Customer Reviews

คือหัตถาครองพิภพ
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน น้ำอบ
สำนักพิมพ์ วันว่าง
จำนวนหน้าหนังสือ 616 หน้า

คือหัตถาครองพิภพ อันนี้ผมไม่รู้จบสากลมั้ยนะของบาโทรา แต่ผมเหมารวมไปเลยแล้วกัน ผมเห็นเรื่องนี้ถูกทำเป็นละคร เลยลองไปหาอ่านเรื่องย่อดู มันก็สนุกดีครับ พอรู้ว่ามีนิยายวางผมเลยลองไปหามาอ่านดู ก็รู้ดีครับ อ่านแล้วเข้าใจชีวิตของคนเป็นแม่เยอะขึ้น

โดยหนังสือเล่มนี้จะอิงประวัติศาสตร์ไว้นิดหน่อยครับ โดยเนื้อเรื่องจะเริ่มเมื่อพ.ศ.2462 ต้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหนังสือที่เน้นในส่วนของความรักของแม่เป็นหลัก แต่ไม่ว่าแม่จะปกป้องอย่างไร สุดท้ายทุกคนก็ต้องพ่ายแพ้แต่ชะตากรรมที่เกิดขึ้น

โดยเนื้อเรื่องเริ่มที่ การที่เด็ก ๆ ไปพบกองกระดูกกองหนึ่ง และการเสียชีวิตของพระยาสมิติภูมิ การรำลึกถึงอดีต ก่อนที่จะคลายปมปัญหาก็เกิดขึ้น เรื่องย้อนไปที่คุณหญิงศรี ได้เป็นเมียพระราชทานของพระยาสมิติภูมิ หรือนายสมิธจากประเทศอังกฤษ ที่ได้เข้ามาทำความดีความชอบในประเทศไทย และได้รับราชทินนามว่าพระยาสมิติภูมิ แต่ด้วยความเกลียดผู้ชายของคุณหญิงศรี ทำให้เธอแต่งงานอย่างไม่เต็มใจ และคอยส่งเมียบ่าวไปรับใช้พระยาสมิติภูมิแทนเธออยู่เสมอ และเมื่อบ่าวคนใดตั้งท้อง เธอจะกำจัดบ่าวคนนั้นอย่างโหดเหี้ยมโดยมิได้เกรงกลัวต่อบาปกรรม และเวรกรรมนั้นก็ได้ตามสนองเธอในเวลาไม่นาน เมื่อสะบันงาก้าวเข้ามาสู่บ้านสมิติภูมิ เธอต้องสูญเสียน้องชายที่แสนดีอย่าง ศุกล ไป จากโศกนาฎกรรมรักสามเส้าของสะบันงา พระยาสมิติภูมิ และศุกลเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ในวันที่ศุกลเสียชีวิต คุณหญิงศรีเองก็หายตัวไปด้วย สะบันงาจึงได้ขึ้นเป็นใหญ่ในบ้านแทน แต่ด้วยความกตัญญูต่อคุณหญิงผู้ชุบเลี้ยง เธอจึงเว้นตำแหน่งคุณหญิงให้แก่คุณหญิงศรีเพียงคนเดียว และเฝ้ารอการกลับมาของเธอ

สะบันงามีลูกทั้งหมด 4 คน เป็นผู้หญิง 3 คน เป็นผู้ชาย 1 คน ลูกชายคนเล็กของสะบันงาหรือพฤกษ์ เป็นที่รักที่เอ็นดูของคนในครอบครัวอย่างยิ่ง และเป็นความหวังของพระยาสมิติภูมิในการสืบต่อตระกูลต่อไป แต่ผลกรรมที่คนทั้งหมดได้ก่อไว้ตั้งแต่ในอดีตได้กลับมาสะท้อนคืน หากแต่ไม่ใช่กับตัวผู้ก่อกรรมนั้น ๆ กลายมาเป็นผู้ที่ต้องรับเคราะห์แทนคือบรรดาเหล่าลูก ๆ นั่นเอง ซึ่งก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมต่าง ๆ มากมายเกินกว่าที่แม่คนหนึ่งจะรับไหว แต่ต้องประคองตัวไปให้ถึงที่สุด อ่านแล้วมันก็รู้สึกจุก ๆ นะครับ

ในส่วนของจบสากลจะเป็นการพูดถึงเคราะห์กรรมที่เหล่าลูก ๆ ของสะบันงาจะได้รับ ซึ่งจะไม่เข้มข้นเท่าในยุคของพ่อแม่ คือช่วงของคุณหญิงศรี สะบันงา และพระยาสมิติภูมิ ที่ผูกเรื่องไว้อย่างน่าสนใจ และส่งผลมายังรุ่นลูก ที่โดนไปเต็ม ๆ ก็คือพริสซิลากับพฤกษ์นั่นเองครับ

จะบอกว่าสนุกมันก็สนุก แต่จะบอกว่ามันดราม่า มันก็ดราม่าครับ หนังสือมีอะไรที่หักมุมตลอด คาดไม่ค่อยถึงเกือบทั้งเรื่องเลย และยังเต็มไปด้วยคติสอนใจในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งถ้าเป็นคนช่างสังเกตจะเห็นรายละเอียดตรงนี้ค่อนข้างชัดครับ ในหนังสือสนุกกว่าในละครเยอะเลย คือในละครมันทำซอฟท์ลงไปจากหนังสือเยอะ และรีบตัดจบ เลยทำให้ไม่สนุกเท่าที่ควรครับ
ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน (ปกใหม่)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน วินทร์ เลียววาริณ
สำนักพิมพ์ 113
จำนวนหน้าหนังสือ 304 หน้า

1 ในหนังสือรางวัลซีไรท์ของประเทศไทย ที่ผมเคยอ่านเมื่อครั้งนานมาแล้ว แต่ยังจำได้ดีและได้กลับมาอ่านอีกครั้งเมื่อเรียนรัฐศาสตร์ครับ "ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน" ทำให้ประชาธิปไตยและประวัติศาสตร์ไม่เป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป ซึ่งก่อนอื่นต้องชมผู้เขียนก่อนเลยครับว่า รักษาความเป็นกลางได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนมากเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ผู้เขียนมักจะมีใจโอนเอนอยู่เสมอ และอีกเรื่องที่ขอชมคือเรื่องของการใช้ภาษาและการเรียบเรียงเหตุการณ์ได้ออกมาอย่างน่าสนใจครับ

หนังสือเล่มนี้ ได้จำลองการเกิดประชาธิปไตยตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองได้ออกมาเข้าใจอย่างน่าอัศจรรย์ครับ โดยเล่าผ่านตัวละคร 2 คน ที่ใช้ชีวิตต่างกันทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและอุดมการณ์ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือความสงบสุขของบ้านเมืองและสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน แต่อุดมกาณ์มันไม่สามารถเดินไปด้วยกัน จึงเป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้ครับ "" ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน

เริ่มเรื่องมาที่ชายชรา 2 คนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกัน ดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ เพื่อนสนิทกันครับ ซึ่งคนทั้งคู่รู้จักกันครั้งแรกเมื่อ 60 ปีที่แล้ว โดยชายคนแรกคือ เสือย้อย โจรที่มีการศึกษาสูง ในอดีตกาลเคยรุ่งเรืองด้วยการรับราชการมีราชทินนามว่า "หลวงกฤษฎาวินิจ" เป็นทหารที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นผู้ต่อต้านการปฏิวัติ จึงถูกบีบบังคับให้กลายมาเป็น "เสือ" ในที่สุด

ชายชราอีกคน คือ ร.ต.ต.ตุ้ย พันเข็ม นายตำรวจอุดมการณ์แรงกล้า รักประเทศมากกว่าชีวิต เป็นนายตำรวจที่มีบทบาทสูงในการปฏิวัติครั้งนั้น และเป็นนายตำรวจคนสนิทของผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศท่านหนึ่ง

เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าทั้งคู่ต่างกันขนาดไหน ทั้งชีวิตความเป็นอยู่และอุดมการณ์ มันยากมากครับที่ทั้งคู่จะยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกันได้ ซึ่งมันไม่ได้มีแค่นั้นครับ ย้อนกลับไปดูตอนที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกคือ พ.ศ.2476 หลังได้มาซึ่งประชาธิปไตย จ่าตุ้ยได้รับคำสั่งให้ไปตามจับเสือย้อย อดีตนายทหารผู้มีความฉลาดที่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายกบฏบวรเดช แต่ไป ๆ มา ๆ ทั้งคู่กลับกลายเป็นเพื่อนต่างอุดมการณ์กัน ต่อมา พ.ศ.2482 เสือย้อยถูกจับกุมอีกครั้ง และกำลังจะถูกประหาร ในคดีลอบสังหารจอมพล ป. ร.ต.ต.ตุ้ยเป็นผู้ควบคุมการประหารเสือย้อย แต่แล้วเสือย้อยก็สามารถรอดมาได้จากความฉลาดและบทบาทของตนเอง

จากนั้น เป็นเรื่องราวของเสือย้อยล้วน ๆ โดยเมื่อรอดพ้นจากโทษประการ เสือย้อยถูกส่งไปที่เกาะตะรุเตาที่ขังนักดทษการเมืองไว้หลายรุ่น ซึ่งสุดท้ายเสือย้อยสามารถหนีออกมาได้ และได้ไปเป็นคนส่งข่าวลับให้แก่ทางเสรีไทย ซึ่งก็ถูกญี่ปุ่นจับได้อีก ขณะที่กำลังจะถูกฆ่า ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายพันธมิตรพอดี เสือย้อยจึงรอดตายได้อีกเป็นครั้งที่ 4 เสือย้อยจึงต้องพาตัวเองไปหลบซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ และตั้งใจจะทำการปฏิวัติ แต่ช้ากว่ากบฏแมนฮัตตัน ซึ่งท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อรัฐบาล

กลับมาที่พ.ต.ต.ตุ้ย ที่ชีวิตเริ่มตกต่ำบ้างแล้ว เมื่อจอมพล ป.หมดอำนาจ เขาต้องพาจอมพล ป. หนีไปชายแดนเขมรทันที และกลับมาอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมงานศพผู้เสียชีวิตจากการปราบคอมมิวนิสต์ ทั้งคู่กลับมาพบกันอีกครั้งหลังสงครามประชาชน พ.ศ.2516 เมื่อพล.ต.ท.ตุ้ยได้รับคำสั่งให้ไปจับเสือย้อย แต่กลับพบความจริงว่า ลูกชายของเสือย้อยโดนจับ เสือย้อยฝากฝังชีวิตลูกชายไว้กับท่านนายพล แต่แล้วลูกชายของเสือย้อยก็ต้องเสียชีวิตจากการเข้าใจผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ และเรื่องราวทั้งหมดก็มาจบลงที่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อทั้งคู่ต้องพิสูจน์ตนเองอีกครั้งหนึ่ง

สนุกนะครับ สนุกมากเลยทีเดียว ผู้เขียนทำให้ประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ฝ่ายแพ้ก็คือฝ่ายแพ้ตลอดชีวิต ไม่มีทางจะกลับมาชนะได้ แม้จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันกับฝ่ายชนะก็ตาม ผมรักชีวิตที่สมบุกสมบันของเสือย้อยนะ ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็สู้ไม่ถอย ิ่านแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดกับชีวิตของเสือย้อยครับ และออกจะรู้สึกชิงชัง ดาบตุ้ยปืนผี อยู่ในใจ มันยากนะครับที่จะอ่านหนังสือแบบนี้แล้วไม่เอน แต่อยากจะบอกว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้เรียนกฎหมาย ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์มากทีเดียว
Harry Potter เล่ม 07 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต (ปกอ่อน)
4
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน J.K.Rowling
ผู้แปล สุมาลี บำรุงสุข
สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์
จำนวนหน้าหนังสือ 696 หน้า

เล่มสุดท้ายแล้วกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอน เครื่องรางยมทูตครับ อยากจะบอกว่า เล่มนี้ก็หนาเหมือนกันนะ อย่างต่ำต้องสัก 3-4 ชั่วโมงถึงจะอ่านหมด

ในเล่มสุดท้ายนี้ แน่นอนครับ ความสูญเสียต้องเกิดขึ้นมาก หลังจากที่ภาค 6 เล่มที่แล้ว แฮร์รี่ต้องสูญเสียอาจารย์ที่เค้ารักมากที่สุด คือศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ไป แฮร์รี่ตัดสินใจจะออกจากโรงเรียนเพื่อไปทำลายฮอร์ครักซ์ นี่คือปิดท้ายจากเล่ม 6 ครับ

เริ่มจากฝั่งโวลเดอร์มอร์ ประชุมกันที่จะเล่นงานแฮร์รี่ เมื่อแฮร์รี่บรรลุนิติภาวะ บ้านเดอร์สลีย์จะไม่สามารถคุ้มครองแฮร์รี่ได้อีกต่อไป แฮร์รี่จึงวางแผนจะย้ายออกวันเกิด แต่สเนปบอกโวลเดอร์มอร์ว่าน่าจะก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ ลอร์ดโวลเดอร์มอร์จึงได้ยืมไม้กายสิทธิ์ของมัลฟอยมาจัดการแฮร์รี่แทน ซึ่งแม้ว่าทางฝั่งแฮร์รี่จะเตรียมตัวดีแค่ไหน แต่ก็ยังพลาดในวันเดินทาง เมื่อถูกเหล่าผู้เสพความตายไล่ล่า จากเหตุการณ์นั้น ได้จบชีวิตอลาสเตอร์ มู้ดดี้และเฮ็ดวิก นกฮูกผู้ซื่อสัตย์ไป

ต่อมา กระทรวงเวทย์มนตร์ได้นำพินัยกรรมของโวลเดอร์มอร์มาให้แก่แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ รอนได้รับดีลูมิเนเตอร์ เฮอร์ไมโอนี่ได้รับหนังสือนิทานบีเดิ้ลยอดกวี ส่วนแฮร์รี่ได้รับลูกสนิชลูกแรกที่จับได้ พร้อมกับดาบ แต่ไม่มีใครรู้ว่าดาบนั้นอยู่ที่ไหน

แฮร์รี่และเพื่อน ๆ ต้องหนีตายหลังจากที่โวล์เดอร์มอร์ยึดกระทรวงเวทย์มนตร์ได้สำเร็จ ในระหว่างการหนี เค้าได้พบว่า แท้จริง ร.อ.บ. คือเรกูลัส แบล็ก น้องชายของซิเรียสนั่นเอง และล็อกเก็ตที่แฮร์รี่ตามหาก็อยู่ที่อัมบริดจ์ ซึ่งแฮร์รี่ก็สามารถบุกไปในกระทรวงเพื่อไปอามาจนได้ จากนั้น ทั้ง 3 ต้องเร่ร่อนไปตามที่ต่าง ๆ และได้ทราบโดยบังเอิญว่า ดาบของกริฟฟินดอร์ที่แท้จริงหายไปนานแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน ดาบที่แฮร์รี่เคยเห็นแท้จริงเป็นเพียงของปลอม ในะหว่างนั้น รอนทะเลาะกับแฮร์รี่อย่างหนักและได้หนีหายไป แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่จึงได้เดินทางต่อกันแค่ลำพังไปยังก็อดดริกฮอลโล่ เพื่อตามหาดาบ ซึ่งทำให้ไม้กายสิทธิ์ของแฮร์รี่พังจนไม่สามารถซ่อมได้ และในที่สุด รอนก็ได้กลับมาหาพวกเค้าอีกครั้ง และเป็นหยิบดาบของกริฟฟินดอร์มาทำลายล็อกเก็ตนั้นได้สำเร็จ

ท้ายที่สุด พวกเขาทั้ง 3 ก็ถูกจับตัวได้ และถูกนำไปขังรวมกับกริ๊บฮุก ก็อบลินที่ดูแลกริงกอตส์ ดีน โทมัส ลูน่า เลิฟกู๊ด และโอลิแวนเดอร์ ช่างทำไม้กายสิทธิ์ ทั้งหมดหนีออกมาได้ด้วยความช่วยเหลือของอาเบอร์ฟอร์ธ น้องชายของดัมเบิลดอร์และด๊อบบี้ ซึ่งด๊อบบี้เสียชีวิตหลังจากที่ช่วยแฮร์รี่และทุกคนสำเร็จ

ด้วยความช่วยเหลือของกริ๊บฮุก ทั้งสามจึงสามารถขโมยถ้วยของฮัฟเฟิลพัฟออกมาจากกริงกอตส์ได้ และโวลเดอร์มอร์ก็รู้แล้วว่าแฮร์รี่กำลังตามหาฮอร์ครักซ์ ซึ่งอันสุดท้ายแฮร์รี่คาดว่าน่าจะเป็นของเรเวนคลอ จึงได้แอบกลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง ที่นี่เค้าพบความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับสเนป และพบว่าวิญญาณอีกส่วนของโวลเดอร์มอร์อยู่ที่ตัวเค้าเอง และโวลเดอร์มอร์จะไม่สามารถตายได้ถ้าแฮร์รี่ยังมีชีวิตอยู่ แฮร์รี่จึงจงใจไปสู้กับลอร์ดโวลเดอร์มอร์และจงใจให้ตัวเองถูกคาถาพิฆาตเสียชีวิต

แฮร์รี่ได้พบความจริงอีกอย่างหนึ่งจากดัมเบิลดอร์ขณะหมดสติ ทำให้เค้าตัดสินใจกลับมาสู้อีกครั้งหนึ่งและสามารถเอาชนะโวลเดอร์มอร์ได้ในที่สุด ซึ่งก็ต้องแลกมากับการสูญเสียคนรอบตัวเค้าไปไม่น้อย เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดีและจบลงที่อีก 19 ปีต่อ พวกเค้าต่างก็มีครอบครัวเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว

นี่คือเรื่องย่อแบบสุด ๆ ครับ ไม่ชอบรอนเรื่องนี้อย่างมากเป็นกำลัง 2 คือเกินไป อะไรจะต้องพาลต้องโมโหขนาดนั้น อยากจะแช่งให้รอนตายด้วยซ้ำ แต่ก็สงสารเฮอร์ไมโอนี่ ตรงนี้ไม่ไหวจริง ๆ ซึ่งรวม ๆ ผมว่ามันก็โอเคนะ แต่มันดูฝืด ๆ ไม่ถึงจุดพีคเท่าที่ควร ก็ยอมรับว่ามันสนุกและคลายปมทุกอย่างได้ดี แต่มันเนือย ๆ แบบบอกไม่ถูกครับ หรือเป็นเพราะทิ้งช่วงห่างนานเกินไปหรือเปล่าระหว่างเล่มที่ 6 กับเล่มที่ 7 เลยดูไม่ค่อยอินเท่าไรครับ ยิ่งดูภาพยนตร์ก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสนุกเหมือนภาคแรก ๆ แล้ว ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันครับ
เพลิงฉิมพลี (อุมาริการ์)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน อุมาริการ์
สำนักพิมพ์ พิมพ์คำ
จำนวนหน้าหนังสือ 488 หน้า

ก็นับว่าเป็นนิยายที่ค่อนข้างหนาอยู่เล่มหนึ่งครับ เกือบ 500 หน้า ผมลงทุนไปหามาอ่านมากเลยเรื่องนี้ เพราะถูกนำไปทำละคร และให้นักแสดงขวัญใจของผม เบลล่า ราณีเป็นนางเอกครับ ดูจากเวลาเค้าฟิตติ้งแล้วก็สวยดีเหมือนกัน เลยลองไปหาเนื้อเรื่องมาอ่านดูก่อน เพราะเห็นชื่อเรื่องแล้วแอบหวั่น ๆ สักนิดนึง มาแนว ๆ เพลิง อะไรพวกนี้ กลัวว่าจะเป็นหนังแนวอิจฉามากกว่า อ่านไปจึงรู้ว่า เออ เข้าใจถูกแล้วแหละ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดครับ

เพลิงฉิมพลีเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพีเรียดยุคล้านนาครับ ช่วงประมาณ พ.ศ.2500 (น่าจะประมาณ ๆ กับเหล่าคุณชายจุฑาเทพ) ผู้เขียนบรรยายภาพเมืองเหนือได้สวยงามมาก อ่านแล้วรู้สึกอยากไปเห็นว่ามันจะสวยสักขนาดไหน และยิ่งนางเอกด้วยแล้ว สวยจนชวนตะลึงเลยครับ ผู้เขียนบอกว่าเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณคดีไทยเรื่อง "กากี" และได้ตั้งสมมติฐานว่า ถ้ากากีไม่ได้คบชู้อย่างที่เค้ากล่าวหากันจริง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เลยกลายเป็นเพลิงฉิมพลีครับ

หลังจากที่อ่านแล้วก็อยากจะบอว่า เรื่องนี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนไปไหน หนักกว่ารากบุญอีกครับ แต่สนุกนะ มันแปลก ๆ จากพล็อตละครทั่วไปดี เรื่องนี้แบ่งออกเป็น 3 พาร์ทครับ โดยจะเริ่มจาก "มัชฌิมาเพลิง" ที่เป็นเรื่องราวการกลับมาทวงคืนความบริสุทธิ์จากนางเอก ซึ่งเธอก็ได้รับอันตรายตั้งแต่วันแรกที่เธอกลับมา และต่อมาคือพาร์ท "ปฐมเพลิง" ที่เป็นเรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่การพบกันครั้งแรกของณไตร กับเนื้อนาง ตั้งแต่เริ่มแต่งงาน จนพระเอกหนีหายกลับไป ตรงนี้จะรู้สึกสงสารนางเอกมากครับ ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสามีเลยหลังจากที่สามีหายไปแล้ว แม้กระทั่งชื่อ นามสกุลจริงก็ไม่รู้ อ่านแล้วมันทรมานใจพอสมควรครับ ซึ่งต่อมาเธอมีโอกาสได้ไปอยู่ในคุ้มของเจ้าแสนพรหม และได้พบกับณไตรอีกครั้ง ซึ่งก็มีเหตุให้เธอกับณไตรไม่เข้าใจกันอีก แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี ณไตรสามารถแย่งตัวเธอมาจากเจ้าแสนพรหมได้ครับ

เมื่อมาอยู่บ้านของณไตร เนื้อนางต้องเจออุปสรรคต่าง ๆ ที่แสนสาหัสมากมาย เช่น แม่ของณไตรที่รังเกียจเธอมาก และสำคัญคือ แขไข ผู้หญิงที่ท้องกับณไตร และณไตรต้องแต่งงานด้วย สรุปว่าณไตรมีเมีย 2 คน (ยิ่งอ่านก็ยิ่งสงสารนางเอก นึกภาพเบลล่าออกมาก) จากนั้นแขไขก็ถูกฆ่าเสียชีวิต ทุกคนต่างใส่ร้ายเนื้อนางว่าเป็นคนทำ นอกจากนั้น เธอยังเจออีกเรื่องหนึ่งคือเป็นชู้กับธรรพ์ น้องชายของณไตร ทำให้ณไตรต้องไล่เธออกจากบ้านในที่สุด

และพาร์ทสุดท้าย "ปัจฉิมเพลิง" ทุกอย่างจะคลี่คลายได้หรือไม่ และเนื้อนางจะทำอย่างไรให้ณไตรเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ อ่านได้จากพาร์ทนี้ครับ

อยากจะบอกว่าสนุกแบบแปลก ๆ ดีครับ ตอนที่ต้องตื่นเต้นอย่างการค้นหาความจริงก็ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม อ่านแล้วลุ้นตาม ตอนที่ต้องสงสารเนื้อนางนี่ก็อ่านแล้วอยากจะวางเลยครับ รันทดยิ่งกว่าอังศุมาลินอีก อ่านแล้วก็เศร้าใจ ตอนที่ตะลึงที่นางเอกปรากฎตัวออกมานี่ก็แทบจะลืมหายใจเหมือนกัน สรุปว่า ครบรส แนะนำให้อ่านครับ สนุกจนวางไม่ลงเลย
ต้นรักริมรั้ว
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน ร่มแก้ว
สำนักพิมพ์ พิมพ์คำ
จำนวนหน้าหนังสือ 323 หน้า

ผมไม่รู้มาก่อนนะเนี่ย ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของคุณร่มแก้ว เข้าใจว่ามาจากแจ่มใสเสียอีก เห็นเป็นหนังสือแนวฟีลกู๊ดน่ารัก ๆ ผมลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูเพราะมีคนบอกว่า ในหนังสือสนุกกว่าละครครับ ผมว่าก็น่าจะจริงนะ ในละครไม่ค่อยสนุกเอาเสียเลย ตบกันไปแย่งกันมา เสียงกรี๊ดดังลั่น ยังสงสัยว่าละครแบบนี้ยังมีอยู่อีกในสังคมไทยได้จริง ๆ หรือ ?

เมื่ออ่านหนังสือจบแล้ว ก็พบว่า มันไปคนละทางกับละครเลยครับ ในหนังสือดูจะน่ารักกว่า และดูอบอุ่นกว่า ทีนี้ต้องลองอ่านแบบไม่เห็นหน้าดาราที่มาแสดงครับ (บางคนอ่านเพราะจิ้นหมาก - คิม) ผมว่ามันใช้ได้เลยนะ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเรียล คือเกิดขึ้นได้จริง (แม้จะน้อยก็ตาม อะไรจะแต่งงาน 3 ครั้ง) มันเป็นเรื่องของเด็กชายและเด็กหญิง 2 คน ที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยบ้านของทั้งคู่อยู่ติดกัน ห่างกันแค่รั้วกั้น แต่ชีวิตของคนทั้งคู่ต้องมาผูกติดกันด้วยการแต่งงานถึง 3 ครั้ง แม้ 2 ครั้งแรกจะเป็นการแต่งงานแบบกำมะลอ แต่ครั้งสุดท้าย การแต่งงานของทั้งคู่ก็เป็นความรักที่เป็นของจริง ไม่ต้องโกหกหลอกลวงกันอีกต่อไป

แม้ในหนังสือกับในละคร จะมีอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์รักระหว่าง กบ กษิดิฐ กับ บัว นลิน คล้าย ๆ กัน แต่จริง ๆ แล้วมันแตกต่างกันมากเลยครับ อย่างในหนังสือจะมีผู้หญิงถึง 3 คนที่มาวุ่นวายกับกบ คือ แตงกวา โยสิตา และเจน แต่ในละครผมไม่เห็นมีโยสิตานะ เรื่องของเจนกับปภพก็เหมือนกัน (ในส่วนของปภพกับดารินทร์ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างลุ้นครับ ถือว่าเป็นสีสันในเรื่องของดราม่าตัดกับความหวานของพระเอกนางเอกได้ดี) คนที่เปิดโปงเจนในหนังสือก็คือปภพเอง ไม่ใช่ติณณ์กับแตงกวา ปราณเองก็ไม่ได้รูปหล่อขนาดนั้น ผมยังคิดอยู่นะว่า ถ้าละครตามหนังสือทั้งหมด มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร อาจจะน่ารักกว่าด้วย เพราะในหนังสือโครงเรื่องค่อนข้างออกมาดี ไม่น่าเบื่อด้วยครับ

นอกจากเนื้อเรื่องจะน่ารักแล้ว นายกบเองก็น่ารักนะครับ เรื่องจะปูมาเลยว่านายกบหลงรักบัวมาตั้งนานแล้ว แต่บัวไม่เคยสังเกตุเห็น อย่างตอนที่ผมชอบที่สุดคือ ตอนที่กบพูดในงานแต่งงานครับ ผมว่าผู้ชายแบบนี้นี่แหละ แมน ๆ ดี และพร้อมจะดูแลผู้หญิงคนหนึ่งได้

"บัวเป็นคนมีน้ำใจครับ ถึงบางครั้งจะดูขี้บ่นและเจ้าระเบียบไปบ้าง แต่ลึก ๆ เขาก็เป็นห่วงผมมาตลอด ถึงจะบ่นแค่ไหนว่าผมขี้เกียจ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่เธอไม่ให้ผมลอกการบ้าน แช่งให้ผมสอบตกทุกครั้งที่ไม่อ่านหนังสือ แต่ก็คอยติวให้ทุกทีเวลาสอบซ่อม เวลาที่ผมไปทะเลาะต่อยตีกับใคร ถึงเขาจะเชียร์ฝั่งตรงข้าม แต่สุดท้ายเมื่อกลับบ้านก็ต้องมาทำแผลให้ผมอยู่ดี"

มันแสดงออกถึงความรักที่กบมีให้ต่อบัวได้อย่างชัดเจนครับ ก็ถ้าบัวไม่ซึ้งผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ยังมีอีกเยอะนะครับ อยากให้ลองอ่านกันดู รับรองว่าคุณจะลืมละครเลยครับ
เรือนริษยา
4
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 26 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน Neananok
สำนักพิมพ์ Sugar beat
จำนวนหน้าหนังสือ 384 หน้า

ตอนแรก ผมเห็นชื่อละคร "เรือนริษยา" นึกภาพออกเลย มันจะต้องเป็นละครไทยแนวพีเรียด ประเภทที่ว่ามีท่านเจ้าคุณเลี้ยงเมียไว้หลาย ๆ คน แล้วก็มาตบตีแย่งชิงสมบัติ ฆ่าผัว ฆ่าเมีย จนเห็นทีเซอร์ละครออกมา อ้าว ไม่ใช่อย่างที่คิด มันก็ละครสมัยใหม่นี่นา ทำไมใช้ชื่อแบบนั้นละ ? ด้วยความสงสัยเลยยอมนั่งดูละครครับ ดูไปได้ครึ่งเรื่อง มันก็โอเคดี เป็นละครแนวสืบสวนสอบสวน คล้าย ๆ ของอกาธา คริสตี้ แต่ที่เหมือนกับที่ผมคิดไว้ทีแรกคือ พ่อนางเอกมีเมีย 4 คน ตายไป 2 เพียงแต่พ่อนางเอกไม่ได้เป็นท่านเจ้าคุณหรือหลวงอะไรสักอย่าง เท่านั้นเองครับ

ผมเลยลองไปหาหนังสือมาอ่าน เพราะคิดว่าบางทีปมในหนังสือมันอาจจะซับซ้อนกว่านี้ หรืออาจจะไม่เหมือนละครไปก็ได้ ซึ่งหลังจากอ่านจบ เรื่องราวก็คล้าย ๆ กัน แต่ผมว่าในละครดูสนุกกว่าเยอะนะครับ

หนังสือเล่มนี้จะแบ่งเป็น 2 พาร์ท คือพาร์ทอดีต กับพาร์ทปัจจุบันครับ พาร์ทอดีตตคือพาร์ทของ นายลิตร พ่อของนางเอก ที่ได้กำหนดชีวิตและโชคชะตาตัวเองด้วยการทำงานที่ไม่สุจริตและผิดศีลธรรม เพื่อเงินทองและความมีอำนาจ และโชคชะตาก็ทำให้ลิตรได้แต่งงานกับ เรไร สาวแก่ที่ร่ำรวย ไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่าลิตรแต่งเพราะอะไร เรไรพาลิตรเข้ามาอยู่ใน "เรือนรัตนะ" ในฐานะคุณผู้ชายของบ้าน แต่แล้วลิตรก็ไปตกหลุมรัก รำเพย น้องสาวของเรไร ทั้งคู่ลอบเป็นชู้กันโดยที่รำเพยไม่ได้เต็มใจนัก เพราะไม่อยากทำผิดศีลธรรมแม้จะรักนายลิตรมากแค่ไหน ทั้งคู่ต้องแอบอยู่กันอย่างหลบ ๆ ซ่อน จนกระทั่งรำเพยให้กำเนิด "นันทนัช" เรไรจึงจับได้ว่าทั้งคู่แอบเป็นชู้กัน และสั่งให้คนรถมาฆ่ารำเพยเสีย ลิตรที่แอบรู้เรื่องจึงชิงฆ่าเรไรก่อน เมื่อรำเพยรู้เรื่องจึงเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ลิตรจึงได้เจอผู้หญิงคนใหม่คือ ทิพย์ ที่แอบหลงรักลิตรมาตั้งแต่ลิตรยังยากจน สุดท้ายรำเพยก็ฆ่าตัวตาย ทิพย์จึงกลายเป็นคนเลี้ยงนันทนัชมาตลอดระยะเวลา 15 ปี โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าทิพย์เป็นเมียคนหนึ่งของลิตร และรู้เรื่องทุกอย่างที่ลิตรทำ ลิตรไปเจอผู้หญิงคนใหม่คือ ฤทัย และได้พาเข้าบ้าน สร้างความไม่พอใจให้กับนันทนัชมาก ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างหนัก สุดท้ายลิตรจึงตัดสินใจส่งนันทนัชไปเมืองนอก จบพาร์ทแรกครับ

พาร์ทปัจจุบัน เมื่อลิตรเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ แม้จะไม่ค่อยลงรอยกับพ่อ แต่นันทนัชก็ตั้งใจจะกลับมาทวงคืนความยุติธรรมให้กับพ่อ เพื่อแสดงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้าย และยังจับพลัดจับพลู ได้นายทหารหนุ่มรูปหล่อมาเป็นผู้ช่วยและพัฒนาเป็นคนรู้ใจด้วย ซึ่งเมื่อใกล้ความจริงเข้าไปมากเท่าไร ชีวิตของนันทนัชก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น และเมื่อทุกคนรู้ความจริง ไม่มีใครคาดคิดได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ในครั้งนี้ จะเป็นคนที่ทุกคนไม่เคยให้ความสนใจเลย

รวม ๆ ก็เป็นหนังสือที่ซับซ้อน ดราม่าดีครับ จะเบา ๆ ลงไปบ้าง คือวิญญาณนายลิตรโผล่มาดูลูก แล้วก็บ่น ๆ มันดูตลกดีครับ แต่ภาษาและสำนวนที่บอกเล่าเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ทำออกมาได้ไม่ค่อยดี มันดูเหมือนเด็ก ๆ เลยตัดคะแนนตรงนี้ครับ

นอกจากนี้ในหนังสือ การเชื่อมเหตุการณ์ยังทำออกมาได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร คือมันไม่ค่อยสมเหตุสมผล เพราะฉะนั้น การที่ละครสามารถแก้ต่างตรงจุดนี้ได้ ทำให้ละครออกมาสนุกกว่าหนังสือมากครับ
อย่าลืมฉัน (เล่ม 1-2) (ทมยันตี)
4
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 25 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน ทมยันตี
สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม
จำนวนหน้าหนังสือ 534 หน้า

" อย่าลืมฉัน " ละครที่ถูกพูดถึงติดอันดับในปี 2014 นี้ อยากจะบอกว่าที่บ้านผมติดกันงอมเลย เป็นละครที่ใครหลาย ๆ คนรอคอยกันมาตั้งแต่แคสตัวละครกันเลยทีเดียว ผมก็ยังสงสัยนะว่ามันน่าดูตรงไหน เพราะว่าเคยอ่านเมื่อตอนเด็ก ๆ ยากจะบอกว่าบรรยากาศของเรื่องมันดูอึมครึมทั้งเรื่อง พระนางพูดจาประชดประชันเสียดสีกันเป็นหลัก พระรองนางรองก็ไม่ค่อยจะเด่น จนเมื่อผมได้มาอ่านอีกรอบ หลังจากอ่านครั้งแรกประมาณ 5-6 ปีครับ

มาอ่านครั้งที่ 2 ก็อยากจะบอกว่า ถึงจะซาบซึ้งกับบทประพันธ์มากขึ้น เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น แต่มันก็ยังอึมครึมเหมือนเดิมแหละครับ โครงเรื่องก็คือ เขมชาติ และ สุริยาวดี รักกันในขณะที่เรียนมหาวิทยาลัย ในช่วงนี้ผู้เขียนทำให้เขมชาติดูเป็นคนที่น่าสงสารมาก เพราะดูต่ำต้อยกว่านางเอกในทุก ๆ ทาง ซึ่งทั้งสองให้สัญญากันว่า เมื่อเรียนจบจะแต่งงานกัน และเขมชาติได้ให้แหวนรูปดอกฟอร์เก็ตมีน็อตกับสุริยาวดีไว้เพื่อแทนความรักของเขมชาติ แต่ทุกอย่างก็สลายลงเมื่อสุริยาวดีต้องลาออกจากหมาวิทยาลัยเพื่อไปแต่งงานกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเพื่อชดใช้หนี้สินให้กับครอบครัว โดยไม่ได้บอกความจริงกับเขมชาติ ทำให้เขมชาติเสียใจและโกรธแค้นเธอมาก เขมชาติจึงตั้งใจเรียนจนจบและทำงานสร้างฐานะจนร่ำรวยเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็กต์ระดับหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากความแค้นของเขมชาติทั้งนั้น ต่อมา สุริยาวดีได้กลับมามาในชีวิตของเขมชาติอีกครั้งเพื่อทำงานหาเลี้ยงลูกชาย 2 คน แต่เธอกลับมาในชื่อของ "นางสุริยง" สร้างความเจ็บปวดให้กับเขมชาติเป็นอย่างมาก ทำให้เขาคิดจะแก้แค้นสุริยาวดีทุกรูปแบบ แต่สิ่งหนึ่งที่เขมชาติไม่เคยรู้คือสุริยาวดีแต่งงานแค่เพียงในนาม และกลับมาหาเค้าในครั้งนี้ก็เพราะหัวใจตนเองเรียกร้อง ซึ่งกว่าเขมชาติจะรู้ความจริงทั้งหมด สุริยาวดีก็ไปไกลแสนไกลแล้ว หลังจากที่เธอต้องทนกับการระบายความแค้นของเขมชาติมาตลอดระยะเวลาที่เธอกลับมา เขมชาติจึงรีบตามไปขอโทษเธอ และรีบตามไปเอาความรักของเค้ากลับคืนมา

คือละครมันค่อนข้างแตกต่างจากในหนังสือมากนะครับ เพราะคุณเอื้อกับเกนหลงไม่ได้มีบทบาทมากเท่าในละคร และคนบ้านรัตนชาติก็ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรสูงมากขนาดนั้น ในหนังสือจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของเขมชาติกับสุริยาวดีมากกว่า ถึงสุริยาวดีจะรู้ทันเขมชาติตลอดว่าคิดจะทำอะไร แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเขมชาติเพราะความเชื่อใจและความรักที่มีต่อตัวเขมชาติ ใช่ครับ ในละครได้เปิดโอกาสให้สุริยาวดีได้แก้แค้นเขมชาติ แต่ไนหนังสือไม่มีหรอกนะครับ จบแบบให้คิดกันไปเองว่า ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดีมั้ย สุริยาวดีจะปฏิเสธหรือเปล่า นี่คือจุดหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของหนังสือครับ คือเราต้องคิดตามต่อไปเอง ไม่เหมือนในละครที่คิดมาให้คนดูหมดแล้ว เหลือแค่ติดตามเท่านั้นเอง ซึ่งผมมองว่าละครมันก็ดีนะ ปรับให้เข้ากับยุคสมัยดี เพราะถ้าตามจากบทประพันธ์มันจะดูล้า ๆ ไปสักนิด ส่วนคู่รองที่ไม่ค่อยจะมีบทบาทในหนังสือ ก็ทำให้มีมิติอย่างเห็นได้ชัดด้วยการทำให้เหมือนเป็นพระนางร่วมครับ

ก็สรุปว่า หนังสือกับละครมันจะได้กลิ่นอายคนละแบบ ถ้าจะเอาความประทับใจจริง ๆ ต้องในหนังสือครับ เพราะในละครตัวละครจะดูมีมิติมากเกินไป อย่างเขมชาติในหนังสือก็ไม่วีนเหวี่ยงขนาดนี้ครับ
ข้าบดินทร์ (เล่ม 1-2) (วรรณวรรธน์)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 25 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน วรรณวรรธน์
สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม
จำนวนหน้าหนังสือ 716 หน้า ( 2 เล่มจบ)

" ข้าบดินทร์ " ละครพีเรียดฟอร์มยักษ์ที่กำลังถ่ายทำอยู่ในขณะนี้ ผมก็ยังงง ๆ นะ มีหนังสือแนวประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ที่เป็นนวนิยายที่ผมไม่รู้จักด้วยหรือ ? แลพผมเองก็นิยมชมชอบพระเอกเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวอยู่แล้วคือ 'เจมส์ มาร์" เพราะฉะนั้นหลังจากรู้ข่าว ผมก็รีบไปตามล่าหาหนังสือเล่มนี้โดยทันทีครับ

โดยหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสืออิงประวัติศาสตร์ในสมัยรัชการที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรีครับ เป็นช่วงที่ฝรั่ง (หรือที่ตามหนังสือเรียกว่า วิลาศ) เข้ามามีบทบาททางการค้ากับประเทศไทย โดยเรื่องราวจะถูกเล่าผ่าน "เหม" บุตรชายพระยาบริรักษ์กับคุณหญิงชม ชายหนุ่มรูปงาม ที่สนใจใฝ่รู้ภาษาวิลาศ และแอบไปเรียนอยู่บ่อย ๆ แต่เมื่อผู้เป็นพ่อรู้ก็ไม่พอใจ จึงได้ส่งเหมไปเรียนกับพระครูที่วัด เหมจึงได้เรียนวิชาดาบอาทมาฎติดตัวมาอีกแขนงหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ชีวิตของเหมที่ดูจะเพียบพร้อมทุกอย่างกลับต้องพลิกผัน เมื่อผู้เป็นพ่อถูกกล่าวหาว่าฆ่าพวกวิลาศตาย

ครอบครัวของพระยาบริรักษ์ต้องกลายเป็นตะพุ่นช้าง ที่ตกต่ำเสียยิ่งกว่าไพร่ แต่ด้วยความมานะพยายามของเหม ทำให้เหมได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งคชสารจนได้เป็นหมอควาญช้างหรือ "เสดียง" และทำให้เค้าได้พบกับ ลำดวน อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ในวัยเด็ก ทั้งคู่เคยรู้จักกันมาแล้ว แม้จะต้องเจออุปสรรคมากมาย ทั้งหลวงวิชิต ชายหนุ่มที่มีฐานะดีพร้อมเทียมทัด ลำดวน แต่พร้อมจะแทงข้างหลังได้ทุกเมื่อ แต่ด้วยความรักที่เหมมีให้ต่อลำดวน เหมจึงเพียรพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มีฐานะทัดเทียมกับลำดวน ซึ่งเค้าก็สามารถก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่ง "หลวงสุรบดินทร์" ได้อย่างภาคภูมิใจ จากความสามารถในวิชาดาบอาทมาฏของเหมครับ

ในท้าย ๆ เรื่อง จะเห็นถึงความเสียสละของเหมที่ตั้งใจจะทำเพื่อชาติ ที่ถึงแม้จะไม่มียศ ไม่มีศักดิ์ใด ๆ ก็ตาม โดยผ่านคุณชายช่วง (ผมนึกยศไม่ออกเสียแล้ว) คุณชายช่วงก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นเหมมาแต่เล็ก ๆ และเฝ้ารอเวลาที่เหมจะสามารถล้างมลทินให้กับครอบครัวได้ และเมื่อเหมสามารถทำได้สำเร็จ คุณชายช่วงก็ไม่รีรอที่จะสนับสนุนเหมในหน้าที่การงานและทำงานร่วมกันกับเหม ซึ่งอะไรที่เหมสามารถทำเพื่อช่วยชาติได้ เหมยินดีที่จะทำในฐานะ "ข้าแห่งบดินทร์โดยแท้จริง"

อยากจะบอกว่า สนุกมาก ๆ ครับ สนุกผิดคาดเลย ภาษาที่ใช้ก็สละสลวย แม้จะอ่านยากไปสักนิด อ่านแล้วรู้สึกรักชาติยิ่งขึ้นไปอีก และรู้สึกเกลียดฝรั่งที่ตั้งใจจะเข้ามาเอาเปรียบไทย ตามที่ได้เรียนจากตำราประวัติศาสตร์มา (เซอร์ เจมส์ บรู๊ก , บาวริ่ง ทำนองนั้นแหละครับ) ยอมรับครับว่าอ่านหนังสือแล้วก็คาดหวังกับละคร แต่รู้สึกว่าละครจะเปลี่ยนเชื้อชาติพ่อเหมจากมอญเป็นจีนแทนนะครับ

นอกจากนี้ในหนังสือยังเต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวศาสตร์แห่งคชสารของจริง ที่คิดว่าน่าจะหาอ่านได้ยากในตอนนี้ และยังได้เห็นข้อบังคับของเหล่าควาญช้างสมัยโบราณด้วยครับ อ่านแล้วก็รู้สึกทึ่ง ๆ ข้อบังคับเค้าเยอะมาก ละเอียดมาก ๆ ด้วยครับ เพราะฉะนั้นถ้าใครสนใจประวัตศาสตร์ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ หนังสือเล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มที่ไม่ควรพลาดครับ
Harry Potter เล่ม 04 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี (ปกทอง)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้แต่ง J.K.Rowling
ผู้แปล งามพรรณ เวชชาชีวะ
สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์พับลิเคชันส์
จำนวนหน้าหนังสือ 829 หน้า

เรื่องราวได้เดินทางมาถึงปีที่ 4 แล้ว อยากจะบอกว่าเล่มนี้หนาที่สุดแล้วมั้งครับ หนาพอ ๆ กับภาคีนกฟีนิกซ์เลย แต่ผมอยากจะบอกว่าเล่มนี้มันและสนุกที่สุดแล้วล้ะ สนุกทั้งเวอร์ชั่นหนังสือและเวอร์ชั่นภาพยนตร์เลย เรื่องนี้ผมลงทุนไปดูในโรงเลยครับ

เริ่มต้นด้วยการที่แฮร์รี่ฝันถึงลอร์ดโวร์เดอร์มอร์กับหางหนอนกำลังจะวางแผนฆ่าใครสักคนอยู่ ซึ่งก็คือแฮร์รี่เองนั่นแหละ ซึ่งแฮร์รี่เองก็ค่อนข้างกังวลกับเรื่องนี้ จึงได้ส่งข่าวไปหาซิเรียสทั้ง ๆ ที่ไม่อยากให้ซิเรียสเป็นห่วงก็ตาม จากนั้นครอบครัวเดอร์สลีย์ได้มารับแฮร์รี่ไปดูควิดดิชเวิล์ดคัพ โดยได้รับความเห็นชอบจากครอบครัวเดอร์สลีย์ (แต่โดยดีครับ) และในงานควิดดิชเวิล์ดคัพ แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ต่างก็ตื่นเต้นและประทับใจกับซีกเกอร์ของบัลแกเรีย วิคเตอร์ ครัม หลังจบแมทช์ควิดดิชมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เมื่อผู้เสพความตายออกอาละวาดเสกตรามารขึ้นบนท้องฟ้า และผู้รับเคราะห์คือเอลฟ์ตัวหนึ่งชื่อ วิงกี้ ทำให้เฮอร์ไมโอนี่คิดเริ่มโครงการรณรงค์สิทธิของเอลฟ์ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

เมื่อกลับมาสู่โรงเรียนอีกครั้ง แฮร์รี่ก็พบว่าโรงเรียนจะมีการจัดประลองเวทย์ขึ้นกับโรงเรียนอีก 2 แห่งคือโบซ์บาตงและเดิมสแตรงก์ ซึ่งทั้งหมดจะต้องใส่ชื่อลงไปในถ้วยอัคนีเพื่อให้ได้รับการคัดเลือก และในวันคัดเลือก ตัวแทนของฮอกวอร์ตคือเซดริก ดิกกอรี่ โบซ์บาตงคือ เฟลอร์ เดอลากูร์ และตัวแทนของเดิมสแตรงก์คือ วิกเตอร์ ครัม และคนสุดท้ายคือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งอายุไม่ถึงเกณฑ์ ทำให้ทุกคนคิดว่าเค้าโกงการแข่งขัน รวมไปถึงรอนที่อิจฉาและพาลโกรธแฮร์รี่ ไม่คุยกับเค้าอีกเลย

แฮร์รี่ต้องเจอภารกิจ 3 ภารกิจที่ยากมาก ๆ เก็บไข่ทองคำจากมังกร ซึ่งแฮร์รี่ก็โชคดี เจอมังกรที่ดุร้ายที่สุดในจำนวนมังกร 4 ตัว ซึ่งหลังจากภารกิจนี้จบลง รอนก็กลับมาคืนดีกับแฮร์รี่เพราะเชื่อว่า ภารกิจอันตรายขนาดนี้ แฮร์รี่คงไม่บ้าเอาตัวเองไปเสี่ยง ภารกิจที่ 2 ภารกิจที่แฮร์รี่จะต้องเจออยู่ในไข่มังกรที่แฮร์รี่เก็บได้ ซึ่งแฮร์รี่ก็เพิกเฉยต่อการไขปริศนาจนการแข่งขันใกล้จะมาถึง แม้แฮร์รี่จะหยิ่งทะนงมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความช่วยเหลือจากเซดริก และรู้ว่าภารกิจต่อไปคือต้องไปช่วยตัวประกันใต้ทะเลสาบจากเหล่านางเงือก และความช่วยเหลือหลัก ๆ ที่ทำให้แฮร์รี่ปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จก็มาจากด๊อบบี้นั่นเอง ด๊อบบี้ที่ได้เป็นไทได้มาทำงานอยู่ที่ฮอกวอร์ตและได้คอยปรากฎตัวช่วยแฮร์รี่อยู่เรื่อย ๆ และภารกิจสุดท้ายที่แฮร์รี่ต้องเจอคือภารกิจเขาวงกต

ในภารกิจสุดท้าย เมื่อผ่านด่านต่าง ๆ ไปได้ แฮร์รี่ตัดสินใจจะจับถ้วยพร้อมกันกับเซดริก เพื่อเป็นชัยชนะร่วมกันของฮอกวอร์ต แต่แล้วถ้วยกลับเป็นกุญแจนำทาง พาแฮร์รี่ไปยังสุสานที่โวลเดอร์มอร์รออยู่ตามแผน ซึ่งเซดริกที่ตามไปด้วยถูกสังหารทันทีด้วยคำสาปพิฆาต ปีเตอร์ เพ็ตติกรูว์จับแฮร์รี่มัดไว้และกรีดเลือดแฮร์รี่ออกมาทำพิธีคืนชีพให้โวลเดอร์มอร์อีกครั้ง และมันก็สำเร็จ โวลเดอร์มอร์ให้โอกาสแฮร์รี่รอดด้วยการสู้กันตัวต่อตัว ซึ่งสุดท้ายแฮร์รี่ก็หนีมาได้ เค้ากลับไปยังฮอกวอร์ตอีกครั้งท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกคน และจบลงที่รู้ว่าใครคือผู้เสพความตายที่แฝงตัวอยู่ในฮอกวอร์ตกันแน่

เพราะเป็นเรื่องของการผจญภัยและเผชิญหน้ากับภารกิจที่ต้องใช้ความกล้าหาญและไหวพริบล้วน ๆ ทำให้หนังสือตอนนี้เป็นตอนที่สนุกที่สุดครับ แฮร์รี่นอกจากต้องเผชิญความกดดันจากภารกิจแล้ว การที่เพื่อนสนิทที่สุดมาอิจฉาและไม่คุยด้วย เป็นผม ผมคงอึกอัดใจอยากตายไปเลย แต่แฮร์รี่ก็อดทนจนเรื่องราวทั้งหมดผ่านไปได้ด้วยดี ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่ถึงแม้จะดัดแปลงไปอยู่บ้าง แต่เค้าโครงหลัก ๆ ก็ยังเดินตามเรื่องจากหนังสือครับ ความมันก็ไม่แพ้กันเลย
Harry Potter เล่ม 02 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ (ปกทอง)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้แต่ง J.K.Rowling
ผู้แปล สุมาลี บำรุงสุข
สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์พับลิเคชันส์
จำนวนหน้าหนังสือ 408 หน้า

พ่อมดน้อยแฮร์รี่ พอตเตอร์และผองเพื่อนกำลังจะขึ้นสู่ปี 2 ที่ฮอกวอร์ตครับ ซึ่งเริ่มเรื่องเปิดฉากกันมาที่บ้านเดอร์สลีย์ เราจะเห็นความยากลำบากของแฮร์รี่ในการแอบทำการบ้านและใช้ชีวิตให้เป็นปกติเหมือนมักเกิ้ล และเค้าก็อดน้อยใจไม่ได้ว่าทำไมทั้งรอนและเฮอร์ไมโอนี่ไม่ส่งจดหมายมาถึงเค้าเลย จนกระทั่งวันหนึ่งที่ลุงเวอร์นอนนัดแขกคนสำคัญมาเจรจากันที่บ้าน มีเอลฟ์ตัวหนึ่งชื่อ ด๊อบบี้ ปรากฎตัวขึ้นและเตือนไม่ให้แฮร์รี่กลับไปที่โรงเรียน โดยให้เหตุผลว่าแฮร์รี่จะพบกับอันตรายร้ายแรง ซึ่งแฮร์รี่ไม่เชื่อและพบว่าแท้จริงด๊อบบี้นี่แหละที่เป็นคนกักจดหมายของเพื่อน ๆ เค้าไว้ ด๊อบบี้จึงทำลายงานเลี้ยงของลุงเวอร์นอนและทำให้ดูเหมือนกับว่าแฮร์รี่เป็นคนทำ ซึ่งก็ได้ผล จดหมายจากกระทรวงเวทย์มนตร์มาถึงบ้านเดอร์สลีย์แทบจะทันทีในเรื่องการไม่ให้พ่อมดอายุน้อยกว่าบรรลุนิติภาวะใช้เวทย์มนตร์ ทั้งหมดจึงรู้ว่าแฮร์รี่หลอก (แค่บอกความจริงไม่หมดต่างหาก) และกักบริเวณแฮร์รี่ไว้

ต่อมาไม่นาน พี่น้องวีสลีย์ได้นำรถเหาะของพ่อมาช่วยแฮร์รี่ และได้พาแฮร์รี่ไปอาศัยอยู่ที่บ้านโพรงกระต่ายตลอดระยะเวลาปิดเทอม แฮร์รี่ได้พบกับนางมอลลี่และนายอาเธอร์วีสลีย์ ที่ดูจะรักแฮร์รี่เหมือนลูกมาก ๆ และน้องคนเล็กของบ้าน จินนี่ วีสลีย์ที่ดูเหมือนเธอจะแอบชอบเค้า เมื่อถึงวันที่ต้องกลับสู่โรงเรียน รอนและแฮร์รี่ไม่สามารถขึ้นรถไฟได้ ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจขับรถเหาะไปยังโรงเรียน ซึ่งโชคไม่ดีนักที่รถเหอะตกใส่ต้นวิลโลว์ รถเกือบพัง แต่ไม้กายสิทธิ์รอนพังอย่างแท้จริง

แฮร์รี่พบกับอาจารย์วิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่ที่ดูจะน่ารำคาญและลวงตัวเอง เพราะหลงระเริงว่าตัวเองมีชื่อเสียงโด่งดัง (และเป็นที่ชื่นชอบของเฮอร์ไมโอนี่มาก) และหลังจากนั้นไม่นาน แฮร์รี่ก็พบเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ แมวของภารโรงแข็งเป็นหินและถูกจับห้อยหัว พร้อมกับข้อความบนกำแพงว่า ห้องแห่งความลับเปิดแล้ว เหล่าศัตรูของทายาทจงระวัง !

เรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกให้นักเรียนในฮอกวอร์ตมาก แฮร์รี่เองก็รู้จากนักเรียนเหล่านั้นว่า ห้องแห่งความลับเป็นตำนานของซัลลาซาร์ สลิธีริน ที่ต้องการจะคัดเลือกแต่เด็กเลือดบริสุทธิ์เข้าโรงเรียน ซึ่งขัดกับความคิดของผู้ก่อตั้งคนอื่น ๆ เค้าจึงออกจากโรงเรียนไป แต่ก่อนออก เค้าได้สร้างห้องแห่งความลับไว้ รอทายาทมาเปิดประตูปลดปล่อยสิ่งชั่วร้ายมากำจัดเด็กที่เกิดจากมักเกิ้ลออกไป และหลังจากนั้นไม่นานก็มีเด็กที่เกิดจากมักเกิ้ลถูกโจมตีจริง ทุกคนเชื่อว่าแฮร์รี่เป็นทายาท เพราะในการต่อสู้ป้องกันตัวที่ล็อกฮาร์ตจัดขึ้น แฮร์รี่พูดกับงูโดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสร้างความกลัวให้กับนักเรียนคนอื่น ๆ มาก เด็กที่ถูกโจมตีต่างก็เป็นคู่กรณีของแฮร์รี่ จนกระทั่งถึงคิวของเฮอร์ไมโอนี่ ทุกคนจึงเลิกเชื่อว่าแฮร์รี่เป็นทายาท และหลังจากนั้นแฮร์รี่ได้พบข้อความบางอย่างจากเฮอร์ไมโอนี่หลังถูกทำร้าย ทำให้ทั้งคู่ไขปริศนาได้ว่าใครที่เป็นคนทำร้าย ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้ากับลอร์ดโวลเดอร์มอร์อีกครั้ง ที่ถึงแม้จะเป็นนักเรียนอยู่ แต่อำนาจของเค้าก็ไม่ได้ลดลงเลย เมื่อเรื่องทั้งหมดจบลง แฮร์รี่ได้ช่วยด๊อบบี้ให้เป็นไทได้สำเร็จ สร้างความปลาบปลื้มใจให้กับด๊อบบี้มาก

สรุปว่า สนุกครับ เล่มนี้ดูเหมือนจะมีเนื้อหาน้อยที่สุดในบรรดาทั้ง 7 เล่มแล้วครับ เรื่องนี้แฮร์รี่จะโตขึ้นมาอีกหน่อย การผจญภัยหรือการเผชิญหน้ากับโวร์เดอร์มอร์ครั้งนี้ทำให้แฮร์รี่ค่อนข้างรอบคอบขึ้น และคิดถี่ถ้วนมากขึ้น ถึงแม้จะอันตรายมากขึ้นก็ตาม ซึ่งผมว่าก็สนุกพอ ๆ กับภาคแรกครับ
มาเฟียเลือดมังกร : เสือ
4
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน รพัด
สำนักพิมพ์ Sugar beat
จำนวนหน้าหนังสือ 250 หน้า

ผมเห็นละครเปิดตัวค่อนข้างยิ่งใหญ่เลย นักแสดงดัง ๆ รวมกันอยู่ในชุดนี้เพียบ ยิ่งใหญ่มากกว่าสี่หัวใจแห่งขุนเขาและสุภาพบุรุษจุฑาเทพเสียอีก แม้จะยังไม่ออกฉายก็ตาม แต่ด้วยการโฆษณา มันเลยเป็นจุดดึงดูดที่ทำให้ผมต้องไปหาหนังสือชุดนี้มาอ่านครับ

หนังสือชุด "มาเฟียเลือดมังกร" มีด้วยกันทั้งหมด 5 เล่ม คือ เสือ สิงห์ กระทิง แรด หงส์ ครับ แต่ผมรู้สึกว่าละครจะตัดคำว่ามาเฟียออก เหลือแค่เลือดมังกรเท่านั้น เพราะเกรงว่าจะดูไม่ดี ซึ่งผมว่ามันก็ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไรนะครับ เพราะที่ดุ ๆ ก็มีแค่กระทิงเท่านั้นเอง ที่เหลือดูเหมือนจะเป็นนักธุรกิจเสียส่วนใหญ่ อย่างเช่นเรื่องแรก เสือ ครับ

หลังจากอ่าน สรุปว่า มันไม่ค่อยมีอะไรเลยครับ นอกจากพระเอกกับนางเอกกัดกันทั้งเรื่อง และมาเป็นคู่รักกันท้ายที่สุด จะบอกว่าเป็นมาเฟียก็ไม่ใช่ เพราะพระเอกเป็นนักธุรกิจ ไม่ยุ่งกับใคร เป็นมนุษย์แข็ง ๆ เหมือนหลิน หลานเซ่ออะไรแบบนี้ เป็นคนฟอร์มจัด ปากแข็ง แล้วต้องมาเจอกับนางเอกที่กวนประสาทสุด ๆ ตั้งแต่ครั้งแรก (แต่เป็นคนจิตใจดี มองโลกในแง่ดี) และเพราะความดวงซวยของพระเอก ทำให้พ่อและแม่ของภรพ ต้องหาผู้หญิงที่มีเกิดในวันพระจันทร์เต็มดวงมาเสริมดวงให้ลูกชาย (แรก ๆ ก็ให้เป็นเลขา หลัง ๆ กลายเป็นแฟน) ซึ่งก็บังเอิญว่านางเอกที่พระเอกไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรก ชื่อวันวิสา อธิบายได้ง่าย ๆ ว่าเกิดวันวิสาขบูชานั่นเอง ซึ่งความเอื้ออารีของนางเอก ทำให้เธอตกลงรับงานนี้โดยไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ่งซินแสทักว่านางเอกมีดวงอุ้มสมพระเอก พ่อแม่พระเอกเลยยิ่งไม่ห่วง แทบจะประเคนพระเอกให้เสียอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่เป็นที่ชอบใจของเฮียภรพสักเท่าไรครับ แต่ท้ายที่สุดภรพก็ยอมรับได้ เพราะวันวิสาช่วยให้เค้ารอดตายอย่างฉิวเฉียดมาได้หลายต่อหลายครั้ง

ตามตำราหนังมาเฟียต้องมีตัวร้าย แต่ผมว่าคนเขียนยังไม่ค่อยเก่ง เลยทำให้ตัวร้ายเรื่องนี้ดูยังอ่อนประสบการณ์ ด้วยปมแค่เรื่องผู้หญิงถึงต้องมาตามฆ่าพระเอก ทั้ง ๆ ที่เป็นเพื่อนกันมานาน พ่อแม่พระเอกก็รักเหมือนลูกชาย มันไม่สมเหตุสมผลครับ และการที่จะชี้ว่านางเอกเป็นคนมองโลกในแง่ดี (จัด) ส่งผลให้สามารถกล่อมตัวร้ายได้ในที่สุด ยิ่งดูไม่เข้าท่าไปใหญ่ มันเลยชักจะไม่โอเคก็ตรงนี้แหละครับ

ผมว่าเรื่องนี้ดูอ่อนที่สุดในบรรดา 5 เรื่องนะครับ แต่อาจจะมีหงส์ที่พอ ๆ กัน แต่เล่มนี้มีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่มีบทเลิฟซีนนั่นเอง เราเลยจะได้เห็นการต่อปากต่อคำของพระนางล้วน ๆ ตัวละครอีกตัวที่ผมชอบคือ เจ๊หยกมณีครับ เจ๊แกจะสอดรู้ไปทุกเรื่อง แต่เป็นคนที่สวยนะ เป็นตัวเชื่อมโยงของทุก ๆ ภาคพอ ๆ กับซินแสง้วงเลย ถ้าคนชอบนิยายพระนางปากจัด ๆ กัดกันเก่ง ๆ ก็ต้องเรื่องนี้เลยครับ ฉากบู๊มีอยู่ประมาณ 25 หน้าได้ (จาก 250 หน้านะ) ที่เหลือคือพระเอกกับนางเอกล้วน ๆ เลยครับ แต่ถ้าหากคุณชอบหนังแนวเจ้าพ่อ ตามชื่อเรื่องมาเฟีย อันนี้ต้องอย่าคาดหวังครับ เพราะมันไม่ได้บู๊แบบนั้นเลย
รากบุญ
3
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน ช่อมณี
สำนักพิมพ์ แสงดาว
จำนวนหน้าหนังสือ 472 หน้า

รากบุญ ชื่อเรื่องก็ดูแปลก ๆ นะครับ เนื้อเรื่องก็ดันแปลกอีก ซึ่งผมก็ชอบเรื่องแบบนี้ด้วยสิ

ผมติดตามมาตั้งแต่ละคร ด้วยความรู้สึกที่ว่า เออ พล็อตเรื่องมันแปลก ๆ ดีเนอะ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนด้วยความเชื่อเรื่องวิญญาณ ซึ่งมันแตกต่างจากแนวละครไทยสมัยนี้มาก และผมก็มาทราบทีหลังว่า มีนิยายวางด้วย จึงรีบไปหามาอ่านครับ

ก็อยากจะบอกว่า นิยายมันก้ำกึ่ง ๆ ระหว่างความสนุกกับความน่าเบื่อครับ แต่เนื้อเรื่องโดยรวม ๆ คล้าย ๆ กัน คือ พ่อของนางเอก เจติยา เสียชีวิต ทำให้ครอบครัวของเจต้องสูญเสียเสาหลักไป ทำให้เจต้องหางานพิเศษทำเพื่อส่งเสียน้องชายและตัวเองซึ่งเรียนอยู่ปีสุดท้ายด้วยการทำงานเป็นพนักงานตบแต่งศพที่บริษัทนิราลัย บริษัทจัดการศพครบวงจร และต่อมาแม่ของเจป่วยเป็นโรคไต ทำให้เจเครียดมากกับอาการของแม่และเรื่องของน้องชายที่ประพฤติตัวไม่เอาไหน และหลังจากนั้นไม่นาน เจติยาก็ได้รับกล่อง ๆ หนึ่งมาจากลุงทวี เพื่อนร่วมงานสูงวัยของเธอ ซึ่งลุงทวีก็ได้บอกความลับและวิธีการใช้งานกล่องนี้เพื่อคลี่คลายปัญหาทุกอย่าง แม้จะลังเล แต่เมื่อหมดทุกหนทาง เจติยาจึงต้องยอมรับเป็นเจ้าของกล่องนี้แต่โดยดี และเรียกมันว่ากล่องรากบุญ เพราะเชื่อว่ากล่องนี้ใช้สำหรับสะสมบุญ และได้รู้ว่ากล่องนี้เจ้าของเดิมคือ สารัช พ่อของพระเอก ลาภิณ ซึ่งภายหลังเมื่อสารัชเสียชีวิต ก็ถูกพิสัย น้องชายของภรรยาตัวเองยึดอำนาจบริษัทไว้ และกีดกันไม่ให้ลาภิณ ทายาทตัวจริงมาบริหารบริษัทได้อย่างสงบ

เมื่อเจติยาครอบครองกล่องรากบุญแล้ว ความวุ่นวายต่าง ๆ เกิดขึ้นกับเธอทันที เมื่อบรรดาศพต่างพากันมาร้องขอความช่วยเหลือจากเจติยา ซึ่งมีมาหลากรายรูปแบบมาก (ตรงนี้เขียนออกมาได้ค่อนข้างดีครับ ปัญหาสังคมทั้งนั้นเลย ค้าประเวณี เงินกู้นอกระบบ และอย่างอื่นอีกมากมาย อ่านแล้วก็รู้สึกสลดใจนิด ๆ) ซึ่งถ้าเธอช่วยคลายทุกข์ให้ศพ 1 ศพ เธอจะได้ดาวดวงหนึ่ง ได้ครบ 3 ดวงจะขออะไรก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีของหมวดนวัช เพื่อนบ้านของเธอที่เป็นตำรวจ และได้ผลพลอยได้ในการปิดคดีจากการคลายทุกข์ให้ศพของเจติยาไปในตัว ซึ่งในตอนท้าย ๆ เจติยาก็ตระหนักได้ว่ากล่องรากบุญนี้ เป็นกล่องที่มนุษย์ใช้มันเพื่อทำความดีและหวังผล เธอจึงตัดสินใจจะทำลายกล่องนี้ นี่คือเรื่องย่อ ๆ ที่นิยายกับละครไม่แตกต่างกันมากครับ

ที่แตกต่างคือภาษาที่ใช้ และรายละเอียดในเรื่อง ผมทราบมาว่าผู้เขียนเป็นนักกฎหมาย เลยไม่ค่อยแปลกใจครับที่เรื่องนี้จะเน้นไปในทางสืบสวนสอบสวนมากกว่าความรัก และใช้ศัพท์ทางกฎหมายมากจนน่าเบื่อ ถึงแม้ผมจะคลุกคลีอยู่กับกฎหมายอยู่บ่อย ๆ เห็นแบบนี้ก็รู้สึกระอาครับ แม้เนื้อเรื่องในนิยายจะเดินเรื่องได้ดีกว่าในละคร ที่เป็นจุดขายของนิยาย แต่เจอภาษาที่ห้วน ๆ และศัพท์กฎหมายเยอะ ๆ ก็ไม่ค่อยจะไหวเหมือนกันครับ ใครที่คิดว่าดูละครฟินแล้วจะตามมาอ่านในนิยาย อยากจะบอกว่าดูละครต่อไปเถอะครับ หนังสือมันค่อนข้างน่าเบื่อไปสักนิด แต่คนที่ชอบแนวสืบสวนน่าจะโอเคอยู่ครับ
Harry Potter เล่ม 01 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ (ปกทอง)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้แต่ง J.K.Rowling
ผู้แปล สุมาลี บำรุงสุข
สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์
จำนวนหน้าหนังสือ 376 หน้า

ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านไป 3 ปีครับ ถึงได้มาอ่านเล่มนี้ ก็อยากจะบอกว่าเวอร์ชั่นภาพยนตร์สนุกดีนะครับ ตอนนั้นผมยังเด็กก็ดูได้อย่างเพลินตา เพลินใจ และรู้สึกว่าภาพยนตร์นี่ช่างสร้างสรรค์มาก ๆ ครับ

เมื่อมาอ่านหนังสือ ผมก็ยิ่งต้องทึ่งเข้าไปอีก เพราะว่ามันสนุกมาก สนุกจริง ๆ คือผมไม่อยากจะเชื่อว่าเจ เค โรวลิ่งจะเขียนหนังสือแนวพ่อมด-แม่มดออกมาได้สนุกและน่าติดตามขนาดนี้ครับ

โดยเรื่องนี้จะเริ่มจาก เด็กชายแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กกำพร้าที่อยู่กับลุงเวอร์นอน ป้าเพ็ตทูเนีย และดัดลี่ย์ลูกชายของลุงกับป้ามา 10 กว่าปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเค้ารู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองอยู่เสมอแต่ไม่สามารถบอกใครได้ จนกระทั่งในวันเกิดปีที่ 11 แฮร์รี่ก็ได้รู้ความจริงว่าเค้าเป็นใคร จากชายลึกลับนามว่าแฮกริดที่เอาจดหมายจากฮอกวอร์ตมาส่งให้เค้าด้วยมือตัวเอง และในวันเดียวกัน แฮร์รี่ก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวการเสียชีวิตของพ่อและแม่ ที่ไม่ได้เสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตามที่ลุงกับป้าบอก ซึ่งแฮกริดเองก็ได้ให้คำแนะนำกับแฮร์รี่หลายอย่าง รวมไปถึงแผลเป็นรูปสายฟ้าที่อยู่บนหน้าผากของแฮร์รี่ด้วย หลังจากนั้นแฮกริดก็พาแฮร์รี่ไปส่งที่ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ ก่อนจะไปรอแฮร์รี่ที่โรงเรียน

ในขบวนรถไฟ แฮร์รี่ได้รู้จักกับรอนและเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งทั้งสามคนถูกคัดเลือกให้อยู่บ้านกริฟฟินดอร์เหมือนกัน ๆ จะมีก็แต่เด็กผู้ชายหน้าเสี้ยม ที่แฮร์รี่มารู้ทีหลังว่าชื่อ เดรโก มัลฟอย ที่ถูกคัดให้อยู่บ้านสลิธีรินแทบจะในทันที แฮร์รี่และเพื่อน ๆ รู้สึกสนุกอย่างมากในชีวิตความเป็นอยู่ใหม่ ๆ เค้า รอน และเฮอร์ไมโอนี่ได้ร่วมผจญภัยด้วยกันมากมาย และแฮร์รี่ที่ดูจะฉายแววด้านการเล่นควิดดิชก็ได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬาประจำทีมบ้านกริฟฟินดอร์

ด้วยความฉลาด (หรือรู้มากกันนะ ?) แฮร์รี่จึงได้ไปค้นพบอะไรบางอย่างและสงสัยว่าศาตราจารย์สเนปจะเป็นคนทำ และการที่แฮกริดดูอึกอักเวลาแฮร์รี่พูดถึงสิ่งของที่ถูกซ่อนแล้วมีหมาเซอบีรัสเฝ้าอยู่ ทำให้แฮร์รี่มั่นใจว่าต้องมีอะไรเป็นพิเศษ (วันที่แฮร์รี่ไปธนาคารกับแฮกริดก่อนมาโรงเรียน แฮกริดได้ไปเอาของชนิดหนึ่งที่เป็นความลับมาก) ที่น่าจะเกี่ยวกับของที่แฮกริดเอามา จนในที่สุดเมื่อถึงเวลาลงมือของสเนป (ตามที่พวกแฮร์รี่คิด) พวกเค้าสามารถผ่านด่านต่าง ๆ จนทะลุไปถึงห้องลับได้ (มาได้แค่แฮร์รี่คนเดียวนะครับ) เค้าได้เผชิญหน้ากับลอร์ดโวลเดอร์มอร์และได้รู้ว่า ของที่แฮกริดปิดบังเป็นนักหนาคือศิลาอาถรรพ์นั่นเอง (หินชุบชีวิตคนครับ) และจบลงตรงที่แฮร์รี่สลบไปหลังปะทะกับศาสตราจารย์ควีเรลล์

ท้ายที่สุดก็เป็นการฉลองชัยชนะของบ้านกริฟฟินดอร์และปิดท้ายด้วยการปิดเทอม เพื่อเตรียมความพร้อมขึ้นสู่ปีที่ 2 ของเหล่าพ่อมดน้อยต่อไป

สนุกจริง ๆ ครับ ผมเองก็ทึ่งจริง ๆ นะที่ผู้แต่งทำให้สิ่งของต่าง ๆ มีชีวิต และทำให้ตำนานเรื่องแม่มดกลับมาเป็นที่น่าสนใจอีกครั้ง การแข่งขันกีฬาบนไม้กวาดที่ชื่อ ควิดดิช เป็นอะไรที่ผมชอบมาก และภาคนี้ทุกคนยังเด็ก ๆ อยู่ มันเลยดูแบบไร้เดียงสา ไม่ได้ตั้งใจจะโชว์เก่ง บังเอิญว่าโชคช่วยมากกว่า ซึ่งผมก็ชอบตรงนี้แหละครับ
Harry Potter เล่ม 03 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน (ปกแข็ง)
4
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 21 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้แต่ง J.K.Rowling
ผู้แปล วลีพร หวังซื่อกุล
สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์
จำนวนหน้าหนังสือ 520 หน้า

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สาม ในชุดของพ่อมดน้อยแฮร์รี่ พอตเตอร์ครับ ผมดูภาพยนตร์แล้วอยากจะบอกว่าในภาพยนตร์ทำออกมาได้ไม่ค่อยเหมือนหนังสือเท่าไร อาจจะเพราะว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างยาก หรือการเปลี่ยนผู้กำกับใหม่เลยทำให้มุมมองของหนังดูเปลี่ยนไป เพราะในเรื่องนี้หนังจะออกแนวดาร์ค ๆ ครับ ผมดูรอบแรกไม่รู้เรื่องเลย ดูรอบต่อมาถึงค่อยเข้าใจครับ

หนังสือเล่มนี้จะเริ่มจากการที่แฮร์รี่กับผองเพื่อนขึ้นปี 3 โรงเรียนฮอกวอร์ต ในช่วงเวลาปิดเทอมที่บ้านเดอร์สลีย์ แฮร์รี่ได้เห็นข่าวการแหกคุกของนักโทษคนหนึ่งชื่อ ซิเรียส แบล็ก แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก เพราะความสนใจของแฮร์รี่ขณะนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางมาของ "ป้ามาร์จ" พี่สาวของลุงเวอร์นอน เมื่อมาถึงเธอก็ได้พูดจาดุถูกแฮร์รี่และพ่อแม่ ทำให้แฮร์รี่โกรธจัดจนทนไม่ไหว เผลอใช้เวทย์มนตร์ทำให้ป้าตัวพองเหมือนบอลลูนและลอยหายไป ด้วยความกลัวความผิดทำให้แฮร์รี่ต้องหนีออกจากบ้าน ที่ถนนนอกบ้านแฮร์รี่เห็นสุนัขสีดำตัวใหญ่มองเค้าอยู่ และทันใดนั้น รถเมล์อัศวินราตรีได้ปรากฎขึ้น และพาแฮร์รี่ไปยังตรอกไดแอกอน ระหว่างนั้นแฮร์รี่ก็ได้เห็นเดลี่พรอเฟ็ตลงข่าวเกี่ยวกับ ซิเรียส แบล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนลอร์ดโวลเดอร์มอร์ เมื่อถึงตรอก แฮร์รี่ได้พบกับฟัดจ์ที่มารออยู่ ซึ่งฟัดจ์ไม่ได้ลงโทษแฮร์รี่ เพียงแต่ขอให้แฮร์รี่อย่าไปไหนมาคนเดียว แม้จะแปลกใจ แต่แฮร์รี่ก็ไม่ปฏิเสธ

เมื่อไปถึงโรงเรียน แฮร์รี่กับรอนก็ต้องประหลาดใจว่า เฮอร์ไม่โอนี่สามารถเข้าเรียนทุกวิชาได้อย่างไร แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีเวลาสนใจมากนัก พวกเขาพบว่าในปีนี้ แฮกริดได้เลื่อนขั้นจากภารโรงมาเป็นอาจารย์สอนวิชาสัตว์วิเศษแล้ว และก็เกิดเรื่องทันทีใรคาบแรกเมื่อบัคบีค ฮิปโปกริฟฟ์ในชั้นเรียนทำร้ายมัลฟอย พ่อของมัลฟอยยื่นเรื่องให้ประหารบัคบีค ทำให้แฮกริดเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากนี้ กระทรวงเวทย์มนตร์ยังได้ส่งผู้คุมวิญญาณมาดูแลฮอกวอร์ต ด้วยกลัวว่าแบล็กจะลอบเข้ามา วันหนึ่งในแมทช์ควิดดิช แฮร์รี่ถูกผู้คุมวิญญาณล้อมรอบไว้ทำให้หมดสติไป ไม้กวาดที่เค้ารักมากที่สุดหลุดไปในต้นวิลโลว์จนพังยับเยินใช้ไม่ได้อีกต่อไป จากนั้นไม่นาน ก็มีคนส่งไม้กวาดไฟร์โบลต์ ไม้กวาดที่ดีที่สุดและใหม่ที่สุดมาให้แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่เกรงว่าจะเป็นแบล็กส่งมาทำร้ายแฮร์รี่ จึงได้ขอให้อาจารย์เอาไปตรวจดู ทำให้รอนและแฮร์รี่ไม่พอใจมาก รอนที่โกรธเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเรื่องที่แมวของเฮอร์ไมโอนี่มากินหนูของเค้า ทำให้ทั้งคู่ไม่พูดกันเลยนับจากนั้น

ก่อนคริสต์มาส แฮร์รี่ได้รับแผนที่ตัวกวนจากฝาแฝดวีสลีย์ ให้สามารถเดินทางไปฮอร์กมี้ดส์ได้ นั่นทำให้แฮร์รี่รู้ว่า แท้จริงแล้วแบล็กเป็นใคร มีความสัมพันธ์อะไรกับแฮร์รี่และครอบครัว และต่อมาไม่นาน แฮร์รี่ได้เผชิญหน้ากับแบล็กจริง ๆ และต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าอาจารย์ที่รักและเคารพกลายเป็นมนุษย์หมาป่า ตรงนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าสนุกที่สุดครับ เมื่อแฮร์รี่จะต้องละทิฐิของตนเองเพื่อรับฟังสิ่งรอบข้าง ก่อนจะตัดสินใจด้วยตัวเอง ซึ่งก็ถือว่าไม่ผิดพลาด และส่งท้ายเรื่องด้วยการเฉลยว่า เพราะอะไรเฮอร์ไมโอนี่ถึงเข้าเรียนได้ทุกวิชาและบัคบีคยังมีชีวิตรอดหรือไม่ ?

นั่นคือเรื่องย่อ ๆ ทั้งหมดของตอนนี้ครับ ผมว่ามันไม่ค่อยสนุกเท่าภาคอื่น ๆ นะ คืออาจจะเน้นตรงส่วนในเรื่องของแบล็กมากเกินไป ดังนั้นในเรื่องนี้เลยจะออกมาดาร์คพอ ๆ กับเล่มที่ 5 ภาคีนกฟีนิกซ์ครับ
รักต้องอุ้ม
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 21 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน เพชรไพลิน
สำนักพิมพ์ แจ่มใส
จำนวนหน้าหนังสือ 232 หน้า

หยิบมาอ่านจนจบแล้วถึงรู้ว่าเป็นหนังสือของแจ่มใสครับ ยังสงสัยอยู่ว่าแจ่มใสมีหนังสือแบบนี้ด้วยหรือ ? นึกว่าปกติออกมาแต่นิยายแนวลูกกวาด ที่มีเครื่องหมายอะไรไม่รู้ตามหลังประโยค

หนังสือเรื่องนี้เดิมชื่อ อลเวงรัก ครอบครัวกำมะลอครับ แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นรักต้องอุ้ม (ผมว่าชื่อเดิมน่ารักกว่านะ) ได้ข่าวว่าจะทำเป็นละคร ซึ่งในช่วงนี้กำลังถ่ายทำอยู่ ผมว่าก็น่าจะโอเคครับ ถ้าไม่ได้เปลี่ยนบทประพันธ์มาก ก็คงจะน่าดูพอสมควร

หนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความซวยของนางเอกที่ชื่อ "ลันตา" (นึกว่าอ่านผิด ตอนแรกอ่านลันเตา) ที่อยู่ในช่วงตกอับถึงขนาด ตกงาน ไม่มีแฟน และไม่มีเงินแม้กระทั่งจะผ่อนค่ารถ ที่สำคัญคือเธอเกือบจะถอยรถมาทับลังกระดาษกล่อง
หนึ่ง ที่ข้างในบรรจุเด็กทารกตัวน้อย ๆ ไว้แทนที่จะเป็นระเบิด ซึ่งเมื่อเธอได้เห็นเด็กน้อยคนนี้เป็นครั้งแรก เธอก็ตระหนักถึงสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่มีอยู่ในตัวเธอทันที ไม่ว่าเด็กน้อยคนนี้จะเป็นลูกใคร เธอก็ยินดีที่จะเป็นแม่ แต่ถ้ามีแค่แม่ กับ ลูกมันก็คงจะดูขาด ๆ อะไรไป หรืออาจจะทำให้คนนอกมองว่าเธอท้องไม่มีพ่อ !! เธอเลยโมเมไปคว้าเพื่อนชายคนสนิทสุด ๆ อย่าง "สิปาดัน" (เรื่องนี้ชื่อแปลกทั้งพระเอกนางเอกเลย) มาเป็นพ่อโดยที่เจ้าตัวยังงง ๆ อยู่ด้วยซ้ำ จากนั้นครอบครัวกำมะลอก็เกิดขึ้นครับ แต่ใครจะรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้จะทำให้เพื่อนรักทั้งคู่กลายมาเป็นคนรักกันในที่สุด

ผมว่ามันก็สนุกไปอีกแบบนะครับ ออกจะเห็นใจนางเอกอยู่มาก ที่ชีวิตตกอับสุด ๆ แล้วอยู่ดี ๆ ก็ต้องเป็นคุณแม่มือใหม่โดยไม่ทันรู้ตัว แต่นางเอกก็เป็นคนมองโลกในแง่ดีนะครับ เป็นคนฮา ๆ ชอบคิดอะไรแปลก ๆ (ไม่งั้นจะเอาเพื่อนสนิทมาเป็นพ่อให้เด็กหรือ ?) ส่วนข้างพระเอกก็เป็นหนุ่มนักบินผู้หล่อเหลา แต่นางเอกกลับทำให้คนข้างนอกเข้าใจผิดว่ามีครอบครัวแล้ว พื้นฐานเป็นคนปากเสีย พูดจาไม่ค่อยคิด เรื่องมันก็เลยดูเหมือนจะวุ่นวาย ๆ พอสมควร แต่ที่แท้จริงแล้วพระเอกกับนางเอกเค้าแอบชอบกันมานานแล้ว แต่ไม่เคยพูดกัน คนภายนอกก็ดูออกกันทุกคนครับ เพราะฉะนั้นการที่มีเด็กคนหนึ่งมาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ มันเลยกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยากที่ทั้งคู่จะพัฒนามาเป็นคนรักครับ

อ่านแบบขำ ๆ น่ารัก ๆ มาแล้วก็ต้องมาถึงตอนดราม่า ที่ทั้งคู่จะรู้ความจริงว่าเด็กคนนั้นแท้จริงเป็นลูกของใคร แม้ลันตาจะรักมากเท่าไรก็ต้องคืนให้เค้าไป ซึ่งก็ไม่พ้นหน้าที่ของสิปาดันที่มาคอยปลอบใจ เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ

ผมว่าก็สนุกในระดับหนึ่ง หนังสือจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวครับ เลยเป็นเรื่องที่น่ารัก ๆ ออกมา การที่นางเอกไม่อยากให้ลูกได้ยินคำที่ไม่ดี เลยต้องเปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนตัวระหว่างพระเอกกับนางเอกตรงนี้ก็น่ารักดีครับ และจะน่ารักขึ้นถ้าคุณแม่มือใหม่ที่อ่านหนังสือเล่มนี้นำไปใช้ในชีวิตจริง สรุปว่า น่าอ่านมาก ๆ ครับ
www.batorastore.com © 2024