Customer Reviews

เคล็ดลับเทคนิคหุ้น Trading Secrets
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 02 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนจำเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและมีความชำนาญเพียงพอในระดับที่สามารถจะเข้าใจภาพรวมของการลงทุน ลดความเสี่ยงจากการลงทุนและสามารถทำกำไรจากการลงทุนได้ การพัฒนาความรู้เรื่องหุ้นของตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ลงทุนที่มีความพร้อมทั้งทางด้านองค์ความรู้ วิชาการ และการเงิน จึงจะสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบในการลงทุน สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอันเกิดจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ และสามารถทำกำไรได้ จะเห็นว่าการวางแผนการลงทุนและการตัดสินใจด้วยความรอบคอบบนพื้นฐานของข้อมูลเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรจะต้องกระทำอย่างเคร่งครัด หากทำได้ตามนี้แล้ว เมื่อคุณมีกลยุทธ์การลงทุนที่ดีมาประกอบ คุณก็จะมีทักษะการลงทุนเป็นของตัวเองและเมื่อคุณใช้เวลากับมันจนมีประสบการณ์มากพอ การลงทุนของคุณก็จะประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก ในส่วนของแผนการลงทุนที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จควรแผนการลงทุนที่เรียบง่าย สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับเหตุการณ์หรือสภาพเศรษฐกิจในเวลานั้นๆ นอกจากการวางแผนการลงทุนแล้ว ปัจจัยที่จะทำให้ผู้ลงทุนประสบผลสำเร็จจากการลงทุนก็คือจังหวะเวลาของการเข้าไปลงทุนหรือถอนการลงทุน ปริมาณการลงทุนที่ต้องไม่มากหรือน้อยจนเกินไปเพื่อป้องกันกรณีที่อาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหมายไว้ล่วงหน้า ผู้เขียนบอกว่า วิธีการง่ายๆ ของการลงทุนก็คือเตรียมซื้อหุ้นเมื่อหมดแรงขายและเตรียมขายหุ้นเมื่อหมดแรงซื้อ
หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลเรื่องการลงทุนในหุ้นซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญ เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถนำไปใช้ลงทุนได้อย่างรวดเร็ว เป็นเนื้อหาที่เน้นทฤษฎีและหลักวิชาการด้านการลงทุน อาจเรียกได้ว่าเป็นตำราของนักลงทุนเลยก็ว่าได้ สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงินการลงทุนมาก่อน ไม่แนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะอย่างที่บอก เนื้อหาของหนังสือเป็นเนื้อหาทางวิชาการล้วนๆ ศัพท์เทคนิคต่างๆ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องเข้าใจยาก ในทางตรงกันข้ามผู้ที่มีความรู้เรื่องการลงทุนในหุ้นมาระดับหนึ่ง หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มากเลยทีเดียว คุณสามารถนำทฤษฎีและหลักการสำคัญๆ ต่างๆ ไปประยุกต์ใช้งานได้จริง ทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุด
เนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วย คอนเซปของการลงทุน แผนการลงทุน 4 ขั้นตอนที่สามารถทำให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ การค้นหาหุ้นที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทต่างๆ ราคาหุ้นตามราคาตลาด การอ่านกราฟราคาหุ้น เทคนิคเคิลอินดิเคเตอร์ เทคนิคการซื้อชายหุ้นตามแนวโน้ม หลักการ Stop Loss เพื่อรักษาเงินลงทุนและการควบคุมความเสียหายให้อยู่ในวงจำกัด
จูบกบตัวนั้นซะ! (Kiss that Frog!)
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 02 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ในนิทานเรื่องเจ้าชายกบ ให้ข้อคิดกับเราว่า ขอเพียงเจ้าหญิงมีความกล้าที่จะจูบกบตัวที่มีหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว กบตัวนั้นก็จะกลายร่างเป็นเจ้าชายรูปงามในที่สุด ผู้เขียนเลยเอานิทานเรื่องนี้มาเปรียบเทียบว่าให้เรากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวแล้วเอาชนะมันด้วยความกล้าหาญเพื่อก้าวผ่านปัญหาและอุปสรรคไปสู่เป้าหมายคือความสำเร็จ
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วผมสรุปได้ว่า ในสายตาของคนส่วนใหญ่มักมองปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากใจของเราเองหรือปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอกว่าเป็นของน่ากลัว ไม่น่าเข้าใกล้ และพยายามที่จะหนีมันไปให้พ้นๆ ปัญหาภายในใจของเราก็เช่นความทุกข์ ความผิดหวัง ความโกรธ หรือความเศร้าโศกเสียใจจากการผิดหวังในความรักหรือหน้าที่การงาน โดยสภาพของมันก็เป็นความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์อยู่แล้ว จะมีใครที่ไหนพอใจกับการที่ต้องเก็บความรู้สึกแบบนี้เอาไว้ใกล้ตัว ความหมายของการจูบกบตามหนังสือเล่มนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เราเก็บความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นไว้ แต่กำลังจะบอกว่าให้เรากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกเหล่านั้นต่างหาก แล้วก็ใช้เวลาใคร่ครวญกับความไม่ดีไม่งามเหล่านั้นเพื่อหาทางออก จะว่าไปการจูบกบก็คงมีความหมายอย่างเดียวกันกับการที่เรามองตัวเองผ่านกระจกเงาเพื่อสำรวจตัวเองนั่นแหละ เพียงแต่ว่ากบ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายถึงความไม่น่าพึงประสงค์ ความน่ากลัว ของปัญหาได้ดีมากกว่า ในทำนองเดียวกันหากเป็นปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอก วิธีการสู้กับปัญหาแบบนี้ก็สามารถนำมาใช้ได้ นั่นคือการมองไปที่ต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วแก้ไขมันจากจุดนั้น อย่าพยายามเลี่ยงหรือหนีปัญหาเป็นอันขาด เราอาจจะต้องฝืนใจซักหน่อย อาจต้องใช้ความอดทนมากขึ้น เวลาที่ต้องเผชิญกับมัน แต่เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปเราก็จะรู้สึกภูมิใจในความกล้าของเราแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระจากพันธนาการที่เคยติดอยู่ คือหมายความว่าไม่เพียงแต่ปัญหาที่เราประสบอยู่จะลุล่วงไปได้ แต่ตัวตนของเราและทัศนคติของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นด้วย แล้วเราก็จะมีภูมิคุ้มกันในตัวเองเพิ่มมากขึ้น
โดยสรุปผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ต้องการให้ผู้อ่านเปลี่ยนแปลงทัศนคติในการมองตัวเองและมองปัญหาที่เข้ามาเสียใหม่ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของแต่ละคนออกมา เริ่มจากการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองหรือมีความกล้าก่อน แล้วก็พยายามมองข้ามความน่ากลัวของปัญหาโดยการนึกถึงผลลัพธ์อันสวยงามที่จะเกิดขึ้นหากคุณสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้ พูดง่ายๆก็คือกำลังจะบอกให้คุณเปลี่ยนตัวเองเป็นคนคิดบวกนั่นเอง
เครียดอย่างฉลาด
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 02 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เวลาที่เราพูดถึงปัญหาสุขภาพ เรามักจะนึกถึงปัญหาสุขภาพกายหรือความเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆมากกว่าที่จะนึกถึงปัญหาสุขภาพจิต แต่ในความเป็นจริงแล้วร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้นทำงานสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชืดจนแยกไม่ออก ดังคำกล่าวที่ว่า a sound mind in a sound body หมายความว่าถ้าร่างกายไม่แข็งแรงสมบูรณ์ก็จะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ และในทำนองเดียวกันหากจิตใจมีความบกพร่องในทางใดทางหนึ่งก็ย่อมส่งผลเสียหายต่อการทำงานของร่างกายด้วย ในแง่นี้จิตใจจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบการทำงานทำงานของร่างกาย ความบกพร่องทางจิตที่ผมพูดถึงนี้ไม่ได้หมายความเฉพาะเรื่องความผิดปกติทางจิต หรือความมีจิตพิการอะไรทำนองนั้น แต่กำลังหมายถึงเรื่องง่ายๆทั่วไปที่เราทุกคนต้องเจอแทบทุกวัน นั่นคือความเครียดนั่นเอง เชื่อว่าเราทุกคนต้องเผชิญกับปัญหาความเครียดในแต่ละวันไม่มากก็น้อยทั้งในครอบครัวของเราเองและเมื่อเราก้าวเท้าออกจากบ้าน คงมีเรื่องให้ต้องปวดหัวทุกวัน สาเหตุความเครียดก็อาจมีได้หลายสาเหตู เช่นปัญหาความไม่เข้าใจกันภายในครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจการเงิน การมีหนี้สิน ปัญหาจราจร ปัญหาในการทำงาน รถติด แดดร้อน สารพัดเรื่องที่ทำให้เราเครียดได้ทั้งนั้น ซึ่งเจ้าตัวความเครียดนี้เองเป็นเสมือนภัยเงียบที่อาจคร่าชีวิตเราได้ทุกเมื่อหากเราปล่อยให้มันสะสมอยู่ในตัวเราเป็นเวลานาน แล้วไม่พยายามหาทางกำจัดมันออกไป หลายต่อหลายคนเมื่อเครียดสะสมมากๆเข้าก็ตัดสินใจหาทางออกด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสมเช่นฆ่าตัวตาย ทำร้ายผู้อื่น หันไปพึ่งพายาเสพติด หรือไม่ก็กลายเป็นคนอมทุกข์เสียทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย แต่อย่างไรก็ตามหากจะพูดถึงเรื่องการกำจัดความเครียดออกไปจากชีวิตนั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถกำจัดได้อย่างเด็ดขาด เพราะความเครียดถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราต้องเจออยู่ทุกวันอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ที่กำลังจะสอนผู้อ่านให้รู้จักเครียดอย่างฉลาดนั่นเอง ซึ่งก็หมายความว่าให้เราเผชิญหน้ากับความเครียดไม่ใช่พยายามหลีกหนีมัน ให้เรารู้เท่าทันความเครียด สามารถบริหารจัดการมันได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง ซึ่งวิธีการที่นำมาถ่ายทอดไว้ในหนังสือเล่มนี้ก็เป็นการใช้ศาสตร์และศิลป์ทางการแพทย์ผสานกับหลักการฝึกจิตในทางพระพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง มีการอธิบายทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความเครียดก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็จะแนะนำการวางแผนเพื่อจัดการกับความเครียด และปิดท้ายด้วยการแนะนำอาวุธที่จะนำมาใช้จัดการความเครียด อย่างเช่นการใช้ศิลปะ การใช้การฝึกจิตรูปแบบต่างๆ การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อน การใช้ภวังค์บำบัดและการสะกดจิต เนื้อหาอ่านง่าย ทำได้จริง หากคุณอ่านแล้วนำไปฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าจิตใจคุณจะสดใสขึ้น มีอารมณ์ที่ไม่ขุ่นมัว มีความคิดอ่านที่แจ่มใส ทัศนคติในการมองปัญหาจะเปลี่ยนไป และที่สำคัญคือสุขภาพกายของคุณก็จะดีตามไปด้วย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 02 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เรียนให้สนุกคงเป็นความฝันของนักเรียนนักศึกษาหลายคน เพราะว่าร้อยทั้งร้อยของนักเรียนนักศึกษาไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับใดก็ต้องเผชิญกับความเครียด ความทรมาน ในการเรียนด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดของเวลา เนื้อหาวิชาการที่เรียน การแข่งขันระหว่าเพื่อน หรือความบีบคั้นทางเศรษฐกิจ เป็นต้น หลายตนอาจบอกว่าถ้าเรารักในสิ่งที่เรียนเราก็จะสนุกในการเรียนได้ ไม่เห็นยากเลย ซึ่งก็อาจจะจริงบางส่วน แต่มันก็คงเป็นหลักการที่เฉพาะตัวมากๆ ใช้ได้กับแค่บางคนเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงจะมีซักกี่คนที่ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรักหรือจะมีซักกี่คนที่รู้ตัวเองดีว่าเรารักที่จะเรียนหรือสนใจในเรื่องใด หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนประเภทดังกล่าวคือ คนประเภทหัวกลางๆ ไม่ได้มีความถนัดหรือมีความสามารถพิเศษในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วอยากจะหาเทคนิคหรือแรงบันดาลใจในกาพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในเรื่องการศึกษา โดยที่ตัวเองไม่ต้องรู้สึกว่าต้องอดหลับอดนอน อดเที่ยว อดทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับเพื่อนและครอบครัว เพื่อตรากตรำเรียนหนังสืออย่างหนัก แต่ในทางตรงกันข้ามจะเป็นการเรียนที่มีประสิทธิภาพ ประสบความสำเร็จ และมีความสุขกับสิ่งที่ทำ
ผมว่าเทคนิคการเรียนดีในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ ง่ายจนอาจบอกได้ว่าเป็นเรื่องที่เรารู้กันอยู่แล้ว แต่ไม่ใส่ใจที่จะทำมากกว่า ตัวอย่างเช่น อยากจำแม่นต้องพักผ่อนให้เพียงพอ การมีอารมณ์ที่แจ่มใสจะช่วยให้การเรียนของเราดีขึ้น เป็นต้น มีเทคนิคอันนึงที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจคือ ให้หาปากกาคู่ใจหนึ่งด้าม แล้วให้เราไปด้วยกันทุกที่โดยเฉพาะเวลาเข้าห้องสอบ ซึ่งผมว่ามันอาจช่วยในเรื่องจิตวิทยาได้มากเลยที่เดียว เหล่านี้ เป็นต้น ข้อสำคัญก็คือก่อนที่เราจะทำแบบนั้นได้เราต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองก่อน
อีกเรื่องที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้คือ การพูดถึงทักษะบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียน ซึ่งหนังสือจะแนะนำทิปดีๆในการเรียนเช่น การอ่านเร็ว การจดโน้ตที่ดี การจดจำและการฟังที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ข้อดีของหนังสืออีกอย่างคือการพยายามแทรกประสบการณ์การเรียนในต่างประเทศของผู้เขียนลงไปสลับกับการนำเสนอหลักวิชาการต่างๆซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเวลาอ่านและเป็นการช่วยตอกย้ำว่าเทคนิคการเรียนที่นำมาถ่ายทอดนั้นผ่านการทดลองใช้งานจริงและประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมมาแล้ว
โดยสรุปภาพรวมของหนังสือเล่มนี้จะเป็นการสอนวิธีการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเรียน โดยเริ่มตั้งแต่นอกห้องเรียน การเรียนในห้องเรียนต้องทำยังไง การปฏิบัติตัวหลังเลิกเรียน การเตรียมตัวสอบ การปฏิบัติตัวในห้องสอบ แต่ทั้งหมดนี้คุณสมบัติพื้นฐานที่คุณ๖องมีคือ ความตั้งใจ ความขยัน และความสม่ำเสมอ เวลาคุณอ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะรู้สึกว่าหนูดีเป็นคนที่สนุกกับการเรียนและสิ่งเหล่านั้นได้แสดงออกมาอย่างอัตโนมัติเป็นธรรมชาติ จนเธอสามารถทำมันได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่รู้สึกว่าอดทนทำ หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเชื่อว่าคุณจะเกิดแรงบันดาลใจในการลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าอัจฉริยะสร้างได้จากความพยายามของคุณเอง
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 01 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตที่หรูหราไฮโซกับชีวิตที่เรียบง่ายติดดิน แบบไหนคือชีวิตที่มีธรรมะมากกว่ากัน ในความรู้สึกของเราก็อาจจะตอบว่าน่าจะเป็นชีวิตที่เรียบง่าย ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคนจนมีธรรมะมากกว่าคนรวยรึเปล่า หรือคนรวยที่ไม่ติดหรูมีธรรมะมากกว่าคนรวยที่ติดแบรนด์เนมไฮโซรึเปล่า หรือเราจะบอกว่าธรรมะจะต้องวัดกันที่วิธีคิด วิธีการใช้ชีวิตมากกว่าจำนวนเงินในกระเป๋าใช่หรือไม่ การมาพบกันของคนสองคนในหนังสือเล่มนี้ คนหนึ่งเป็นตัวแทนทางโลก เป็นช่างแต่งหน่ชื่อดังที่ใครหลายคนเชื่อว่าเค้ามีชีวิตที่หรูหรา ฟุ่มเฟือย กับอีกคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนทางธรรม เป็นพระนักคิดนักเขียนชื่อดังที่เราต่างรู้จักกันดี การสนทนาธรรมของทั้งคู่นำมาซึ่งแง่คิดและข้อคิดดีๆหลายอย่าง ในเบื้องต้นเราก็จะได้เห็นมุมมองที่ต่างกันของคนที่อยู่ในสถานะและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
ในแง่ของคำถามของคุณเป็ด อภิชาต ผมว่าเป็นคำถามง่ายๆใกล้ตัวดี การอ่านคำถามหลายๆคำถามของเขา บางครั้งก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้กลับมาทบทวนตัวเองเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะคิดเหมือนหรือคิดต่างจากคุณอภิชาตก็ตาม พูดง่ายๆก็คอเป็นคำถามที่ฝึกให้เราคิดในมุมมองของเรา ผมเลยรู้สึกว่าการสนทนาธรรมในหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่แค่การสนทนาธรรมระหว่างคนสองคน แต่เราในฐานะผู้อ่านก็ได้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของวงสนทนาด้วย มีตัวอย่างหลายคำถามที่น่าสนใจ เช่น คนที่ทำงานในวงการแฟชั่นเป็นคนที่ชอบแต่งตัวและสนุกกับการที่ได้แต่งตัวสวยๆ ไม่ชอบความเรียบง่าย หากจะมาสนใจเรื่องธรรมะจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองมานุ่งขาวห่มขาวมั้ย ทำไมเด็กสมัยนี้อยากเป็นนักร้อง ดารา ศิลปินกันจัง พวกเค้าคิดว่าอาชีพนี้ประสบความสำเร็จง่ายและได้เงินดีแค่นั้นเองหรอ ทำไมคนไทยถึงยอมให้คนอื่นโกงนิดโกงหน่อยแล้วบอกว่าไม่เป็นไรเพราะพวกนั้นยังทำงานให้เราได้ ถ้าทุกคนปล่อยวางหมดโดยไม่พยายามปล่อยแปลงอะไร แล้วสิ่งไม่ดีก็เกิดขึ้นทุกวัน อย่างนี้ส่วนที่ดีไม่ถูกรุกรานหรอ เป็นต้น จะเห็นว่าคำถามในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่มีเพียงคำถามที่เป็นเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่เป็นคำถามที่เกิดจากมุมมองที่มีต่อการทำงาน เยาวชนรุ่นใหม่ การเมืองและความเป็นไปของสังคมด้วย ผู้อ่านจะได้แง่คิดที่รอบด้านจากการอ่านหนังสือเล่มนี้
ในแง่ของคำตอบของพระอาจารย์ ผมว่าท่านตอบได้ตามแบบฉบับของพระที่ยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หัวใจของคำตอบอยู่ที่การใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูความเป็นไปของเรื่องด้วยเหตุด้วยผล แล้วจัดการกับมันตามทางที่ควรจะเป็น เป็นคำตอบที่แม้จะยึดหลักธรรมแต่ก็ไม่ได้เป็นการยกเอาคัมภีร์มาตอบ แต่เป็นคำตอบที่เข้าใจง่ายเป็นกันเอง นอกจากนี้ยังมีการยกเอาตัวอย่างจากบุคคลสำคัญมาอธิบายประกอบในสิ่งที่ท่านกำลังอธิบายด้วย โดยสรุปก็คือการเรียนธรรมะจากการสนมนาแบบนี้ให้ความรู้สึกผ่อนคลายกับการอ่าน ไม่เยิ่นเย้อ ตรงประเด็น ถามตอบกันได้จนหายสงสัย เป็นหนังสือคู่มือชีวิตที่ดีเล่มหนึ่งเลย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 01 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หากเราเป็นคนไทยคนหนึ่งที่เฝ้ามองดูสังคมไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราจะเห็นปัญหามากกว่าการแก้ปัญหา ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมดูเหมือนจะเป็นความเปลี่ยนแปลงในทางลบมากกว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงในทางบวก ปัญหาเก่าเรื้อรังที่สั่งสมมานานก็ยังคงอยู่ไม่ได้รับการแก้ไข ในขณะที่ปัญหาใหม่ก็เกิดเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น ผมเชื่อว่าคนไทยหลายคนเริ่มท้อแท้และหมดหวังกับการเห็นประเทศก้าวผ่านความด้อยพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว คำถามก็คือเราจะจัดการกับเรื่องที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาประเทศเหล่านี้อย่างไร เวลาเรามองการแก้ปัญหาของประเทศ เราก็มักจะมองในภาพใหญ่มากกว่าที่จะมองจากตัวเราเอง เรามักมองไปที่รัฐบาล เรามองไปที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เรามองไปที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองโดยหวังให้คนเหล่านั้นช่วยทำหน้าที่ของตนเองให้เข้มแข็งคุ้มกับเงินเดือน เงินภาษีที่ประชาชนจ่ายหน่อย น้อยคนนักที่จะมองปัญหาโดยเริ่มจากการทบทวนตัวเองก่อน
ผมเข้าใจว่าหนังสือเล่มนี้กำลังจะบอกว่าการเกาให้ถูกที่คัน ก็ต้องเริ่มเกาที่ตัวเราเองนี่แหละ ซึ่งก็หมายถึงเกาที่จิตใจของเราก่อน เมื่อพูดถึงการเกาใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องธรรมะอีกแล้ว เพราะสุดยอดของเครื่องที่ใช้เกลาใจหรือเกาใจให้หายคันได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องธรรมะ ใจหรือจิตวิญญาณของคนนี่แหละคือต้นตอของปัญหาทุกอย่าง หากเราสามารถแก้ปัญหาจิตใจหรือจิตวิญญาณของคนได้ ความคิดของคนก็จะเปลี่ยน เมื่อความคิดของคนเปลี่ยน จึงจะเกิดพลังในการขับเคลื่อนไปสู่การแก้ปัญหาในระดับสังคมและในระดับประเทศต่อไป คือเป็นการมองในมุมที่ว่าเมื่อคนคือผู้สร้างชาติและสร้างทุกอย่างในสังคม เวลาที่มีปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องหันไปที่จุดเริ่มต้นนั่นก็คือคนก่อนเป็นอันดับแรก สิ่งนี้ผู้เขียนเรียกว่าเป็นการแก้ปัญหาในทางจิตวิญญาณเพื่อให้เกิดความคิดอ่านใหม่ๆ เมื่อเกิดความคิดใหม่ๆแล้วก็จะมีทัศนคติและค่านิยมใหม่ๆตามมา เป็นทัศนคติและค่านิยมที่อยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม จริยธรรม มีความละอายและเกรงกลัวต่อความชั่ว มีจิตใจทีเสียสละ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ต่อไปเมื่อทัศนคติและค่านิยมเปลี่ยนแล้วก็จะเกิดพลังขับเคลื่อนไปสู่การแก้ปัญหาของประเทศไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การศึกษาและที่สำคัญคือปัญหาการเมือง และเมื่อปัญหาถูกสะสางก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการสร้างวัฒนธรรมใหม่ สร้างสังคมใหม่ เป็นสังคมที่มีความเข้มแข็ง ประชาชนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ผมคิดว่าหลักการที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้เป็นหลักการที่ดี และเป็นหลักสากลที่ไม่ว่าประเทศไหนก็ควรใช้แนวทางแบนี้ในการพัฒนาประเทศเพื่อไปสู่สังคมที่มีความสุขแบบยั่งยืน แต่ปัญหาสำคัญของผู้เขียนก็คือ ผู้เขียนให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางจิตวิญญาณที่มีความเป็นนามธรรมสูงมาก เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของปัจเจกชนแต่ละคนที่มีความเชื่อ ความคิด การศึกษา และสติปัญญาที่แตกต่างกัน เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้คนที่มีความแตกต่างกันแบบนี้สามารถพัฒนาจิตวิญญาณไปในแนวทางที่เข้าใจตรงกันได้ ดังนั้นผมเลยคิดว่า หากต้องการจะปลูกฝังค่านิยมใหม่อะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย คงหนีไม่พ้นการปลูกฝังผ่านระบบการศึกษาก่อนเป็นอันดับแรก เสียดายที่ผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องนี้น้อยไปหน่อยและไม่ได้นำเสนอแนวทางการปฏิรูปจิตวิญญาณอย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถใช้กับคนหมู่มากได้
กินเป็น ไม่เป็นมะเร็ง
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นคำกล่าวที่เป็นจริงเสมอไม่ว่าจะยุคสมัยไหน และยิ่งเป็นจริงที่สุดในยุคที่เต็มไปด้วยอาหารขยะ และสารเคมีสังเคราะห์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายสุขภาพของเราให้เสื่อมถอยลงไปทุกวัน ชีวิตที่ต้องเร่งรีบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเรียน และรวมถึงเรื่องกิน ทำให้คนเรากินอาหารแบบเอาง่ายเข้าว่า กินอะไรก็ได้ ขอให้สะดวกรวดเร็ว ทันใจ ทันเวลา โดยไม่ต้องสนใจว่าสิ่งที่กินเข้าไปนั้นมันดีต่อสุขภาพของเรามากน้อยแค่ไหน ขอให้อิ่มท้อง และมีแรงทำงานไว้ก่อนเป็นพอ อาจเรียกได้ว่าคนเราสมัยนี้ไม่มีความพิถีพิถันในเรื่องอาหารการกินมากเท่าที่ควร ส่วนใหญ่ก็เลือกกินตามใจปากซะมากกว่า หนังสือเล่มนี้จึงพยายามที่จะบอกคุณว่าถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องหันมาใส่ใจสุภาพของตัวเองให้มากขึ้น ด้วยการเลือกกินอาหารในแบบที่พิถีพิถันมากขึ้น เป็นความพิถีพิถันในเรื่องประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการกินอาหารชนิดนั้นๆไม่ใช่ความพิถีพิถันในเรื่องความสวยงามหรือความเลิศหรูอลังการของอาหาร สืบเนื่องจากปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยในแต่ละปีเป็นจำนวนมากในลำดับต้นๆ ผู้เขียนซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านโภชนาการเห็นว่าสาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งมาจากอาหารที่เรากินเข้าไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตัวอาหารเองที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เพียงพอและบรรดาสารเคมีตกค้างที่อยู่ในอาหารก็ตาม ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้โดยง่าย
หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับอาหารรักษามะเร็งและป้องกันมะเร็งเอาไว้ โดยใช้ภาษาในการถ่ายทอดความรู้ที่เข้าใจง่าย ไม่เป็นวิชาการมากจนเกินไป เนื้อหาหลักๆก็จะเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง เป็นการทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคนี้ก่อน ส่วนที่สองก็ว่าด้วยอาหารและสารอาหารต่างๆที่จะช่วยป้องกันตลอดจนเยียวยารักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ในส่วนที่สามก็จะว่าด้วยเรื่องสารพิษทั้งหลายที่เป็นสารก่อมะเร็ง และปิดท้ายด้วยการแนะนำเมนูอาหารต่างๆ ผมว่าหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์ในแง่ของการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องสารอาหารที่มีบทบาทในการป้องกันยับยั้งการเกิดมะเร็งได้ดี คือเนื้อหาจะเน้นไปที่สารอาหารที่มีชื่อจำยากทั้งหลายว่าทำหน้าที่อะไร มีประโยชน์อย่างไร อะไรทำนองนี้ ซึ่งด้วยความเยอะของสารอาหารที่กล่าว ก็เลยอาจทำให้หนังสือเล่มนี้น่าเบื่อไปมากพอสมควรสำหรับผม ถ้าผู้อ่านต้องการรู้เพียงว่าอาหารชนิดใดที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้บ้าง อ่านแค่คำนำก็คงพอ เพราะหากอ่านเข้าไปในเนื้อหาในเล่ม ท่านจะลานตาไปกับชื่อสารอาหารสารพัดชนิด ซึ่งสำหรับเราๆท่านๆที่ไม่ได้อยากรู้ลึกมากขนาดนั้น ก็อาจจะรู้สึกว่าเป็นข้อมูลที่ลึกเกินไปหน่อย แต่เนื้อหาส่วนอื่นๆก็เข้าใจง่ายนะครับ มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ผมรู้สึกว่ายังไม่ประทับใจ
TQM คู่มือพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ในการดำเนินธุรกิจขององค์กรต่างๆ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือความตื่นตัวขององค์กรในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะในสังคมธุรกิจย่อมมีการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา การหมั่นทบทวนข้อบกพร่องของตนเองและพยายามแก้ไข ตลอดจนปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพขององค์กรให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการที่องค์กรหนึ่งที่จะก้าวนำหน้าคู่แข่งได้ ในทางการบริหารธุรกิจ แม้จะมีทฤษฎีและเทคนิควิธีวิธีการต่างๆมากมายที่นักบริหารนำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพขององค์กร แต่เมื่อพูดถึงเครื่องมือในการบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จที่กำลังได้รับความสนใจอยู่ในปัจจุบัน หลายคนก็น่าจะนึกถึง TQM หรือ Total Quality Management คำว่าการบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น มิได้มองแค่มิติใดมิติหนึ่งเพียงมิติเดียว หรือไม่ได้มองที่ผลกำไรสูงสุดที่องค์กรนั้นๆจะได้รับ แต่เป็นการมองความสำเร็จขององค์กรมนภาพรวม (Total Quality) เมื่อในภาพรวมทั้งหมด องค์กรมีวิธีการบริหารจัดการที่ดีมีคุณภาพ สามารถสร้างผลผลิตหรือบริการที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดหรือความต้องการของลูกค้า ผลลัพธ์ที่ได้ตามมาก็คือกำไรที่องค์กรนั้นๆจะได้รับเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้ก็เลยเริ่มเนื้อหาด้วยการอธิบายความหมายของคำว่าคุณภาพให้ผู้อ่านเขาใจเสียก่อน เนื้อหาส่วนนี้ผมคิดว่าอธิบายได้ครบถ้วนรอบด้านมาก และก็เป็นขั้นเป็นตอนดี เป็นการปูพื้นฐานของเรื่องให้กับผู้อ่าน ช่วยให้ผู้อ่านจัดระบบความคิดใหม่ ยกตัวอย่างเนื้อหาในส่วนนี้ก็เช่น สาเหตุที่องค์กรต้องมีคุณภาพ ปัญหาด้านคุณภาพในกระบวนการผลิตหรือการให้บริการมีอะไรบ้าง องค์ประกอบของคุณภาพ การควบคุมคุณภาพ การประกันคุณภาพ การบริหารจัดการคุณภาพ และเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างคุณภาพ จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าผู้อ่านสามารถทำความเนื้อหาของเรื่องได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ส่วนที่สองเป็นการเข้าสู่โหมด TQM ซึ่งเป็นการอธิบาย TQM แบบครบถ้วนทุกแง่มุม ผมคิดว่าเนื้อหาสำคัญก็จะมีสองส่วนนี้ ส่วนรายละเอียดของหนังสือที่เหลือจะเป็นการพูดถึงปรัชญาและแนวความคิดสำคัญในการนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายของการเป็นองค์กรที่มีความเป็นเลิศ
ในแง่ข้อดีข้อเสีย เริ่มจากข้อดีกันก่อน ผมว่าถ้าคุณต้องการหาตำราบริหารธุรกิจดีๆซักเล่มโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศหรือการบริการจัดการองค์กรให้มีคุณภาพ ผมของแนะนำหนังสือเล่มนี้ เพราะอ่านแล้วรู้สึกว่าผู้เขียนมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่อง TQM จึงสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย ให้ความรู้สึกเหมือนอ่าน lecture ดีๆเล่มหนึ่งเลย ในส่วนของข้อเสีย ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่เป็นหลักการแบะทฤษฎีมากเกินไป ยังขาดตัวอย่างหรือประสบการณ์เสริมจากองค์กรธุรกิจหรือผู้บริหารที่นำเอาเครื่องมือ TQM ไปใช้กับองค์กรของเขาแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจหรือไม่ มีปัญหาและอุปสรรคติดขัดอะไรบ้าง ซึ่งผมว่าหนังสือธุรกิจที่ดีจะขาดส่วนนี้ไปไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อ่านได้เรียนรู้จากของจริง แล้วได้ข้อคิด หรือข้อพึงระมัดระวังต่างๆเพิ่มขึ้น
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เราคงได้ยินการเปรียบเปรยว่าชีวิตของคนเราก็เหมือนกับการเดินทางไกลเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ ซึ่งจุดมุ่งหมายในการเดินทางของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนอยากร่ำรวย บางคนอยากมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ยอมรับนับถือจากคนอื่น บางคนอยากมีชีวิตที่เรียบง่ายเป็นอิสระ แต่ไม่ว่าคุณจะมีจุดมุ่งหมายแบบไหน เชื่อได้เลยว่าจุดมุ่งหมายที่เหมือนกันของเราทุกคนก็คือความสุข หลายคนเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมายแล้ว ได้พบกับความสุขที่ตนฝันหา แต่ก็คงมีอีกหลายคนที่แม้จะเดินทางไปจนสุดทางแห่งความฝันแล้วกลับยังไม่เจอความสุขดังที่ตั้งใจ คำถามก็คือ ผู้คนเหล่านั้นกำลังหลงทางใช่หรือไม่ สิ่งที่เคยเข้าใจว่าการไปถึงจุดมุ่งหมายคือความสุขอาจเป็นความเข้าใจผิดมาโดยตลอด แผนที่หรือลายแทงที่เราใช้ตามความฝันกับแผนที่ที่เราใช้ตามหาความสุขอาจจะเป็นคนละฉบับกันก็ได้ ด้วยเหตุนี้ท่าน ว.วชิรเมธี จึงถือโอกาสใช้หนังสือเล่มนี้เป็นแผนที่หรือลายแทงให้กับผู้อ่านในการเดินทางตามหาความสุขที่แท้จริง
คำอธิบายที่ง่ายที่สุดของลายแทงแห่งความสุขก็คือลายแทงที่พระพุทธเจ้าใช้เมื่อสมัยพุทธกาล นั่นคือหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั่นเอง หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่ขายความให้กับลายแทงดังกล่าว ให้ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราเรา ได้เข้าใจและใช้แผนที่นั้นเป็นมากขึ้น อาจจะไม่ต้องถึงขั้นบรรลุนิพพานแบบพระพุทธเจ้าแต่หนังสือเล่มนี้ก็ได้ทำให้เราเข้าใจการเดินทางไปสู่ความสุขได้ยิ่งขึ้น
สิ่งที่ผมประทับใจในหนังสือเล่มนี้คือ ท่านอาจารย์ ว.วชิรเมธี ไม่ได้มองความสุขว่าเป็นเรื่องของปัจเจกเท่านั้น แต่ท่านยังไม่ลืมที่จะมองความสุขในภาคใหญ่ ซึ่งหมายถึงความสุขของสังคมส่วนรวมด้วย เพราะฉะนั้นผู้อ่านก็จะได้ตระหนักว่าเรื่องการเดินทางตามลายแทงแห่งความสุขนี้เราไม่ได้เดินทางโดยลำพังโดยไม่ต้องสนใจใคร แต่เรากำลังเดินไปพร้อมๆ กันกับเพื่อนร่วมทางอีกมหาศาลและยังเป็นเพื่อนร่วมทางที่ไม่สามารถทิ้งกันได้ด้วย ความหมายของเนื้อหาส่วนนี้ก็คือ การสอนธรรมะในบริบททางการเมืองนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ธรรมะในการปกครองระบอบประชาธิปไตย การมีคุณธรรมจริยธรรมทางการเมือง เป็นการพยายามสอนให้คนไทยรู้จักเรียนรู้หน้าที่พลเมืองและเห็นคุณค่าของศีลธรรมทางการเมือง ท่านอาจารย์บอกว่าพลเมืองที่ไม่รู้หน้าที่จะกลายเป็นพลเมืองที่ดีแต่เรียกร้องสิทธิ์ แต่ไม่ยอมทำอะไรเพื่อใคร ส่วนพลเมืองที่ไม่เห็นคุณค่าของศีลธรรมก็ไม่ต่างอะไรกับโจรที่คอยแต่จะฉกฉวยประโยชน์ใส่ตัว ซึ่งเราจะปล่อยให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด โดยสรุปคือหนังสือเล่มนี้ตอบโจทย์ทั้งการเป็นลายแทงแห่งความสุขในระดับบุคคลและในระดับสังคม หากคุณเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยที่ตระหนักถึงการแสวงหาความสุขในแบบที่ควรจะเป็น แนะนำว่าไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้
พระมหาสมปอง ฉบับ รู้แล้ว... สุขม๊ากมาก
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเครียดๆไม่จำเป็นต้องเรียนแบบเครียดๆก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องธรรมะ เพื่อพูดถึงการบรรยายธรรมะในแบบคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา เราก็คงนึกถึงพระมหาสมปองเป็นคนแรกๆ เสน่ห์ของการบรรยายธรรมะในแบบพระมหาสมปองคือความสนุก ตลก และเป็นกันเอง เป็นการนำเสนอธรรมะให้คนรุ่นใหม่โดยพระรุ่นใหม่ ด้วยเหตุนี้พระมหาสมปองจึงกลายมาเป็นพระนักเทศน์ชื่อดังที่มีผลงานเขียนออกมาให้ผู้อ่านได้ติดตามกันอยู่เรื่อยๆ
ในความเป็นจริงเมื่อเราพูดถึงธรรมะ มันควรจะเป็นเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวนี่แหละ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปของเราๆ ท่านๆ และเราก็ควรแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยอารมณ์ธรรมดาๆ ง่ายๆ เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน แต่ทำไมพอพูดถึงเรื่องธรรมะทีไรต้องนึกถึงเรื่องซีเรียสจริงจัง นึกถึงคนแก่นุ่งขาวห่มขาว นึกถึงพระที่เทศน์ไปหลับไป ภาพแบบนี้กลายเป็นภาพจำของคนไทยไปแล้ว และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ธรรมะหรือพุทธศาสนายิ่งห่างไกลออกไปจากวิถีชีวิตของคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเราจะเห็นคนไทยออกไปเข้าวัดทำบุญในวันเทศกาลสำคัญต่างๆ แต่ภาพเหล่านั้นเราต่างก็รู้ดีว่า มันเป็นภาพของธุรกิจพุทธพาณิชย์ ซึ่งเป็นเหมือนเปลือกไม่ใช้แก่นแท้ของพุทธศาสนา ในทางตรงกันข้ามหนังสือเล่มนี้แม้จะมีเนื้อหาเป็นเรื่องธรรมดาบ้านๆ แต่กลับมีความยึดโยงกับแก่นธรรมมากกว่า ซึ่งผมว่าด้วยวิธีการแบบนี้แหล่ะที่สามารถจะดึงคนให้หันกลับมาสนใจสาระหรือแก่นของศาสนามากกว่าที่จะสนใจพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ
ภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ก็คือการรวบรวมคำถามคำตอบเกี่ยวกับธรรมะที่บรรดาญาติโยมทั้งหลายส่งมาถามพระอาจารย์สมปอง ความน่าสนใจอย่างแรกก็คือเรื่องคำถาม แต่ละคำถามที่คัดสรรมาเป็นคำถามโดนใจทั้งนั้น โดนใจในที่นี้หมายถึงบางคำถามเป็นคำถามที่สงสัยมานาน อยากได้คำตอบอยู่แล้ว เช่น ผู้หญิงบวชทดแทนบุญคุณให้พ่อแม่เหมือนผู้ชายได้หรือไม่ บางคำถามก็เป็นคำถามแปลกๆ เช่น คุยโทรศัพท์กับพระผิดไหม บางคำถามก็แปลกแหวกแนวจนอดอมยิ้มไม่ได้ เช่น ส่ง Happy Birthday ถึงพระเพื่อนผ่านทาง Facebook ผิดไหม เป็นต้น ความสนุกของหนังสือเล่มนี้จึงเป็นเรื่องของความสร้างสรรค์ของคนที่ตั้งคำถามและการคอยดูคำตอบว่าพระมหาสมปองจะตอบคำถามเหล่านั้นอย่างไร โดยที่ยังยึดโยงหลักธรรมคำสอนอยู่ ไม่ใช่เน้นตลกโปกฮาอย่างเดียว แต่อย่างไรก็ตามผู้อ่านไม่ต้องกังวลว่าคำตอบจะออกแนวปรัชญาลึกซึ้ง โดยสรุปคือหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณเข้าใจธรรมะในอีกแง่มุมหนึ่ง เป็นแง่มุมใกล้ตัวที่จะเปลี่ยนทัศนคติว่าธรรมะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป
4
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หากเรามีความต้องการจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่ชีวิตที่ดีงามมากขึ้น เราควรเริ่มต้นจากตรงไหน เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะง่ายแต่สำหรับผมคิดว่าเป็นคำถามที่ยากที่สุด เพราะเมื่อเราตกอยู่ในภาวะที่ความทุกข์เข้าครอบงำ ทั้งความคิดและสติปัญญาของเรามันก็แทบจะมืดบอดไปหมด พูดง่ายๆ ก็คือคิดอะไรไม่ออก ตัดสินใจอะไรไม่ได้ แล้วสุดท้ายก็ลงเอยด้วยวิธีการที่จะยิ่งนำพาตัวเองดำดิ่งไปสู่ปัญหาที่ลึกลงไปอีกจนยากจะแก้ไข หนังสือเล่มนี้กำลังจะบอกคุณว่า เมื่อคุณประสบกับปัญหาไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ให้คุณลองกลับมาทบทวนตัวเองเป็นอันดับแรก ผู้เขียนเขามีความเชื่อว่าเราทุกคนล้วนมีพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้เรามีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิตของตนเองและเป็นแรงบันดาลใจให้กับชีวิตของคนรอบข้าง คำอธิบายในเรื่องพลังในตัวเองอาจดูเป็นเรื่องเข้าใจยาก แต่ผมว่าด้วยวิธีการอธิบายโดยการใช้นิทานหรือเรื่องเล่าของผู้เขียน ทำให้ผมเข้าใจความหมายของมันง่ายขึ้น เนื้อหาส่วนนี้สร้างแรงบันดาลใจได้ดี แล้วก็มีการสอดแทรกแง่คิดการใช้ชีวิตไว้อย่างน่าสนใจ เป็นการเล่าเรื่องโดยพาผู้อ่านย้อนกลับไปทบทวนตัวเองในอดีตไปพร้อมๆ กัน เพื่อค้นหาแง่มุมจากประสบการณ์ในอดีตของเราที่สามารถนำกลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตในปัจจุบัน
ส่วนที่สองเป็นการพูดถึงเรื่องต้นเหตุ ซึ่งจริงๆ ก็คือการอธิบายอิทธิพลของจิตใต้สำนึกที่ส่งผลต่อการกระทำในเรื่องต่างๆ ของเรา ซึ่งหลายอย่างก็เป็นการกระทำที่มีเหตุผลและหลายอย่างก็เป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผล ผู้เขียนบอกว่าผลลัพธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีที่มาจากจิตใต้สำนึก ยอมรับเลยว่าอ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาส่วนนี้เท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าเนื้อหาถูกซอยเป็นเรื่องๆ ไม่เกี่ยวข้องกันและยังไม่เห็นว่าเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกยังไง เช่น ตอนหนึ่งพูดถึงเรื่องปมในชีวิต อีกตอนหนึ่งพูดถึงความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ อีกตอนหนึ่งพูดถึงเรื่องอำนาจในชีวิตตัวเอง ซึ่งผมมองไม่เห็นความเชื่อมโยงของเรื่องหรือความเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึก เป็นเพียงการพูดถึงเรื่องนามธรรมด้วยถ้อยคำคมๆ เท่านั้นเอง
ส่วนสุดท้ายว่าด้วยเรื่องการเติบโต ส่วนนี้ก็คล้ายๆ กับส่วนที่สอง คือเป็นการยกเอาเรื่องต่างๆ มาเล่าแล้วใส่คำคมชวนคิดลงไป แต่ละเรื่องไม่ได้เชื่อมโยงกัน เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ จะรู้สึกว่าประเด็นเริ่มเยอะเหมือนถูกจับยัดใส่ แบบที่ไม่รู้ว่าแก่นของเรื่องที่ต้องการสื่อสารคืออะไร หัวข้อเรื่องกับเนื้อหาไม่ค่อยสอดคล้องกัน อ่านแล้วเข้าใจยาก เช่น เรื่องยาเบื่อหนู เนื้อหาภายในหัวข้อบอกว่า ชีวิตของเรา ความสุขของเรา ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเลือกทำและเลือกคิดในหัวตัวเอง อ่านแล้วก็งงว่าเกี่ยวกับยาเบื่อหนูอย่างไร สำหรับผมหนังสือเล่มนี้จึงเป็นเพียงหนังสือรวบรวมคำคมเท่านั้น เป็นคำคมแบบจับฉ่าย สุดแท้แต่ว่าอยากจะสอนอะไรก็จับใส่มา
กินดื่มลืมป่วย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ถ้าพูดถึงอาหารจานหลักของคนไทยก็คงหนีไม่พ้น ข้าว คนไทยกินข้าวทุกมื้อจนแทบจะขาดไม่ได้ เรากินข้าวกับอาหารจานอื่นอีกหลากหลาย และเรายังใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารอีกหลากหลายชนิด ความสำคัญของข้าวสำหรับคนไทย นอกจากจะเป็นอาหารแล้ว ประเทศไทยเรายังให้ความเคารพข้าวในฐานะเป็นสิ่งที่มีบุญคุณกับคนในชาติ เรายกย่องข้าวว่าเป็นแม่โพสพ เรายกย่องและให้เกียรติชาวนาว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เพราะฉะนั้นสำหรับคนไทย ข้าว ไม่ใช่แค่อาหาร แต่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ได้กลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทยไปแล้ว แต่ถ้าลองถามคนไทยดูว่าคุณมีความเข้าใจหรือมีความรู้เกี่ยวกับข้าวที่คุณกินอยู่ทุกวันมากน้อยแค่ไหน คำถามง่ายๆแบบนี้อาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนไทยหลายคนที่จะอธิบาย เรากินข้าวและรับรู้ความหมายของมันจากความขาว ความหอมนุ่มลิ้น แค่นั้นรึเปล่า เราชอบข้าวหอมมะลิ เพราะมันมีคุณสมบัติดังกล่าว และรังเกียจข้าวประเภทอื่น เพราะรู้สึกว่ามันแข็ง ไม่อร่อย เป็นข้าวราคาถูก แปลว่าคนไทยบริโภคข้าว โดยคำนึงถึงรสชาติความอร่อยและหน้าตาที่น่ากินมากกว่าที่จะสนใจประโยชน์ของมัน ขนาดข้าวประเภทอื่นๆที่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิยังไม่ค่อยจะสนใจ คงไม่ต้องพูดถึงถ้าผมจะบอกว่าหนังสือเล่มนี้กำลังชวนให้เรามากินข้าวกล้องกัน เพราะเมื่อพูดถึงหน้าตาและรสชาติของมัน ขี้เหร่กว่าข้าวหอมมะลิมาก แต่ถ้าพูดถึงเรื่องคุณประโยชน์แล้วล่ะก็ ผมว่ากินขาดข้าวขาวทั้งหลายแน่นอน หนังสือเล่มนี้กำลังบอกคุณว่าสีน้ำตาลขุ่นๆของข้าวกล้องที่ดูไม่น่ากินนั้น เป็นสีของจมูกข้าวหรือเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว ซึ่งเป็นส่วนของข้าวที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมายมหาศาล แต่คนไทยส่วนใหญ่กลับมองว่ามันแข็งกระด้าง กินแล้วไม่นุ่มลิ้น ไม่สวยน่ากิน จึงนำเครื่องจักรไปขัดสีมันออกเพื่อให้ได้เมล็ดข้าว ขาวๆ สวยๆ มองข้ามคุณประโยชน์และทิ้งมันไปเสีย ทิ้งมันเป็นรำ เป็นอาหารของสัตว์ ซึ่งน่าเสียดายมาก
หนังสือเล่มนี้ต้องการให้คนไทยปฏิวัติวัฒนธรรมการกินข้าวของคนไทยใหม่ และชักชวนให้หันมากินข้าวกล้องกันมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวกล้องงอก ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวกล้องธรรมดามากขึ้นไปอีก เนื้อหาภายในเล่มนี้จะเป็นการจูงใจให้คุณเปลี่ยนแปลงวิธีการกินและทัศนคติในการเลือกกินข้าวของคุณเสียใหม่ ด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของข้าวกล้องและข้าวกล้องงอก ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการกินข้าวประเภทนี้ กระบวนการผลิต คุณค่าเมื่อเปรียบเทียบกับข้าวขาว แหล่งจำหน่ายข้าวกล้องงอก เป็นต้น เป็นหนังสือที่น่าสนใจในแง่ช่วยกระตุ้นเตือนให้เราใส่ใจการกินเพื่อสุขภาพมากขึ้น กินโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่คุณจะได้รับมากกว่ารสชาติและหน้าตาที่สวยงามเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้กับตัวเองในระยะยาว
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสือ คำอธิบายกฎหมายอาญาภาค 1 แต่งโดยอาจารย์ ดร.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ เป็นผลงานที่ผู้ทรงคุณวุฒิและคณะกรรมการส่งเสริมการสร้างตำรา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีมติให้ได้รับรางวัลขั้นดี ในปี พ.ศ. 2530
เนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้เป็นการอธิบายหลักกฎหมายอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาภาค 1 ทั้งหมด ด้วยความหนาถึง 938 หน้า ผู้อ่านสามารถศึกษาหลักกฎหมายอาญาภาคทั่วไปได้อย่างละเอียดครบถ้วน โดยมีคำพิพากษาฎีกาอ้างอิงประกอบความเข้าใจอย่างชัดเจน นอจากนี้ยังมีความคิดเห็นทางกฎหมายของผู้เขียนซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขากฎหมายอาญาประกอบในกรณีที่ไม่มีคำพิพากษาในเรื่องนั้นๆอีกด้วย หากคุณเป็นผู้ศึกษาวิชากฎหมาย เมื่ออ่านคำพิพากษาฎีกาใดแล้วไม่เข้าใจ การจะไปสืบค้นหาคำพิพากษาโดยละเอียดคงเป็นเรื่องยาก ในหนังสือเล่มนี้ได้มีข้อสังเกตต่อท้ายคำพิพากษาหลายเรื่องที่อาจมีข้อคิดเห็นขัดแย้ง ทำให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจฎีกาได้ง่ายยิ่งขึ้น
เนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วย
1. ลักษณะของกฎหมายอาญา เช่น ความหมายของกฎหมายอาญา หลักเกณฑ์ในการกำหนดความผิดทางอาญา เป็นต้น
2. การใช้กฎหมายอาญาย้อนหลังเพื่อเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด
3. ขอบเขตของการใช้กฎหมายอาญา เช่น หลักดินแดน หลักอำนาจลงโทษสากล หลักบุคคล
4. ประเภทของความผิดอาญา เช่น การแบ่งแยกประเภทความผิดในแง่ของกฎหมาย การกระทำ เจตนา ผู้กระทำ โทษ และการดำเนินคดี
5. โครงสร้างความรับผิดในทางอาญา
6. โครงสร้างข้อที่ 1 การกระทำครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติ เช่น ต้องมีการกระทำ ต้องครบองค์ประกอบภายนอก ต้องมีเจตนา เป็นต้น
7. โครงสร้างข้อที่ 2 การกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด เช่น การป้องกัน ความยินยอม เป็นต้น
8. โครงสร้างข้อที่ 3 การกระทำนั้นไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ เช่น การกระทำโดยจำเป็น เหตุยกเว้นโทษตามกฎหมายอาญา เป็นต้น
9. เหตุลดโทษ เช่น ความไม่รู้กฎหมาย ความมึนเมา บันดาลโทสะ เป็นต้น
10. การพยายามกระทำความผิด
11. ผู้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป เช่น ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน เป็นต้น
12. การกระทำกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน
13. โทษ เช่น ประเภทของโทษและวิธีการลงโทษ วัตถุประสงค์ของการลงโทษ เป็นต้น
14. วิธีการเพื่อความปลอดภัย
15. อายุความ เช่น อายุความฟ้องคดี อายุความล่วงเลยการลงโทษ อายุความฟ้องขอให้กักกัน เป็นต้น
16. การใช้บทบัญญัติในภาค 1 แก่ความผิดตามกฎหมายอื่นและบทบัญญัติทั่วไปที่ใช้แก่ความผิดลหุโทษ

หากคุณเคยศึกษากฎหมายกับอาจารย์ ดร.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ ทั้งในระดับปริญญาตรีและเนติบัณฑิตย่อมทราบดีว่า ท่านอาจารย์สามารถบรรยายกฎหมายอาญาได้อย่างเข้าใจเห็นภาพ เป็นขั้นเป็นตอน ทำให้นักศึกษาสามารถเรียบเรียงความรู้ในทางกฎหมายอาญา ตลอดจนสามารถวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ
ประวัติผู้เขียน จบนิติศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมดีมากจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย ดุษฎีบัณฑิตจากสหรัฐอเมริกา อดีตคณะบดีคณะนิติศาสตร์ อาจารย์ประจำผู้บรรยายชั้นปริญญาตรีและปริญญาโทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้บรรยายวิชากฎหมายอาญา สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
การลาออกครั้งสุดท้าย The Last Resignment
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 26 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกของการทำงานหาเงิน และเงินก็เป็นสิ่งที่สร้างปัญหาให้กับชีวิตของเรามากที่สุด เพราะไม่ว่าเราจะมีหรือไม่มีเงิน มันก็เป็นปัญหาทั้งนั้น คนที่ไม่มีก็ต้องพยายามหามาเพื่อให้มี ส่วนคนที่มีก็ต้องพยายามรักษาไว้ และต้องพยายามหาให้มีมากขึ้นอีกด้วย มีคนจำนวนมากที่กำลังกังวลและหวาดกลัวกับชีวิตการทำงานหาเงิน กลัวที่จะไม่มีเงินมากพอที่จะการันตีว่าชีวิตจะอยู่ได้อย่างมีความสุข เพราะอย่าลืมว่าเงินนั้นมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เพราะมันไม่แคร์ว่ามันจะต้องอยู่กับคนดีหรือคนเก่งเสมอไป มันอาจจะเลือกอยู่กับคนเลวคนชั่วก็ได้ไม่แน่นอน ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะทำอย่างไรให้มีเงินใช้แบบไม่เดือดร้อน
หนังสือเล่มนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับหนังสือบนแผงทั้งหลายที่จะช่วยสอนคุณให้หาเงินและใช้เงินทำงาน เพื่อให้ได้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ และเพื่อไปสู่เส้นชัยคือความร่ำรวยและความเป็นอิสระไม่ต้องทำงานอีกต่อไป แต่ผู้เขียนเลือกที่จะหาเงินเพื่อจะได้เป็นอิสระ และเอาเวลาไปทำตามความฝันอย่างแท้จริง เขาวางแผน เตรียมการ ลองผิดลองถูก เพื่อปลดตัวเองออกจากวัฏจักรของการเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนและก้าวไปสู่เส้นทางชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เรื่องราวและประสบการณ์ของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จึงเป็นมากกว่าเรื่องเงินเพียงอย่างเดียวแต่ยังเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของใครอีกหลายคนที่เราเรียกกันว่า ความฝัน ภานุมาศจึงเป็นเสมือนแรงบันดาลใจที่สวยงามให้คนกล้าที่จะไล่ตามฝันด้วยความแน่วแน่ มีพลัง ไม่ยอมให้คนอื่นคอยเตะไปทางนู้นทีทางนี้ที ชีวิตเราก็เหมือนนักบินขับไล่ ต้องโฟกัสเป้าหมายพร้อมกับต้องคอยระแวดระวังปัจจัยต่างๆที่จะทำอันตรายกับเรา นักบินต้องรู้ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่จะเล่นงานเราให้ร่วงได้ แล้วก็ต้องดูแลป้องกันมันให้ดี
ภานุมาศ เดินออกจากชีวิตมนุษย์เงินเดือนโดยสมัครใจ เขาไม่ได้มีเพียงแผนการที่จะไม่อดตาย แต่ตั้งใจจะอยู่อย่างมั่นคงในทรัพย์สิน สุขภาพ ครอบครัว และเวลาอันเหลือเฟือ เพื่อชีวิตจะได้ไม่ต้องลาออกจากที่ไหนอีกต่อไป อะไรที่ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปจากคนที่รักการเป็นลูกจ้าง กลายมาเป็นผู้ชื่นชมในการว่างงาน อิสรภาพที่เขาใฝ่ฝันได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ อิสรภาพที่แท้จริงคืออะไร เขาอยู่รอดได้อย่างไรในระหว่างที่ต้องว่างงาน หาคำตอบได้จากหนังสือเล่มนี้
สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะตามฝันสำเร็จหรือไม่ สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือครอบครัว มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และก็เพื่อคนที่เรารักด้วย ต่อให้คุณประสบความสำเร็จในสิ่งที่คุณมุ่งหวังขนาดไหน มันก็จะหมดความหมายทันทีหากไม่สามารถทำให้คนในครอบครัวรักกันได้ สัมพันธภาพในครอบครัวที่ดีคือการที่คนในครอบครัวเห็นเป้าหมายเดียวกันจนร่วมมือกันรับมือกับปัญหาต่างๆได้ เมื่อสัมพธภาพในครอบครัวแข็งแรงก็เหมือนกับการมีตาข่ายที่เหนียวแน่น คอยรองไว้ในการเล่นกายกรรมซึ่งในเวลาที่คุณพลาดพลั้งก็ยังมีตาข่ายรองรับอยู่
Wonderful Movie ตะลุยรักโลกอนาคต (Je t’aime)
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 26 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

“หนังสองเรื่องที่ผ่านมาทำให้ฉันเสียน้ำตาและแทบบ้า เพราะเหตุการณ์สุดแสนพิลึกเหล่านั้น แต่ครั้งนี้ฉันจะตั้งใจดูสถานการณ์ต่างๆอย่างใจเย็น เพื่อเป็นการปิดฉากบทละครชีวิตฉัน และฉันก็พร้อมจะยอมรับความจริงทั้งหมดไม่ว่ามันจะเลวร้ายซักแค่ไหน…เห็นทีฉันต้องผจญภัยอีกครั้ง และมันก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้วด้วย ขอทิ้งท้ายไว้หน่อยจะเป็นอะไร…” Wonderful Movie ตะลุยรักโลกอนาคต เป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดที่จะตอบทุกคำถามของเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเพทาย เด็กสาวผู้โปรดปรานการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ จนตัวเองต้องหลุดเข้าไปสวมบทบาทเป็นตัวละครในโลกของหนังมาแล้วถึงสองเรื่อง สิ่งที่เป็นแรงจูงใจให้เธออยากกลับเข้าไปในหนังอีกครั้งคือ ปัญหาคาใจระหว่างเธอกับชายหนุ่มสองคนที่เคยเกี่ยวพันกัน ใครกันแน่ที่เป็นตัวจริงของเธอ ผู้อ่านจะได้ร่วมลุ้นไปกับการผจญภัยครั้งสุดท้ายของเพทาย งานนี้รับประกันว่าทั้งทั้งสนุก ตื่นเต้น โรแมนติก และน่าติดตาม
เพทายได้ตัดสินใจกลับเข้าไปผจญภัยในโลกของแผ่นหนังเรื่องนั้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกผูกพันระหว่างเธอกับตัวละครที่ยังคงอยู่ เธอตัดสินใจเลือกหัวข้อ Future และเลือกเรื่อง ศตวรรษที่ 24 “คุณมีเวลา 15 วินาที” “บันได” “วิ่ง!!!” ทันใดนั้นเธอก็ทะลุประตูมิติหลุดเข้ามายังโลกแห่งอนาคตสุดล้ำและน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งตึกรูปทรงแปลกประหลาด รถยนต์แม่เหล็ก บ้านลอยฟ้า มนุษย์ต่างดาว ประตูมิติ หุ่นยนต์โคลนนิ่ง ฯลฯ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการที่เธอได้พบกับ ไรวิส และ เอลดิส สองตัวละครในภาคก่อนที่เคยผูกพันกันลึกซึ้งอีกครั้ง แต่ทว่าทั้งสองกลับกลายเป็นใครอีกคนหนึ่งที่เธอไม่คุ้นเคย เพราะบทบาทของพวกเขาในหนังสองเรื่องก่อนนั้นแตกต่างออกไป
เพทายได้รับภารกิจสำคัญในการไขความลับเพื่อค้นหาความจริงในทุกคำถามที่ติดอยู่ในใจของเธอด้วยการปลอมตัว (แปลงร่าง) เป็นผู้ตรวจเชื้อโรคจากองค์กรอนามัยและแฝงตัวเข้าไปในบริษัทแม็กซ์กิล ณ ที่แห่งนั้นทำให้เธอได้พบเจอกับเอลดิสซึ่งในภาคนี้มีนามว่า เฟน ทั้งสองได้ช่วยกันสร้างประตูมิติและได้หลุดเข้าไปในป่าและอวกาศจนได้ผจญภัยด้วยกันอีกครั้ง ความรู้สึกที่เพทายและเอลดิสมีต่อกันเป็นเพียงบทบาทการแสดงหรือเป็นความรู้สึกจากใจจริงๆ ตัวละครในภาคก่อนหน้าคือใคร ทำไมถึงต้องเป็นเพทายที่หลุดเข้าไปในโลกของหนัง เธอจะหลุดออกมาจากโลกมายาแล้วกลับมาสู่โลกของความเป็นจริงได้หรือไม่ ทุกข้อสงสัยจะถูกเฉลยผ่านการสืบหาความจริงของเธอ
ผู้อ่านจะได้ใช้จินตนาการโลดแล่นไปในโลกอนาคต โลกที่เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจด้วยเทคโนโลยีสุดบรรเจิด โลกแห่งจินตนาการของใครหลายคนได้เกิดขึ้นจริงในหนังสือเล่มนี้ ผ่านการตามติดภารกิจการผจญภัยสุดสนุกตื่นเต้นของเพทาย สอดแทรกด้วยเรื่องราวรักโรแมนติกของชายหนุ่มหญิงสาวที่มีที่มาจากต่างมิติเวลา และการไขปริศนา ใครจะเชื่อว่าหนังเรื่องหนึ่งจะทำให้เด็กสาวทะลุมิติเข้าไปในดินแดนแห่งโลกอนาคต ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
www.batorastore.com © 2024