ดั่งหนึ่งเม็ดทราย (โบตั๋น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน


“แล้วกลับมาทำไม ทำไมไม่แต่งงานกับฝรั่งแล้วอยู่       เสียที่โน่น” น้ำเสียงของผู้อาวุโสกว่าสั่นสะท้านเพราะความ     สะเทือนใจ  “จะได้ไม่ต้องมาพูดกันมาก หลงให้แม่ดีใจ” คำว่าแม่  ของท่านไม่เต็มคำนัก

“หนูไม่ชอบชีวิตที่โน่น มีแต่ความเร่งรีบ ครอบครัวก็    ไม่อบอุ่น หนูไม่ต้องการให้ลูกของหนูที่จะเกิดมาในภายหน้า             มีสภาพจิตใจอย่างหนู หรือถึงจะดีกว่าก็มีคำว่าเงิน ๆ ๆ ๆ อยู่           ทุกลมหายใจ”

“แม่หลงดีใจว่าหนูจะกลับมาอยู่กับแม่ให้สมกับที่ไม่     ได้ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด ไหน ๆ คุณยายท่านก็เสียไปแล้ว เรา        จะได้เป็นอิสระเสียที”

“อิสระหรือคะ” วีรอรยิ้ม “คุณหญิงไม่มีวันจะได้เป็น อิสระหรอกค่ะ คุณหญิงมีพันธะมากไม่ใช่เพียงเพราะท่านผู้หญิง    คนเดียวเท่านั้น พันธะเกียรติยศพันธะทางสังคม โฮ้ย  มากมาย หนูเองก็ไม่ได้อยู่กับท่านมาตั้งแต่เกิดแล้ว ทำไมจะต้องคิดมาอยู่เอาเมื่ออายุยี่สิบเก้าด้วย หนูแก่แล้วนะคะ”

“หนูไม่ต้องการแม่บ้างเลยหรือ”

“พ้นวัยแล้วค่ะ พ้นมาตั้งยี่สิบปีแล้ว ตั้งแต่หนูอายุเก้าขวบแน่ะ”

ผู้อาวุโสกว่าน้ำตาคลอ

“หนูต้องการให้แม่ทำอย่างไร ขอโทษหนูใช่ไหม แม่ก็ สำนึกดีว่าแม่ผิด แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ แต่แม่ก็          ไม่เคยปล่อยให้หนูอยู่อย่างขาดแคลนเลยนะ ติดตามดูแลส่งเสีย                หนูตลอดมา”

“ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งล่ะค่ะ หนูทราบดี”

“คุณยายท่านจะให้แม่มอบเงินให้คนเลี้ยงเขาอีกก้อน หนึ่งแล้วเลิกติดต่อไปเลย แต่แม่ก็แอบไปดูหนูอยู่เสมอ สั่งให้เขาดูแลหนูอยู่เป็นพิเศษ”

“คุณแม่บ้านทราบไหมคะว่าหนูเป็นใคร”

คุณหญิงส่ายหน้า

“เขาก็เพียงแต่นึกว่าแม่เอ็นดูหนูเป็นพิเศษ ตอนที่ หนูเกิดไม่มีโครทราบ เมื่อคุณยายส่งหนูไปที่นั่นท่านให้คนใช้ไปส่งแล้วยายคนนั้นแกก็ตายไปนานแล้ว เขาเป็นคนทำคลอดหนู”

“สมัยนั้นการทำแท้งอันตรายมาก แต่การใช้ยาพิษแนบเนียนมาก”  วีรอรพูดหน้าตาเฉย

 “วีรอร” คุณหญิงอุทานเสียงสั่น “หนูพูดอะไรอย่างนั้น”

“หนูรู้เรื่องทุกอย่างแหละค่ะ ตั้งแต่อายุเก้าขวบ  และ มาค้างที่บ้านนี้ในคืนแรก หนูแอบฟัง ตอนนั้นทุกห้องยังไม่ได้

ติดแอร์ ใครพูดอะไรก็ได้ยินหมดแหละค่ะ”

คุณหญิงเบิกตากว้าง

“แล้วหนูเงียบได้ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่”

“แล้วจะให้หนูร้องแรกแหกกระเชอเอากับใครล่ะว่า หนูไม่ใช่เด็กที่เขาขอมาอุปการะจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า หนูเป็นลูกแท้ๆ ของคุณหญิงท่านนะ ไม่ใช่เด็กขอมาเลี้ยง กระทั่งจดทะเบียนเป็นลูกบุญธรรมก็เปล่า ท่านเมตตาเป็นพิเศษ ก็เพราะเด็กคนนี้เรียนเก่งน่าส่งเสริม คุณหญิงน่าจะทราบว่า เด็กจากสถานสงเคราะห์แบบนั้นน่ะจะมารยาทงามได้อย่างไร หนูแอบฟังเพราะสงสัยที่มีคนพูดว่าหนูหน้าตาเหมือนคุณหญิงจัง คุณหญิงท่านเมตตาหนูเพราะหน้าตาคล้ายท่านเท่านั้นเอง หนูอยู่กับเด็กทุกประเภท ลูกไม่มีพ่อ ลูกโจร บางคนมาอยู่เมื่ออายุ หกขวบแล้ว ด่าเป็นไฟแลบ ถูกตีก็เท่านั้น ถูกขังก็เหมือนเดิม ถ้าคุณแม่บ้านอยู่นะคะยิ่งสนุกไปเลย บางคนก็ขี้ขโมย  ขี้อิจฉา เกเรก้าวร้าว บางคนก็โง่ใกล้ปัญญาอ่อน โฮ้ย สารพัดละค่ะ เรื่องแอบฟังน่ะเรื่องธรรมดา ๆ”

“เรื่องก็ผ่านไปแล้ว เวลานี้หนูเป็นแพทย์หญิง มี ความสามารถ ไม่ใช่แพทย์จบใหม่ ๆ ในนี้ ได้บอร์ดจากสหรัฐฯ    แล้วด้วย อยู่กรุงเทพฯจะดีกว่า ก้าวหน้ากว่าเป็นไหน ๆ จะไปที่      หมู่เกาะนั้นทำไม แล้วแม่อยากให้อยู่ด้วยกัน บ้านนี้ก็ไม่มีใคร        หนูจะได้สะดวก มีทุกอย่างที่ลูกแม่พึงมี”

สองหญิงต่างวัยแต่ใบหน้าคล้ายกันจนเห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดประจันหน้ากันที่เก้าอี้รับแขกห่างเหิน  ราวกับเป็นคนอื่น ดวงตาของผู้อาวุโสเศร้าสร้อยเต็มไปด้วย           ความว้าเหว่ ดวงตาของหญิงสาวเฉยเมย ปราศจากความรู้สึก

“ถ้าจะเอาสะดวก ที่สหรัฐฯ สะดวกกว่านี้ แต่บ๊อบหายใจ     เป็นเงิน อะไรๆ ก็ดีทุกอย่าง แต่นิสัยเป็นทนายความจริงๆ เลย สมกับอาชีพ หนูเบื่อข้อนี้ เลยกลับเมืองไทย และสมัครไปอยู่โรงพยาบาลใหม่ที่หมู่เกาะฟาติมะห์”

“ไปทำไม มีแต่แขก” คุณหญิงว่า

“เขาเป็นไทยค่ะ ไทยมุสลิม เขาเคยเป็นแค่กรวดแค่ทรายบนหมู่เกาะ แต่เวลานี้ที่นั่นจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว ผู้คนก็เลยมีความสำคัญมากขึ้น มีโรงพยาบาลดี ๆ เครื่องมือพร้อม หนูอยากไปเพราะอยู่ที่นั่นจะมีอิสระมากไม่มีใครรู้จักหนูมาก่อน บุญทิพย์ก็ย้ายไปด้วย หมอสังคมแล้วก็อินทร หนูจะมีเพื่อนร่วมงานที่ดีมากเลย คนที่นั่นตั้งกว่าล้าน แล้วไม่เคร่งศาสนานัก ผู้หญิงไม่ต้องคลุมหน้า       ไม่ต้องโพกผม ใช้ชีวิตเหมือนคนไทยทั่ว ๆ ไป”

“แต่ก็มีข้อห้ามเยอะแยะ อาหารล่ะ”

“ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ ไม่กินหมู ไม่เลี้ยงหมา ไม่กินพวกสัตว์เลื้อยคลานแปลก ๆ เท่านั้นเอง เขาก็กินไก่ กินปลา กินข้าวเหมือนพวกเรา น้ำมันก็ใช้น้ำมันพืช มะพร้าวเอย ปาล์มเอย มากมาย ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ หนูคิดว่าหนูจะชอบที่นั่น”

วีรอรไม่ได้ต่อว่าและเธอจะได้อยู่ห่าง ๆ ท่านด้วย เดี๋ยวนี้ท่านเรียกตัวเองเป็นแม่ แต่เธอก็เห็นท่านเป็นคุณหญิง

 

 

 

 

 

อยู่นั่นเอง

วีรอรเติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งที่นั่นซึ่งมีทรายเม็ดอื่นเหมื่อน ๆ กันแต่เธอต่างไปจากคนอื่นเล็กน้อย

วีรอรไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าในขณะที่เงินงบประมาณ ของรัฐและเงินบริจาคขาดมือลง เด็กอื่น ๆ ต้องกินนํ้าข้าวต่างนม      เด็กโตต้องกินปลายข้าวหุงเละ ๆ กับผักดอง แต่วีรอรมีนมกิน และมีข้าวสวยหุงร้อน ๆ กับข้าวดี ๆ จำพวกไข่หรือไก่กินทุกวัน คุณแม่บ้านเรียกเธอเข้าไปกินกับท่านในห้องพักของท่าน เพื่อน ๆ เรียกเธอว่า   “นังคนโปรด” และไม่ชอบหน้าเธอเลยจริง ๆ

คุณหญิงท่านนี้แวะไปเยี่ยมเยียนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แห่งนั้นประมาณสามสี่เดือนครั้งหนึ่ง ท่านจะบริจาคเงินให้คุณแม่บ้านไว้ซื้ออาหารเลี้ยงเด็ก ๆ สำหรับวีรอรจะมีอะไรพิเศษติด มือไปฝาก อาจจะเป็นตุ๊กตา ของเล่น หรือเสื้อผ้า หากเป็นเสื้อผ้าวีรอรจะเก็บไว้ใช้เวลาไปข้างนอกกับคุณแม่บ้าน แต่ของเล่นกับตุ๊กตาวีรอรจะยกให้เพื่อน ๆ ไปเล่นกัน เธอเองแทบจะไม่ได้แตะต้องเลย

เพื่อน ๆ แม้จะเกลียดขี้หน้าและอิจฉาที่เธอเป็นคนโปรด แต่เมื่อเธอแสดงน้ำใจเช่นนั้นก็ค่อยทำดีต่อเธอบ้าง ไม่โช่ทำดี เพราะกลัวคุณแม่บ้านแต่เพราะเห็นว่าเธอมีน้ำใจ แล้วของเล่นหรือตุ๊กตานั้นก็ฉีกขาดพังลงในเวลาไม่กี่วัน

พอคุณหญิงมาใหม่วีรอรก็ทำหน้าเศร้า ๆ รายงานว่า

 

เธอเล่นของพวกนั้นพังหมดแล้ว

 “ใครแย่งของหนูเล่นจนพังหรือเปล่า ท่าทางไม่ใช่คน    มือหนักเลยนี่นา” ท่านเคยสงสัย

“หนูทำพังค่ะ หนูมือหนัก” วีรอรพูดหน้าตาเฉย             คุณแม่บ้านก็ไม่ว่ากระไร แล้ววีรอรก็ได้ของเล่นชิ้นใหม่มาให้เพื่อน ร่วมชะตากรรม บางทีวีรอรทำอิดออดมองของอย่างไม่ค่อยชอบใจ ท่านถึงกับควักเงินให้คนขับรถไปซื้อของมาให้ใหม่

“หนูอยากได้ลูกบอลกับไม้ตีแบดฯ” แล้วทุกคนก็ได้      ลูกบอล กับแร็กเก้ตมาไว้เล่น บุญทิพย์ถึงกับออกปากว่า

“คุณหญิงท่านรักเธอ เธออาจจะโชคดีได้ไปเป็นลูกบุญธรรมท่านนะ ฉันได้ยินมาว่าท่านไม่มีลูกหรอก”

วีรอรได้ไปพักที่บ้านหลังใหญ่ของท่านเมื่ออายุเก้าขวบ หล่อนตัวสั่นเมื่อเห็นสีหน้าหยิ่งและดุดันของท่านผู้หญิง ประมุขของบ้าน เมื่อทำความเคารพท่านแล้ววีรอรก็ถูกส่งเข้าห้องพัก แต่หล่อนย่องออกมาฟังสองแม่ลูกเถียงกันด้วยความอยากรู้

“ไปพาเด็กนั้นมาทำไม ไปเยี่ยมเยียนที่นั่นยังไม่พออีกรึ   ไม่เห็นหรือว่าหน้าตามันฟ้อง เดี๋ยวคนก็สงสัยเอาหรอก” หญิงชราเอ็ดลูกสาว

“ไม่มีใครสงสัยหรอกค่ะ เพราะแม่บ้านบอกว่าคนเอาไปส่งน่ะเสื้อผ้าแสนจะเก่าขาด เด็กก็อยู่ในชุดผ้าขี้ริ้วแท้ ๆ แต่มีเงินปึกอยู่ในกองผ้าอ้อมนั่นหลายพันอยู่ เงินเท่านั้นเมื่อเก้าปีที่แล้ว                      ก็มากโข คนฝากบอกว่าแม่เด็กตายแล้วมีเงินอยู่เท่านั้น ช่วย


เลี้ยงให้ด้วย แม่บ้านก็เอาเงินไว้แล้วเลี้ยงเด็กนั่นมาจนเก้าปีแล้ว คนมาส่งน่ะพอไปได้ไม่เท่าไรก็ตายอยู่ข้างถนนไม่ทราบเป็นอะไร”

วีรอรตัวสั่นเทา

“หนูไม่อยากพูดหรอกค่ะ แต่ทำไมแกถึงจะต้องตายด้วย”

“เพราะมันบังอาจน่ะสิ มันถึงต้องตาย” คำตอบสั้น ๆ แต่เหี้ยมเกรียมนัก

“เคราะห์ยังดีนะที่แม่บ้านคนนั้นไม่โกงเงินเด็กไปหมด ยังอุตส่าห์เลี้ยงให้ดีเป็นพิเศษ แล้วหนูก็ทราบว่าแกอยู่ที่นั่น หนูว่ามัน     ไม่ถูกนะคะที่แกจะต้องอยู่ที่นั่นในเมื่อแกเป็นลูกของหนู”

“เขาเกิดมาผิดเวลา”

“เพียงเพราะพ่อของแกตายก่อนที่จะได้แต่งงานกับหนู หรือคะ”

“ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ลูกสาวท้องไม่มีพ่อน่ะ ถึงพ่อมันไม่ตายก็แต่งงานกับแกไม่ได้ แค่เด็กในบ้าน”

“เขาเป็นญาตินะคะ”

“ญาติแบบนั้นมีความหมายอะไร พ่อเป็นนายอำเภอ อยู่สุดกู่ไม่มีอะไรสักอย่าง บังอาจมายุ่งกับลูกนายพลท่านผู้หญิง แล้ว    แกเองก็มีคู่หมั้นแล้ว”

“แกเลยต้องเป็นเด็กอนาถา ก็หนูบอกแล้วว่าทำแท้ง ก็ได้ถ้าไม่ต้องการให้แกเกิด แต่คุณแม่ก็ให้แกเกิดเพราะไม่อยากทำบาป แล้วเอาแกไปทิ้งไว้นั่นไม่บาปหรือคะ”

 

“ก็ไม่ได้ทิ้งอย่างเด็กอนาถานี่นะ แม่รู้ว่าแม่บ้านคนนี้ เป็นคนดีไม่โกงเงินเด็กหรอกถึงได้กินดีอยู่ดีกว่าเด็กอื่น ๆ เราเสี่ยง ให้แกทำแท้งไม่ได้หรอก อันตราย คุณพ่อท่านก็ต้องการให้แกแต่งงานกับคู่หมั้น จะได้เกี่ยวดองกันเสีย ทีนี้ตำแหน่งจะไปไหนเสีย แต่แกนี่มันดวงกินผัวจริง ๆ ใครมาได้กับแกก็อายุสั้นเสียทุกคน”

วีรอรตัวสั่นเทา

“แล้วก็ตัดลูกเสียจริง ๆ เฮัอ”

วีรอรย่องกลับ ไปเข้าห้องนอน ไม่ได้ร้องไห้ น้ำตาไม่ยอมไหลแต่เจ็บปวดจนชาไปทั้งร่าง วีรอรเป็นลูกแท้ ๆ ของคุณหญิงแต่เป็นลูกไม่มีพ่อเพราะพ่อตายและเป็นเพียงญาติผู้ต่ำต้อย ในคฤหาสน์แห่งนี้ วีรอรจึงต้องไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

เท่านั้นวีรอรยังไม่เจ็บปวดสักเท่าไรหรอก วีรอรโตพอจะเข้าใจแล้วว่าสำหรับบางคนเกียรติยศสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด แต่เธอไม่เป็นที่ต้องการของใครเลยแม้แต่แม่แท้ ๆ เพราะท่านพูดเองว่าทำแท้งก็ได้ แล้วยายแท้ ๆ ของเธอคนนี้ฆ่ายายแก่คนที่พาเธอไปส่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อปกปิดความลับนี้ให้เป็นความลับตลอดกาล

ตอนเช้าคุณหญิงถามวีรอรว่าชอบบ้านนี้ไหม เด็กหญิง

สั่นหน้า

“เสียมารยาท ผู้ใหญ่พูดด้วยต้องตอบสิไม่ใช่สั่นหน้า”

“ไม่ชอบค่ะ ใหญ่โตน่ากลัว คงมีผีด้วย ผีนายพล”

“คิดอะไรบ้า ๆ ท่านผู้หญิงอนุญาตให้รับเธอมาอยู่ที่นี่

 

 


จะได้เรียนหนังสือโรงเรียนดีกว่านี้ แม่บ้านบอกว่าเธอเรียนเก่งนี้นะ”

“ไม่ค่ะ หนูอยากอยู่ที่โน่นมากกว่า” วีรอรปฏิเสธทันควัน

“ทำไมล่ะ อยู่ที่นี่ไม่ใครแย่งของเล่นนะ ได้แต่งตัวดี ๆ นั่งรถเก๋งไปโรงเรียนดี ๆ”

“หนูคิดถึงเพื่อน” วีรอรอ้าง “เราเคยอยู่ด้วยกัน”

วีรอรจึงได้อยู่ที่เดิมต่อมาอีกหลายปี วีรอรรู้ว่าคุณหญิง โล่งใจด้วยซ้ำที่เธอปฏิเสธ เพราะท่านผู้หญิงไม่เต็มใจให้รับเธอ    เข้าบ้าน หากทนลูกรบเร้าไม่ไหวจึงตกปากอนุญาต

แม่บ้านบอกพวกเด็ก ๆ ว่าเพราะวีรอรเรียนเก่งจึงได้      รับการอุปการะจากคุณหญิงให้เรียนสูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ วีรอรเลยลุกขึ้นถามหน้าตาเฉยต่อหน้าคุณหญิงว่า

“บุญทิพย์ก็เรียนเก่งทำไมคุณหญิงไม่ส่งเสียบ้างล่ะคะ ส่งแต่หนูคนเดียว” แววตาของเธอคาดคั้น

“ถ้าหนูไปอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนฉัน ฉันจะส่งบุญทิพย์ให้เรียนอีกคน”

นั่นเป็นข้อต่อรอง วีรอรไม่มีทางเลือกในเมื่อต้องการช่วยบุญทิพย์ เธอจึงต้องโยกย้ายไปอยู่บ้านของคุณหญิงเมื่ออายุสิบห้า ต้องเผชิญหน้ากับท่านผู้หญิงทุกวี่วัน

แต่ไม่นานนักเพราะเมื่อสอบเข้าแพทย์ได้ วีรอรก็อ้างเรื่องเรียนย้ายไปอยู่หอพักนักศึกษาแพทย์ บุญทิพย์สอบไม่ติดแพทย์แต่ติดคณะเภสัชศาสตร์ซึ่งก็ไม่เลวเลย

บุญทิพย์รู้ดีว่าวีรอรไม่อยากอยู่กับคุณหญิงแต่ไม่ทราบเหตุผล เมื่อวีรอรยอมไปอยู่กับคุณหญิงเพื่อให้บุญทิพย์ได้ทุนเรียนหนังสือ บุญทิพย์จึงเป็นทั้งเพื่อนและทาสผู้ซื่อสัตย์ของวีรอร

“ฉันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอนะ อร”

“อย่าคิดอย่างนั้นเรามันหาดทรายเดียวกันต้องช่วยกัน การไปอยู่กับคุณหญิงก็สบายดีนี่นา สบายกว่าอยู่ที่โรงเลี้ยงเด็ก เป็นไหนๆ งานการอะไรก็ไม่ต้องทำ เด็กก็ไม่ต้องช่วยเลี้ยง ชามก็ไม่ต้องช่วยล้าง ไม่ต้องกินข้าวถาดหลุมด้วย ได้กินจานชุดชาม ชุดจากอังกฤษ”

“แต่เธอไม่ต้องการจานชุดที่นั่นไม่ใช่รึ เธอปฏิเสธมา    แต่ไหนแต่ไร”

“ฉันกลัวท่านผู้หญิงน่ะ ท่านดุ”

บุญทิพย์นิ่วหน้า หล่อนเป็นคนช่างสงสัย วีรอรก็รู้ว่า เพื่อนคนนี้นิสัยอย่างไร บุญทิพย์สงสัยแน่ ๆ เพราะหน้าตาของวีรอรเหมือนคุณหญิงอย่างกับปั้นมาจากช่างปั้นคนเดียวกัน

“คุณหญิงเขาเพียงแต่เวทนาเพราะฉันหน้าตาเหมือนเขาตอนสาว ๆ เท่านั้นเองแล้วเขาก็ไม่มีลูก เธอก็รู้นี่ว่าสามีเขาตายนานแล้ว อย่าคิดมากหน่อยเลย มีโอกาสแล้วก็รีบตักตวงซะ จะได้มีวิชาติดตัวไว้เลี้ยงลูก ไม่ต้องให้ลูกมาอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”

เมื่อวีรอรรํ่าลาเพื่อนไปนอก บุญทิพย์ถึงกับอุทานว่า

 

“คุณหญิงท่านรักเธอจริง ๆ นะ ลงทุนขนาดนี้”

วีรอรตัดสินใจไป อยู่หมู่เกาะกลางมหาสมุทร บุญทิพย์   จึงขอย้ายตามไปด้วยแต่ไม่วายถาม

“ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงท่าน”

“อยู่แล้วไม่สบายใจจะอยู่ไปทำไม ท่านก็ไม่ได้ต้องการ ฉันซักเท่าไหร่หรอก งานสังคมสงเคราะห์ของท่านออกมากมาย สุขภาพก็ดี ไม่ต้องการหมอดูแลประจำ ชาวบ้านเขาลำบากกว่าท่านหลายสิบเท่า”

“เธอพูดเหมือนไม่นึกถึงพระคุณท่าน”

“นึกสิ ทำไมจะไม่นึกแต่ฉันมันเป็นทรายนี่ ไม่อยาก      เป็นเพชร”

บุญทิพย์สังเกตสีหน้าเพื่อนแล้วพอจะเข้าใจอะไรได้ราง ๆ วีรอรไม่เคยยิ้มแย้มหัวเราะกับเพื่อนเลยตั้งแต่มาค้างที่คฤหาสน์ ครั้งกระโน้น ยี่สิบปีมาแล้ว ใครเคยเห็นวีรอรหัวเราะบ้าง

บุญทิพย์ถอนใจ คนเราหากติดข้องอยู่กับความหลัง และความเจ็บปวดเช่นนี้เห็นทีจะหาความสุขยากนัก บุญทิพย์สิไม่เคยคิดอะไรเลย ทำเรื่องเฉพาะหน้าให้ดีที่สุดก็แล้วกัน


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (80 รายการ)

www.batorastore.com © 2024