทราบว่า ลูกสาวสุดที่รักของเธอเป็นลูคีเมีย..!

            ลิซ่าทุ่มเทเงินทองอย่างไม่คิดเสียดายเลย เพื่อที่จะรักษาลูกให้หายขาดจาโรคมะเร็งในเม็ดเลือดนี้ แต่ปรากฏว่า เธอไม่สามารถช่วยลูกได้เช่นที่คิด ต้องปล่อยให้ลูกสาวค่อยๆตายลงที่ละน้อย.ทีละน้อย ต่อหน้าต่อตา

            และถ้าจะพิจารณาดูแล้ว เธอก็เห็นว่าขณะนี้ทั้งสามคนพ่อแม่ลูก ต่างก็ค่อยๆตายจากกันไป ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ จนในที่สุดเจนนิเฟอร์ก็ลาโลกที่แสนโหดร้ายนี้ไป

            วันที่ลูกตายจากไปนั้น ลิซ่าเป็นลมล้มฟุบลงและหลังจากนั้นอีกหลายเดือน กว่าที่เธอจะฝืนทนมีชีวิตอยู่ไปเพียงวันๆโดยไม่ร้องไห้ ในที่สุดก็มาถึงวันหนึ่งที่เธอตัดใจยอมรับในความตายของลูกได้

            ที่จริงแล้ว เธอไม่เคยคิดที่จะเข้าทำงานในหนังสือพิมพ์แอนนาโปลิส เดลี่ สตาร์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในจำนวนหลายฉบับที่ปู่เป็นเจ้าของอยู่เลย แต่ปู่ก็ยืนยันที่จะให้เธอทำ เพราะถึงเวลาที่เธอควรจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองเสียบ้าง ทั้งยังต้องการให้เธอทำหน้าที่นักข่าวสังคม เพราะอย่างน้อยเธอก็ถูกฝึกเพื่อการเข้าสู่สังคมชั้นสูงมาโดยตลอด ลิซ่าเพียงแต่ยักไหล่และยอมทำตามความปรารถนาของปู่ไปตามเพลงเท่านั้น

            แต่แล้ว เธอก็ต้องแปลกใจในความสามารถของตัวเอง คล้ายกับเพิ่งค้นพบว่าตัวเองนั้นมีพรสวรรค์ในการขีดๆเขียนๆอยู่ และเริ่มรู้สึกว่าความมีชีวิตจิตใจได้กลับคืนมาอีกครั้ง ลืมความทุกข์ที่เกิดจากการตายของลูกและความผิดปกติทางเพศของสามี ได้พบเพื่อนใหม่ๆในวงสังคมทั่วไป

            จนในที่สุดก็มาถึงจุดหนึ่งที่เธอคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เธอกับเจฟฟ์ควรจะหย่าขาดจากกันเพื่อความสุขที่แท้จริงของทั้งสองฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าทำอะไรรุนแรงลงไป ด้วยเกรงว่าจะก่อให้เกิดความสะเทือนใจกับปู่ กับพ่อแม่ของเจฟฟ์และเพื่อนๆทั้งหลายที่จะต้องติฉินนินทาอย่างแน่นอน

            และแล้ว..ก็มาถึงวันที่เกรซ บอลลาร์ด บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว ได้เอ่ยขึ้นขณะรับประทานอาหารกลางวันในวันหนึ่งว่า เพื่อนของเธอได้แต่งงานกับเจ้าของไร่ชาวโรดิเซียผู้หนึ่ง และอยู่ในประเทศที่กำลังวิกฤติด้วยภัยสงคราม ซึ่งในตอนแรกลิซ่าไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไรนัก จนกระทั่งเมื่อเกรซเอ่ยว่า..ขณะนี้ผู้สื่อข่าวที่หนังสือพิมพ์สตาร์ได้จ้างไว้ กำลังติดตามทำข่าวสงครามอย่างจริงจัง ไม่มีเวลาที่จะเขียนสารคดีเกี่ยวกับประเทศนั้นส่งมาให้ได้ ลิซ่าก็บอกกับตัวเองว่า โอกาสของเธอได้มาถึงแล้ว เธอใคร่จะเขียนถึงสิ่งที่เป็นสาระมากกว่าการรายงานข่าวสังคมธรรมดาๆ และประการสำคัญที่สุด เธอต้องการจะหลีกหนีไปให้พ้นเสียจากเจฟฟ์ อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

            ลิซ่าเสนอตัวที่จะเดินทางไปโรดิเซียเพื่อที่จะเขียนสารคดีดังกล่าว..

            แต่เธอก็ถูกทั้งเกรซและจอห์น แลนดิสคัดค้านอย่างมาก โดยฝ่ายหลังนั้นให้เหตุผลว่า ลิซ่าไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำข่าวมาก่อน และสภาพของโรดิเซียในขณะนี้ เหมาะสมแต่เฉพาะผู้สื่อข่าวที่มีความสามารถเท่านั้น แต่ในที่สุด ลิซ่าก็บังคับให้เขายอมจนได้ โดยอ้างว่าครอบครัวบลาสส์นั้น มีบ้านอยู่ห่างจากสนามรบตั้งมากมาย แม้แลนดิสจะยืนยันว่า ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้แตกต่าง เพราะมันยังเป็นดินแดนอันตราย ไม่สมควรอย่างยิ่งที่เธอจะเดินทางไป

            ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ลิซ่าใช้อิทธิพลของปู่เข้ามาบังคับให้เขายอมอนุญาต ปู่มองหน้าเธอเงียบๆอยู่นาน ชั่งน้ำหนักคำพูดเชิงขอร้องของหลานสาวอยู่ แต่เมื่อมองเห็นแววแห่งความมีชีวิตจิตใจ ความกระตือรือร้นที่เกิดกับหลานสาว ก็ทำให้เขาใจอ่อนลงและยอมอนุญาตในที่สุด แต่ก็ยังสั่งเสียให้เธอระมัดระวังตัวให้ดี

            ลิซ่าแทบไม่ได้ยินคำสั่งเสียนั้นเลย ด้วยความตื่นเต้นอย่างเหลือประมาณ มันคล้ายกับคำอธิษฐานของเธอได้รับคำตอบแล้ว มันเป็นวิธีเดียวที่เธอจะตัดขาดจากชีวิตเก่าอันแสนสุขนั้นได้

            ขณะที่เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางนั้น ลิซ่าไม่ได้บอกให้ใครรู้เลยว่า เธอไม่คิดจะกลับมาที่นี่อีกแล้ว อย่างน้อยเธอก็จะไม่กลับคืนมาหาเจฟฟ์อีก ไม่มีวันย่างเหยียบเข้ามาในบ้านที่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกต่อไป

           

            ลิซ่ารู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งตัว ความเจ็บทำให้เธอร้องครางออกมาเบาๆและกลับฟื้นคืนสติอีกครั้ง ผิวหนังร้อนผ่าวราวถูกไฟลวกไว้..ไฟ..ไฟไหม้..เธอยังจำภาพนั้นได้ถนัดตา นี่ร่างกายของเธอถูกไฟลวกไปด้วยเช่นนั้นหรือ..หรือว่าตัวเองสลบไป..หรือมันเป็นเพียงแต่ความฝันที่บอกว่า เธอสามารถหลบหนีออกมาจากโรงเก็บเครื่องมือนั้นได้ มีอะไรบางอย่างก่อให้เกิดความเจ็บแปลบขึ้นตรงผิวหนัง

            “โอ๊ย..”เธอรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสียงตัวเองร้องออกมาดังๆและลืมตาขึ้น ซึ่งก็พบว่าสายตาของเธอปะทะกับใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ใบหน้าคล้ำที่บ่งบอกถึงความเข้มแข็ง มีรอยแผลเป็นจางๆปรากฏอยู่ตรงแนวแก้ม เขาไม่ถึงกับจะหล่อเสียทีเดียว แต่ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเป็นประกายกล้าเสียจริง

            “คุณฟื้นแล้ว..ค่อยยังชั่วหน่อย” น้ำเสียงของเขาห้วนห้าว บอกความเป็นผู้ชายเต็มตัวและมีสำเนียงใต้กล้ำอยู่ ลิซ่ากระพริบตาถี่ๆ ไม่อาจถอนสายตาจากใบหน้าเขาได้ เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเธอ เขาก็ยิ้มออกมา เอื้อมมาลูบปอยผมออกจากหน้าผาก

            “คุณได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า?” เขาถามและลิซ่าก็พยักหน้าน้อยๆ แต่ยังคงจ้องมองเขาอยู่ ไรฟันขาวสะอาดตัดกับผิวหน้าที่ค่อนข้างคล้ำ

            “ฉันอยู่ที่ไหนคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและออกจะตกใจกับเสียงพูดของตัวเองเพราะมันช่างแผ่วเบาเสียเหลือเกิน

            “คุณปลอดภัยแล้วละ” เขาตอบเลี่ยงไปเสียทางหนึ่งแต่มันก็เป็นคำตอบที่เธอต้องการ

            “คุณเป็นใคร?”

            “ผมชื่อแซม..แซม อีสท์แมน..แล้วคุณล่ะเป็นใคร?”

“ลิซ่า คอลลินส์ค่ะ” เสียงตอบของเธอราวจะลอยออกมาจากที่ซึ่งไกลแสนไกล ลิซ่าเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกว่า หรือเธอจะคิดไปเองว่ามันมีการพูดจากันครั้งนี้เกิดขึ้น หรือว่ามันจะไม่มีเรื่องไฟนั่นเกิดขึ้นจริงๆ ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเช่นที่เธอได้เห็นมา บางทีอาจจะเป็นเพราะความเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียเจนนิเฟอร์ ทำให้สมองเธอเกิดแปรผันไปอีกครั้ง

“คุณเป็นคนจริงๆหรือเปล่าคะ?” คำถามอย่างระแวงสงสัยทำให้เขายิ้มออกมาอีก

            “เป็นคนจริงๆยิ่งกว่าคุณเสียด้วยซ้ำ คุณพอจะบอกอะไรผมบ้างได้ไหม เช่นว่า..คุณมีญาติพี่น้องอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า เขาอยู่ในที่ซึ่งเราพอจะพาคุณกลับไปส่งได้ไหม?” น้ำเสียงของเขาบอกความห่วงใยในตัวเธออยู่ เมื่อเห็นความตั้งใจจริงของเขา หยาดน้ำตาก็ขึ้นมาคลอคลอง

            “ฉันมาจากแมรี่แลนด์ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา

            “เอาละ ทุกสิ่งทุกอย่างมันโอเคแล้วนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “อย่าร้องไห้เลย ถึงคุณจะผ่านเรื่องร้ายๆมาแต่มันก็ปลอดภัยแล้ว ตอนนี้ผมว่าคุณพักผ่อนก่อนดีกว่า”

            “โอเคค่ะ” ลิซ่าฝืนยิ้ม มีความรู้สึกว่าในสภาพที่กำลังเป็นอยู่นี้ เธอจะทำอะไรได้นอกจากคล้อยตามคำพูดของเขา แต่มันก็น่าแปลกใจอยู่ ที่ดูเหมือนเขาจะมีอิทธิพลบางอย่าง ที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม คล้ายกับตนเองได้รับการคุ้มครองป้องกันอย่างดี

            แซมหันไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกล่องที่เปิดไว้ ลิซ่าไม่ได้ละสายตาจากเขาเลย แม้ในยามที่เขาหันหลังให้เช่นนี้ อีกครั้งหนึ่งที่เธอมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรแทงลงตรงต้นแขน เธอยังคงจับตามองหน้าเขาอยู่ จนเมื่อยาที่เขาฉีดให้เริ่มออกฤทธิ์ ในที่สุดเธอก็ผล็อยหลับไป

            เมื่อลิซ่าตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เธอสังเกตเห็นอะไรหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกัน สิ่งแรกก็คือมันเป็นเวลากลางคืน ตัวเธอกำลังนอนอยู่ในเต้นท์สีเขียวที่มีตะเกียงใช้แบตเตอรี่จุดไว้สว่างพอควร สิ่งที่สามเธออยู่ในเสื้อเชิ้ตผู้ชายที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวและมีผ้าห่มคลุมร่างเพื่อป้องกันความหนาวเย็นเยือกของอากาศ และสิ่งที่สี่คือความรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง

            เธอพยายามลุกขึ้นนั่ง ความเคลื่อนไหวทำให้รู้สึกเจ็บขึ้นมาอีก แต่กระนั้นก็ยังพยายามยันตัวขึ้น เอื้อมไปจับเสาโลหะที่อยู่ข้างเตียงคอก จากปลายหางตาเธอเธอเหลือบเห็นแขนของตัวเอง ตรงส่วนที่แขนเสื้อพับขึ้นไว้ ผิวพรรณที่เคยผ่องใส บัดนี้มีรอยแผลที่กำลังบวมแดง  ลิซ่ายกมือขึ้นแตะแขนข้างที่มีแผล ซึ่งการกระทำดังกล่าว ทำให้เธอสูญเสียการทรงตัวและลมหงายลงในเตียงอีกครั้งหนึ่ง

            “ห่ะ..” เธอสบถออกมาดังๆ ได้แต่นอนนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายอีก เพราะความเจ็บที่เกิดขึ้นราวจะทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อตัวเป็นร้อยๆแห่งในเวลาเดียวกัน แต่ทันที่ที่ได้สบถออกมา รู้สึกว่ามันทำให้ค่อยยังชั่วขึ้น อย่างน้อยมันก็ยังดีที่ได้รู้ว่าน้ำเสียงของตัวเองกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

            “อ้อ..สุภาพสตรีเขาพูดกันอย่างนี้เองน่ะหรือ?” เสียงใครคนหนึ่งพูดล้อๆขึ้น ลิซ่าเงยหน้าขึ้นพร้อมๆกับที่ประตูเต้นท์ถูกตวัดให้เปิดออก มองเห็นร่างสูงๆไหล่กว้างๆที่เดินก้มๆเข้ามาในเต้นท์ ทันทีที่เห็นเครื่องแบบสีกากีที่เขาสวมอยู่ ดวงตาก็เบิกโพลงขึ้น แต่เมื่อประสานกับดวงตาคู่สีฟ้าเข้ม เธอก็โล่งใจขึ้น

            “เฮลโล..” เธอรู้สึกขัดเขินขึ้นมาอย่างประหลาด ไม่ได้พยายามที่จะลุกขึ้นอีก ยังคงนอนนิ่งอยู่ในเตียงคอกเช่นเดิม เรือนผมสีบลอนด์สยายอยู่เต็มหมอน รอยยิ้มอ่อนฉาบอยู่บนใบหน้า

            “อ้อ..เฮลโล” แซมตอบรับมา สายตากวาดไปทั่วร่าง “เมื่อกี้ที่คุณพูดออกมามันช่วยอะไรได้บ้างล่ะ?”

            “อ๋อ..”ลิซ่านึกถึงบาดแผลที่ปรากฏอยู่บนแขนของเธอขึ้นมาได้ “ฉันกำลังดูแผลที่แขนอยู่น่ะค่ะ แต่พอดีมันหกล้มลงไป แหม..แผลนั่นมันน่าเกลียดจัง เหมือนใครเอาแส้ฟาดไว้..มันเกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”

            “คุณจำไม่ได้หรอกหรือว่าตัวเองวิ่งเข้าไปในป่า?”

            ลิซ่าพยักหน้าอย่างจำได้

            “นั่นละ ตอนนั้นละมังที่แขนคุณคงจะไปถูกกิ่งไม้ที่มีหนามแหลมๆเข้ามันก็เลยข่วนเป็นรอย ที่แผ่นหลังคุณก็มีนะ เป็นรอยไหม้เหมือนถูกไฟลวกแล้วก็เขียวช้ำทั่วทั้งตัวเลย”

            “ไฟไหม้ค่ะ..ที่บ้านของพวกบลาสส์..นี่มันกี่วันแล้วคะ?” เธอถาม รู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมา

            “สี่วันแล้ว”แซมจ้องหน้าเธออยู่ “เราพบคุณในป่า หรือที่ถูก..คุณวิ่งเข้ามาหาเรามากกว่า แล้วเราก็พาคุณมาที่แคมป์นี่ เรา..เอ้อ..หลังจากที่เราพบคุณแล้ว เราก็ไปที่บ้านไร่นั่น ถ้าคนพวกนั้นเป็นญาติคุณ เราก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย”

            “พวกเขาไม่ใช่ญาติฉันหรอกค่ะ” ลิซ่าหลับตากล้ำกลืนก้อนแข็งๆที่ขึ้นมาตันอยู่ตรงลำคอลง “ฉันเพิ่งรู้จักพวกเขาแค่สองวันเท่านั้น และพวกเขาก็ดีต่อฉันมากเหลือเกิน..”

            “รู้สึกว่าเรื่องมันออกจะรุนแรงอยู่สักหน่อย” น้ำเสียงของเขาบอกความเห็นใจอยู่ ลิซ่าลืมตาขึ้น เธอไม่อยากจะคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวบลาสส์เลย

            “คุณเป็นหมอหรือคะ?”

            “ไม่ใช่หรอกครับ”สีหน้าของแซมขรึมลง “ผมพอจะมีความรู้เรื่องปฐมพยาบาลขั้นต้นบ้างเท่านั้น ถ้าเราทำงานอย่างนี้ มันก็จะต้องเก็บเกี่ยวความรู้จากที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง”

            “งานอะไรหรือคะ?” ลิซ่าถามเสียงเบากลัวว่าจะต้องได้ยินในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แล้ว

            “ผมเป็นทหาร”เขาตอบ ซึ่งเธอก็รู้อยู่ว่าเขาต้องมีอาชีพนั้น

            “ฝ่าย..ฝ่ายไหนล่ะคะ?” ลิซ่ากลัวเหลือเกินว่าเขาจะอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกสัตว์ป่าที่โจมตีและเผาบ้านไร่หลังนั้น

            “สำหรับในตอนนี้ต้องเรียกว่าฝ่ายรัฐบาล แต่มันก็..ยังไงก็ได้..สำหรับผมและพวกมัน ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนจะให้ค่าจ้างเราดีกว่าเท่านั้น”

            “ค่าจ้างหรือคะ?” ลิซ่าทวนคำอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย ขณะเดียวกันก็ไม่รู้สึกอยากเข้าใจอะไรด้วย “คุณเป็นคนอเมริกันไม่ใช่หรือคะ” เธอเสริมอย่างร้อนใจ

            “ถูกต้อง” น้ำเสียงที่ตอบมาไม่ได้บอกความรู้สึกอะไรแม้แต่น้อย และทันใดเขาก็ทรุดตัวลงนั่งข้างเธอ ขมวดคิ้วเมื่อจับแขนข้างหนึ่งขึ้นดู

            “แผลนี่รู้สึกว่าปากแผลมันจะเปิดนะ เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?”

            เขาวางแขนข้างนั้นลงอย่างระมัดระวังและเอื้อมไปดึงผ้าห่มออกจากร่าง สัญชาตญาณทำให้ลิซ่าเบี่ยงตัวหนี เขาเหลือบตาขึ้นมองหน้าเธอแวบหนึ่ง สีหน้าครุ่นคิด

            “ไม่เป็นไรนะ ผมไม่ทำให้คุณเจ็บหรอก ผมเพียงแต่อยากขอดูแผลไฟลวกตรงหลังคุณเท่านั้น คุณคงไม่อยากให้มันอักเสบเพราะติดเชื้อไม่ใช่หรือ?”

            “มะ..ไม่ค่ะ..” ลิซ่าประสานสายตาอยู่กับเขาเป็นครู่ รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆลงไป อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็ได้ช่วยรักษาแผลตามเนื้อตัวให้ ในขณะที่เธอหมดสติอยู่ มันน่าหัวเราะสิ้นดี ถ้าเอจะเกิดความเขินอายเขาขึ้นมาในตอนนี้ ยิ่งกว่านั้นมันยังมีอะไรบางอย่างที่บอกให้เธอรู้ว่า เขาเป็นบุคคลที่เธอสามารถไว้วางใจได้

            “ฉัน..ฉันขอโทษค่ะ ฉันรู้ว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันเจ็บหรอก เพียงแต่..”

            “เพียงแต่อะไร?” เขาถามทันทีเมื่อเห็นเธอทำท่าว่าจะไม่พูดต่อให้จบ

            “เครื่องแบบคุณ” ลิซ่าตอบพร้อมกับเมินหน้าไปเสียทางหนึ่ง “พวกทหารที่ไปที่บ้านไร่ เขาก็แต่งตัวเหมือนคุณนี่แหละ ฉันขอโทษด้วยนะคะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่พวกนั้น แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ..ฉันกลัว..”

            สีหน้าของเขาบอกความเข้าใจขึ้นมาทันที เอื้อมมือมาจับปลายคางให้เธอหันมา พินิจอยู่เป็นครู่และบอกว่า

            “ผมไม่ยักรู้ว่า..” เขาพูดอย่างเข้าใจ “เพราะเหตุนี้เองคุณถึงได้วิ่งเตลิดเปิดเปิงเมื่อเห็นเราเข้า แล้วก็กรีดร้องเหมือนคนเสียสติ จนผมต้องตบหน้าคุณถึงได้เงียบเสียงลงได้”

            “คุณ..คุณตบหน้าฉันหรือคะนี่?”  ลิซ่าเอ่ยถามออกไปและรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที จริงๆแล้วดูเหมือนเธอจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เลย เขาเป็นเพียงทหารคนหนึ่ง ซึ่งจากความรู้สึกที่เธอเพิ่งได้รับมาจากเขา ก็บอกอยู่แล้วว่าเขาพร้อมจะฆ่าใครก็ได้ ถ้ามีคนสั่งให้เขาทำและผู้ที่สั่งนั้นสามารถจะจ่ายเงินให้เขาตามที่เรียกร้องได้ด้วย

            “มันจำเป็นนะ คุณร้องเสียงดังมาก ถ้าผมขืนปล่อยให้คุณร้องอยู่อย่างนั้น ไม่นานพวกผู้ก่อการร้ายมันก็จะต้องรู้ว่า เราตั้งแคมป์กันอยู่ที่ไหน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาละ ตอนนี้คุณหันหลังให้ผมดูแผลได้แล้วหรือยัง ผมยังมีงานอื่นต้องทำนะ ไม่ใช่คอยพยาบาลคุณอย่างเดียว”

            ลิซ่าพลิกร่างลงนอนคว่ำ เบือนหน้าไปทางหนึ่งตามคำสั่ง แต่ก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้น เมื่อเขาเลิกเสื้อที่สวมอยู่เลยจากก้นขึ้นมาจนถึงแผ่นหลัง พยายามที่จะคิดเสียว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ตัวเองหมดสติอยู่นั้น เขาก็ได้เห็นเรือนร่างเธอมาแล้วจนทั่วตัว

            เธอรู้สึกขณะที่เขาไล้ครีมบางอย่างลงบนแผ่นหลัง สัมผัสนั้นแม้จะแปลกใหม่แต่ก็ทำให้สบายขึ้นมาก ลิซ่ารู้สึกคลายความตึงเครียดลงอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะเป็นทหารหรืออะไรก็ตาม เขาก็ยังมีความกรุณาต่อเธออย่างมากมายทีเดียว

            “เสร็จแล้ว” เขาบอกพร้อมกับดึงเสื้อลงไว้ตามเดิมและห่มผ้าห่มให้อีกชั้น ลิซ่าพลิกตัวกลับมามองหน้าเขา แก้มยังแดงเรื่ออยู่ด้วยความเขินอาย เขาอาจสังเกตเห็นในสิ่งนั้นก็ได้เพราะเธอเห็นเขายิ้มกว้าง ดวงตามีแววล้อเลียนปรากฏอยู่

            “หิวหรือยังล่ะ?”

            ลิซ่าพยักหน้ารับเมื่อคิดถึงเรื่องอาหาร ความหิวโหยก็บังเกิดขึ้น บางทีอาการมึนงงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ อาจจะเนื่องจากการที่เธอไม่ได้รับประทานอาหารมาหลายวันแล้วก็ได้

            “ผมก็เชื่อว่าคุณจะต้องหิว” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มที่กว้างขึ้น จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนผงกศีรษะน้อยๆเมื่อกล่าวต่อว่า “เรามีอาหารกระป๋อง ถั่วกับเนื้อหมูเป็นอาหารเย็นพอกินได้ไหมล่ะ?”

            ได้ค่ะ” ถ้าน้ำเสียงของเธอจะแสดงความสงสัยอยู่บ้าง ก็เป็นเพราะว่าเธอไม่เคยกินอาหารกระป๋องแบบนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่ากระเพาะตัวเองจะรับได้หรือไม่ แต่เวลานี้เธอหิวจนสามารถจะกินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า

            แซมเดินออกไปจากเต้นท์ เธอได้ยินเสียงเขาเรียกใครคนหนึ่ง

            “ไรเล่ย์” หลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเขาพูดอะไรบางอย่างกับใครอีกคนหนึ่ง เพียงครู่เดียวเขาก็เดินกลับเข้ามา ถือจานสังกะสีมีอาหารควันกรุ่นเข้ามาด้วย ลิซ่ามองดูอาหารในจานนั้น ได้กลิ่นเครื่องเทศหอมๆ ท้องถึงกับร้องจ๊อกด้วยความหิวขึ้นมาทันที เธอเหลือบตามองหน้าแซมแล้วก็ต้องหน้าแดงเมื่อเห็นเขายิ้มอย่างเขาใจ

            “มา..ผมช่วย..” เขาบอกเมื่อเห็นเธอขยับท่าจะลุกขึ้นนั่ง ก่อนที่ลิซ่าจะรู้ว่าเขาจะทำอย่างไร แซมก็วางจานอาหารลงบนลังไม้ที่พลิกคว่ำลงใช้ต่างโต๊ะ ก่อนจะเดินอ้อมมาทางข้างหลังค่อยๆรั้งไหลเธอขึ้น แผงอกของเขาจึงเป็นหระหนึ่งพนักใช้พิง และเธอก็เอนอิงอยู่กับเขาด้วยความไว้วางใจ เมื่อจัดการให้เธอนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอื้อมมือทั้งสองมาข้างหน้าวางจานอาหารลงบนตัก

            “กินเองได้ไหม?” เขาถามเมื่อเห็นเธอยังไม่ลงมือ ลมหายใจระรวยอยู่กับเรือนผม

            ลิซ่าเหลือบมองหน้าเขา รู้สึกแปลกใจที่เห็นใบหน้าลอยอยู่ใกล้เหลือเกิน จึงรีบก้มลงมองจานอาหารที่อยู่ตรงหน้า

            “ได้ค่ะ ขอบคุณ” เธอรู้สึกเหมือนลมหายใจจะติดขัดขึ้นมา เมื่อจะต้องนั่งกินอาหารโดยมีเขาประคองอยู่เช่นนั้น

            เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว เธอก็ยังพิงร่างอยู่กับเขาราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลก ที่จะอยู่ในวงแขนของผู้ชายคนนี้ ความรู้สึกทั้งหลายค่อยดีขึ้นมาก พละกำลังดูจะกลับคืนมาสู่ร่างกายที่อ่อนเปลี้ย สมองก็ปลอดโปร่งแจ่มใสขึ้น รู้สึกอบอุ่นสบายกว่าที่ผ่านมามาก

            ศีรษะของเธอพิงอยู่กับไหล่ที่แข็งแรงนั้น ลิซ่าต้องเงยหน้าขึ้นจึงจะมองเห็นใบหน้าเขาได้

          “คุณช่างใจดีกับฉันเหลือเกิน” เธอกวาดสายตาไปทั่วใบหน้าเขาอย่างสงสัย ในสภาพที่ชิดใกล้นี้ เธอสามารถจะเห็นรอยย่นปรากฏอยู่ตรงหางตาและตรงมุมปาก สีผิวของเขาเป็นสีน้ำตาลอ่อน อาจจะเป็นด้วยกร้านแดดเกรียมลม มีรอยแผลเป็นเห็นได้ชัดอยู่บนซีกหน้าด้านซ้าย เรือนผมหยักศกสีดำเป็นมันและตัดสั้น ดั้งจมูกหักเหมือนถูกของแข็งกระแทกใส่แรงๆ ดูไม่ใคร่ตรงนัก ริมฝีปากเป็นแนวตรงอิ่มเต็มอย่างจะเชื้อเชิญ ท่าทางของเขาดูแกร่งกร้าวสมเป็นชายชาตรีที่อาจหาญยิ่งนัก ลิซ่ารู้สึกแปลกใจที่เขาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยได้ถึงเพียงนั้น

            “คุณกำลังสำรวจผมอยู่หรือ?” เขาถามล้อๆและลิซ่าก็ยิ้มอย่างเคลิ้มฝันแทนคำตอบ ทิ้งร่างให้อยู่ในวงแขนเขาอย่างเต็มที่ มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมนัก ที่มีใครคนหนึ่งซึ่งมีความเป็นผู้ชายเต็มตัวได้โอบอุ้มเธอไว้เช่นนี้ ใครคนหนึ่งที่สามารถทำได้มากกว่าการโอบอุ้มคุ้มครองเธอให้ปลอดภัย

          “แซมคะ..”เธอเรียกชื่อเขาขึ้นเบาๆ เหลือบตาขึ้นประสานอยู่กับเขา ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ตั้งใจจะเรียกชื่อเขาออกมาดังๆอย่างนั้นเลย อาจจะเป็นเพราะต้องการทดลองกำลังใจของตนเองอยู่ก็ได้

            “ลิซ่า..”เขาสนองตอบด้วยน้ำเสียงราวล้อเลียนและอ้อมแขนคู่นั้นก็กระชับแน่นเข้า

            “สภาพฉันนี่มันคงแย่มากเลยนะคะ” เธอพูดไปตามเรื่อง มีความรู้สึกเหมือนตัวเองล่องลอยอยู่ในหมู่เมฆ เปลือกตาดูจะหนักขึ้นทุกที

            “ผมก็ไม่เห็นคุณจะเป็นอะไรนี่” น้ำเสียงของเขาแหบห้าวขึ้น “และตอนนี้ผมก็ควรจะให้คุณนอนหลับพักผ่อนก่อนดีกว่า ดูคุณไม่มีเรี่ยวแรงเยนะ”

            “อย่าเพิ่งทิ้งฉันไปนะคะ” เธอทักท้วง พยายามที่จะดึงตัวเองให้โผล่พ้นห้วงแห่งความฝันขึ้นมา จับมือที่โอบเอวไว้แน่นและเขาก็ค่อยๆประคองให้เธอล้มตัวลงนอน

            “ผมไม่ไปไหนหรอก จะอยู่ใกล้ๆคุณตรงนี้ ต้องการอะไรก็เรียกแล้วกัน” เขาบอก เสียงพูดของเขาดูจะห่างไกลออกไปทุกทีและก่อนที่เขาจะพ้นจากเต้นท์ออกมา ลิซ่าก็หลับไปแล้ว

            ในท่ามกลางราตรีนั้นเธอได้ฝันไป..เป็นความฝันที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงามเหมือนชีวิตจริง ในตอนแรกมันเป็นความฝันถึงชีวิตวัยเยาว์ที่น่ารื่นรมย์ แต่แล้วมันก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นฝันร้าย ในที่สุด เธอก็ฝันเห็นอสุรกายตัวใหญ่น่าเกลียดน่ากลัวที่วิ่งไล่ติดตามมา เธอรู้ว่าถ้ามันจับตัวได้มันจะต้องฆ่าและกินเธอเป็นอาหาร ทันใดมันก็พ่นเปลวไฟออกมาจากปาก เปลวอันแรงร้อนนั้นพุ่งเข้ามาจนถึงตัวและกำลังเผาไหม้เธออยู่

            ลิซ่ากรีดร้องขึ้นสุดเสียง และเสียงนั้นเองที่ปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย ร่างกายสั่นสะท้านอยู่ใต้ผ้าห่ม นึกไม่ออกว่าขณะนี้ตัวเออยู่ที่ใด และแล้วก็มีแสงสว่างผ่านเข้ามา เมื่อประตูเต้นท์ถูกตวัดให้เปิดออก พร้อมร่างเงาดำๆของใครคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามา ลิซ่าหลับตาแน่นไม่กล้าพอที่จะลืมขึ้นดูว่าเป็นใคร เชื่อว่าตัวเองยังตกอยู่ในฝันร้ายนั้น

            “ลิซ่า..”เสียงเรียกชื่อเบาๆนั้นคุ้นหูยิ่งนัก เมื่อลิซ่าลืมตาขึ้นก็เห็นเขากำลังโน้มตัวอยู่เหนือร่าง

            “แซมหรือคะ..?” ทันทีที่จำได้ว่าเป็นใคร เธอก็ยื่นแขนออกไปหาเขา มีความรู้สึกว่า ตัวเองจะปลอดภัยได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในวงแขนเขาเท่านั้น เขาโน้มตัวลงมาหาและฝ่ามือของเธอก็สัมผัสกับช่วงไหล่ที่เปล่าเปลือย เธอโอบคอเขาไว้ รั้งร่างลงมาหาด้วยพละกำลังที่ไม่คิดว่าตัวเองมีอยู่

            “กอดฉันหน่อยเถอะค่ะ แซม” เธอกระซิบบอกเสียงสั่น

            “เป็นอะไรไปหรือ?” น่าแปลกนัก ที่น้ำเสียงของเขาสามารถนำความอบอุ่นใจมาให้อย่างเหลือประมาณ คล้ายกับเธอกำลังได้พบเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนคนเดียวที่เธอรู้จักและสามารถไว้วางใจได้ เพื่อนที่พร้อมจะให้ความคุ้มครองป้องกันและช่วยให้เธอปลอดภัย

            “คือ..แซมคะ มันน่ากลัวเหลือเกิน..” เธอกระซิบบอกอยู่กับซอกคอเขา อ้อมแขนรัดร่างเขาไว้ราวจะไม่ยอมให้จากไปไหนอีก เขาทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง ปัดผ้าห่มออกให้พ้นจากตัวและประคองกอดเธอไว้แนบกาย

            “ไหน..ลองเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ” เขาลูบไล้ฝ่ามืออยู่กับเรือนผมด้วยท่าทางปลอบโยนและลิซ่าก็เล่าความฝันให้เขาฟัง ขณะที่เขากกกอดเธอไว้ ลูบไล้ศีรษะหลังไหล่ไปพร้อมกัน เมื่อเล่ามาถึงตอนที่เปลวไฟจากปลายลิ้นของสัตว์ร้ายที่กำลังเผาผลาญ เนื้อตัวก็สั่นระริกขึ้นมาอีกและเขาก็กอดเธอไว้แน่นเหมือนจะปลอบให้คลายใจลง

            ลิซ่าซุกใบหน้าอยู่กับซอกคอนั้นเมื่อเล่าเรื่องจบลงและแซมก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย ได้แต่ลูบไล้เรือนร่างเธออยู่อย่างอ่อนโยน

            หลังจากเวลาผ่านไปเป็นครู่ ลิซ่าจึงเริ่มสัมผัสได้ว่าไรขนตรงแผงอกสัมผัสอยู่กับปลายจมูก เธอขยับตัวเหมือนจะถอยออกห่าง แต่ความรัญจวนใจที่เกิดอยู่ไม่ได้คลายลงเลย และเธอก็ไม่ทันได้คิดเมื่อกระทำไปโดยสัญชาตญาณ ปลายลิ้นเลียไล้ไปตามช่วงลำคอเขา ได้ยินเสียงหัวใจที่ระทึกขึ้นในหู มันเป็นเสียงที่สร้างความตื่นเต้นให้เกิดขึ้นและลิซ่าก็จรดปลายจมูกลงตรงซอกคอ สัมผัสได้ว่าร่างกายเขาตึงเครียดขึ้นมาทันที

            “ลิซ่า..”น้ำเสียงที่เรียกเธอในครั้งนี้คล้ายจะเป็นการเตือน เธอประทับจูบลงตรงช่วงลำคออีกครั้ง ความรัญจวนใจที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เธอไม่ยอมคิดถึงสิ่งอื่นใด นอกเสียจากความต้องการของตัวเองในยามนี้เท่านั้น

            “รักฉันสิคะ” เธอกระซิบอยู่กับซอกคอเขา “ได้โปรดเถอะค่ะแซม รักฉันเถอะ..”

            เธอได้ยินเสียงเขาสูดลมหายใจลึกและระบายออกมาอย่างพอใจ คล้ายกับเขากำลังบอกเธออยู่ว่า เขาเองก็มีความต้องการในตัวเธอเหมือนกัน

            “ลิซ่า..” ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรไม่ออกเอาจริงๆ ดังนั้น ลิซ่าจึงกระทำไปตามที่สัญชาตญาณสั่งให้กระทำในท่ามกลางความมืดที่มืดสนิทนั้น เธอสัมผัสร่างกายเขา มือหนึ่งลูบไล้อยู่กับแผงอกที่มีขนอ่อนปกคลุมอยู่ และเลื่อนลงไปเรื่อยๆจนถึงขอบกางเกง หยุดอยู่ตรงนั้นเหมือนลังเลและแล้วก็สอดมือลงไปสัมผัสความเป็นชายขาตรีของเขา

            เธอได้ยินเสียงเขาครางออกมาเบาๆ ก่อนจะผลักร่างเธอให้เอนราบลงบนเตียง พร้อมกับร่างของเขาที่เอนทาบทับลงมา ลมหายใจแรงร้อนเป่ารดอยู่กับใบหน้า ริมฝีปากหนาๆคู่นั้นประทับลงอย่างเหี้ยมโหดและหักหาญ และลิซ่าก็เผยอริมฝีปากขึ้นสนองรับต่อจุมพิตนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจที่สุด

            ในยามนี้เธอต้องการความรักความใคร่จากเขามากกว่าสิ่งอื่นใดในโลก ลึกลงไปในใจเธอรู้ว่าที่จริงแล้ว นี่คือสิ่งที่เธอต้องการมาโดยตลอด สิ่งที่เธอไม่เคยพานพบมาเป็นเวลานานปี ความรักและความใคร่อันรุนแรง ปราศจากเมตตาปรานีจากผู้ชายที่มีความเป็นผู้ชายจริงๆสักคนหนึ่ง

            ลิซ่าครวญคร่ำ เมื่อเขาปลดกระดุมเสื้อออก เผยให้เห็นเนินทรวงเต่งตึง ท่าทางเขาเร่งร้อนขึ้นกว่าเดิมเมื่อปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างกายตนเอง เธอไล้ริมฝีปากไปทั่วเนื้อตัวเขาอย่างหิวกระหาย ซึ่งเท่ากับโหมพัดเปลวเพลิงให้ลุกโชนขึ้น

            ลิซ่าอุทานออกมาด้วยความปราโมทย์ยามที่เขาได้ล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกายเธอ มีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตายลงในท่ามกลางเปลวพิศวาสนี้ เสียงคำรามเบาๆในลำคอของเขาทำให้อารมณ์ร้อนระอุหนักขึ้น

            ในยามนี้เธอไม่อาจใช้สมองคิดอะไรได้เลย นอกเสียจากความหฤหรรษ์ที่ตนเองกำลังได้รับอยู่ เมื่อความรุนแรงเพิ่มทวีขึ้นจนจนถึงขั้นดาลเดือด ความปราโมทย์ที่ถูกเก็บกักมานานปีก็ระเบิดออก เธอเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความปรีดาอย่างหาที่เปรียบมิได้ แซมสนองตอบต่อเสียงร้องนั้นด้วยพละกำลังมหาศาล..และในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็จบสิ้นลง

            ลิซ่ามีความรู้สึกเหมือนตัวเองได้ล่องลอยไป ขณะที่ร่างกายของเขายังซ่อนซุกอยู่ในเรือนกายของเธอ เนื้อตัวหนักๆที่ทาบทับโชกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ แล้วและ..ก่อนที่จะเผลอหลับไปอีกครั้ง ลิซ่าได้ยินเสียงเขาสบถออกมา..แม้มันจะไม่ชัดเจนนักแต่ก็ชัดเจนอยู่ในหู..

 

-------------------------------------
 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (82 รายการ)

www.batorastore.com © 2024