Customer Reviews

เจ้าชายแห่งทะเลทรายกับยัยจอมแสบ (สนพ.Lovejing)
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

วา ลูกสาวแสนสวยสุดแสบ ผู้ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ใคร เธอถูกแม่บังคับให้ไปอยูกับพ่อซึ่งเป็นทูตประจำอียิปต์ที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานนับสิบปี ตอนแรกเธอปฏิเสธไม่ยอมไปท่าเดียว เพราะความรู้สึกโกรธในใจที่พ่อของเธอไม่เคยคิดจะย้ายกลับมาเมืองไทยเพื่ออยู่กับเธอและแม่เป็นครอบครัว และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอยังทำใจไม่ได้ที่ต้องทิ้ง ชาโด้ คนรักของเธอ ตลอดเวลาที่ชาโด้และวาเรียนหนังสือด้วยกันมา ทั้งสองขับเคี่ยวกันทั้งเรื่องรักและเรื่องเรียน แต่บทสรุปก็คือ ทั้งสองต่างเป็นกำลังใจที่ดีให้กันเสมอ การจากไปของวาจึงทำให้กำลังใจของเขาหดหายไปมาก ก่อนที่วาจะตัดวินใจไปอียิปต์เธออิดออดและทะเลาะกับแม่หลายครั้ง แม่อยากให้วาไปอียิปต์เพราะคิดถึงอนาคตของลูก แม้วาจะเข้าใจแต่เธอก็ยังทำใจจากเมืองไทยไปไม่ได้ สำหรับเธอแล้ว พ่อคือคนที่ทำให้แม่เศร้าใจทุกครั้งที่พูดถึง แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจไปอียิปต์ตามคำขอของแม่ แน่นอนวันเดินทางที่สนามบิน ชาโด้ รักแรกของเธอก็ไปส่งเธอด้วย เขาสวมกอดเธอ และบอกกับเธอว่าจะรอคอยวันที่เธอกลับมาไม่ว่าจะนานเท่าไรก็ตาม
ในระหว่างการเดินทางบนเครื่อง วาได้พบกับ ชารีฟ ซึ่งเป็นผู้โดยสารที่นั่งข้างเธอแถมยังนอนซบไหล่เธอไปตลอดทาง เมื่อเครื่องลงจอด ด้วยความที่เธอมีเพียงกระดาษแผ่นเดียวที่เขียนชื่อคนที่พ่อของเธอส่งมารับและไม่เคยมาที่อียิปต์มาก่อน เธอจึงตัดสินใจเดินตามชารีฟเพื่อหวังจะขอความช่วยเหลือจากเขา เขาช่วยเธอจนเจอคนที่จะมารับ ในที่สุดเธอก็ได้พบกับพ่อของเธอ มาถึงตรงนี้รู้สึกว่าเนื้อเรื่องตอนแรกที่ปูไว้ว่า วา ไม่ชอบพ่อของเธอนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยมีน้ำหนักเลย เพราะเธอก็พูดคุยกับพ่อเป็นปกติ ไม่รู้สึกเหมือนคนที่ไม่เจอหน้ากันมาเป็นสิบปี
พ่อบอกกับเธอว่าจะมีงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าชายชารีฟ ให้เธอเตรียมตัวไปงานด้วย วาปฏิเสธที่จะไปแต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อถึงวันงานเธอก็ได้พบกับชารีฟที่เธอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าคือชายหนุ่มคนที่นั่งข้างเธอบนเครื่องบิน หากแต่ในวันนี้เขาคือเจ้าชายรูปงามแห่งอียิปต์ เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อมีโจรบุกเข้ามาในงานและนั่นก็เป็นจุดพลิกผันให้เธอกับชารีฟต้องมาผจญภัยด้วยกันภายใต้บรรยากาศของท้องทะเลทราย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่ใจหรือว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นแผนการที่ใครบางคนสร้างไว้..
"เฮ้อคิดแล้วรู้สึกเสียเปรียบอย่างไรไม่รู้ ที่ฝ่ายหนึ่งรู้เรื่องของไปเสียทั้งหมดทั้งสิ้น ขณะที่เธอกลับแทบไม่รู้เลยสักนิด ในความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา"
วายังคงต้องออกเเดินทางไปเที่ยวกับชารีฟเกือบทุกวัน ตามประสาเจ้าชายนอกคอกที่หลงระเริงอยู่กับความอิสระ ไม่ยึดติดอยู่กับอาณัติกฎเหล็กของความเป็นรัชทายาทใดๆทั้งสิ้น เธอเริ่มเหนื่อยใจกับสิ่งที่เจ้าชายเป็นและปฏิบัติต่อเธอ เธอรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าชายที่ไม่รู้จักพอเหมือนเด็กเอาแต่ใจคนหนึ่ง เนื้อเรื่องต้องการแสดงให้เห็นว่าเจ้าชายรักวาและพยายามใก้ชิดกับเธอแต่ดูเหมือนยังขาดที่มาที่ไปว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น บอกแต่เพียงว่าเจ้าชายเห็นวามาตั้งแต่ยังเด็ก ในส่วนของความรู้สึกของวา ก็ค่อนข้างสับสนว่าผู้เขียนต้องการให้วารู้สึกอย่างไรกับชารีฟ หากจะบอกว่าเธอรักชารีฟก็ไม่แน่ใจว่าความรักของเธอเกิดขึ้นได้อย่างไร ตอนไหน ความใกล้ชิดที่เกิดจากการที่ทั้งสองได้ไปท่องเที่ยวด้วยกันดูไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะเป็นที่มาของความรักได้
และเมื่อย้อนกลับไปถึงรักแรกของเธอคือ ชาโด้ กลับไม่มีการพูดถึงเขาอีกเลยทั้งๆที่ความผูกพันระหว่างวากับชาโด้น่าจะมีมากกว่าชารีฟด้วยซ้ำ แต่เหตุใดวาจึงเปลี่ยนใจไปรักชารีฟได้โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำผิดกับรักแรกของเธอ วันเวลาผ่านไปจู่ๆเธอก็ได้รู้ข่าวว่าเจ้าชายชารีฟกำลังจะหมั้น เธอตัดสินใจที่จะไม่ไปงานหมั้นและจะกลับเมืองไทย เข้าใจว่าผู้แต่งต้องการจะชูประเด็นหรือสื่อถึงความรักต่างชนชั้น ความรักที่ต้องเลือกระหว่างความถูกต้องเหมาะสมกับสิ่งที่หัวใจต้องการ แต่ด้วยความไม่ชัดเจนในการบรรยายถึงความรู้สึกที่ตัวละครเอกทั้งสองมีให้กันว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ไม่สามารถอธิบายให้ผู้อ่านรู้สึกอินไปกับความรักของตัวละครทั้งสอง ทำให้รู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล เนื้อเรื่องดูหลวมๆอย่างบอกไม่ถูก ภาษที่ใช้ฟุ่มเฟือยเกินไป อ่านค่อนข้างยาก
ด้วยความที่อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าวา รักเจ้าชาย หากวาจะตัดสินใจกลับประเทศก็คงไม่แปลกอะไร หรือหากจะให้จบแบบที่วาเลือกที่จะปฏิเสธการหมั้นของเจ้าชาย แล้วแต่งงานกับเขา ก็จะเกิดคำถามตามมาว่าอะไรทำให้ทั้งสองรักกัน คิดว่าภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร ถ้าผู้อ่านคาดหวังว่าจะได้อ่านนิยายรักที่แตกต่าง คงต้องผิดหวัง เพราะทั้งพล็อตเรื่อง การดำเนินเรื่อง และบทสรุปสามารถคาดเดาได้ไม่ยาก
ขยะเป็นทอง
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสือขยะเป็นทองบอกเล่าเรื่องราวของ โหมว ธีรวงศ์ สรรค์พิพัฒน์ นักธุรกิจหนุ่มซึ่งทำธุรกิจรับซื้อของเก่า เขาเขียนเล่าประสบการณ์ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจนี้ การคัดแยกขยะอย่างไรให้รวย การต่อยอดธุรกิจอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ไปจนถึงการขยายธุรกิจแฟรนไชส์
"ปราบขยะรีไซเคิล" เข้าใจว่าหนังสือเล่มนี้ทำออกมาเพื่อต้องการประชาสัมพันธ์ธุรกิจแฟรนไชส์ของโหมวมากกว่า โดยอาศัยการบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของเขาตั้งแต่ในวัยเรียนจนประสความสำเร็จมีรายได้หลักล้านตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี แน่นอนว่าหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วคุณจะได้แรงบันดาลใจในการสู้ชีวิตขึ้นอีกมาก ความสำเร็จของเขาเป็นตัวอย่างให้กับผู้อ่านได้ดีในแง่ของความอดทน ความมุ่งมั่นตั้งใจ ความรักในสิ่งที่ทำ ไม่ดูถูกตัวเอง การอดทนอดกลั้นต่อคำดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่น หากคุณแน่วแน่ในสิ่งที่ตัวเองฝันอย่างโหมว รับรองได้เลยว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
เกริ่นนำ วันวานของชายชื่อ โหมว : ผมจัดอยู่ในประเภทคนไม่เอาถ่าน ไม่ช่วยงานที่บ้าน วันๆได้แต่นั่งๆนอนๆเล่นเกม ออกไปเดินห้าง ทั้งๆที่ไม่มีเงินติดกระเป๋ามากนัก...หลังจากเรียนจบ กศน ได้เข้าเรียนที่ ม รังสิต ขับรถกระบะรุ่นเก่าจากบ้านไปเรียนทุกวัน ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นขับรถสปอร์ตราคาแพง ปีแรกถูกรีไทร์เพราะได้เกรดต่ำกว่า 1.5 ฐานะไม่ดีเท่าเพื่อนจึงไม่มีใครคบ แต่ก็อดทนเรียนจนจบ และสัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ป๊ากับม๊าภูมิใจกับก้าวเดินต่อไป ทดแทนชีวิตที่ว่างเปล่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา
บทที่ 1 สร้างอาชีพจากสิ่งไร้ค่า : วันหนึ่งช่วงกลางปี 2548 ผมเหลือบไปเห็นยายคนหนึ่งกำลังยืนเก็บขยะอยู่ที่หน้าบ้าน ผมรู้สึกสงสารเลยให้เงินยายเอาไว้ใช้ แต่ยายกลับปฏิเสธและบอกว่า ยายไม่เอาหรอกพ่อหนุ่ม ยายมีรายได้พออยู่ได้... ผมมีอายุเพียง 23 ปีในตอนนั้น ทำไมจะทำอาชีพนี้ไม่ได้ (เก็บขยะขาย) และถ้าผมทำ ผมต้องมีรายได้มากกว่ายาย เพราะผมหนุ่มกว่า แข็งแรงกว่า ที่สำคัญการเริ่มต้นธุรกิจเร็ว เริ่มต้นก่อนคนอื่นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีก่อนและมากกว่าใคร
บทที่ 2 เหมืองทองในกองขยะ : กองขยะคือเหมืองทอง ยิ่งมนุษย์สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับตนเองมากเท่าไร ขยะก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน ปริมาณขยะที่มากมายมหาศาลเหล่านี้คือเหมืองทองที่รอคอยให้เราเข้าไปขุดได้ทุกที่ทุกเวลา ยังไงทุกบ้านก็ต้องมีขยะพวกนี้แน่นอน
บทที่ 3 ประสบการณ์คือครู : หลายครั้งเราพบว่าช่วงเวลาที่น่าจดจำในชีวิตนั้นไม่ใช่ช่วงจังหวะที่เราได้ในสิ่งที่เราปรารถนามาครอบครอง แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่เราต้องต่อสู้ต้องเรียนรู้ และลองผิดลองถูกกว่าจะได้มาซึ่งสิ่งๆนั้น...ในช่วงที่ผมยังมีความรู้ขั้นงูๆปลาๆ มักพบปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องของการรับซื้อและคัดแยกขยะ ประสบการณ์ครั้งแรกได้สอนให้ผมรู้ว่า คิดการใหญ่ ต้องรอบคอบและอดทน
บทที่ 4 ขยะเปลี่ยนชีวิต : นอกจากโอกาส โชค และการมีคนสนับสนุนแล้ว ความตั้งใจจริงและขยันอดทน ได้เปลี่ยนชีวิตผมจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากที่ผมลงเครื่องจักรแปรรูปขยะรีไซเคิล ผมสามารถประมูลงานเก็บขยะได้มากขึ้นทั้งจากโรงงานและองค์กรภาครัฐในท้องถิ่น จนสามารถแตะเงินล้านได้ภายในเวลาไม่นาน... คนจีนมักพูดว่า ล้านแรกหายาก ล้านต่อไปไม่ยาก เพราะเงินจะต่อเงินไปได้
บทที่ 5 รู้จักการคัดแยกยะ : หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจรับซื้อสินค้าขยะก็คือการเรียนรู้วิธีกาคัดแยกขยะสารพัดชนิดที่ไม่เพียงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีก แต่ยังทำให้เหลือปริมาณขยะที่จำเป็นต้องกำจัดหรือทำลายน้อยลง เป็นการช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ดังสโลแกนของกรุงเทพมหานครที่ว่า ช่วยกันแยก ช่วยกันลด หมดปัญหาขยะ
บทที่ 6 ทางเดินของขยะรีไซเคิล : การรีไซเคิลจัดเป็นหนึ่งในวิธีการลดขยะตามหลัก 4Rs ทีว่าด้วย Reduce Repair Reuse และ Recycle คือการนำขยะมาแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้ไม่ต้องนำทรัพยากรธรรมชาติมาผลิตสิ่งของต่างๆ แต่ใช้ขยะเป็นวัตถุดิบทดแทนในการผลิต
บทที่ 7 ขยะรีไซเคิล ธุรกิจที่ไม่มีวันตาย : ตราบใดที่ขยะรีไซเคิลจะไม่มีวันหมดไปจากโลก ธุรกิจนี้ย่อมไม่มีวันตาย เพราะขยะรีไซเคิลคือทรัพยากรที่ตายแล้วเกิดใหม่ เป็นทรัพยากรหมุนเวียนของโลก ที่จะนำมาทดแทนทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด
บทที่ 8 ต่อยอดธุรกิจปราบขยะครบวงจร : หลังจากทำขยะรีไซเคิลมาประมาณ 2 ปี ปราบขยะได้ต่อยอดธุรกิจออกไป เริ่มจากการดูแลพื้นที่สีเขียว การจัดสวน และงานทำความสะอาดอาคารและสถานที่ทั่วไป...ผมเริ่มต้นธุรกิจนี้จากความไม่รู้แล้วค่อยเรียนรู้เหมือนเช่นการทำขยะ เราต้องค่อยๆเรียนรู้ บางครั้งหลักการที่เรียนมาก็ใช้ไม่ได้กับชีวิตจริง ต้องอาศัยประสบการณ์ในการลองผิดลองถูก
บทที่ 9 แฟรนไชส์เก็บขยะ ทางเลือกของคนสู้ชีวิต : ปราบยะมีการจัดการอบรม เคล็ดลับการดำเนินธุรกิจรีไซเคิลอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่ การเตรียมตัว การเลือกสถานที่ วิธีเริ่มดำเนินธุรกิจ การคัดแยกขยะ วิธีการขอใบอนุญาตประกอบการ ทิศทางธุรกิจ ภาษี การจัดหาเงินทุน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมรู้ลึกรู้จริง สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประกอบธุรกิจได้ทันที
โดยสรุป หนังสือเล่มนี้คงเหมือนกับหนังสือสอนให้รวยโดยทั่วๆไป อ่านแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจอยากทำบ้าง ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ยากเกินไปในความรู้สึก แต่ของจริงก็คงไม่ง่ายแน่นอน หากท่านต้องการแรงบันดาลใจหรือข้อมูลในการตัดสินใจทำธุรกิจอะไรซักอย่าง หนังสือเล่มนี้ก็มีประโยชน์มากเลยทีเดียว
บันทึกผู้ว่าฯ อภิรักษ์ โกษะโยธิน
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

อภิรักษ์ โกษะโยธิน มีเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจ เขาเติบโตจากการเป็นพนักงานฝึกหัดประจำร้านพิซซ่า ไปสู่การเป็นผู้บริหารของบริษัทเอกชนหลายต่อหลายบริษัท แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดที่เขาใฝ่ฝัน อภิรักษ์ผันตัวเองจากแวดวงธุรกิจสู่การเป็นนักการเมืองแบบเต็มตัว แน่นอนความเป็นนัการเมืองย่อมแตกต่างจากการเป็นนักธุรกิจในหลายๆเรื่อง ชีวิตของเขาต้องเสียสลทั้งเวลาและชีวิตส่วนตัวมากขึ้นจากเดิม แต่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ ความมุ่งมั่นตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองทำ หนังสือเล่มนี้จะได้บอกเล่าเรื่องราวการทำงานตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร เขาต้องพบเจอปัญหาอะไรบ้างและก้าวผ่านปัญหานั้นมาได้อย่างไร การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขาเป็นเรื่องที่ตัวเขาเองอยากถ่ายทอดให้ทุกๆคนได้รับรู้ด้วยความมุ่งหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านในการก้าวไปสู่จุดหมายที่ตัวเองใฝ่ฝัน
อภิรักษ์ เริ่มเล่าประสบการณ์ของเขาจากการเดินหาเสียงในการสมัครผู้ว่า ว่าเขาต้องเจออุปสรรคอะไรบ้าง การรับมือกับความรู้สึกของการเป็นน้องใหม่ในแวดวงการเมืองประสบการณ์การปราศัยบนเวที การแบกรับความเสี่ยงของพรรคที่ส่งคนที่ไม่มีประสบการณ์ทางกรเมืองเลยลงสู่สนามเลือกตั้งผู้อ่านจะได้รู้ถึงแนวทางการทำงานในฐานะผู้ว่าที่น่าสนใจ เขาเป็นผู้ว่าที่พยายามสื่อสารกับประชาชนให้มากที่สุด ผู้อ่านจะได้ติดตามภารกิจการบริหารบ้านเมืองของเขาแบบใกล้ชิด รวมถึงทัศนคติของเขาในการมองปัญหาที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ตัวอย่างเช่น อย่านั่งบริหารอยู่แต่ในห้องทำงาน ต้องให้ความสำคัญกับคนทุกระดับ ต้องใกล้ชิดับประชาชนต้องให้ความสนใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆด้วย
หากคุณเคยเจอปัญหาทางเท้า แม่ค้าหาบเร่แผงลอยที่วางขายสินค้าเต็มทางเดิน แล้วสงสัยว่าทำไมกรุงเทพมหานครไม่เคยจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้สักที ผู้อ่านสามารถหาคำตอบจากหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะได้รู้ว่าผู้ว่าอภิรักษ์มีแนวคิดในการจะจัดการกับปัญหาเรื้อรังแบบนี้อย่างไร
ด้วยความที่เป็นคนหนุ่มไฟแรงและคุ้นชินกับการบริหารงานเอกชนมานานทำให้ท่านผู้ว่าพยายามเร่งรัดการแก้ปัญหาต่างๆให้รวดเร็ว แต่ด้วยวัฒนธรรมการบริหารราชการแบบไทยๆ เลยกลายเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการทำงาน ทำให้ผู้ว่าต้องยอมผ่อนคันเร่งลง เขาเคยสั่งการได้รวดเร็วทันใจชนิดกดปุ่มปุ๊บได้ปั๊บ แต่พอมาเจอระบบราชการทำให้ต้องค่อยๆทำ ต้องปรับตัว ในขณะเดียวกันความที่คนกรุงเทพใจร้อนและอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน ทำให้เขาต้องเร่งสร้างผลงานให้เร็วที่สุด เขาให้ความสำคัญกับปัญหาจราจรและน้ำท่วมเป็นลำดับต้นๆ
นอกจากนี้เขายังไม่ลืมที่จะบ่นในแบบนักการเมืองที่พยายามดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามในทำนองว่าการที่เขาไม่สามารถเดินหน้านโยบายต่างๆได้อย่างเต็มที่นั้นก็เพราะพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่เป็นรัฐบาลเป็นอุปสรรคสำคัญ ข่าวความขัดแย้งระหว่างตัวเขากับพรรคไทยรักไทยเรื่องการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย กลายเป็นข่าวครึกโครมต่อเนื่องนานนับเดือน
ท้ายสุดผู้อ่านจะได้เห็นความเลวร้ายของการเมืองที่ยังคงบั่นทอนสังคมไทย อำนาจทางการเมืองยังคงเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใครการใช้อำนาจในทางที่ผิดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนดีๆไม่อยากย่างกลายเข้ามาสู่วิถีการเมือง ซึ่งอภิรักษ์เองก็ต้องต่อสู้กับอุปสรรคเหล่านี้ด้วยความมุ่งหวังที่จะเห็นการเมืองในบริบทใหม่ๆ เป็นการเมืองที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่ต้องเป็นความคิดเห็นที่ไปในทางสร้างสรรค์ ไม่ใช่จ้องทำลายกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นการเมือที่ไร้ซึ่งระบบอุปการะที่ทำให้นักการเมืองต้องสะสมเงินไว้หล่อเลี้ยงกลุ่มก๊วนต่างๆและกลายมาเป็นบ่อเกิดของปัญหาทุจริตคอรัปชั่นติดตามมา นับว่าอภิรักษ์เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ที่เป็นสากล มีแรงผลักดันในตัวเองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงกรุงเทพตลอดจนประเทศไทยให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในหลายๆมิติ อ่านแล้วก็รู้สึกว่าถ้ามีคนที่มีความคิดแบบนี้มากพอ ความฝันที่จะเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วก็คงไม่ไกลเกินจริง แต่ก็ต้องไม่ลืมว่านี่เป็นหนังสือที่เขียนโดยนักการเมือง เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะเขียนแต่สิ่งที่ผู้อ่านอ่าแล้วคล้อยตาม อ่านแล้วอยากเลือกเขาเข้ามาทำงาน คงต้องใช้วิจารณญานของท่านเองว่าคำพูดเหล่านั้นน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน
ชีวิตรื่นรมย์ HAPPY TIME SINCE 1963 กนก รัตน์วงศ์สกุล
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

จากบทนำของหนังสือบอกว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่งานรวมเล่มงานเขียนของกนกที่ได้เขียนเรื่องราวชีวิตของเขาไว้ในเนชั่นสุปสัปดาห์หรือนิตยสารต่างๆ แต่เป็นการที่กนกเขียนบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาใหม่ด้วยตัวเองทั้งหมด
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นตามสไตล์ของกนก สไตล์ของเขาก็คือสไตล์การใช้ชีวิตแบบสุขนิยมนั่นเอง เขาบอกว่าทั้งชีวิตเขาถนัดเรื่องหัวเราะมากกว่าเรื่องอื่นๆทั้งหมด
กนกเริ่มต้นชีวิตรื่นรมย์ของเขาที่ซอยยศเส บนถนนกรุงเกษม บ้านของเขาอยู่ในชุมชนหลังวัดเทพศิรินทราวาส แม่ยึดอาชีพค้าขาย เขาไม่เคยรู้สึกว่าบ้านจน แถมยังคิดไปเองว่าที่บ้านค้าขายต้องมีเงินเยอะ และเชื่อหนักแน่นเข้าไปอีกเมื่อพ่อของเขาแบกทีวี 20 นิ้วเข้ามาในบ้าน ชีวิตวัยเด็กของกนกจึงเติบโตมาพร้อมกับการดูรายการทีวีต่างๆ
เมื่อต้องเข้าเรียนเขาเรียนช้ากว่าเกณฑ์ 1 ปีและต้องนั่งรถเมล์ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปเรียนทุกวัน เขาสนุกกับการเดินทางและการไปโรงเรียน เขาคิดแค่เพียงว่าหน้าที่ของเขามีเพียงแค่เล่นกับเรียน ชีวิตวัยรุ่นของเขามีเกเรจนเสียการเรียนบ้าง แต่ก็กับตัวกลับใจได้ทันและหันกลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง
พอจบชั้น ม.ศ. ปีสุดท้ายเขาเลือกเอนท์เข้าคณะนิเทศและวารสาร เพราะเป็นคณะยอดฮิตของวัยรุ่นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน และได้เรียนที่คณะวารสาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขามีชีวิตที่มีความสุขกับการเรียนแบบผู้ใหญ่ ได้รับผิดชอบการศึกษาของตนเอง 100 % ในแต่ละวันเขาสนุกไปกับการเล่นฟุตบอล ดูหนัง และอ่านหนังสือพิมพ์ ต่อมาเขาได้มีโอกาสฝึกงานที่เนชั่น และพบคู่ชีวิตที่ทำงานเป็นเลขากองบรรณาธิการวิทยุที่นั่น
กนกเสพติดการดูหนัง เขาถ่ายทอดประสบการณ์ในการไปดูหนังที่โรงได้อย่างน่าสนุก ได้เห็นภาพและรับรู้ถึงบรรยากาศของโรงหนังเมื่อครั้งอดีต นอกจากนี้เขายังชื่นชมการดูและเล่นฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ เรียกว่าดูถึงขั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ ดูแม้กระทั่งฟุตบอลดารา แถมท้ายด้วยการติดเน็ต ที่เขาบอกว่าเข้าไปแชทกับเพื่อนหลาน คุยกับคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ และตอบเมล์ผู้ชมรายการของเขา
ย้อนกลับมาที่เรื่องหน้าที่การงาน ใครหลายคนคงไม่รู้ว่าเขาเคยเป็นดีเจเปิดเพลงมาก่อน แต่ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงในอาชีพ ทำให้เขาได้ผันตัวเองไปสู่การเป็นผู้ประกาศข่าว หลังจากนั้นก็ได้ถูกชักชวนโดยรุ่นพี่ที่รู้จักกันให้มาทำหน้าที่ในรายการประเภทคุยข่าวของเนชั่น และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางอาชีพสื่อมวลชนของเขาอย่างเต็มตัว กนกยังได้บอกเล่าเรื่องราวอีกมากมายตลอดช่วงเวลาของการเป็นนักข่าว ซึ่งล้วนน่าสนใจและน่าติดตาม
ชีวิตของกนกเป็นตัวอย่างที่ดีในแง่ของการใช้ชีวิตให้สนุก สนุกกับการเรียน สนุกกับชีวิตวัยรุ่น สนุกกับการทำงาน ทั้งๆที่เราก็เห็นกันอยู่ว่าเขาเป็นนักข่าวที่มีงานรัดตัวมากคนหนึ่ง เราไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตเขามีเรื่องเครียดๆมีเรื่องให้ต้องคิดอะไรมากบ้างหรือเปล่า เพราะทุกอย่างสำหรับเขาดูง่ายไปซะหมด ผมว่าน่าอิจฉาสำหรับคนที่มีชีวิตแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงแม้อยากจะทำแบบที่เขาทำได้บ้างก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ของแบบนี้คงขึ้นอยู่กับพื้นฐานอารมณ์ พื้นฐานความคิดของแต่ละคนมากกว่า บางคนมีนิสัยเครียด จริงจัง จะให้มาทำแบบกนกก็คงยาก ผมว่าการที่มีหนังสือเล่าชีวประวัติในแนวแบบนี้ก็ดีเหมือนกันคือ เป็นแนวที่ไม่ได้เน้นการให้กำลังใจหรือแนวการสู้ชีวิต แต่เป็นเพียงแค่การบอกเล่าประวัติตัวเอง เล่าประสบการณ์ของตัวเองที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโตในแบบสบายๆ อย่างนี้ก็อ่านเพลินไปอีกแบบ
โฆษณาต้องห้าม
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เคยมีนักเขียนคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อระดับความต้องการของผู้อ่านเปลี่ยนแปลงไป แนวทางการเขียนหนังสือของนักเขียนก็ต้องเปลี่ยนแปลงตาม นักเขียนต้องพยายามหาแนวทางการเขียนที่พลิกแพลงแตกต่างไปจากเดิม เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน วิธีคิดแบบนี้เราเห็นกันบ่อยในแวดวงโฆษณาที่ต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องอาศัยการความแตกต่างสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเองในการเสนอผลงาน เพื่อดึงดูดใจลูกค้าและคนดูให้สนใจในสิ่งที่เรากำลังจะขาย ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ครีเอทีฟคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาเขียนหนังสือโดยมีวิธีการนำเสนองานเขียนของเขาที่แตกต่างเพื่อดึงดูดใจคนอ่าน เรื่องเล่าจากประสบการณ์ หากใช้วิธีแบบเดิมๆ คงไม่น่าสนใจมากพอ ลองมาดูวิธีที่ครีเอทีฟคนนี้ใช้ ว่าจะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน
กิตติกรบอกเล่าเรื่องราวของเขาและพี่น้องผองเพื่อนชาวโฆษณา ผ่านหนังสือเล่มนี้ ด้วยวิธีการที่น่าสนใจ นอกจากความน่าสนใจในเชิงเนื้อหาที่ถูกนำมาถ่ายทอดแล้ว วิธีการบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นก็แปลกแหวกแนวดีด้วย เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นการเล่าว่าตัวเองเป็นอาจารย์สอนพิเศษที่ราม หากจะเล่าแค่นี้ก็คงไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ด้วยเทคนิควิธีของเขาทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่องกลับกลายเป็นเรื่องน่าอมยิ้มสำหรับผู้อ่านได้ ในแต่ละบทหรือตอน ที่เขานำเสนอจะถูกแทรกด้วยใบปิดโฆษณาซึ่งคงไม่ใช่โฆษณาธรรมดาๆแน่นอน หากแต่เป็นโฆษณาแปลกๆ ไอเดียบรรเจิดสร้างสรรค์มากมาย เขาทำเสมือนหนึ่งว่ากำลังทำรายการซักรายการหนึ่งพอจบตอนก็จะมีโฆษณามาให้ดู
ในตอนที่ชื่อว่าทำไมต้องเหมือนใคร เขาเลือกใช้วิธีกลับหัวหนังสือเพื่อสื่อถึงความแตกต่าง ผู้อ่านต้องอ่านจากขวาไปซ้าย เนื้อหาก็ไม่มีอะไร นอกจากจะเล่าว่าการทำโฆษณานั้นต้องการงานที่มีลักษณะโดดเด่น แตกต่าง โดดออกมาจากโฆษณาอื่นๆเท่านั้นเอง
นอกจากการเล่าเรื่องราวแล้วเขายังสอดแทรกหลักการทำงานโฆษณาที่ดี ทางปฏิบัติต่างๆที่แตกต่างจากทฤษฎี อาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นบทเรียนวิชาโฆษณาย่อมๆที่เน้นสาระไม่มากแต่รับประกันความสนุกได้แน่นอน
งานเขียนเล่มนี้นับได้ว่าเป็นการประสานกันอย่างลงตัวระหว่างความโดดเด่นในด้านเนื้อหาและความโดดเด่นในแง่วิธีการนำเสนอที่แหวกแนวออกไป เป็นตัวอย่างของงานเขียนดีๆที่ใส่ไอเดียสร้างสรรค์ลงไปในเนื้องาน สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมา ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของงานวรรณกรรมที่ผู้อ่านทั้งหลายไม่ควรพลาด
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

คำจำกัดความอย่างสั้นของ บุปผาในมือมารก็คือ จำเลยรักเวอร์ชั่น 18 บวก นิยายรักสามเศร้า ตบจูบที่ลงท้ายด้วยการที่พระเอกนางเอกได้ครองรักกัน ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงลงเอยเช่นนั้น การบรรยายฉากรักอันเร่าร้อนและอารมณ์ความรู้สึกที่ตัวละครมี เป็นจุดเด่นของนิยายเรื่องนื้ ในหนังสือบอกว่าเป็นนิยายหวามอารมณ์สำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งก็เป็นตามนั้น การเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบจะสลับไปมาระหว่างฉากรักกับการบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนจุดเด่นที่สุดของหนังสือก็คือการบรรยายเรื่องรักบนเตียงระหว่างพระเอกกับนางเอก ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังโป๊ แต่ไม่ใช่หนังโป๊ที่ขายฉากสยิว หากแต่เป็นหนังโป๊ที่มีความสวยงามทางวรรณศิลป์มากกว่า คือการใช้ภาษาแม้จะเป็นการเรื่องเพศสัมพันธ์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเกลียด กลับรู้สึกถึงความสวยงามทางภาษามากกว่า จริงๆผมว่าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ก็อ่านได้ นอกจากนี้ผมเองพยายามทำความเข้าใจตัวละครเอกของเรื่องทั้งสองคนว่าทำไมถึงรักกัน คือพยายามเท่าไหร่ก็หาคำตอบไม่ได้ เซ็กส์ทำให้คนรักกันได้จริงๆหรือ ยิ่งช่วงนี้มีข่าวรณรงค์ไม่ให้ละครมีฉากพระเอกข่มขืนนางเอก นักจิตวิทยาก็ออกมาบอกว่าพระเอกข่มเหงนางเอกแล้วทำให้นางเอกรักพระเอกขึ้นมาไม่ใช่เรื่องจริง ก็ยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปใหญ่ว่าอะไรคือฐานที่คนเขียนหนังสือเล่มนี้ใช้ในการทำให้ตัวละครหญิงยังคงรักพระเอกอยู่ ทั้งที่เธอก็พร่ำบอกตัวเองว่าเธอเกลียดพระเอกอยู่ตลอดเวลา ไม่แน่ใจว่าตัวเองเครียดเกินไปรึเปล่าเวลาอ่านนิยาย แต่บางทีก็รู้สึกว่านิยายก็ควรจะอยู่บนพื้นฐานความจริงบ้าง
ภายหลังการเสียชีวิตของมารดา จิตใจของคาร์ลอสเต็มไปด้วยความเศร้าระคนไปกับความแค้นที่ครุกรุ่น แม้เขาจะทราบดีว่ามารดาป่วยมานานแล้ว แต่อาการของแม่ทรุดลงอย่างกะทันหันและจากไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่พ่อพาเมียเก็บขึ้นมาอาศัยร่วมชายคา ชายหนุ่มเหลือบตามองไปยังหญิงแพศยาด้วยความอาฆาต ไล่เลยไปถึงเด็กหญิงตัวน้อย มีเรีย เขาลุ่มหลงในเรือนกานของมีเรีย และในขณะเดียวกันก็ต้องทุกข์ทรมานกับความรู้สึกอันขัดแย้ง ความหลงออความปรารถนาอยากได้มาครอบครอง ผสานกับความโกรธแค้นชิงชัง อัดแน่นอยู่ภายในจิตใจ
มีเรียกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับชายหนุ่มที่เธอหลงรัก แต่คาร์ลอสได้พรากเธอไปจากเขา ด้วยการข่มเหงมีเรียทั้งร่างกายและจิตใจหลายต่อหลายครั้ง เขาพร่ำบอกถึงความรู้สึกที่มีต่อมีเรียและขอให้เธอยอมตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว คาร์ลอสรู้ตัวดีว่าหัวใจของเขาได้ตกเป็นของเธอตั้งนานแล้ว หากแต่ความชิงชังในมารดาของเธอผลักดันให้เขาข่มซ่อนความเสน่หานั้นไว้ กระทั่งมันบ่มเพาะจนสุกงอม บีบคั้นจนยากจะต้านทาน เขาจึงต้องได้เธอ มีเรียต้องก้มหน้ายอมจำนนแต่งงานกับชายหนุ่มที่เธอเกลียดชัง โดยที่หัวใจของเธอยังคงติดอยู่กับชายหนุ่มอีกคนที่เธอหลงรัก
แต่ก็น่าแปลก ทั้งที่เธอถูกข่มเหงทุกอย่าง เธอกลับโหยหาภาพวันคืนในอ้อมกอดของเขา แววตาที่จ้องมองเธอด้วยความรัก เป็นความรู้สึกที่บีบคั้น เธอรู้ตัวแล้วว่าเธอได้สูญเสียหัวใจให้กับปีศาจร้ายที่เธอเกลียดชัง เธอเกลียดตัวเองที่อ่อนแอ พ่ายแพ้ต่อความรู้สึก ทั้งที่เขาโหดร้าย ทั้งที่เคียดแค้นสุดหัวใจ แต่กลับหลงรักเขาอย่างง่ายดาย ทรยศต่อการตายของมารดา ทรยศต่อคนรัก และท้ายสุดคือทรยศต่อตัวเอง
คำบอกรักของคาร์ลอสยังคงดังก้องในความคิด แต่จิตใจของมีเรียก็ยังคงสับสน เธอจะรักคาร์ลอสอีกครั้งได้อย่างไรในเมื่อคนรักของมีเรียต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของเขา เธอไม่เข้าใจคำว่ารักที่คาร์ลอสมอบให้ เพราะสำหรับเธอความรักคือสิ่งสวยงาม คือการทำให้คนที่เรารักมีความสุข ไม่ใช่ความปรารถนาร้อนแรงที่ชายหนุ่มแสดงออก ไม่ใช่การทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้มาครอบครอง
สิ่งที่คาร์ลอสทำ ผลักดันให้เธอตัดสินใจในสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่คาร์ลอสจะได้กลับไปเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณที่เขาบอกว่ารัก… นั่นยังไม่ใช่บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ได้ทำให้คาร์ลอสรู้สึกถึงความเจ็บปวดเหมือนกำลังจะแตกสลายในยามที่จะไม่มีเธออยู่เคียงข้าง เขายินดีแลกทุกอย่างเพียงเพื่อได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ซึ่งย่อมหมายถึงการปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระจากเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเรียยินดีกับอิสรภาพที่เธอได้รับหรือไม่ หรือหัวใจของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความหดหู่
คู่มือ Photoshop CS6 Professional Guide ฉ.สมบูรณ์
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ในแง่ของโปรแกรม Photoshop เวอร์ชั่น CS6 ซึ่งเปิดตัวในปี 2012 นี้ประกอบไปด้วยฟีเจอร์ใหม่มากมาย โดยมีเครื่องมือและคำสั่งต่างๆ ที่ทำให้งานยากๆสำเร็จลุล่วงไปได้ในพริบตา ที่สำคัญยังเพิ่มเติมความเสถียรของโปรแกรมอีกด้วย ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว ตัวอย่างฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ปรากฏในเวอร์ชั่นนี้ ได้แก่
• Interface ใหม่
• ชุดเครื่องมือกลุ่มรีทัชและดัดรูปทรง
• Paragraph styles และ Charater styles
• ปรับปรุงเครื่องมือกลุ่มวาดรูปทรง
• คำสั่ง Adaptive wide angle lens
• ชุดคำสั่ง Blur แบบใหม่
• แต่งแสงแบบใหม่ด้วย Lighting effects
• Camera Raw 7
• แปลงภาพเป็นภาพวาดด้วย Filter Oil paint
• คัดกรอง Layer ในการทำงาน ด้วย Layer Filtering
• การทำงานแบบใหม่ของ 3D (เฉพาะเวอร์ชั่น Extended)
• บันทึกภาพแบบ Background Saving
• เรียกคืนไฟล์ที่ Error ด้วย Auto-Recovery
เป็นต้น
โดยสรุป สิ่งที่โดดเด่นของ Photoshop เวอร์ชั่นนี้มี 3 ประการ คือ ความสะดวกสบายในการทำงานที่เพิ่มขึ้น เครื่องมือและคำสั่งต่างๆ ที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นมาก การทำงานกับไฟล์ขนาดใหญ่ทำได้ดีขึ้น
ในแง่ของรูปแบบหนังสือ หนังสือเล่มนี้เหมาะทั้งมือใหม่และผู้ที่มีพื้นฐานมาก่อน สำหรับมือใหม่สามารถศึกษาและทำตามได้ด้วยการสอนที่เป็นขั้นเป็นตอนจากตัวอย่างงานจริงที่มีรูปประกอบ สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานมาก่อน รายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดค่าและการประยุกต์ใช้เครื่องมือในหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้สามารถใช้โปรแกรมได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื้อหาภายในเล่มจะแบ่งออกเป็น 22 chapter ได้แก่
1. มีอะไรใหม่ใน CS6 บ้าง
2. การทำงานกับไฟล์ภาพเบื้องต้น เช่น การดึงภาพจากกล้องและสแกนเนอร์ การกำหนดขนาดและความละเอียดของภาพ
3. การทำงานกับ CS6 เบื้องต้น เช่น การทำความรู้จักกับพาแนลปรับแต่งภาพ การทำงานกับกล่องเครื่องมือ
4. Adobe bridge CS6 และ Mini bridge เช่น รีวิวภาพถ่ายด้วย Adobe bridge CS6
5. การจัดการกับสี เช่น ความสามารถในการแสดงสีในอุปกรณ์ต่างๆ
6. การใช้งานสี เช่น การทำความรู้จักกับโหมดสีและการเลือกใช้สี
7. การปรับแต่งความสว่างและสีให้กับภาพถ่าย เช่น การปรับความสว่าง ความสดใส ด้วยเลเวลและเคิร์ฟ
8. เทคนิคตกแต่งสีและความสว่าง เช่น การเปลี่ยนภาพเป็นขาวดำ การย้อมสี การเปลี่ยนสีเฉพาะจุด
การสร้างภาพ HDR
9. รีทัชและปรับปรุงภาพถ่าย เช่น การปรับความพกพร่องเฉพาะจุด การแก้ไขภาพด้วย Lens correction
10. บิด ดัด และปรับปรุงรูปทรง เช่น การหมุนภาพ เพิ่ม-ลดระยะของภาพ การบิดรูปทรงแบบอิสระ
11. ตกแต่งภาพถ่ายด้วย Camera Raw
12. ใช้งานและตกแต่งภาพด้วย Layer เช่น การเลือก Layer, เชื่อมโยง Layer, สลับและรวม Layer
13. Selection และการตัดต่อ เช่น การสร้าง Selection ด้วยวิธีต่างๆ
14. การระบายสี เช่น การลงสีด้วย Brush tools
15. การวาดภาพ เช่น รู้จักเครื่องมือการวาดรูปแบบ vector
16. การสร้างงานกราฟฟิกด้วย Filter
17. การทำงานกับข้อความและตัวอักษร
18. การพิมพ์ภาพและ export ไฟล์
19. กราฟฟิกสำหรับเว็บและ animation เช่น การออกแบบภาพกราฟฟิกเว็บ
20. การทำงานกับ action
21. การทำงานกับ 3D
22. 10 workshops เช่น ปรับปรุงภาพถ่ายสีซีดให้อิ่มขึ้น, เพิ่มเติมความสดใส, ตกแต่งภาพแบบ HDR, ตัดต่อภาพ, เปลี่ยนภาพถ่ายเป็นภาพวาด, รีทัชภาพสาวให้สวย, ตกแต่งสีสันให้นุ่มนวล, Typographic portrait,
สร้างป้ายลดราคาสวยๆ, ออกแบบตัวอักษร 3 มิติ
มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือหนังสือเล่มนี้มีความหนาถึง 594 หน้า อาจทำให้ผู้อ่านหลายคนเกิดความกลัวว่าหนังสือเล่มนี้จะอ่านยากหรือทำความเข้าใจยาก แต่แท้ที่จริงแล้วความหนาของเล่มเกิดจากการออกแบบเพื่อให้หนังสืออ่านเข้าใจง่ายด้วยวิธีการสอนการทำงานแบบเป็นขั้นเป็นตอนโดยละเอียด พร้อมภาพตัวอย่างประกอบให้ทดลองทำตาม เน้นการอธิบายการทำงานทุกส่วนทุกฟังก์ชั่นให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ได้อธิบายเฉพาะฟังก์ชั่นที่ถูกปรับปรุงเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ในเวอร์ชั่น CS6 นี้แต่เพียงอย่างเดียว แถมด้วย tip และเทคนิคที่ครอบคลุมการทำงานทุกด้าน ทำให้ผู้อ่านไม่ต้องกังวลว่าจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ ไม่สามารถทำตามได้ นอกจากนี้ท้ายเล่มยังมีวีดีโอ Tutorial สอนวิธีการทำงานแบบมืออาชีพถึง 10 workshops และ action ปรับแต่งภาพกว่า 100 แบบด้วยกันแถมมาด้วยตามสไตล์หนังสือฮาวทู ทั้งมือใหม่และมือเก๋าของโปรแกรมนี้จึงมั่นใจได้เลยว่าหนังสือเล่มนี้มีความครบถ้วนสมบูรณ์สามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจและฝึกใช้งานโปรแกรมยอดฮิตนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก รักจองใจ(ฌามิวอาห์)
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เกริ่นนำ
ฌามิวอาห์ ยังคงคอนเซปท์ผู้ชายเอาแต่ใจ ในนิยายของเธอ แถมในครั้งนี้ยังได้เพิ่มดีกรีความเอาแต่ใจ บวกกับความขี้โมโห และใจร้ายมาใส่เข้าไปอีก
เนื้อเรื่องย่อ
เรื่องราวความหลังในอดีตทำให้ณิชารีย์ (นิด) จากประเทศไทยไปโดยไม่คิดหวนกลับ แต่เมื่ออนาคตทางดนตรีของ อิชฌน์ พี่ชายข้างบ้านที่ต่อมากลายเป็นคนในครอบครัวเมื่อพ่อของเขาและแม่ของเธอแต่งงานกันต้องจบลงเพราะประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่จนตาบอดสนิททั้งสองข้าง เธอจึงต้องย้อนกลับคืนมาเพราะเขาและครอบครัวคือความทรงจำเกือบทั้งหมดในชีวิตวัยเยาว์ของเธอ แม้ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับอิชฌน์จะไม่กระทบกับพรสวรรค์ด้านดนตรีของเขา แต่เขากลับปฏิเสธที่จะขึ้นเวทีอีกนับแต่นั้น หันหลังให้กับสังคมและชื่อเสียง รวมถึงนักไวโอลินสาวคู่รัก ตัดขาดโลกภายนอกจนสิ้น นิดมองชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็น เธอชื่นชมเขามาตั้งแต่เล็ก ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่เคยเห็นเธอเป็นมากไปกว่าเด็กหญิงข้างบ้านที่โชคชะตาลิขิตให้เป็นคนในครอบครัว แต่อิชฌน์ที่เห็นนั้นไม่ใช่ผู้ชายปากร้าย ใช้คำพูดเยาะหยัน และโมโหร้าย เขาไม่ใช่ผู้ชายในฝันของใครๆเหมือนเมื่อก่อน รอยยิ้มอย่างพี่ชายใจดีเลือนหายไป
เมื่อสมาชิกจากสองครอบครัวที่ต่างฝ่ายต่างขาด ได้มารวมเป็นครอบครัวเดียวกัน นั่นเป็นการเติมเต็มความอบอุ่นให้กลับมาอีกครั้งสำหรับครอบครัวของอิชฌน์ แต่การจากไปของนิดกับพ่อแท้ๆของเธอ สร้างความหม่นหมองให้เกิดขึ้นกับครอบครัวที่เหลืออยู่ และสร้างความไม่เข้าใจให้กับอิชฌน์และน้องสาวของเขา ไอริณ
นิดกลับมาเพื่อช่วยอิชฌน์ให้กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง โดยการพาเขาไปรักษาที่ต่างประเทศ แต่อิชฌน์บอกปัดอย่างไม่มีเยื่อใย แต่เธอก็ยังไม่ลดละความพยายาม เธอยังคงอดทนกับความโมโหร้ายและเอาแต่ใจของอิชฌน์ อิชฌน์บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในบ้านยามนี้ เขาคุ้ยชินกับการอยู่เพียงลำพัง การมาของนิดไม่ต่างกับก้อนหินที่ถูกโยนลงบนผิวน้ำราบเรียบ แรงกกระเพื่อมก่อกวนความสงบ ที่อิชฌน์ไม่มั่นใจคือถ้าแรงกระเพื่อมนั้นหายไปตัวเองจะรู้สึกอย่างไร อิชฌน์เคยคิดว่ครอบครัวหจะไม่ทให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปมากนักความห่วงใยที่มีต่อนิด คือสิ่งที่เขาเคยบอกกับตัวเองว่าคือความรู้สึกของพี่ชายที่มีต่อน้องสาว เช่นเดียวกับที่เขามีต่อไอริณ กระทั่งวันนึงจึงรู้สึกว่าลึกซึ้งกว่านั้น
นิดใช้ชีวิตร่วมกันกับอิชฌน์ในบ้านหลังนั้น ด้วยความรู้สึกภายในใจว่าอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ ให้เธอได้อยู่เคียงข้างเขาตลอดไป
“คุณไม่กลัวเสียใจถ้าวันนึงคนที่อยากเห็นมายืนตรงหน้าแต่ไม่อาจมองเห็นหรือ แล้วถ้าเธอตกอยู่ในอันตรายและต้องการคุณล่ะ จะเสียใจไหมถ้าวันนั้นมาถึงแล้ว แต่คุณทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปล่อยให้เธอเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง เพื่อสิ่งนี้ได้ทำให้ดวงตาที่เคยมืดมนกลับมามองเห็นผู้เป็นที่รักได้อีกครั้ง”
รักจองใจ เป็นเรื่องราวความรักความผูกพันที่มีมาตั้งแต่วัยเด็กของชายหญิงคู่หนึ่ง จากความสนิทสนมแบบ เพื่อนบ้าน พี่น้อง กลายมาเป็นเรื่องราวความรักแบบหนุ่มสาว เชื่อว่าชีวิตวัยเด็กของหลายคนคงเคยแอบชอบใครซักคน ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน หรือเพื่อนร่วมชั้น บางคนสามารถพัฒนาความรักของตัวเองได้ต่อเนื่องยาวนาน ในขณะที่บางคนไม่สามารถสานต่อความรักได้ แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือประสบการณ์ เป็นการเริ่มต้นเรียนรู้ความรักมากกว่า หลายคนที่เคยมีประสบการณ์รักแบบนี้ อ่านแล้วน่าจะมีทำให้ได้ย้อนนึกถึงวันวานของตัวเองในอดีต ในส่วนบทสรุปของเรื่องจะเป็นอย่างไรคงคาดเดาได้ไม่ยาก แต่สิ่งสำคัญมากกว่าตอนจบคือ ผู้อ่านจะไดรู้สึกถึงความรักความผูกพันที่ทั้งสองมีต่อกันตั้งแต่ในวัยเด็ก เป็นความรักที่เกิดขึ้นยาวนานมั่นคง ไม่อาจลืมเลือนและน่าประทับใจ สำหรับผมเองรู้สึกว่ายังไม่ประทับใจเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะไม่รู้สึกอินกับตัวละคร ประกอบกับพล็อตเรื่องก็เป็นแบบฉบับของละครน้ำเน่าที่เคยผ่านตามาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ยอมรับว่าอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ซัก 80% ก็ข้ามไปอ่านตอนจบเลย และก็ไม่ผิดคาดว่าตอนจบจะออกมาเช่นไร แต่ข้อดีก็อย่างที่บอกคือเป็นการเล่าเรื่องความผูกพันของตัวละคร เป็นเรื่องความรักทำให้เกิดความอดทนเสียสละเพื่อคนที่รัก จุดที่น่าประทับใจก็อยู่ตรงนี้


5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้นำคือคนที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ
อัจฉริยะ หลายคนอาจคิดว่าเป็นพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ในความเป็นจริง อัจฉริยะ ก็เกิดขึ้นได้จากพรแสวง ด้วยการฝึกฝนเรียนรู้ ด้วยการพัฒนาตนเอง ที่สำคัญต้องเป็นไปในทางที่ตนเองสนใจ
เมื่อทั้งสองสิ่งผสานกัน หนังสือเล่มนี้จึงมีความมุ่งหมายที่จะนำพาผู้นำและผู้น้อยที่อยากจะเป็นผู้นำทั้งหลายไปสู่ความเป็นผู้นำอัจฉริยะ โดยเริ่มจากการสร้างตัวตนที่เชื่อมั่นไม่สั่นคลอนซึ่งสำคัญที่สุดคือคุณจะต้องจริงใจกับตัวเอง แล้วพิเคราะห์ว่าคุณต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร อะไรที่คุณทำแล้วมีความสุข เมื่อคุณสามารถสร้างตัวตนของคุณได้แล้ว ก็จำเป็นจะต้องพัฒนาหรือสานต่อตัวตนของคุณให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นก็ต้องทำความชัดเจนในคุณค่าของคุณให้เกิดขึ้น กล่าวคือคุณต้องรู้ว่าคุณยึดมั่นเรื่องอะไร แล้วจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่คุณยึดมั่นเหล่านั้น ขั้นตอนต่อไปคือการตั้งเป้าหมายและการมีวินัยในตนเองกับงานที่จะทำให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทั้งหมดคือขั้นตอนหลักในการก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำอัจฉริยะ
ต่อไปเป็นขั้นตอนเสริม ซึ่งได้แก่
1. คุณต้องมีอารมณ์เป็นบวก ทั้งนี้เพราะอารมณ์เป็นบวกจะช่วยสร้างพลังสมอง พลังความคิด พลังสติปัญญา
2. คุณต้องมีความกล้าหาญ ความกล้าหาญเกิดขึ้นได้จากการควบคุมความกลัวของคุณ เผชิญกับความกลัว และพิเคราะห์ความกลัวนั้นให้ถ่องแท้
3. คุณต้องไว้วางใจลูกน้อง เมื่อนิยามของคำว่า ภาวะผู้นำ คือความสามารถในการให้ได้มาซึ่งผู้ตาม วิธีการให้ได้มาซึ่งผู้ตามก็คือคุณต้องมีคุณสมบัติที่สามารถปลุกเร้าแรงบันดาลใจได้ คุณต้องมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในสิ่งที่ทำ และประการสุดท้ายคือ คุณต้องไว้วางใจคนอื่น ความไว้วางใจเป็นเสมือนการเร่งปฏิกิริยาให้กับสมรรถนะในการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น ถ้าคุณไม่ไว้วางใจใครเลย คุณก็จะทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ คุณจะไม่เชื่อมือคนอื่น คนอื่นก็จะไม่กล้าร่วมงานกับคุณ และสุดท้ายภาระหน้าที่ทั้งหมดก็จะตกอยู่กับคุณเพียงคนเดียว การเป็นผู้นำมิได้หมายความว่าคุณต้องทำทุกอย่างเองทั้งหมด
โดยสรุปก็คือ การทีจะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำอัจฉริยะได้นั้น คุณต้องมีการวางแผนเตรียมการที่ดี อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเป็นระบบ โดยอาศัยปัจจัยเสริมต่างๆเป็นแรงผลักดันให้ไปสู่เป้าหมาย และแน่นอนที่สุดคือวินัยในตัวเองเพื่อที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสอนวิธีการพัฒนาตัวเอง เหมือนๆกับหนังสือแนวนี้ที่เราเห็นอยู่ทั่วไปตามแผงหนังสือ แต่ข้อดีของหนังสือเล่มนี้ที่แตกต่างคือ นอกจากวางหลักในการพัฒนาตนเองแล้ว ยังมีแบบฝึกหัดให้ทดลองทำตามหลักการที่นำเสนอด้วย อย่างไรก็ตามคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีข้อติงอยู่อย่างหนึ่งคือ การนำเสนอหลักการที่อ่านแล้วเข้าใจยาก จินตนาการไปไม่ถึง พอไม่เข้าใจหลักการ หรือ นึกภาพที่หนังสือสอนไม่ออก ต่อให้มีแบบฝึกมาให้ ก็ยากที่จะนำไปทดลองปฏิบัติ อีกประการหนึ่งคือสถานการณ์จริงมันมีปัจจัยแวดล้อมมากมายที่อาจทำให้เรายึดหลักที่ว่านั้นโดยเคร่งครัดไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้อ่านคงต้องเอาไปประยุกต์ใช้เองพอสมควร ขอให้คะแนน 7 เต็ม 10
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

“ นักเขียนพูดดังกว่านักพูดและพูดได้นานกว่า “ คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเขียนที่ผู้เขียนสามารถถ่ายทอดข้อมูลความรู้ ความคิด และอารมณ์ความรู้สึกของตนลงไปในหน้ากระดาษ โดยที่แม้เขาจะตายไปแล้ว สิ่งที่เขาเขียนก็ยังคงอยู่ เป็นการทำลายข้อจำกัดต่างๆ ของความทรงจำ
เชื่อว่าหลายคนที่อยากเป็นนักเขียน มีเรื่องราวมากมายอยู่ในหัว และอยากถ่ายทอดออกมาให้คนอื่นได้อ่าน แต่ติดปัญหาตรงที่ ไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องยากๆ หรือเรื่องทางวิชาการ หรือบางคนอาจจะกลัวว่าเมื่อเขียนไปแล้วจะน่าสนใจมั้ย ผู้อ่านจะอ่านรู้เรื่องมั้ย เกิดปัญหาในด้านเทคนิคการเขียนต่างๆ
หนังสือเล่มนี้แนะนำแนวทางปฏิบัติในการเขียนบทความอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีรูปแบบการนำเสนอที่ดี มีตัวอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย เป็นคู่มือชั้นดีสำหรับมือใหม่ที่ต้องการจะเริ่มต้นเขียนบทความทางวิชาการ รวมถึงผู้ที่มีประสบการณ์ในการเขียนมาบ้างแล้ว ก็สามารถอ่านได้
ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสังคมไทยกับสังคมตะวันตกไว้อย่างน่าสนใจ โดยกล่าวว่า ”สังคมตะวันตกเป็นสังคมที่มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ก็เพราะเขามีวัฒนธรรมการเขียนและการอ่านที่เข้มแข็ง จะเห็นได้จากการที่มีการตีพิมพ์วารสาร บทความ และหนังสือทางวิชาการจำนวนมาก และมีการต่อยอดจากองค์ความรู้เดิมอยู่เรื่อยๆ ผ่านงานเขียนในรูปแบบต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับสังคมไทยจะเห็นว่า เรามีแต่วัฒนธรรมการฟังและการพูด แต่ยังขาดวัฒนธรรมการเขียนและการอ่าน ไม่มีการจดบันทึกองค์ความรู้ นอกจากนี้เรายังมีวัฒนธรรมหวงวิชา คนเก่งมักจะเก็บวิชานั้นไว้ไม่ถ่ายทอด หรือหากถ่ายทอดก็เป็นแบบปากต่อปาก จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ในยุคปัจจุบันบรรดาครูบาอาจารย์ คนที่น่าจะเป็นนักคิดในสังคม กลับไม่ได้มีงานเขียนที่เป็นการเผยแพร่แก่ประชาชน มีแต่งานเขียนงานวิจัยที่เป็นไปเพื่อการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการของตนเท่านั้น การที่สังคมไทยมีลักษณะเช่นนี้จะทำให้เรากลายเป็นสังคมตีบตันทางสติปัญญา”
เนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วย
1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบทความ : สอนว่าบทความคืออะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง ลักษณะของบทความที่ดีเป็นอย่างไร
2. ทำลายกำแพงสามชั้น เขียนบทความอย่างไรให้น่าอ่าน : ชั้นที่หนึ่ง ต้องคิดเป็น ซึ่งอาจหมายถึงมีความคิดในเชิงเนื้อหาที่คมชัด ชั้นที่สอง ต้องเขียนเป็น การเขียนเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยการฝึกฝน ชั้นที่สาม ต้องมีคนอ่าน แปลว่าเราจะต้องรู้จักว่าผู้อ่านงานของเราเป็นใคร คือรู้กลุ่มเป้าหมาย
3. เตรียมความพร้อมก่อนลงมือเขียน ได้แก่ การเลือกหัวข้อเรื่องและการวางโครงเรื่อง
4. ได้เวลาลงมือเขียน ได้แก่ การเขียนเกริ่นนำด้วยวิธีการต่างๆ การเขียนเนื้อเรื่อง เช่น การเลือกใช้คำ การวางย่อหน้า ความมีเอกภาพของเรื่อง การลำดับเนื้อหาตามโครงเรื่อง การใช้ภาษา การเขียนบทสรุป การขัดเกลาบทความ
5. ข้อคิดทิ้งท้ายเพื่อผู้ที่อยากเป็นนักเขียน นักเขียนมีดีที่ใจ ความคิด และลักษณะชีวิต
ผู้เขียนบอกว่า หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือชั้นดีสำหรับมือใหม่ที่ต้องการจะเริ่มต้นเขียนบทความทางวิชาการ รวมถึงผู้ที่มีประสบการณ์ในการเขียนมาบ้างแล้ว ก็สามารถอ่านได้ แต่จริงๆแล้วคิดว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้เริ่มต้นมากกว่า เพราะอธิบายได้ละเอียด เข้าใจง่ายดี เป็นการสอนเทคนิคง่ายๆ เสียอย่างเดียวตรงที่มีตัวอย่างน้อยเกินไป อยากให้มีตัวอย่างบทความที่หลากหลายมากกว่านี้ จริงๆแล้วการเขียนบทความที่ดีย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์มากกว่า ซึ่งหมายถึงทั้งประสบการณ์ทางความรู้วิชาการที่จะเขียน และประสบการณ์ในการเขียนจริง ซึ่งแน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้คงให้ประสบการณ์แบบนั้นไม่ได้ ขอให้คะแนน 7 เต็ม 10
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการพร่าพันธุ์มนุษย์ ว่าด้วยอัตถชีวประวัติของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมันจอมเผด็จการคนสำคัญ ชายผู้ที่โลกต้องจารึกเอาไว้ในฐานะคนที่ทำลายโลก ทำลายชีวิตมนุษย์ มากที่สุดคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เรื่องราวของเขาน่าสนใจอย่างยิ่ง นับตั้งแต่วัยเยาว์ที่ใฝ่ฝันจะเป็นจิตรกรและศิลปิน วัยหนุ่มที่สนใจการเมืองกระทั่งก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของเยอรมนี แม้ว่าสิ่งที่เขาทำหลายต่อหลายอย่างเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำพาโลกเข้าสู่วิกฤตการณ์ สงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีคนตายนับล้านๆ คน หรือแม้แต่กรณีการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในเยอรมณีและประเทศใกล้เคียงอีกหลายแสนชีวิต เรื่องราวชีวิตของเขา เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่อาจมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินไป หวังว่าจะครอบครองโลกนี้ได้แต่เพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ตามฮิตเลอร์เองก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีเลือดมีเนื้อ มีความรักและความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีด้านที่เลวร้ายมากกว่าด้านดี แต่หากเราทำความเข้าใจกันอย่างจริงจังในมุมมองของเขาหรือของชาวเยอรมันในยุคสมัยนั้นก็อาจมองว่าเขาคือวีรบุรุษผู้กู้ชาติจากความล่มสลายภายใต้สนธิสัญญาแวร์ซายส์ และยอมสละชีวิตปกป้องเขา ปกป้องอาณาจักรไรซ์ที่สามของเขา จนวินาทีสุดท้าย
ผู้อ่านสามารถใช้หนังสือเล่มนี้เป็นฐานข้อมูลในการศึกษาเรื่องราวประวัติชีวิตของฮิตเลอร์และสงครามโลกครั้งที่สองได้เป็นอย่างดี การลำดับเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เป็นไปอย่างเข้าใจง่าย เริ่มตั้งแต่ฮิตเลอร์ก่อนกลายเป็นจอมเผด็จการ ลักษณะนิสัยส่วนตัว การก้าวเข้าสู่วงการเมือง เยอรมนีภายใต้กำมือของเขา สัญลักษณ์สวัสดิกะ การสดุดีแบบนาซีและโฟล์คสวาเกนที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าฮิตเลอร์เป็นคนคิดตราสัญลักษณ์ขึ้นมา ฮิตเลอร์ เยอรมนีและสงครามโลกครั้งที่สอง แผนลอบสังหาร 20 กรกฎาคม วาระสุดท้าย และบุคคลสำคัญรอบข้างฮิตเลอร์ นอกจากนี้ยังมีภาพสำคัญๆทางประวัติศาสตร์ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็นมาก่อนประกอบด้วย เช่น ภาพฮิตเลอร์สมัยเป็นทารก ภาพบิดาของเขา(แอลไลส์ ฮิตเลอร์) ภาพฮิตเลอร์สมัยหนุ่มขณะเป็นทหาร ภาพฮิตเลอร์ขณะปราศัย ในสภาไรซ์สตาก สภาพศพเชลยในสถานกักกัน อีวา บราวน์ คนรักและภรรยารักชั่วข้ามคืน เป็นต้น
เนื้อหาสาระในหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงชีวประวัติดังกล่าวของฮิตเลอร์แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองแนวความคิดและอุดมการณ์ในตัวของเขาอันเป็นที่ประจักษ์ในความมุ่งมั่น อย่างไรก็ตามแม้จะมุ่งมั่นเพียงไรคนทั่วไปย่อมสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วอุดมการณ์เช่นใดเป็นเรื่องดีงามและเหมาะสม อุดมการณ์เช่นใดที่จะไม่ทำลายชีวิตของผู้คนให้ตกต่ำลง
อย่าลืมว่าประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่เรารับรู้มานี้ ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ปรากฏล้วนเขียนขึ้นจากสายตาของผู้ชนะคือฝ่ายพันธมิตร ดังนั้นเราจึงอาจจะยังไม่มั่นใจได้ว่า แท้จริงแล้วเขาจะเลวร้ายอย่างที่เห็นหรือปรากฏหรือไม่
UNSEEN  เปลือยชีวิตสาวอาบอบนวด
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

จากบทนำ เปลือยชีวิตสาวอาบอบนวด เป็นเรื่องเล่าจากชีวิตจริงหรือประสบการณ์จริง ด้วยความตั้งใจของผู้เขียนที่จะทำให้ผู้ชายหรือสามีของใครบางคนได้หยุดคิด หรือเลิกคิดที่จะไปเที่ยวผู้หญิง และหากมีหญิงสาวที่ที่กำลังหลงทางในชีวิตและกำลังอยากจะก้าวเข้าสู่วงการจะได้ล้มเลิกความคิดนี้
ทำไมผู้ชายถึงชอบเที่ยวอาบอบนวด ผู้เขียนบอกว่าผู้ชายที่เป็นแฟนหรือสามีก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้ชายกับของเล่น ต่างกันก็แค่ของเล่นคนละอย่าง ของเล่นที่ไม่มีอยู่ในบ้าน ก็ต้องออกไปหาข้างนอก เมื่อเห็นของใหม่ก็ตื่นตาตื่นใจ อยากรู้อยากลองไปซะหมด แล้วสาวไซด์ไลน์ต่างจากอาบอบนวดอย่างไร อันที่จริงสาวไซด์ไลน์ 9 ใน 10 ก็คือหมอนวดมืออาชีพดีๆนี่เอง
คุณเคยกลัวว่าจะติดโรคร้ายจากสาวๆเหล่านี้ไหม เด็กคนไหนติดโรคไม่ว่าจะร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงยังไงก็ตาม หากผลตรวจออกมาไม่ดี อาบอบนวดจะให้พักงาน อ่านมาถึงตอนี้ก็ไม่เห็นว่าจะน่ากลัวตรงไหน แต่เดี๋ยวก่อนสิ่งที่เป็น UNSEEN คือ 99% ของหมอนวดติดโรคร้ายมาจากผัวของเธอ ผู้เขียนได้เล่าเรื่องราวของปุ๋ยหมอนวดคนหนึ่งที่ติดโรคร้ายมาจากผู้ชายที่เธอคบอยู่เพื่อเป็นอุธาหรณ์
ลูกเจี๊ยบ อุปกรณ์สำคัญของเหล่าหมอนวด เป็นตัวช่วยชั้นดีในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เหตุการณ์ที่หมอนวดท้องแอบเข้ามาทำงานเป็น UNSEEN อีกเรื่องหนึ่ง
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ทำไมหมอนวดต้องมีผัวเลว? เชื่อว่าหลายคนที่เคยดูละครน้ำเน่ามาบ้างคงเคยเห็นตัวละครที่เป็นผู้ชายประเภทนี้บ่อยๆ จริงๆแล้วคำตอบก็ง่ายแสนง่ายคือ คุณตกปลาด้วยเหยื่อแบบไหน คุณก็จะได้ปลาที่กินเหยื่อแบบนั้น
คนเชียร์แขก เราคงเคยเห็นกันมาบ้างแล้วตามละครโทรทัศน์ แต่หน้าที่ของเขามีแค่นั้นจริงๆหรือ ผู้อ่านอาจจะคาดไม่ถึงก็ได้ว่า อนาคตของหมอนวดคนหนึ่งๆอยู่ในกำมือของคนเชียร์แขกนี่แหละ เฉพาะเงินเดือนบวกค่าคอมก็มากกว่าเงินเดือนของใครหลายคนเสียอีก พวกนี้เดือนๆนึงได้เป็นแสน
เอเย่นต์ สิ่งที่เอเย่นต์ทุกคนต้องมีและมีเหมือนกันหมด นั่นก็คือความระยำ อาจแบ่งเป็นระยำมาก ระยำน้อย ระยำปานกลาง พวกนี้มีหน้าที่หาเด็กสาวหน้าใหม่มาประดับวงการและคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากร่างกายของเธอเท่านั้น พวกนี้จะเอาเปรียบหมอนวดสารพัดวิธีจนเธอม่สามารถหลุดพ้นจากมือของคนพวกนี้ไปได้เว้นแต่จะหันหลังให้กับวงการนี้
เรื่องที่ผู้อ่านหลายท่านคงอยากรู้คือวงจรชีวิตในแต่ละวันของพวกเธอเป็นอย่างไร เบื้องหลังการทำงานแบบ exclusive ระหว่างเธอกับแขกที่มาใช้บริการ วิธีการเที่ยวที่ถูกต้อง ผู้เขียนออกตัวว่าไม่ได้มีเจตนาส่งเสริมให้ใครไปเที่ยว แต่บอกว่าหากไม่รู้เรื่องเลวร้าย แล้วจะรู้ได้ไงว่าเรื่องดีๆมันเป็นอย่างไร (เหตุผลฟังดูแปลกๆ)
เวลาที่พวกเธอเลิกงานแล้วไปไหนต่อ? อาจเป็นเรื่องที่ใครหลายคนอยากรู้ แต่ที่ UNSEEN จริงๆก็คือบทสนทนาหลังจากเวลางานมากกว่าเพราะนี่คือช่วงเวลาที่เธอจะได้ปลดปล่อยและเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด อยากรู้ว่าพวกเธอคุยอะไรกัน ต้องลองอ่านดู
ปทานุกรมฉบับนักเที่ยว ผู้อ่านจะได้เรียนรู้ศัพท์ที่ใช้กันในวงการ เช่นนางไม้ บีคอร์ส ไฟหน้า เงินหล่น เงินทอน เป็นต้น
การเป็นสาวอาบอบนวดไม่ใช่จะเป็นกันได้ง่ายๆ พวกเธอต้องมีครูฝึกเช่นกัน เหตุผลที่ต้องฝึกก็เพื่อรักษามาตรฐานในการให้บริการ เพื่อไม่ให้เสียลูกค้านั่นเอง
ช่วงถามตอบ เป็นการถามตอบคำถามที่หลายคนอยากรู้ เช่น รายได้ของหมอนวด ถ้าอยากพาสาวๆไปข้างนอกจะทำได้ไหม นวดแผนโบราณแตกต่างจากอาบอบนวดอย่างไร
สุดท้ายอ่านไปอ่านมากลับรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นคู่มืออาบอบนวดมากกว่าจะเป็นหนังสือสอนใจ มือใหม่ที่ไม่เคยเที่ยวอาบอบนวด ใช้หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือได้เลย เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ได้ให้แง่คิดแบบตรงๆแต่เป็นการบรรยายเรื่องราว UNSEEN ที่คนนอกวงการไม่เคยรู้มากกว่า แต่ก็ยังพอมีแง่มุมบางอย่างที่ยังเก็บไปคิดต่อได้ ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าการเที่ยวแบบนี้เป็นเรื่องผิดหรือถูก แต่เป็นการเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังของวงการว่ามันมีด้านมืดอยู่มากกว่าที่คุณคิด เพราะฉะนั้นคุณผู้ชายอ่านแล้วก็ต้องไปคิดต่อเอาเองว่ายังอยากเที่ยวต่อหรือไม่ สำหรับคุณผู้หญิง อันนี้ค่อนข้างชัดว่าผู้เขียนไม่ต้องการให้คุณเดินเข้าไปสู่วงจรนี้ เพราะแม้จะมีรายได้ดี แต่ก็มีความสุ่มเสี่ยงในหลายๆด้าน ทั้งโรคติดต่อ มาเฟียต่างๆ
เมียน้อยจำเป็น
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 18 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ยีนส์ นักข่าวสาวสวยหน้าตาดี
มี่ บรรณาธิการสาวห้าว
ก้า สามีของมี่ ที่ชื่อดูป๊อป แต่หน้าตากลับไม่ป๊อปเหมือนชื่อ
เมื่อพูดถึงเมียน้อย สำหรับผู้หญิงหลายคนคงไม่มีใครอยากเป็นเมียน้อยของใครทั้งนั้น เพราะความรักนอกจากเป็นเรื่องของหัวใจแล้ว ในความเป็นจริงก็เป็นเรื่องของศีลธรรมและความถูกต้องด้วย จะมีผู้หญิงซักกี่คนที่จะยอมให้คนอื่นมาตราหน้าดูถูกว่าเป็นเมียน้อยชาวบ้าน ผู้หญิงส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยล้วนอยากเป็นเมียเดียวของผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น แล้วทำไมถึงมีอีกหลายคนที่ต้องตกอยู่ในสถานะเมียน้อย? พวกเธอเป็นเมียน้อยด้วยความจำเป็นอย่างเลือกไม่ได้อย่างนั้นหรือ? หรือว่าพวกเธอเป็นคนประเภทซึ่งถือความรักเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดรวมทั้งศีลธรรมความถูกต้อง เมื่อรักแล้วก็ไม่สนใจว่าใครจะว่าอะไรทั้งนั้น?
ลำพังการเป็นเมียน้อยของผู้ชายก็แย่ในความรู้สึกอยู่แล้ว เรื่องราวของยีนส์นักข่าวสาวที่ต้องกลายไปเป็นเมียน้อยจำเป็นที่ไม่ใช่แค่เมียน้อยธรรมดาๆ แต่เธอคือเมียน้อยของมี่ ผู้เป็นหัวหน้าของเธอที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ลองคิดเอาเองแล้วกันว่าจะยิ่งแย่ไปอีกแค่ไหน
ยีนส์ตกหลุมรักเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เธอได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาอยู่บ่อยครั้ง เขาเป็นผู้ชายที่ตรงสเปคของเธอ ทั้งรูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอ แต่ติดปัญหาตรงที่เขาคนนั้นมีแฟนอยู่แล้ว แม้เธอพยายามจะบอกกับตัวเองให้ตัดใจจากเขาแต่ลึกๆแล้วเธอก็ยังคงรักเพื่อนร่วมงานคนนั้นอยู่ นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาความรักของยีนส์ที่นำมาซึ่งความยุ่งยากและความทุกข์ในชีวิตของเธอในเวลาต่อมา หลังจากนั้นมี่บอกให้เธอตัดใจจากหนุ่มเพื่อนร่วมงานของเธอและก็คอยอยู่ข้างๆยีนส์ตลอดทั้งในและนอกเวลางาน ความใกล้ชิด การเอาอกเอาใจ การดูแลเอาใจใส่ และคอยไปรับไปส่ง การเข้ามาของมี่ดังกล่าวช่วยเติมเต็มชีวิตและความรู้สึกให้กับยีนส์ ทำให้ยีนส์เริ่มเปิดพื้นที่ส่วนตัวต้อนรับมี่เข้ามาในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ
วันเวลาผ่านไป ยีนส์เริ่มรู้สึกอยากให้มี่เป็นผู้ชายจริงๆ คืนหนึ่งมี่ตัดสินใจสารภาพรักกับเธอ ทำให้สถานะของทั้งสองคนเปลี่ยนแปลงไปจากเจ้านายกับลูกน้องเป็นคนรัก ด้วยความอยากอยู่ใกล้ชิด ยีนส์ตัดสินใจย้ายเข้าไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับมี่ทั้งที่ก็มีก้า สามีของมี่อยู่ด้วย แต่อย่างไรก็ตามในความรู้สึกของเธอก็ยังคงสับสน เพราะเธอไม่ใช่คนชอบเพศเดียวกันมาก่อน แถมมี่เองก็มีสามีคือก้าอยู่แล้วทั้งคน สิ่งนี้เองคือปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในใจของเธอ ทำให้เธอคิดไม่ตก
ทั้งสองคนใช้ชีวิตคู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ไม่ให้ใครรู้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานและแน่นอนที่สุดคือก้าสามีของมี่ แต่ความอึดอัดหึงหวง ความน้อยอกน้อยใจ ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของซึ่งกันและกันในแบบคนรัก และการปฏิบัติตัวของมี่กับยีนส์ต่อหน้าและลับหลังก้าที่แตกต่างกันราวหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้ยีนส์ต้องกลับมาทบทวนความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อมี่อีกครั้ง เธอจะจัดการกับความรัก อารมณ์และความสับสนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเธออย่างไร เธอจะประคับประคองเรื่องราวความรักของเธอไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ บทสรุปของชีวิตเมียน้อยที่ต้องเป็นเมียกับคนเพศเดียวกันแถมยังมีผัวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน “เมียน้อยจำเป็น” โดย Booking เจ้าของผลงาน “เรื่องเล่า…สาวไซด์ไลน์” และ “เรื่องเล่า…เด็กหอ”
ในตอนแรกก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้ การเป็นเมียน้อยของผู้หญิงที่มีสามีอยู่แล้ว สำหรับผู้รีวิวคิดว่าเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้หรือดูจะเกินจริงไปมากเพราะยีนส์เองก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงมาก่อน แต่เมื่ออ่านจบแล้วรู้สึกว่าความคิดต่อเรื่องรักของตัวเองเปลี่ยนไป ความรักบางทีก็เป็นเรื่องที่เข้าใจยากและไม่มีแบบแผนตายตัวเสมอไป เพศอาจไม่ใช่สิ่งที่กำหนดว่าใครควรจะคู่กับใคร ความรักอาจมาก่อนความถูกต้องหรือความถูกต้องอาจมาก่อนความรัก สิ่งที่คิดว่ารักอาจไม่ใช่ความรักที่แท้จริงก็ได้ หนังสือเล่มนี้อาจทำให้ผู้อ่านมีมุมมองต่อความรักที่กว้างขึ้นก็ได้


สุขสุดสุดกับพระพยอม  (อยู่เย็นเป็นสุข)
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 18 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตหนึ่งของพระพะยอม กัลยาโณ พระนักเทศน์และนักพัฒนาชื่อดังซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ผู้มีความแน่วแน่ในการเผยแผ่ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยยึดแนวทางที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้รู้จักการใช้หลักปรัชญาแบบพุทธในการดำเนินชีวิตและแก้ไขปัญหาต่างๆที่เข้ามาด้วยมือของตนเองอย่างถูกต้องมีสติ แทนการงอมืองอเท้า อธิษฐานสวดมนต์ขอพร หวังลมๆแล้งๆ กับลัทธิ ความเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลัง ที่ผิดเพี้ยนไปจากแก่นธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
สุขสุดสุดกับพระพะยอมเป็นการรวบรวมเรื่องราวที่ให้แง่คิดสอนใจ สอนการใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ สอนวิธีการรับมือกับความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ วิธีการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ด้วยรูปแบบวิธีการนำเสนอที่เข้าใจง่ายทั้งในแง่ของภาษาและภาพประกอบ เหมาะกับการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยทางสำนักพิมพ์มีแรงบันดาลใจในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ที่สำคัญอยู่ 2 ประการก็คือ
1. ต้องการผลิตหนังสือดีๆที่เน้นให้ผู้อ่านเข้าถึงสาระสำคัญหรือแก่นของธรรมะ
2. ต้องการส่งเสริมหลักการทำความดี ละเว้นความชั่ว ที่มีการประยุกต์ให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือต้องการสอนธรรมะอย่างง่ายที่ผู้อ่านทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด สามารถเข้าใจและนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันของตนได้
ทั้งนี้ภายในเล่มจะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 10 ส่วน ได้แก่
1. ให้ธรรมะออกแบบความสุขเถอะ
2. คุณธรรมสร้างสุข
3. มั่งมีศรีสุข
4. เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข
5. สร้างสุขให้ถูกวิธี
6. เก็บความสุขมาฝาก
7. อยู่เย็นเป็นสุข
8. อยู่อย่างมีความสุขในที่ทำงาน
9. เบื้องหลังความสุข
10. วาทธรรม
ภาพรวมของทั้ง 10 ส่วน ต้องการสอนให้รู้จักมองปัญหาด้วยปัญญา นำปัญหามาศึกษาอย่างจริงจัง อย่ามองอะไรเพียงด้านเดียว ส่วนเดียว ดังคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสที่พร่ำสอนเตือนสติอยู่เสมอว่า …ชีวิตที่เป็นทุกข์หรือเป็นสุข ขอให้มองในแง่ที่ว่า ชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ แก้ไขได้ เปลี่ยนแปลงได้ หนังสือเล่มนี้หากเปรียบกับอาหารก็เป็นอาหารที่ให้คุณค่าและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นอาหารที่เคี้ยวง่าย ย่อยง่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่ธรรมะหนักๆหรือซับซ้อนอะไรมากมาย หากแต่เป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคนที่อ่านแล้วนำมาปรับใช้ได้จริง
อย่างไรก็ตามแม้หนังสือจะดีแค่ไหน หากผู้อ่านอ่านแล้ววางไว้แค่นั้น ไม่หยิบเอาประโยชน์จากหนังสือมาใช้กับตัวเอง หนังสือเล่มนั้นก็คงมีคุณค่าแค่เพียงเศษกระดาษเท่านั้น
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 18 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เมื่อความคิดและระดับความต้องการของคนอ่านหนังสือเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแนวการเขียนหนังสือของคนเขียนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป นักเขียนจึงต้องพยายามค้นหาแนวทางการเขียนที่พลิกแพลงแตกต่างออกไปจากเดิม บางครั้งก็ประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ล้มเหลว ในกระแสธารแห่งศิลปะ การพัฒนาเริ่มต้นที่ใครคนหนึ่งนำเสนอผลงานที่แตกต่างสร้างสรรค์ และพัฒนาไปเป็นแนวทางเฉพาะของตนเอง และเมื่อได้รับความนิยมก็จะกลายเป็นกระแสหลัก ศิลปินจึงใช้ การทดลอง เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ช่วยสร้างสรรค์นวัตกรรมศิลปะแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานสายจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ การถ่ายภาพ สถาปัตยกรรม ดนตรี ภาพยนตร์ และรวมถึงงานวรรณกรรมด้วย
อาเพศกำสรวลเป็นหนึ่งในความพยายามของวินทร์ เลียววาริณ ที่ต้องการนำเสนองานเขียนในแนวทดลองเพื่อนำเสนอผลงานที่แตกต่างสร้างสรรค์ ในรูปแบบการเขียนที่ไร้รูปแบบ ใช้ทุกชิ้นส่วนแห่งการออกแบบทั้งในเชิงเนื้อหาและวิธีการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นแบบ การจัดหน้า หรือขนาดตัวอักษร มาเป็นองค์ประกอบรวมของเรื่อง
เนื้อเรื่องย่อ
1. โลกีย – นิพพาน พระ? หญิงบริการ? สัจจะของชีวิต? ผู้หญิงในสถานบริการกลับเข้าใจชีวิตมากกว่าที่คาดคิด ทุกสรรพสิ่งล้วนมีเปลือกห่อหุ้มอยู่ เมื่อคุณกะเทาะเปลือกที่สกปรกออก คุณอาจแปลกใจที่ได้พบแก่นอันบริสุทธิ์ สะอาด ของมันซ่อนอยู่ภายใน
2. หมึกหยดสุดท้าย นักเขียนโนเนมเลือกที่จะใช้วิธีการที่คาดไม่ถึงในการทำให้งานเขียนของตนเป็นที่รู้จัก
3. เมืองคนบาป เรื่องราวแตกต่างหลากหลายของผู้โดยสารที่ใช้บริการแท็กซี่ในเมืองหลวง
4. อาเพศกำสรวล กาลเพียงไม่กี่ปี เปลี่ยนแผ่นดินแร้นแค้นที่ร้อนจัดที่สุดให้กลายเป็นดินแดนแห่งความหนาวเหน็บหรือว่านี่คือการลงทัณฑ์จากฟ้าดิน
5. เกม ผู้อ่านจะได้ตามติดเกมแห่งการไล่ล่าคู่ชกบนเวทีที่คู่ขนานไปกับการไล่ล่าเจ้าป่าแบบก้าวต่อก้าว
6. สุนัขาธิปไตย ผู้เขียนเปรียบเทียบให้บรรดา สส. ในสภาเป็นสุนัข ตลอดทั้งตอนเป็นการถอดคำจากการประชุมสภาในระบอบสุนัขาธิปไตย การอภิปรายโต้เถียงกันระหว่างนายกเสมา หัวหน้าพรรคหลังอาน สุนัขผู้ดี กับคุณโชติ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน สุนัขจรจัดที่มีผู้ใจบุญเก็บมาเลี้ยง
7. น้ำสองสาย บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นชาตินิยมกับวัฒนธรรมใหม่ผ่านชีวิตของนายใหม่ รักหมู่
8. กระดาษขาวกับคาวหมึก เพื่อหวังผลทางการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขาย การใช้อำนาจของปากกาเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ เป็นที่มาของความพยายามของดาราดาวยั่วที่จะทำให้สื่อมวลชนมีจรรยาบรรณมากขึ้น
9. คนแปลกหน้า : ปรัชญาที่สวนสาธารณะ เรื่องแปลกที่ไม่แปลกเกิดขึ้นกับสถาปนิกหนุ่มใหญ่ โลกที่คุ้นเคยใบนี้ยังมีเรื่องที่ไม่คุ้นเคยอีกมากนัก คล้ายว่ามีโลกสองใบซ้อนกันอยู่ โลกของคนแปลกหน้ากับคนที่คุ้นเคย สับสนปนเปกัน คนมั่งมีลืมว่ายังมีคนยากไร้ คนที่เรารักกลับจำเราไม่ได้
10. ปทานุกรมชีวิต : ฉบับคนชั้นกลาง กรุงเทพ นาฬิกาปลุก ยาแก้ปวด วิทยุ รถติด เหี้ย ความเครียด ถุงยาง เงินเดือน ทะเล มือถือ ....
11. คดีมโนสาเร่ ข่าวสารที่ท่านอ่านจากหนังสือพิมพ์นั้นถูกรายงานขึ้นโดยภาพที่นักข่าวมองเห็น แต่ความจริงอาจมิได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ในความจริงอาจแฝงความเท็จ และในความเท็จอาจแฝงความจริง
อาเพศกำสรวล ถือเป็นงานเขียนที่มีความโดดเด่นมากในแง่ของการประสานรูปแบบการนำเสนอกับเนื้อหาให้เข้ากันอย่างลงตัว เต็มไปด้วยเทคนิคทางวรรณกรรมที่ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ตามที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ เรื่องการเมือง นักเขียน สื่อมวลชน สังคมใกล้ตัว ฯลฯ ถูกนำมาเสียดสี ประชดประชัน ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวอย่างสมดุล นับว่าเป็นเรื่องสั้นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางวรรณกรรมอย่างแท้จริง ไม่แปลกใจที่งานวรรณกรรมชิ้นนี้ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ พ.ศ. 2538
www.batorastore.com © 2024