Customer Reviews
รีวิว นายเกือบร้ายกับยัยแกล้งบื้อ
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ชื่อเรื่องออกจะชวนให้แปลกใจสักหน่อยสำหรับเรื่องนี้ เพราะชื่อเรื่องเหมือนแนววัยรุ่น แต่รูปแบบหนังสือนั้นเป็นความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักของแจ่มใส ซึ่งเนื้อเรื่องจะค่อนข้างโตขึ้นมาสักหน่อย จึงทำให้เราแปลกใจและสนใจ
เรื่องราวโดยย่อเป็นเรื่องราวของหนุ่มที่เพิ่งหล่อ และเริ่มจะฮอต โดยมีชื่อที่คล้ายคลึงกับดาราวัยรุ่นเกาหลีที่โด่งดังอย่างลีจุนกิ ซึ่งสงสัยว่างานนี้คนแต่งคงจะแอบหยิกแกมหยอกแบบสนุกสนานและน่ารัก และเนื้อเรื่องนั้นก็ประชดประชันตลอดเวลา นำเอาฉากหลายฉากที่เราเห็นในละครรวมทั้งปรากฏการณ์บ้าเกาหลีมาล้อเล่น มาหยอก มาหยิก น่ารักสนุกสนานอยู่มากเหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไม่ซีเรียสหรือต้องการนิยายที่เป็นเรื่องเป็นราวบีบคั้นหัวใจ ซึ่งถ้าหากชอบแบบนั้นไปหยิบเรื่องอื่นมาอ่านน่าจะปลอดภัยกว่า เพราะนายเกือบร้ายกับยัยแกล้งบื้อเหมือนผู้ใหญ่ที่หยิบนิยายเด็กมาหยอกเล่นในแบบฉบับของตัวเอง ภาษาจึงเหมือนภาษาผู้ใหญ่แต่ใช้คำเด็ก ล้อเล่น ล้อเลียนไปเรื่อย หากเป็นคนที่ชอบนิยายผู้ใหญ่คงไม่ถูกจริต แต่หากเป็นคนที่ชอบนิยายเด็กๆใสๆ คลั่งเกาหลี บ้าคนน่ารัก ก็อาจจะยิ้มกริ่มๆ แต่ถ้าชอบแบบวัยรุ่นจ๋าก็อาจจะยังไม่ตรงใจเท่าไหร่นัก
ถ้าจะถามว่าชอบตรงไหนก็คงเป็นตรงที่มันเก๋และแปลกใหม่ดี เพราะยังไม่ค่อยทำสไตล์ผสมวัยรุ่นและเด็กแบบนี้ ที่เราเจอบนแผงนั้น ก็มีเพียงวัยรุ่นจ๋าหรือแบบผู้ใหญ่ไปเลย ซึ่งแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แต่อันนี้คือเอาสองสไตล์มารวมกัน และยิ่งน่ารักที่การหยอกนั้น ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ามันขัดใจ หรือล้อเลียนแต่อย่างใด แต่มันกลับน่ารักมากเลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ต้องถือว่าคนเขียนมีความสามารถในการเขียน
แต่ถ้าหากว่าจะมีอะไรขัดใจบ้าง ก็คงจะเป็นเนื้อเรื่องที่เหมือนจบไปดื้อๆ ไม่มีปมอะไรเหมือนนิยาย ทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก ดูเหมือนเป็นบันทึกประจำวันแบบเพ้อฝันไปเสีย นี่แอบคิดในใจว่าถ้าจบแบบว่าพระเอกตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองฝันไปนี่คงจะใช่เลย แต่เราก็แอบดีใจที่มันไม่จบแบบนั้น ไม่อย่างนั้นความรู้สึกที่มีต่อนิยายเรื่องนี้อาจจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
โดยรวมแล้วรู้สึกว่าหากเป็นวันว่างๆสบายๆ ต้องการผ่อนคลาย จะหยิบนิยายเรื่องนี้มาอ่านก็ถือได้ว่าน่าจะไม่ผิดหวัง เพราะเนื้อเรื่องสบายๆอ่านแล้วไม่เครียด ไม่ต้องคิดมาก ไอ้อมยิ้มเล็กๆอีกด้วย แต่หากชอบแบบเรื่องราวเข้มข้น มีปมชีวิต มีอรรถรสบีบคั้นอารมณ์ ก็อาจจะลองมองหาเล่มอื่นดูค่ะ
เรื่องราวโดยย่อเป็นเรื่องราวของหนุ่มที่เพิ่งหล่อ และเริ่มจะฮอต โดยมีชื่อที่คล้ายคลึงกับดาราวัยรุ่นเกาหลีที่โด่งดังอย่างลีจุนกิ ซึ่งสงสัยว่างานนี้คนแต่งคงจะแอบหยิกแกมหยอกแบบสนุกสนานและน่ารัก และเนื้อเรื่องนั้นก็ประชดประชันตลอดเวลา นำเอาฉากหลายฉากที่เราเห็นในละครรวมทั้งปรากฏการณ์บ้าเกาหลีมาล้อเล่น มาหยอก มาหยิก น่ารักสนุกสนานอยู่มากเหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไม่ซีเรียสหรือต้องการนิยายที่เป็นเรื่องเป็นราวบีบคั้นหัวใจ ซึ่งถ้าหากชอบแบบนั้นไปหยิบเรื่องอื่นมาอ่านน่าจะปลอดภัยกว่า เพราะนายเกือบร้ายกับยัยแกล้งบื้อเหมือนผู้ใหญ่ที่หยิบนิยายเด็กมาหยอกเล่นในแบบฉบับของตัวเอง ภาษาจึงเหมือนภาษาผู้ใหญ่แต่ใช้คำเด็ก ล้อเล่น ล้อเลียนไปเรื่อย หากเป็นคนที่ชอบนิยายผู้ใหญ่คงไม่ถูกจริต แต่หากเป็นคนที่ชอบนิยายเด็กๆใสๆ คลั่งเกาหลี บ้าคนน่ารัก ก็อาจจะยิ้มกริ่มๆ แต่ถ้าชอบแบบวัยรุ่นจ๋าก็อาจจะยังไม่ตรงใจเท่าไหร่นัก
ถ้าจะถามว่าชอบตรงไหนก็คงเป็นตรงที่มันเก๋และแปลกใหม่ดี เพราะยังไม่ค่อยทำสไตล์ผสมวัยรุ่นและเด็กแบบนี้ ที่เราเจอบนแผงนั้น ก็มีเพียงวัยรุ่นจ๋าหรือแบบผู้ใหญ่ไปเลย ซึ่งแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แต่อันนี้คือเอาสองสไตล์มารวมกัน และยิ่งน่ารักที่การหยอกนั้น ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ามันขัดใจ หรือล้อเลียนแต่อย่างใด แต่มันกลับน่ารักมากเลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ต้องถือว่าคนเขียนมีความสามารถในการเขียน
แต่ถ้าหากว่าจะมีอะไรขัดใจบ้าง ก็คงจะเป็นเนื้อเรื่องที่เหมือนจบไปดื้อๆ ไม่มีปมอะไรเหมือนนิยาย ทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก ดูเหมือนเป็นบันทึกประจำวันแบบเพ้อฝันไปเสีย นี่แอบคิดในใจว่าถ้าจบแบบว่าพระเอกตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองฝันไปนี่คงจะใช่เลย แต่เราก็แอบดีใจที่มันไม่จบแบบนั้น ไม่อย่างนั้นความรู้สึกที่มีต่อนิยายเรื่องนี้อาจจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
โดยรวมแล้วรู้สึกว่าหากเป็นวันว่างๆสบายๆ ต้องการผ่อนคลาย จะหยิบนิยายเรื่องนี้มาอ่านก็ถือได้ว่าน่าจะไม่ผิดหวัง เพราะเนื้อเรื่องสบายๆอ่านแล้วไม่เครียด ไม่ต้องคิดมาก ไอ้อมยิ้มเล็กๆอีกด้วย แต่หากชอบแบบเรื่องราวเข้มข้น มีปมชีวิต มีอรรถรสบีบคั้นอารมณ์ ก็อาจจะลองมองหาเล่มอื่นดูค่ะ
รีวิว ร้านชำสำหรับคนอยากตาย
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557
นิยายตลกร้าย หดหู่ และจิกกัด เรื่องราวของอลัน หนุ่มน้อยที่โลกสดใส ท่ามกลางครอบครัวที่หดหู่ ซึ่งทำอาชีพขายของชำ (หมายถึงอุปกรณ์ต่างๆ) สำหรับคนที่อยากตาย เพราะฉะนั้นรอยยิ้มและสิ่งบันเทิงใจเป็นสิ่งที่ครอบครัวนี้เกลียดมาก
หากจะจัดอันดับนิยายที่แสบสันต์ จิกกัดให้หัวใจเป็นแผลแสบๆคันๆได้ดีในยุคนี้ ก็คงจะมีเรื่อง ร้านชำคนอยากตายติดอันดับด้วยแน่ๆ เอาแค่ชื่อเรื่องก็น่าสนใจมากแล้ว เนื้อเรื่องยิ่งแปลกแหวกตลาดชวนให้สนใจอีกด้วย
ในยุคที่ทุกคนสนใจแต่เรื่องของตัวเอง เงินทองและผลประโยชน์ของตัวเอง เราไม่เคยสนใจว่าจะทำให้ใครตายใครเสียใจ มากไปกว่าในแต่ละวันเราจะทำเงินได้เท่าไหร่ คนในครอบครัวตูวาซเองก็เหมือนกัน พวกเขาไม่ได้สนใจว่าใครจะตาย ใครจะอยู่ พวกเขาต้องการขายของ เป็นเนื้อเรื่องที่สะท้อนความจริงของมนุษย์ในโลกทุนนิยมในปัจจุบันที่ทุกคนต่างก็ไขว่คว้าหาแต่ผลประโยชน์และความร่ำรวยของตัวเอง แม้แต่พ่อแม่พี่น้องก็สอนลูกสอนหลานให้คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง และนิยายเรื่องนี้ก็เอามาเสียดสี มาประชดประชันได้อย่างเจ็บแสบ ถือว่าเป็นอะไรที่เราชอบมากๆ
อลันเกิดมาอย่างแหกคอก แหวกบรรยากาศอันทึมเทา เขาเกิดมาอย่างไม่สนใจมนุษย์หน้าไหนไม่สนใจว่าใครจะต้องการอะไร เขาเพียงทำให้ทุกคนเชื่อในสิ่งที่เขาชอบ แต่ตอนจบอลันกับทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คนอ่านต้องสับสน ซึ่งตอนแรกที่เราอ่านเราเองก็ยอมรับว่าสับสนในความคิดของอลันอยู่มากเหมือนกัน ต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าต้องอ่านวนอีกรอบพยายามตีประเด็นที่คนเขียนต้องการนำเสนอให้ออก ถึงกับเสิร์ชอินเตอร์เนตสอบถามคนที่เคยอ่านเหมือนกัน กว่าจะค้นพบความหมายที่เรารู้สึกว่ามันช่างแสบสันต์และเจ็บปวดกับครอบครัวตูวาซมากๆ จะเรียกได้ว่าอลันเดมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของของครอบครัวตูวาซก้คงไม่ผิด หรือถ้าหากจะมีเทวดาตนไหนส่งอลันมาเพื่อสั่งสอนครอบครัวตูวาซ ก็ถือได้ว่าเทวดานั้นใจร้าย และเอาคืนได้อย่างเจ็บปวดมากๆ ชนิดที่อึ้งกันเลยทีเดียว
ไหนเรื่องความสนุกก็คงต้องบอกว่าไม่ได้สนุกเหมือนนิยายทั่วไป แต่ทุกตัวอักษรมันกินความรู้สึกทีละนิดโดยที่เราไม่รู้ตัว ให้เราเดินตามเนื้อเรื่องไปด้วยความหวังว่าปลายเรื่องมันจะเป็นแสงสว่าง แล้วเมื่อเราอ่านจนถึงตอนจบเราจะพบว่ามันไม่ใช่ ในโลกที่คนเห็นแก่ตัวเห็นแก่เงินเดินสวนกันเต็มไปหมด เราอยากให้คนหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันมากๆ เผื่อเราจะเข้าใจความเจ็บปวดของคนที่ต้องสูญเสีย คนที่อยู่ในโลกมืดมนบ้าง
หากจะจัดอันดับนิยายที่แสบสันต์ จิกกัดให้หัวใจเป็นแผลแสบๆคันๆได้ดีในยุคนี้ ก็คงจะมีเรื่อง ร้านชำคนอยากตายติดอันดับด้วยแน่ๆ เอาแค่ชื่อเรื่องก็น่าสนใจมากแล้ว เนื้อเรื่องยิ่งแปลกแหวกตลาดชวนให้สนใจอีกด้วย
ในยุคที่ทุกคนสนใจแต่เรื่องของตัวเอง เงินทองและผลประโยชน์ของตัวเอง เราไม่เคยสนใจว่าจะทำให้ใครตายใครเสียใจ มากไปกว่าในแต่ละวันเราจะทำเงินได้เท่าไหร่ คนในครอบครัวตูวาซเองก็เหมือนกัน พวกเขาไม่ได้สนใจว่าใครจะตาย ใครจะอยู่ พวกเขาต้องการขายของ เป็นเนื้อเรื่องที่สะท้อนความจริงของมนุษย์ในโลกทุนนิยมในปัจจุบันที่ทุกคนต่างก็ไขว่คว้าหาแต่ผลประโยชน์และความร่ำรวยของตัวเอง แม้แต่พ่อแม่พี่น้องก็สอนลูกสอนหลานให้คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง และนิยายเรื่องนี้ก็เอามาเสียดสี มาประชดประชันได้อย่างเจ็บแสบ ถือว่าเป็นอะไรที่เราชอบมากๆ
อลันเกิดมาอย่างแหกคอก แหวกบรรยากาศอันทึมเทา เขาเกิดมาอย่างไม่สนใจมนุษย์หน้าไหนไม่สนใจว่าใครจะต้องการอะไร เขาเพียงทำให้ทุกคนเชื่อในสิ่งที่เขาชอบ แต่ตอนจบอลันกับทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คนอ่านต้องสับสน ซึ่งตอนแรกที่เราอ่านเราเองก็ยอมรับว่าสับสนในความคิดของอลันอยู่มากเหมือนกัน ต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าต้องอ่านวนอีกรอบพยายามตีประเด็นที่คนเขียนต้องการนำเสนอให้ออก ถึงกับเสิร์ชอินเตอร์เนตสอบถามคนที่เคยอ่านเหมือนกัน กว่าจะค้นพบความหมายที่เรารู้สึกว่ามันช่างแสบสันต์และเจ็บปวดกับครอบครัวตูวาซมากๆ จะเรียกได้ว่าอลันเดมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของของครอบครัวตูวาซก้คงไม่ผิด หรือถ้าหากจะมีเทวดาตนไหนส่งอลันมาเพื่อสั่งสอนครอบครัวตูวาซ ก็ถือได้ว่าเทวดานั้นใจร้าย และเอาคืนได้อย่างเจ็บปวดมากๆ ชนิดที่อึ้งกันเลยทีเดียว
ไหนเรื่องความสนุกก็คงต้องบอกว่าไม่ได้สนุกเหมือนนิยายทั่วไป แต่ทุกตัวอักษรมันกินความรู้สึกทีละนิดโดยที่เราไม่รู้ตัว ให้เราเดินตามเนื้อเรื่องไปด้วยความหวังว่าปลายเรื่องมันจะเป็นแสงสว่าง แล้วเมื่อเราอ่านจนถึงตอนจบเราจะพบว่ามันไม่ใช่ ในโลกที่คนเห็นแก่ตัวเห็นแก่เงินเดินสวนกันเต็มไปหมด เราอยากให้คนหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันมากๆ เผื่อเราจะเข้าใจความเจ็บปวดของคนที่ต้องสูญเสีย คนที่อยู่ในโลกมืดมนบ้าง
รีวิวหนังสือเรื่องหรรษามาเฟีย
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ตอนเห็นหน้าปกยอมรับว่าสะดุดกับชื่อเรื่อง ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วล่ะ ว่าคงเป็นเรื่องหรรษาเฮฮาของมาเฟีย คาดว่าน่าจะมีอะไรตลกๆน่ารักๆเป็นแน่แท้ จึงตัดสินใจเลือกมาอ่านอย่างไม่ลังเล คิดว่าน่าจะมีอะไรแปลกใหม่
หากจะพูดถึงความน่ารักก็ต้องยอมรับว่าหนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวความน่ารักอยู่มากมาย แต่เป็นความน่ารักที่เหมือนคนเขียนมาใส่เพื่อให้เนื้อเรื่องน่ารัก ซึ่งไม่ค่อยจะส่งเสริมเนื้อเรื่องหรือสอดคล้องเกี่ยวกับเหตุการณ์อะไรสักเท่าไหร่ จึงเป็นความน่ารักแบบ อ่านก็ได้ ไม่อ่านก็ไม่รู้สึกว่าจะเสียดายอะไร
หนังสือจะเป็นเรื่องราวของบอดี้การ์ดคนหนึ่งชื่อกำปั้น กับคุณหนูของแก๊งส์มาเฟียชื่อแมลงสาบ ซึ่งในความเป็นจริงก็คงไม่มีใครให้ลูกชื่อแมลงสาบหรอก เรารู้สึกได้ถึงการพยายามทำให้เรื่องตลกและมีมุก แต่ถ้าพูดแบบไม่เข้าข้างกันก็ต้องยอมรับว่ายังไปไม่ถึง คือเราไม่ขำเลย แต่ยอมรับว่ามันก็ไม่ถึงกับแย่ อย่างเช่นเรื่องเหตุผลที่คุณหนูตัวเอกของเรื่องชื่อแมลงสาบ มันก็เป็นเหตุผลตลกฝืดๆไปหน่อย ซึ่งพอมันไปไม่ถึง มันก็ไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกว่าการที่ตัวละครต้องชื่อแมลงสาบ เพราะคนเขียนตั้งใจมาแล้วว่าให้ชื่อแมลงสาบ ทั้งที่บางครั้งเนื้อเรื่องมันไม่ได้พาไป
มีหลายบทหลายตอนที่รู้สึกว่าคนเขียนเขียนขึ้นมาเพราะอยากใส่ ไม่ใช่เพราะมันต้องใส่ หรือเพราะมันจำเป็นกับเนื้อเรื่อง ทำให้เรื่องราวบางตอนโผล่ขึ้นมาลอยๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่น่าจะเกิด แล้วก็จบไปดื้อๆก็มี ไม่มีมีความสำคัญอันใดกับเนื้อเรื่องและไม่ได้ส่งเสริมเนื้อเรื่องไปในทางใดทางหนึ่ง เราอ่านแล้วก็จะรู้สึกว่า มีมาทำไมกัน อย่างเช่นตอนที่นกของกำปั้น บอดี้การ์ดตัวเอกโดนเอาไปฆ่ากิน ซึ่งเหมือนพยายามจะทำให้ขำขันและมีสีสัน แต่มันก็ไม่ส่งผลอันใดกับเรื่องใดๆทั้งสิ้น จนเราอ่านแล้วอาจจะบอกว่า แล้วยังไงล่ะ ถ้าเกิดเรื่องนี้แล้วยังไง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะมีแต่ข้อเสีย ก็อย่างที่บอก หากมองภาพรวมก็เป็นเรื่องที่น่ารักเบาสมอง ไม่ได้เครียด ไม่ได้ถึงกับแย่ แต่ก็ไม่ได้ดีจนต้องชื่นชมอะไรขนาดนั้น ซึ่งถ้าใครไม่ได้ซีเรียสเรื่องมุกฝืด หรือการพยายามจงใจใส่มุกลงไป ก็ถือว่านิยายเรื่องนี้สร้างสรรค์ เพราะมันเป็นเรื่องเฮฮาของพวกมาเฟีย แบบน่ารัก ออกการ์ตูนหน่อยๆ ซึ่งบนแผงไม่ได้มีแบบนี้เยอะนัก หรือคนที่เอียนกับโรมานซ์ที่วางเกลื่อนแผง จะเลือกหยิบเรื่องนี้มาอ่าน ก็อาจจะได้อีกรสชาติที่แปลกใหม่ออกไปได้ สำหรับวันสบายๆ ไม่เครียดไม่ต้องการอะไรที่เนื้อหาหนักๆ ก็ไม่ผิดหวัง
หากจะพูดถึงความน่ารักก็ต้องยอมรับว่าหนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวความน่ารักอยู่มากมาย แต่เป็นความน่ารักที่เหมือนคนเขียนมาใส่เพื่อให้เนื้อเรื่องน่ารัก ซึ่งไม่ค่อยจะส่งเสริมเนื้อเรื่องหรือสอดคล้องเกี่ยวกับเหตุการณ์อะไรสักเท่าไหร่ จึงเป็นความน่ารักแบบ อ่านก็ได้ ไม่อ่านก็ไม่รู้สึกว่าจะเสียดายอะไร
หนังสือจะเป็นเรื่องราวของบอดี้การ์ดคนหนึ่งชื่อกำปั้น กับคุณหนูของแก๊งส์มาเฟียชื่อแมลงสาบ ซึ่งในความเป็นจริงก็คงไม่มีใครให้ลูกชื่อแมลงสาบหรอก เรารู้สึกได้ถึงการพยายามทำให้เรื่องตลกและมีมุก แต่ถ้าพูดแบบไม่เข้าข้างกันก็ต้องยอมรับว่ายังไปไม่ถึง คือเราไม่ขำเลย แต่ยอมรับว่ามันก็ไม่ถึงกับแย่ อย่างเช่นเรื่องเหตุผลที่คุณหนูตัวเอกของเรื่องชื่อแมลงสาบ มันก็เป็นเหตุผลตลกฝืดๆไปหน่อย ซึ่งพอมันไปไม่ถึง มันก็ไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกว่าการที่ตัวละครต้องชื่อแมลงสาบ เพราะคนเขียนตั้งใจมาแล้วว่าให้ชื่อแมลงสาบ ทั้งที่บางครั้งเนื้อเรื่องมันไม่ได้พาไป
มีหลายบทหลายตอนที่รู้สึกว่าคนเขียนเขียนขึ้นมาเพราะอยากใส่ ไม่ใช่เพราะมันต้องใส่ หรือเพราะมันจำเป็นกับเนื้อเรื่อง ทำให้เรื่องราวบางตอนโผล่ขึ้นมาลอยๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่น่าจะเกิด แล้วก็จบไปดื้อๆก็มี ไม่มีมีความสำคัญอันใดกับเนื้อเรื่องและไม่ได้ส่งเสริมเนื้อเรื่องไปในทางใดทางหนึ่ง เราอ่านแล้วก็จะรู้สึกว่า มีมาทำไมกัน อย่างเช่นตอนที่นกของกำปั้น บอดี้การ์ดตัวเอกโดนเอาไปฆ่ากิน ซึ่งเหมือนพยายามจะทำให้ขำขันและมีสีสัน แต่มันก็ไม่ส่งผลอันใดกับเรื่องใดๆทั้งสิ้น จนเราอ่านแล้วอาจจะบอกว่า แล้วยังไงล่ะ ถ้าเกิดเรื่องนี้แล้วยังไง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะมีแต่ข้อเสีย ก็อย่างที่บอก หากมองภาพรวมก็เป็นเรื่องที่น่ารักเบาสมอง ไม่ได้เครียด ไม่ได้ถึงกับแย่ แต่ก็ไม่ได้ดีจนต้องชื่นชมอะไรขนาดนั้น ซึ่งถ้าใครไม่ได้ซีเรียสเรื่องมุกฝืด หรือการพยายามจงใจใส่มุกลงไป ก็ถือว่านิยายเรื่องนี้สร้างสรรค์ เพราะมันเป็นเรื่องเฮฮาของพวกมาเฟีย แบบน่ารัก ออกการ์ตูนหน่อยๆ ซึ่งบนแผงไม่ได้มีแบบนี้เยอะนัก หรือคนที่เอียนกับโรมานซ์ที่วางเกลื่อนแผง จะเลือกหยิบเรื่องนี้มาอ่าน ก็อาจจะได้อีกรสชาติที่แปลกใหม่ออกไปได้ สำหรับวันสบายๆ ไม่เครียดไม่ต้องการอะไรที่เนื้อหาหนักๆ ก็ไม่ผิดหวัง
นิทานล้านบรรทัดเล่มที่หนึ่ง
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ขึ้นชื่อว่านิทานอย่างไรเราก็ต้องคิดว่ามันน่าจะอ่านง่าย อ่านสบาย เป็นเรื่องราวของสิงสาราสัตว์ ง่ายๆ และจะต้องจบลงด้วยประโยคที่ว่า เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แต่ประภัสสรก็สามารถแปรเปลี่ยนนิทานที่เราชินใจ ให้กลายเป็นเรื่องราวที่แฝงไว้ด้วยความหมายซึ่งทันสมัยในปัจจุบัน ถือว่าเป็นอะไรที่เจ๋งมากๆ
เนื้อเรื่องไม่ยาวในแต่ละเรื่อง ประมาณสองสามหน้ากระดาษ (ไม่ใช่เต็มหน้านะ) เป็นเรื่องที่มองเผินๆเหมือนจะเป็นเรื่องราวง่ายๆ แต่ที่ไม่ง่ายคือความหมายที่แฝงอยู่ซึ่งเราต้องตีความให้ออก และนั่นทำให้นิทานล้านบรรทัดมีเสน่ห์ บางเสน่ห์นี่ทำให้อึ้งไปเลยก็มี และเป็นนิทานที่เด็กอ่านก็ดี ผู้ใหญ่อ่านก็ยิ่งดีมากๆ เพราะในยุคที่ทุกคนต้องการการเร่งรีบไม่ชอบอะไรยาวๆยืดเยื้อ สมาธิน้อย อดทนกับอะไรได้ต่ำ บางครั้งนิทานที่สั้นเป็นตอนๆ อ่านง่ายจบเร็ว อาจจะสะกิดเตือนใจ หรือกระแทกความรู้สึกได้ดีกว่า ไวกว่า และสามารถสร้างความรุ้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นกับจิตใจได้ง่ายและมากกว่า
เนื้อเรื่องง่าย กระชับ และเจ๋ง เป็นคำจำกัดความง่ายๆที่มอบให้หนังสือเล่มนี้ ด้วยส่วนตัวก็ชอบอ่านนิทานอยู่แล้ว แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใช่เด็กๆแล้วก็ตาม แต่ในเมื่อเราโตขึ้น การจะอ่านนิทานเด็กน้อย มันก็อาจจะไม่สนองความต้องการเราได้ดีนัก ทำให้ดีใจมากๆ เมื่อได้อ่านนิทานล้านบรรทัดของประภัสสร เพราะมันเป็นนิทานของผู้ใหญ่ที่เด็กอ่านได้ด้วย
ในแต่ละเรื่องกระชับ มีการนำตัวละครที่เราคุ้นเคยในนิทานต่างๆมาใส่เข้าไป ทั้งคุณยาย สิงสาราสัตว์ต่างๆมากมาย ภาพประกอบที่แสนจะน่ารัก อ่านแล้วเพลินตา เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน แต่ความคิดนั้นลึกล้ำยิ่งนัก บางอารมณ์ก็เหมือนตัวเองกำลังอ่านเจ้าชายน้อย แต่บางอารมณ์ก็เหมือนกำลังอยู่กับหนูน้อยหมวกแดง แต่ประภัสสรก็ทำให้เราได้รู้สึกแค่กลิ่นอาย หอมอบอวล มิใช่การลอกเลียนใดๆทั้งสิ้น
ในเรื่องฝีมือไม่ต้องห่วงอยู่แล้ว ชื่อประภัสสร เสวิกุลการันตีในเรื่องคุณภาพ ไม่ว่าจะเขียนเรื่องไหนอย่างไรก็มีมิติมีความหมายที่คาดไม่ถึงเสมอ แต่หากจะมีเรื่องที่น่าเสียดายก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่าตอนนี้นิทานล้านบรรทัดมีเพียงแค่สองเล่มเท่านั้น ใจจริงเราอยากให้มีหลายๆเล่ม เพราะชอบแนวคิดและการนำเสนอแบบนิทานเป็นการส่วนตัว เพราะตัวเราเองคุ้นเคยกับการอ่านนิทานมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้นหากตอนนี้รถยังติด เวลาว่างยังมี ลองหยิบนิทานล้านบรรทัดขึ้นมาเปิดอ่าน รับรองการันตี ไม่มีผิดหวังแน่นอน ยิ่งหากใครมีลูกเล็กเด็กแดง เปิดอ่านเปิดสอนได้ทันที ถือว่าเป็นหนังสือที่มีคุณค่ามากๆ
เนื้อเรื่องไม่ยาวในแต่ละเรื่อง ประมาณสองสามหน้ากระดาษ (ไม่ใช่เต็มหน้านะ) เป็นเรื่องที่มองเผินๆเหมือนจะเป็นเรื่องราวง่ายๆ แต่ที่ไม่ง่ายคือความหมายที่แฝงอยู่ซึ่งเราต้องตีความให้ออก และนั่นทำให้นิทานล้านบรรทัดมีเสน่ห์ บางเสน่ห์นี่ทำให้อึ้งไปเลยก็มี และเป็นนิทานที่เด็กอ่านก็ดี ผู้ใหญ่อ่านก็ยิ่งดีมากๆ เพราะในยุคที่ทุกคนต้องการการเร่งรีบไม่ชอบอะไรยาวๆยืดเยื้อ สมาธิน้อย อดทนกับอะไรได้ต่ำ บางครั้งนิทานที่สั้นเป็นตอนๆ อ่านง่ายจบเร็ว อาจจะสะกิดเตือนใจ หรือกระแทกความรู้สึกได้ดีกว่า ไวกว่า และสามารถสร้างความรุ้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นกับจิตใจได้ง่ายและมากกว่า
เนื้อเรื่องง่าย กระชับ และเจ๋ง เป็นคำจำกัดความง่ายๆที่มอบให้หนังสือเล่มนี้ ด้วยส่วนตัวก็ชอบอ่านนิทานอยู่แล้ว แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใช่เด็กๆแล้วก็ตาม แต่ในเมื่อเราโตขึ้น การจะอ่านนิทานเด็กน้อย มันก็อาจจะไม่สนองความต้องการเราได้ดีนัก ทำให้ดีใจมากๆ เมื่อได้อ่านนิทานล้านบรรทัดของประภัสสร เพราะมันเป็นนิทานของผู้ใหญ่ที่เด็กอ่านได้ด้วย
ในแต่ละเรื่องกระชับ มีการนำตัวละครที่เราคุ้นเคยในนิทานต่างๆมาใส่เข้าไป ทั้งคุณยาย สิงสาราสัตว์ต่างๆมากมาย ภาพประกอบที่แสนจะน่ารัก อ่านแล้วเพลินตา เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน แต่ความคิดนั้นลึกล้ำยิ่งนัก บางอารมณ์ก็เหมือนตัวเองกำลังอ่านเจ้าชายน้อย แต่บางอารมณ์ก็เหมือนกำลังอยู่กับหนูน้อยหมวกแดง แต่ประภัสสรก็ทำให้เราได้รู้สึกแค่กลิ่นอาย หอมอบอวล มิใช่การลอกเลียนใดๆทั้งสิ้น
ในเรื่องฝีมือไม่ต้องห่วงอยู่แล้ว ชื่อประภัสสร เสวิกุลการันตีในเรื่องคุณภาพ ไม่ว่าจะเขียนเรื่องไหนอย่างไรก็มีมิติมีความหมายที่คาดไม่ถึงเสมอ แต่หากจะมีเรื่องที่น่าเสียดายก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่าตอนนี้นิทานล้านบรรทัดมีเพียงแค่สองเล่มเท่านั้น ใจจริงเราอยากให้มีหลายๆเล่ม เพราะชอบแนวคิดและการนำเสนอแบบนิทานเป็นการส่วนตัว เพราะตัวเราเองคุ้นเคยกับการอ่านนิทานมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้นหากตอนนี้รถยังติด เวลาว่างยังมี ลองหยิบนิทานล้านบรรทัดขึ้นมาเปิดอ่าน รับรองการันตี ไม่มีผิดหวังแน่นอน ยิ่งหากใครมีลูกเล็กเด็กแดง เปิดอ่านเปิดสอนได้ทันที ถือว่าเป็นหนังสือที่มีคุณค่ามากๆ
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ในความจริงมีอะไร และอะไรคือความจริง...ราโชมอน เรื่องเล่าของความจริง หรือคำโกหก และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครพูดจริงหรือใครโกหก เพราะความจริงที่เรารู้ มันอาจจะปะปนไปด้วยเรื่องโกหกมากมายจนแยกกันไม่ออกเลยก็ได้
เรื่องเริ่มจากว่ามีคนพบศพซามูไรเสียชีวิต ผู้เกี่ยวข้องต่างถูกเรียกมาสอบสวนไม่ว่าจะเป็นภรรยาของซามูไร โจร พระ หรือแม้แต่วิญญาณของซามูไรเองก็มาเล่าเหตุการณ์ด้วย แต่ต่างคนต่างก็เล่ากันไปคนละอย่าง ซามูไรเล่าอย่างนึง เมียซามูไรก็เล่าอย่างนึง พระก็อีกอย่างนึง โจรก็อีกอย่างนึง แล้วเรื่องไหนคือเรื่องจริง แล้วอะไรคือความจริง
ในหนังสือแปลเรื่องสั้นราโชมอนมีเรื่องสั้นหลายเรื่อง ผู้เขียนคือริวโนะสุเกะ อาคุตะงะวะ และเรื่องที่เด่นและดังที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องราโชมอน ที่เล่นประเด็นคลาสสิคและทันสมัยมาก ชนิดที่ว่าหากผ่านไปอีกสิบปีร้อยปีก็เชื่อว่าเนื้อหายังทันสมัย ถือว่าเป็นเรื่องสั้นที่อยากให้อ่านมากๆ อยากแนะนำใครต่อใคร แล้วความคิดและมุมมองเกี่ยวกับความเชื่อ ความจริง ความเท็จอาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้ ตัวเรื่องไม่อารัมภบทเล่าความยาวเท้าความหลังอะไร ขึ้นมาก็เป็นบทเล่าของแต่ละคน บทเล่าที่เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้น โดยเป็นเรื่องที่คนเขียนเหมือนจะใส่บุคลิกตัวละครลงในบทพูดบทเล่านั้นด้วย เวลาเราอ่านสิ่งที่ตัวละครเล่า เราก็พอจะคาดเดาได้เลยว่าตัวละครตัวนี้นั้นมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนก็เล่าเหตุการณ์ไปตามความเชื่อ ตามมุมมองและแบบฉบับของตัวเอง เราคนอ่านก็คิดตามว่า เอ??คนไหนพูดจริง และแม้แต่ว่าเราจะพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวเอาของคนนั้นมาชนคนนี้ เราก็มิมีทางที่จะเจอความจริงอันใดที่บริสุทธิ์ เพราะบางครั้งความจริงก็เป็นเพียงความเชื่อของเรา เชื่อว่าหากใครได้อ่านจะต้องพยายามพิจารณาอย่างสุดสติปัญญาแน่ๆว่าจะพิพากษาอย่างไรจึงจะยุติธรรมและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจอะไรไมได้อยู่ดี นี่แหละคือชีวิตจริง นอกจากนั้นในหนังสือยังมีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่อง อย่างเช่นในป่าละเมาะ ใยแมงมุม ฉากนรก ซึ่งต่างก็มีมุมมองความคิดที่ลึกซึ้ง ถือได้ว่าเป็นนักเขียนชั้นครูที่เราไม่ควรพลาดที่จะติดตามผลงาน อ่านแล้วได้ทั้งเนื้อหาและความรู้สึก แม้ว่าบางเรื่องเราอาจจะเข้าใจได้ยากหรือเราอาจจะไม่เข้าใจเลย แต่มันก็กระทบความรู้สึกถึงจิตวิญญาณ เมื่อคิดราคาหนังสือที่ก็ไม่ได้แพงมาก เรื่องสั้นในราโชมอนนี่ถือว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
เรื่องเริ่มจากว่ามีคนพบศพซามูไรเสียชีวิต ผู้เกี่ยวข้องต่างถูกเรียกมาสอบสวนไม่ว่าจะเป็นภรรยาของซามูไร โจร พระ หรือแม้แต่วิญญาณของซามูไรเองก็มาเล่าเหตุการณ์ด้วย แต่ต่างคนต่างก็เล่ากันไปคนละอย่าง ซามูไรเล่าอย่างนึง เมียซามูไรก็เล่าอย่างนึง พระก็อีกอย่างนึง โจรก็อีกอย่างนึง แล้วเรื่องไหนคือเรื่องจริง แล้วอะไรคือความจริง
ในหนังสือแปลเรื่องสั้นราโชมอนมีเรื่องสั้นหลายเรื่อง ผู้เขียนคือริวโนะสุเกะ อาคุตะงะวะ และเรื่องที่เด่นและดังที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องราโชมอน ที่เล่นประเด็นคลาสสิคและทันสมัยมาก ชนิดที่ว่าหากผ่านไปอีกสิบปีร้อยปีก็เชื่อว่าเนื้อหายังทันสมัย ถือว่าเป็นเรื่องสั้นที่อยากให้อ่านมากๆ อยากแนะนำใครต่อใคร แล้วความคิดและมุมมองเกี่ยวกับความเชื่อ ความจริง ความเท็จอาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้ ตัวเรื่องไม่อารัมภบทเล่าความยาวเท้าความหลังอะไร ขึ้นมาก็เป็นบทเล่าของแต่ละคน บทเล่าที่เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้น โดยเป็นเรื่องที่คนเขียนเหมือนจะใส่บุคลิกตัวละครลงในบทพูดบทเล่านั้นด้วย เวลาเราอ่านสิ่งที่ตัวละครเล่า เราก็พอจะคาดเดาได้เลยว่าตัวละครตัวนี้นั้นมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนก็เล่าเหตุการณ์ไปตามความเชื่อ ตามมุมมองและแบบฉบับของตัวเอง เราคนอ่านก็คิดตามว่า เอ??คนไหนพูดจริง และแม้แต่ว่าเราจะพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวเอาของคนนั้นมาชนคนนี้ เราก็มิมีทางที่จะเจอความจริงอันใดที่บริสุทธิ์ เพราะบางครั้งความจริงก็เป็นเพียงความเชื่อของเรา เชื่อว่าหากใครได้อ่านจะต้องพยายามพิจารณาอย่างสุดสติปัญญาแน่ๆว่าจะพิพากษาอย่างไรจึงจะยุติธรรมและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจอะไรไมได้อยู่ดี นี่แหละคือชีวิตจริง นอกจากนั้นในหนังสือยังมีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่อง อย่างเช่นในป่าละเมาะ ใยแมงมุม ฉากนรก ซึ่งต่างก็มีมุมมองความคิดที่ลึกซึ้ง ถือได้ว่าเป็นนักเขียนชั้นครูที่เราไม่ควรพลาดที่จะติดตามผลงาน อ่านแล้วได้ทั้งเนื้อหาและความรู้สึก แม้ว่าบางเรื่องเราอาจจะเข้าใจได้ยากหรือเราอาจจะไม่เข้าใจเลย แต่มันก็กระทบความรู้สึกถึงจิตวิญญาณ เมื่อคิดราคาหนังสือที่ก็ไม่ได้แพงมาก เรื่องสั้นในราโชมอนนี่ถือว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557
หากจะมีนิยายเรื่องไหนสักเรื่องที่เรารู้สึกว่า แหม! มันช่างหวาน มันช่างโดนใจผู้หญิงและเข้าข้างผู้หญิงเหลือเกิน เชื่อว่าจะต้องมีเรื่อง 365 วันแห่งรักรวมอยู่ด้วยแน่ๆ ด้วยเนื้อเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตคู่ของพระเอกและนางเอก ผู้ซึ่งพึ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ทำให้ยังมีความไม่เข้าใจอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น ช่องว่างระหว่างความรู้สึก การต้องปรับตัวเข้าหากันต่างๆมากมาย ร่มแก้วถือว่าเป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่เราแอบติดตามผลงานด้วยความสนใจ เพราะมีนิยายหลายเรื่องของนักเขียนคนนี้ที่มีแก่นเรื่องและประเด็นดีๆน่าสนใจก็ถือว่าน่าจับตามอง โดยเฉพาะเรื่องนี้แหละที่เราว่าน่าสนใจมากๆ ประเด็นของเรื่องก็ดี พูดถึงเรื่องความสนุกให้เกือบเต็มสิบ ดำเนินเรื่องได้สนุก น่าติดตามมากๆ หมั่นไส้นางเอกบ้าง รำคาญบ้าง หมั่นไส้พระเอกเยอะหน่อย พร้อมกับแอบคิดเล็กๆว่า มันจะมีจริงๆเหรอผู้ชายแบบนี้บนโลก เพราะร่มแก้วปั้นให้พระเอกเป็นอะไรที่เหมือนจะบกพร่อง แต่บอกเลยว่าไม่ใช่ เพราะพระเอกถือว่าน่ารักทีเดียว โดยเฉพาะตอนจบที่น่ารักมากจนต้องแอบไปกรี๊ดกันเลยทีเดียว ตัวนางเอกเองก็เรียกคะแนนได้ใช่ย่อยที่ไหน มั่นใจว่าคนอ่านหลายๆคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีแฟน หรือผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องเชียร์นางเอกอย่างออกนอกหน้านอกตาแน่ เพราะถึงจะขี้น้อยใจบ้าง น่ารำคาญบ้าง แต่เธอก็เหมือนเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่โดนค่อนขอดว่าเป็นนางมารร้ายนั่นแหละ แม่ยกเลยเทใจให้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่ดีที่สุดของนิยายก็คงเป็นแก่นเรื่องที่สอนอะไรหลายๆอย่างในเรื่องการใช้ชีวิตคู่ การที่เราจะอยู่กับใครสักคนมันต้องใช้อะไรที่มากมายหลายองค์ประกอบมารวมกัน มิใช่ความรักอย่างเดียว แต่ทุกองค์ประกอบยิบย่อยนั่นแหละที่มันจะหลอมรวมเข้าหากันและทำให้ความรักมั่นคง แหม! บอกแบบนี้แล้วคงรีบไปหาอ่านกันเลยสินะ ต้องบอกเลยว่านิยายเรื่องนี้เองก็มีข้อเสียเหมือนกัน ตรงนี้เนื้อเรื่องนั้นบางครั้งเหมือนจะเข้าข้างนางเอกมากจนเกินไป ทำให้บางครั้งพระเอกกลายเป็นเหมือนพระเอกในละครที่ทึ่มๆและลงเอยด้วยการเป็นคนผิด แต่มีอีกประเด็นในหนังสือที่ชอบมากๆคือการที่นางเอกจีบพระเอก ขอพระเอกแต่งงาน เพราะเรารู้สึกว่า แหม! สมัยนี้มันเท่าเทียมแล้วนะ จะมารอแต่ว่าผู้ชายบอกรักอย่างเดียวก็หงอยแย่ เผลอๆพวกผู้ชายขี้อายนี่ก็อาจจะแอบหวังว่าเราจะเข้าไปจีบเหมือนกันนั่นแหละ ซึ่งถือว่าร่มแก้วกล้าหาญมากเหมือนกันที่เขียนให้เป็นแบบนี้ โดยรวมแล้วถือว่าชอบอยู่มากเหมือนกันเล่มนี้ ไม่ผิดหวัง แนะนำเลยค่ะ อ่านสบายๆและสนุก
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 09 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ได้มาอ่านด้วยความบังเอิญ แต่เราก็คาดหวังสูง ด้วยว่านิยายเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม เชื่อว่าอย่างไรก็ต้องดีระดับหนึ่ง นั่นคือความหวังก่อนที่จะเริ่มเปิดอ่าน
ในแง่ของพลอตเรื่องก็ต้องตอบว่าไม่ได้แปลกใหม่อะไร เป็นเรื่องของพระเอกผู้มีปมรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง และปมนั้นก็ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายรวมทั้งมีผลกระทบต่อนางเอกด้วย ในแง่ของเนื้อเรื่องและความสมจริงเราว่าก็ยังแอบขัดใจในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องที่นางเอกออกจากบ้านเร่ร่อนมาเจอพระเอก แหม มันช่างบังเอิญประจวบเหมาะเสียเหลือ แต่เอาน่า! ในเมื่อมันเป็นนิยายมันก็เกิดขึ้นได้ แต่ขัดใจที่สุดก็ฉากตัวร้ายท้องโตเดินวนไปเวียนมาผ่านหน้าพระเอกเรา พระเอกก็ยังรัก ทั้งที่ลูกในท้องก็ไม่ใช่ลูกของตัวเอง แอบรู้สึกว่าพระเอกมันช่างหัวปักหัวปำอะไรขนาดนั้น ไม่มองบ้างเหรอว่าผู้หญิงคนนี้มันช่างเหลือเกินขนาดไหน ขนาดท้องกับคนอื่นยังพยายามมาสร้างสัมพันธ์กับผู้ชายอีกคน สติสตังค์ไปหมดแล้ว ไม่สมกับเป็นพระเอกเลยจริงๆให้ตายสิ พับผ่า!
แต่หากจะพูดถึงเรื่องการบรรยายการดำเนินเรื่องก็ถือว่าทำได้ดี เพราะเราอ่านไปก็มีอารมณ์ร่วมไป ทั้งขัดใจ รัก เศร้า สงสารนางเอก และที่รู้สึกสุดๆคือหมั่นไส้พระเอก เชื่อว่าถ้าใครได้อ่านต้องรู้สึกอย่างนี้แน่ๆ ยิ่งเมื่อถึงตอนที่พระเอกเข้าใจผิดนางเอก เพราะพ่อเจ้าประคุณคิดเองเออเอง มโนเอง และว่าร้ายนางเอกเองนี่ยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะกระโดดเข้าหนังสือไปบีบคอให้สาสมกับความทึ่ม ไร้สติของพระเอก แต่ก็ทำไมได้ เลยได้แต่อ่านไปอย่างขัดใจ ตอนนางเอกจากไปก็น่าสงสารนางเอกสุดๆ ทำให้เราพาลรู้สึกว่าตอนจบไม่อยากให้นางเอกอภัยให้พระเอกทึ่มๆอย่างนี้เลย พอได้อารมณ์ขนาดนี้เราจึงถือว่าในเรื่องการบรรยายให้คนอ่านสามารถเข้ามามีอารมณ์ร่วมได้นั้นคนเขียนทำได้ค่อนข้างดีมาก จนไปกลบจุดด้อยในเรื่องความไม่สมจริงหละหลวมในบางจุดไปได้ โดยเฉพาะการคลี่คลายปมที่เรารู้สึกว่ามันธรรมดามาก และบังเอิญมากเสียจนแอบเซ็ง แต่การบรรยายที่ดีก็มาช่วยเอาไว้ได้ เพราะฉะนั้นโดยรวมจึงถือว่าเรื่องนี้สนุกใช้ได้ หากจะเอาว่าอ่านเพลินๆไม่ต้องเครียด ได้อารมณ์สนุก เศร้า รัก และได้หมั่นไส้พระเอกที่ซื่อบื้อและน่ารำคาญ แต่ถ้าหากว่าใครชอบประเภทพระเอกฉลาดปราดเปรื่อง และเข้มแข็ง ก็บอกผ่านเล่มนี้ไปดีกว่า เพราะอาจจะผิดหวังเอาได้ แต่หากวันหยุด ชิวๆ ไม่มีอะไรทำจะหยิบมาอ่านก็ไม่ได้ถึงกับต้องเสียดายเงินที่ซื้อไปหรอกนะ
ในแง่ของพลอตเรื่องก็ต้องตอบว่าไม่ได้แปลกใหม่อะไร เป็นเรื่องของพระเอกผู้มีปมรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง และปมนั้นก็ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายรวมทั้งมีผลกระทบต่อนางเอกด้วย ในแง่ของเนื้อเรื่องและความสมจริงเราว่าก็ยังแอบขัดใจในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องที่นางเอกออกจากบ้านเร่ร่อนมาเจอพระเอก แหม มันช่างบังเอิญประจวบเหมาะเสียเหลือ แต่เอาน่า! ในเมื่อมันเป็นนิยายมันก็เกิดขึ้นได้ แต่ขัดใจที่สุดก็ฉากตัวร้ายท้องโตเดินวนไปเวียนมาผ่านหน้าพระเอกเรา พระเอกก็ยังรัก ทั้งที่ลูกในท้องก็ไม่ใช่ลูกของตัวเอง แอบรู้สึกว่าพระเอกมันช่างหัวปักหัวปำอะไรขนาดนั้น ไม่มองบ้างเหรอว่าผู้หญิงคนนี้มันช่างเหลือเกินขนาดไหน ขนาดท้องกับคนอื่นยังพยายามมาสร้างสัมพันธ์กับผู้ชายอีกคน สติสตังค์ไปหมดแล้ว ไม่สมกับเป็นพระเอกเลยจริงๆให้ตายสิ พับผ่า!
แต่หากจะพูดถึงเรื่องการบรรยายการดำเนินเรื่องก็ถือว่าทำได้ดี เพราะเราอ่านไปก็มีอารมณ์ร่วมไป ทั้งขัดใจ รัก เศร้า สงสารนางเอก และที่รู้สึกสุดๆคือหมั่นไส้พระเอก เชื่อว่าถ้าใครได้อ่านต้องรู้สึกอย่างนี้แน่ๆ ยิ่งเมื่อถึงตอนที่พระเอกเข้าใจผิดนางเอก เพราะพ่อเจ้าประคุณคิดเองเออเอง มโนเอง และว่าร้ายนางเอกเองนี่ยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะกระโดดเข้าหนังสือไปบีบคอให้สาสมกับความทึ่ม ไร้สติของพระเอก แต่ก็ทำไมได้ เลยได้แต่อ่านไปอย่างขัดใจ ตอนนางเอกจากไปก็น่าสงสารนางเอกสุดๆ ทำให้เราพาลรู้สึกว่าตอนจบไม่อยากให้นางเอกอภัยให้พระเอกทึ่มๆอย่างนี้เลย พอได้อารมณ์ขนาดนี้เราจึงถือว่าในเรื่องการบรรยายให้คนอ่านสามารถเข้ามามีอารมณ์ร่วมได้นั้นคนเขียนทำได้ค่อนข้างดีมาก จนไปกลบจุดด้อยในเรื่องความไม่สมจริงหละหลวมในบางจุดไปได้ โดยเฉพาะการคลี่คลายปมที่เรารู้สึกว่ามันธรรมดามาก และบังเอิญมากเสียจนแอบเซ็ง แต่การบรรยายที่ดีก็มาช่วยเอาไว้ได้ เพราะฉะนั้นโดยรวมจึงถือว่าเรื่องนี้สนุกใช้ได้ หากจะเอาว่าอ่านเพลินๆไม่ต้องเครียด ได้อารมณ์สนุก เศร้า รัก และได้หมั่นไส้พระเอกที่ซื่อบื้อและน่ารำคาญ แต่ถ้าหากว่าใครชอบประเภทพระเอกฉลาดปราดเปรื่อง และเข้มแข็ง ก็บอกผ่านเล่มนี้ไปดีกว่า เพราะอาจจะผิดหวังเอาได้ แต่หากวันหยุด ชิวๆ ไม่มีอะไรทำจะหยิบมาอ่านก็ไม่ได้ถึงกับต้องเสียดายเงินที่ซื้อไปหรอกนะ
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557
ชื่อเรื่องนั้นชวนให้นึกถึงบรรยากาศหนังไทย คำโปรยปกหลังที่แสนสะใจก็ชวนให้หยิบขึ้นมาอ่านได้ไม่ยาก เรื่องราวความรักความแค้นนั้นเป็นที่ถูกใจเสมอ และนางชฎาก็ทำมาได้อย่างสะใจ ซึ่งหากว่าใครชอบหนังผีไทยก็คงจะไม่ผิดหวังกับการอ่านเล่มนี้ เพราะได้ทั้งซึ้งเศร้าและน่ากลัว ลุ้นระทึกไปตลอดเรื่อง
นางชฎาเป็นเรื่องผีที่มาพร้อมกับความแค้น แน่นอนล่ะ ส่วนใหญ่ผีก็มักจะไม่ได้ตายแบบปกตินั่นแหละ จึงมีความแค้นตามมาหลอกหลอน ส่วนที่ชอบที่สุดก็คือการดำเนินเรื่องที่ลุ้นระทึก การที่ตัวละครค่อยๆตายลงนั้น แม้จะเป็นมุกหรือเรื่องที่เขียนกันมานานนมทั้งหนังไทยหนังเทศหรือนิยายไทยนิยายเทศก็ตาม แต่มันก็ยังสะใจและได้อรรถรสกับคนเสพย์อยู่เสมอ ลีกอย่างคือการเอาบรรยากาศเพลงไทยรำไทยมาใส่นั้น มันช่วยเพิ่มความหลอนความน่ากลัวได้หลายเท่าตัวเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นคนชอบหนังผีหลอนๆน่าจะชอบนิยายเรื่องนี้ แต่นางชฎานั้นฉากการตายเองค่อนข้างโหดพอสมควร อาจจะไม่เหมาะที่เด็กๆจะอ่านเท่าไรนัก แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็อาจจะบอกว่ามันสนุกและสะใจดี ยิ่งถ้าได้อ่านเฉลยในตอนจบอาจจะสะใจมากขึ้น ซึ่งเขาว่าการอ่านนิยายสยองก็เป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่งเหมือนกัน ในส่วนของความลับที่ซ่อนไว้นั้น ผู้อ่านชอบมากอยู่เหมือนกัน เพราะมันชวนติดตามดี อยากจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งก็ถือว่าคนเขียนทำได้ดี เพราะเราจะลุ้นระทึกและอยากรู้ไปตลอดเรื่อง ตัวละครอาจจะเยอะนิดหน่อยในส่วนของเพื่อนๆตัวเอก แต่ออกมานานไม่กี่ตัว เพราะเดี๋ยวก็ทยอยตายไปเรื่อยๆ ตอนเฉลยมีหักมุมอยู่ก็ถือว่าเก๋ไก๋ดีเหมือนกัน แต่ในส่วนปมของเรื่อง ผู้อ่านเองก็คิดว่ามันเหลือเชื่อไปหน่อย เหลือเชื่อคือมันเกินจริงที่จะมีโอกาสเป็นไปได้ แต่มันก็ไม่ถึงกับทำให้เนื้อเรื่องของนิยายเรื่องนี้สะดุดหรือติดขัด หรือวาคนอ่านจะผิดหวังแต่อย่างไร
แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเนื้อเรื่องถึงจะสนุกน่าติดตาม แต่ก็ยังมิได้มีอะไรที่แปลกใหม่ให้คาดไม่ถึงจนต้องร้องว้าว ส่วนภาษาก็ธรรมดา เหมือนบรรยายไปตามเหตุการณ์ไม่ได้เจาะลึกบีบเค้นความรู้สึก อ่านง่าย เข้าใจ อ่านรู้เรื่อง ไม่ต้องคิดมาก เหมือนละครที่เราพบเจอบ่อยๆหรือภาพยนตร์ผีของไทย ซึ่งก็ถือว่าเป็นนิยายที่ตอบโจทย์สำหรับการคลายเครียดในกลุ่มคนที่ชอบเรื่องราวระทึกขวัญได้เป็นอย่างดี แต่หากว่าใครต้องการความลึกลับที่สยองและซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ก็อาจจะลองมองหาเล่มอื่นดู
นางชฎาเป็นเรื่องผีที่มาพร้อมกับความแค้น แน่นอนล่ะ ส่วนใหญ่ผีก็มักจะไม่ได้ตายแบบปกตินั่นแหละ จึงมีความแค้นตามมาหลอกหลอน ส่วนที่ชอบที่สุดก็คือการดำเนินเรื่องที่ลุ้นระทึก การที่ตัวละครค่อยๆตายลงนั้น แม้จะเป็นมุกหรือเรื่องที่เขียนกันมานานนมทั้งหนังไทยหนังเทศหรือนิยายไทยนิยายเทศก็ตาม แต่มันก็ยังสะใจและได้อรรถรสกับคนเสพย์อยู่เสมอ ลีกอย่างคือการเอาบรรยากาศเพลงไทยรำไทยมาใส่นั้น มันช่วยเพิ่มความหลอนความน่ากลัวได้หลายเท่าตัวเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นคนชอบหนังผีหลอนๆน่าจะชอบนิยายเรื่องนี้ แต่นางชฎานั้นฉากการตายเองค่อนข้างโหดพอสมควร อาจจะไม่เหมาะที่เด็กๆจะอ่านเท่าไรนัก แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็อาจจะบอกว่ามันสนุกและสะใจดี ยิ่งถ้าได้อ่านเฉลยในตอนจบอาจจะสะใจมากขึ้น ซึ่งเขาว่าการอ่านนิยายสยองก็เป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่งเหมือนกัน ในส่วนของความลับที่ซ่อนไว้นั้น ผู้อ่านชอบมากอยู่เหมือนกัน เพราะมันชวนติดตามดี อยากจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งก็ถือว่าคนเขียนทำได้ดี เพราะเราจะลุ้นระทึกและอยากรู้ไปตลอดเรื่อง ตัวละครอาจจะเยอะนิดหน่อยในส่วนของเพื่อนๆตัวเอก แต่ออกมานานไม่กี่ตัว เพราะเดี๋ยวก็ทยอยตายไปเรื่อยๆ ตอนเฉลยมีหักมุมอยู่ก็ถือว่าเก๋ไก๋ดีเหมือนกัน แต่ในส่วนปมของเรื่อง ผู้อ่านเองก็คิดว่ามันเหลือเชื่อไปหน่อย เหลือเชื่อคือมันเกินจริงที่จะมีโอกาสเป็นไปได้ แต่มันก็ไม่ถึงกับทำให้เนื้อเรื่องของนิยายเรื่องนี้สะดุดหรือติดขัด หรือวาคนอ่านจะผิดหวังแต่อย่างไร
แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเนื้อเรื่องถึงจะสนุกน่าติดตาม แต่ก็ยังมิได้มีอะไรที่แปลกใหม่ให้คาดไม่ถึงจนต้องร้องว้าว ส่วนภาษาก็ธรรมดา เหมือนบรรยายไปตามเหตุการณ์ไม่ได้เจาะลึกบีบเค้นความรู้สึก อ่านง่าย เข้าใจ อ่านรู้เรื่อง ไม่ต้องคิดมาก เหมือนละครที่เราพบเจอบ่อยๆหรือภาพยนตร์ผีของไทย ซึ่งก็ถือว่าเป็นนิยายที่ตอบโจทย์สำหรับการคลายเครียดในกลุ่มคนที่ชอบเรื่องราวระทึกขวัญได้เป็นอย่างดี แต่หากว่าใครต้องการความลึกลับที่สยองและซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ก็อาจจะลองมองหาเล่มอื่นดู
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2557
ในประวัติศาสตร์มีอะไร...อาจจะเป็นคำถามที่ใครหลายคนอาจจะต้องครุ่นคิดเสียหน่อย แล้วอาจจะย้อนถามว่า ประวัติศาสตร์อะไร แน่นอนว่าสำหรับหนังสือเรื่องนี้ คงเป็นประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตย
และแม้ว่าประเทศไทยนั้นจะถือว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่เรานั้นเข้าใกล้ประชาธิปไตยน้อยมาก น้อยเสียจนเหมือนมันเป็นเส้นขนาน เพราะนิยามของเส้นขนานคือเส้นสองเส้นที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน นั่นจึงเป็นชื่อหนังสือที่เจ็บปวดและปวดใจเหลือเกิน เพราะนั่นหมายความว่า เราอาจจะเดินเคียงข้างคำว่าประชาธิปไตยไปนานแสนนานแต่อาจจะไม่ได้สัมผัสกับประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเลยก็
วินทร์ เลียววารินทร์ เค้นเอาประวัติศาสตร์มาร้อยเรียงเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งยวด และทุกประวัติศาสตร์ที่นำมาใช้นั้น เกี่ยวข้องกับการปกครอง การเรียกร้อง และเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยของประเทศไทยผ่านตัวละครสองตัวเด่นคือ เสือย้อยและนายตำรวจที่ชื่อตุ้ย
หากจะพูดถึงด้านความสนุกสนาน ถือได้ว่าไม่ได้น้อยหน้านิยายเรื่องไหนที่วางอยู่บนแผงเลยสักนิด เพราะนิยายเรื่องนี้ ถึงแม้จะออกแนวเคร่งเครียด แต่ก็ตื่นเต้น น่าติดตาม ลุ้น และเราคนอ่านก็จะต้องคอยเอาใจช่วยตลอดเวลา ในส่วนของการบีบคั้นอารมณ์ตามแบบฉบับนิยายนั้นคุณวินทร์ก็ใส่เข้ามาครบ เรียกได้ว่าครบรสไม่น่าเบื่อแน่นอน และที่ถือว่าทำได้ดีเยี่ยมคือการทำให้ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจริงและเรื่องแต่งที่เสริมเติมเข้าไปนั้น กลมกลืนได้อย่างดี อ่านแล้วลื่น ไม่มีสะดุด ด้านภาษานั้นก็เข้าถึงอารมณ์ บรรยายความรู้สึก ความเจ็บปวดของสงครามย่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยก็ดี การก่อกบฏในครั้งต่างๆก็ดี บาดลึกเข้าไปถึงอารมณ์ เมื่อเราต้องยอมรับว่า สิ่งเหล่าคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น
ตัวละครสองตัวนั้นมีหน้าที่ขับเคลื่อนเรื่องราวให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างสวยงาม และวินทร์ได้สร้างตัวละครที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่หากจะถามว่าชอบสิ่งใดในเรื่องนี้ที่สุด ก็คงเป็นเพราะเมื่ออ่านเราจะเข้าใจเขาเข้าใจเราขึ้น ไม่มากก็น้อย เพราะทุกเรื่องราวมักจะมีหลายแง่มุม และนิยายเรื่องนี้จะทำให้เราเปิดใจรับฟังมากขึ้นโดยอัตโนมัติ และด้วยความกลมกล่อมที่ลงตัว ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่หนังสือเล่มนี้จะได้รับรางวัลซีไรต์ในปี 2540 เพื่อมาการันตีคุณภาพของนวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งผู้อ่านเองก็อยากจะช่วยการันตีอีกแรง โดยเฉพาะคนที่อยากศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทย ลองอ่านเรื่องนี้ดูก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทีเดียว แต่ถ้าจะมีสิ่งที่ไม่ชอบก็คงจะบอกว่าเป็นภาพประกอบที่ใส่มาด้วย เพราะบางภาพก็ชวนให้สลดหดหู่เหลือเกินจนเราไม่อยากจะเห็นภาพต่อไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราก็หวังว่าสักวัน ประชาธิปไตยกับประเทศไทย จะไม่เป็นเช่นเส้นขนานเหมือนชื่อนิยายเล่มนี้
และแม้ว่าประเทศไทยนั้นจะถือว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่เรานั้นเข้าใกล้ประชาธิปไตยน้อยมาก น้อยเสียจนเหมือนมันเป็นเส้นขนาน เพราะนิยามของเส้นขนานคือเส้นสองเส้นที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน นั่นจึงเป็นชื่อหนังสือที่เจ็บปวดและปวดใจเหลือเกิน เพราะนั่นหมายความว่า เราอาจจะเดินเคียงข้างคำว่าประชาธิปไตยไปนานแสนนานแต่อาจจะไม่ได้สัมผัสกับประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเลยก็
วินทร์ เลียววารินทร์ เค้นเอาประวัติศาสตร์มาร้อยเรียงเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งยวด และทุกประวัติศาสตร์ที่นำมาใช้นั้น เกี่ยวข้องกับการปกครอง การเรียกร้อง และเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยของประเทศไทยผ่านตัวละครสองตัวเด่นคือ เสือย้อยและนายตำรวจที่ชื่อตุ้ย
หากจะพูดถึงด้านความสนุกสนาน ถือได้ว่าไม่ได้น้อยหน้านิยายเรื่องไหนที่วางอยู่บนแผงเลยสักนิด เพราะนิยายเรื่องนี้ ถึงแม้จะออกแนวเคร่งเครียด แต่ก็ตื่นเต้น น่าติดตาม ลุ้น และเราคนอ่านก็จะต้องคอยเอาใจช่วยตลอดเวลา ในส่วนของการบีบคั้นอารมณ์ตามแบบฉบับนิยายนั้นคุณวินทร์ก็ใส่เข้ามาครบ เรียกได้ว่าครบรสไม่น่าเบื่อแน่นอน และที่ถือว่าทำได้ดีเยี่ยมคือการทำให้ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจริงและเรื่องแต่งที่เสริมเติมเข้าไปนั้น กลมกลืนได้อย่างดี อ่านแล้วลื่น ไม่มีสะดุด ด้านภาษานั้นก็เข้าถึงอารมณ์ บรรยายความรู้สึก ความเจ็บปวดของสงครามย่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยก็ดี การก่อกบฏในครั้งต่างๆก็ดี บาดลึกเข้าไปถึงอารมณ์ เมื่อเราต้องยอมรับว่า สิ่งเหล่าคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น
ตัวละครสองตัวนั้นมีหน้าที่ขับเคลื่อนเรื่องราวให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างสวยงาม และวินทร์ได้สร้างตัวละครที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่หากจะถามว่าชอบสิ่งใดในเรื่องนี้ที่สุด ก็คงเป็นเพราะเมื่ออ่านเราจะเข้าใจเขาเข้าใจเราขึ้น ไม่มากก็น้อย เพราะทุกเรื่องราวมักจะมีหลายแง่มุม และนิยายเรื่องนี้จะทำให้เราเปิดใจรับฟังมากขึ้นโดยอัตโนมัติ และด้วยความกลมกล่อมที่ลงตัว ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่หนังสือเล่มนี้จะได้รับรางวัลซีไรต์ในปี 2540 เพื่อมาการันตีคุณภาพของนวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งผู้อ่านเองก็อยากจะช่วยการันตีอีกแรง โดยเฉพาะคนที่อยากศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทย ลองอ่านเรื่องนี้ดูก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทีเดียว แต่ถ้าจะมีสิ่งที่ไม่ชอบก็คงจะบอกว่าเป็นภาพประกอบที่ใส่มาด้วย เพราะบางภาพก็ชวนให้สลดหดหู่เหลือเกินจนเราไม่อยากจะเห็นภาพต่อไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราก็หวังว่าสักวัน ประชาธิปไตยกับประเทศไทย จะไม่เป็นเช่นเส้นขนานเหมือนชื่อนิยายเล่มนี้
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 20 กรกฏาคม พ.ศ. 2557
เรื่องนี้ดองไว้นานมากกว่าจะหยิบมาอ่าน ด้วยว่าด้านหลังปกนั้นโปรยได้ไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่ ดังนั้นกว่าเราจะตัดสินใจอ่านได้ หนังสือก็เกือบจะเปื่อยแล้ว และนั่นทำให้เรารู้สึกว่าเราตัดสินใจผิดและช้าเกินไป เพราะควรจะหยิบมันมาอ่านตั้งนานแล้ว
ณ ที่นั้นมีดาวเหนือ แค่ชื่อเรื่องก็เข้าไปถึงหัวใจแล้ว ตัวเนื้อเรื่องนั้นหากเล่าเผินๆว่าเป็นเรื่องราวความรักของครูเพลงกับลูกศิษย์ก็คงจะบอกว่ามันธรรมดา ซึ่งก็ไม่ผิดหากใครจะคิดเช่นนั้น แต่เสน่ห์มันอยู่ที่ภาษาและความสุดของเนื้อเรื่อง ซึ่งผู้เขียนทำได้ดีมาก และบาดลึกเข้าได้ถึงอารมณ์คนอ่านจริงๆ
ด้วยงานเขียนที่เล่นประเด็นอันเป็นตำนาน ระหว่างครูเพลงที่ต้องการมีชีวิตเรียบง่าย อยู่อย่างสมถะ กับเรืองดาวสาวสวยผู้เป็นศิษย์ที่ต้องการไปไขว่คว้าหาความรุ่งเรืองให้ชีวิต หากตั้งคำถามว่าอันไหนแน่คือสุขจริง ก็คงยากที่จะหาคำตอบ เพราะแม้แต่ในหนังสือเล่มนี้ก็ไมได้เฉลยออกมาตรงๆ เหมือนว่าจะให้คนอ่านไปพิจารณาเอาเองจากเนื้อเรื่องที่ดำเนินมาทั้งหมด และผู้อ่านคิดว่านั่นแหละคือเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้ ให้เนื้อเรื่องสร้างความคิดให้คนอ่านเอาเอง ทั้งเนื้อเรื่องนั้นก็ยอกแสลง เจ็บปวดแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จบแบบชีวิตจริงที่ทุกชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป ไม่ใช่แฮปปี้เอ็นดิ้งไร้ผู้ร้ายมาก่อกวนเหมือนละครหลังข่าว
หากจะถามว่าชอบตอนไหนมากที่สุดก็คงจะตอบว่าตอนครูเพลงทำร้านอาหารแล้วไปไม่ถึงฝัน ไม่ใช่เพราะสมน้ำหน้าหรือสะใจ แต่เพราะในชีวิตจริง การที่เราเลือกจะพอเพียง พอใจก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างมันจะราบรื่นสวยงามเหมือนโลกอันแสนสวยในละครหลังข่าวเสมอไป ที่ธรรมะจะชนะอธรรม หรือว่าพระเอกจะสามารถทำอะไรแล้วสังคมให้ความถูกต้องเข้าข้างสนับสนุน ฟ้าเบื้องบนเป็นใจไปเสียหมด แต่ใน ณ ที่นั้นมีดาวเหนือ มีชีวิตจริงที่จบแบบแสบสันต์และปวดใจ เพราะบ่อยครั้งและส่วนใหญ่ชีวิตจริงก็มักจะจบไม่สวย อีกตอนคือตอนที่อัลบั้มเพลงของเรืองดาวไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังนั้นก็เหมือนจะบอกเราอีกว่า ต่อให้เราพยายามก็ไม่ได้หมายความว่าตอนจบมันจะสวยอีกเช่นกัน นี่แหละเสน่ห์บนความเจ็บปวดของนิยายเรื่องนี้
ในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นลื่นไหลไม่มีขัดเขิน ยิ่งภาษาที่ใช้แม้จะง่ายแต่มีมิติสื่อได้ถึงความรู้สึกของตัวละคร สามารถทำให้คนอ่านมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราว ถึงฉากเค้นอารมณ์ก็สามารถบรรยายได้ดี ฉากสะเทือนอารมณ์ก็ได้ความรู้สึกเจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ
ที่ชอบและหลงรักคือเรื่องราวที่ไม่ตัดสินอะไรไปด้านเดียวแบบแบนๆ แต่ให้คนอ่านพิจารณาเอาเอง ซึ่งมันเหมือนกับว่าให้เกียรติคนอ่านและนับถือในการอ่านว่าคนอ่านจะสามารถพิจารณา และตัดสินได้ในแบบฉนับของเขาเอง ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ลีลาภาษาในการสื่อความได้อย่างยอดเยี่ยมและเก๋ไก๋มากๆ
ณ ที่นั้นมีดาวเหนือ แค่ชื่อเรื่องก็เข้าไปถึงหัวใจแล้ว ตัวเนื้อเรื่องนั้นหากเล่าเผินๆว่าเป็นเรื่องราวความรักของครูเพลงกับลูกศิษย์ก็คงจะบอกว่ามันธรรมดา ซึ่งก็ไม่ผิดหากใครจะคิดเช่นนั้น แต่เสน่ห์มันอยู่ที่ภาษาและความสุดของเนื้อเรื่อง ซึ่งผู้เขียนทำได้ดีมาก และบาดลึกเข้าได้ถึงอารมณ์คนอ่านจริงๆ
ด้วยงานเขียนที่เล่นประเด็นอันเป็นตำนาน ระหว่างครูเพลงที่ต้องการมีชีวิตเรียบง่าย อยู่อย่างสมถะ กับเรืองดาวสาวสวยผู้เป็นศิษย์ที่ต้องการไปไขว่คว้าหาความรุ่งเรืองให้ชีวิต หากตั้งคำถามว่าอันไหนแน่คือสุขจริง ก็คงยากที่จะหาคำตอบ เพราะแม้แต่ในหนังสือเล่มนี้ก็ไมได้เฉลยออกมาตรงๆ เหมือนว่าจะให้คนอ่านไปพิจารณาเอาเองจากเนื้อเรื่องที่ดำเนินมาทั้งหมด และผู้อ่านคิดว่านั่นแหละคือเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้ ให้เนื้อเรื่องสร้างความคิดให้คนอ่านเอาเอง ทั้งเนื้อเรื่องนั้นก็ยอกแสลง เจ็บปวดแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จบแบบชีวิตจริงที่ทุกชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป ไม่ใช่แฮปปี้เอ็นดิ้งไร้ผู้ร้ายมาก่อกวนเหมือนละครหลังข่าว
หากจะถามว่าชอบตอนไหนมากที่สุดก็คงจะตอบว่าตอนครูเพลงทำร้านอาหารแล้วไปไม่ถึงฝัน ไม่ใช่เพราะสมน้ำหน้าหรือสะใจ แต่เพราะในชีวิตจริง การที่เราเลือกจะพอเพียง พอใจก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างมันจะราบรื่นสวยงามเหมือนโลกอันแสนสวยในละครหลังข่าวเสมอไป ที่ธรรมะจะชนะอธรรม หรือว่าพระเอกจะสามารถทำอะไรแล้วสังคมให้ความถูกต้องเข้าข้างสนับสนุน ฟ้าเบื้องบนเป็นใจไปเสียหมด แต่ใน ณ ที่นั้นมีดาวเหนือ มีชีวิตจริงที่จบแบบแสบสันต์และปวดใจ เพราะบ่อยครั้งและส่วนใหญ่ชีวิตจริงก็มักจะจบไม่สวย อีกตอนคือตอนที่อัลบั้มเพลงของเรืองดาวไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังนั้นก็เหมือนจะบอกเราอีกว่า ต่อให้เราพยายามก็ไม่ได้หมายความว่าตอนจบมันจะสวยอีกเช่นกัน นี่แหละเสน่ห์บนความเจ็บปวดของนิยายเรื่องนี้
ในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นลื่นไหลไม่มีขัดเขิน ยิ่งภาษาที่ใช้แม้จะง่ายแต่มีมิติสื่อได้ถึงความรู้สึกของตัวละคร สามารถทำให้คนอ่านมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราว ถึงฉากเค้นอารมณ์ก็สามารถบรรยายได้ดี ฉากสะเทือนอารมณ์ก็ได้ความรู้สึกเจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ
ที่ชอบและหลงรักคือเรื่องราวที่ไม่ตัดสินอะไรไปด้านเดียวแบบแบนๆ แต่ให้คนอ่านพิจารณาเอาเอง ซึ่งมันเหมือนกับว่าให้เกียรติคนอ่านและนับถือในการอ่านว่าคนอ่านจะสามารถพิจารณา และตัดสินได้ในแบบฉนับของเขาเอง ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ลีลาภาษาในการสื่อความได้อย่างยอดเยี่ยมและเก๋ไก๋มากๆ
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 19 กรกฏาคม พ.ศ. 2557
เคยอ่านนิยายสยองขวัญของภาคินัยมาหลายเรื่อง และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหลายๆเรื่องที่บรรยากาศไม่ได้แตกต่างจากเล่มก่อนหน้านี้ของภาคินัยเท่าไรนัก
ในส่วนของเนื้อเรื่องพูดถึงเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่ต้องการลดน้ำหนักเพราะแฟนหนุ่มกำลังจะถูกพรากไป ประเด็นนั้นธรรมดา คือประเด็นเรื่องการลดน้ำหนักเพื่อมัดใจผู้ชาย ซึ่งเรามักจะพบเห็นเรื่องราวแบบนี้ได้ทางโทรทัศน์และในชีวิตประจำวันทั่วไป จึงทำให้เนื้อเรื่องเข้าถึงคนได้ง่าย แต่วิธีการถือว่าไม่ธรรมดา กับเนื้อเรื่องที่ดำเนินไปให้เห็นความสยองจากเบื้องลึกของจิตใจมนุษย์ ตรงมุกที่ใช้เพื่อสร้างความสยองขวัญนั้นค่อนข้างชอบ เพราะมันเก๋ดี และสยองเหนือจริงแบบไม่โอเวอร์จนเกินไป แม้ว่าในความจริงคงไม่สามารถเกิดได้จริงก็ตามทำให้อ่านแล้วไม่สะดุดจนกลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไป ขั้นตอนที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน การพยายามจะฝืนตามใจตัวเองของตัวเอกของเรื่องนั้นถือว่าทำได้ดี แต่ติดอย่างเดียวว่า เหมือนตัวเอกนั้นถอดใจขัดขืนตั้งแต่ต้นเรื่อง มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเอกนั้นไม่พยายามอะไรเลย จนไม่ค่อยน่าจะเอาใจช่วยสักเท่าไหร่
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการดำเนินเรื่องของภาคินัยคือมักจะเขียนย้อนไปย้อนมา พยายามหักมุมให้คนอ่านคาดไม่ถึง แล้วมันค่อนข้างบ่อยมากเกินไป ทำให้เรารู้สึกว่ามันหักมุมอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ก็หักมุมอีกแล้ว ทั้งยังทำให้เราต้องอ่านเนื้อเรื่องเดิมซ้ำหลายครั้ง ซึ่งหากตัดเนื้อเรื่องซ้ำตรงนี้ออกไป อาจจะเหลือความหนาเพียงครึ่งเดียวก็ได้ แล้วการหักมุมที่เกิดขึ้นบ่อยจนเกินพอดี ทำให้ไม่น่าตื่นเต้น และเหมือนว่าคนเขียนใช้มุกซ้ำ
การใช้ภาษาง่าย ธรรมดา ชัดเจนและตรงไปตรงมา ซึ่งก็เหมาะกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและคนอ่านแบบจานด่วนที่ไม่ต้องการอะไรที่เข้าใจยาก ทุกอย่างเฉลยแบบเล่าให้ฟังตรงๆ อย่างเช่นการที่บอกว่าตัวเอกทำอย่างนี้เพราะอะไร จะบรรยายบอกมาเลยว่าเป็นเพราะความโลภ ซึ่งมันทำให้ไม่ประทับในความรู้สึกของคนอ่าน เราแอบคิดว่าหากเค้นอีกนิดในเรื่องภาษา บรรยายบอกเล่าแบบไม่ต้องตรงไปตรงมามากนัก เสียดสีประชดประชันเสียหน่อย เนื้อเรื่องอาจจะมีมิติมากกว่านี้ ทั้งยังจะสามารถสร้างบรรยากาศความสยองขวัญให้มากขึ้นได้ และอาจจะทำให้คนอ่านอินได้มากกว่านี้ ตรงนี้แอบเสียดาย เพราะเหมือนเนื้อเรื่องรีบและด่วน ว่องไว อ่านเร็วจบเร็วมากๆ
โดยรวมถือว่าสนุก อ่านง่าย สนองอารมณ์ได้ดี สำหรับคนชอบนิยายสยองขวัญหรือใครที่ชอบหนังผีไทยที่สะใจ คนทำเลวได้เลว คนทำไม่ดีโดนลงโทษอย่างสาสม ถือว่าสนุกสนานแบบธรรมดาสามัญ ตามมาตรฐานสยองขวัญแบบไทย อ่านแล้วสะใจ สมอารมณ์ แต่เหมาะแก่การอ่านรอบเดียวจบ เพราะไม่มีอะไรให้คิดต่อ เนื่องจากคนเขียนเฉลยสิ่งที่ต้องการสื่อมาอย่างตรงๆไว้หมดแล้ว คนที่ชอบอะไรที่ต้องคิดลึกวนเวียนเพื่อหาเหตุผลก็อาจจะเซย์กู๊ดบาย ไม่ชอบเท่าไรนัก
ในส่วนของเนื้อเรื่องพูดถึงเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่ต้องการลดน้ำหนักเพราะแฟนหนุ่มกำลังจะถูกพรากไป ประเด็นนั้นธรรมดา คือประเด็นเรื่องการลดน้ำหนักเพื่อมัดใจผู้ชาย ซึ่งเรามักจะพบเห็นเรื่องราวแบบนี้ได้ทางโทรทัศน์และในชีวิตประจำวันทั่วไป จึงทำให้เนื้อเรื่องเข้าถึงคนได้ง่าย แต่วิธีการถือว่าไม่ธรรมดา กับเนื้อเรื่องที่ดำเนินไปให้เห็นความสยองจากเบื้องลึกของจิตใจมนุษย์ ตรงมุกที่ใช้เพื่อสร้างความสยองขวัญนั้นค่อนข้างชอบ เพราะมันเก๋ดี และสยองเหนือจริงแบบไม่โอเวอร์จนเกินไป แม้ว่าในความจริงคงไม่สามารถเกิดได้จริงก็ตามทำให้อ่านแล้วไม่สะดุดจนกลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไป ขั้นตอนที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน การพยายามจะฝืนตามใจตัวเองของตัวเอกของเรื่องนั้นถือว่าทำได้ดี แต่ติดอย่างเดียวว่า เหมือนตัวเอกนั้นถอดใจขัดขืนตั้งแต่ต้นเรื่อง มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเอกนั้นไม่พยายามอะไรเลย จนไม่ค่อยน่าจะเอาใจช่วยสักเท่าไหร่
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการดำเนินเรื่องของภาคินัยคือมักจะเขียนย้อนไปย้อนมา พยายามหักมุมให้คนอ่านคาดไม่ถึง แล้วมันค่อนข้างบ่อยมากเกินไป ทำให้เรารู้สึกว่ามันหักมุมอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ก็หักมุมอีกแล้ว ทั้งยังทำให้เราต้องอ่านเนื้อเรื่องเดิมซ้ำหลายครั้ง ซึ่งหากตัดเนื้อเรื่องซ้ำตรงนี้ออกไป อาจจะเหลือความหนาเพียงครึ่งเดียวก็ได้ แล้วการหักมุมที่เกิดขึ้นบ่อยจนเกินพอดี ทำให้ไม่น่าตื่นเต้น และเหมือนว่าคนเขียนใช้มุกซ้ำ
การใช้ภาษาง่าย ธรรมดา ชัดเจนและตรงไปตรงมา ซึ่งก็เหมาะกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและคนอ่านแบบจานด่วนที่ไม่ต้องการอะไรที่เข้าใจยาก ทุกอย่างเฉลยแบบเล่าให้ฟังตรงๆ อย่างเช่นการที่บอกว่าตัวเอกทำอย่างนี้เพราะอะไร จะบรรยายบอกมาเลยว่าเป็นเพราะความโลภ ซึ่งมันทำให้ไม่ประทับในความรู้สึกของคนอ่าน เราแอบคิดว่าหากเค้นอีกนิดในเรื่องภาษา บรรยายบอกเล่าแบบไม่ต้องตรงไปตรงมามากนัก เสียดสีประชดประชันเสียหน่อย เนื้อเรื่องอาจจะมีมิติมากกว่านี้ ทั้งยังจะสามารถสร้างบรรยากาศความสยองขวัญให้มากขึ้นได้ และอาจจะทำให้คนอ่านอินได้มากกว่านี้ ตรงนี้แอบเสียดาย เพราะเหมือนเนื้อเรื่องรีบและด่วน ว่องไว อ่านเร็วจบเร็วมากๆ
โดยรวมถือว่าสนุก อ่านง่าย สนองอารมณ์ได้ดี สำหรับคนชอบนิยายสยองขวัญหรือใครที่ชอบหนังผีไทยที่สะใจ คนทำเลวได้เลว คนทำไม่ดีโดนลงโทษอย่างสาสม ถือว่าสนุกสนานแบบธรรมดาสามัญ ตามมาตรฐานสยองขวัญแบบไทย อ่านแล้วสะใจ สมอารมณ์ แต่เหมาะแก่การอ่านรอบเดียวจบ เพราะไม่มีอะไรให้คิดต่อ เนื่องจากคนเขียนเฉลยสิ่งที่ต้องการสื่อมาอย่างตรงๆไว้หมดแล้ว คนที่ชอบอะไรที่ต้องคิดลึกวนเวียนเพื่อหาเหตุผลก็อาจจะเซย์กู๊ดบาย ไม่ชอบเท่าไรนัก
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 19 กรกฏาคม พ.ศ. 2557
ด้วยว่ามีความสนใจในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการตัดกรรมล้างกรรมอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ทำให้มีความสนใจในเรื่องนี้ค่อนข้างมากทีเดียว และไม่ลังเลที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน
นิยายหยิบเอาประเด็นเรื่องสำนักตัดกรรมที่ตอนนี้ค่อนข้างเป็นกระแสและถือว่าเป็นเรื่องราวที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไปมาเล่นมาดึงดูด ในเรื่องการเปิดเรื่องนั้นค่อนข้างชอบเลยทีเดียว เพราะเหมือนหยิบเอาประเด็นที่ว่าสถานที่พวกนี้นั้นจะสามารถตัดกรรมได้จริงหรือ ซึ่งเมื่อเปิดเรื่องมาด้วยประเด็นนี้มันค่อนข้างน่าสนใจมากกว่าการจะมาเล่าว่าสำนักนั้นตัดกรรมได้จริง หรือมีอะไรที่เหนือธรรมชาติ และการที่ให้ตัวเอกของเรื่องเข้าไปค้นหาความจริง นั่นยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยากติดตาม
ในเรื่องความสนุกตื่นเต้นนั้นถือว่าใช้ได้ การเล่าเรื่องการสร้างปมขึ้นมาเพื่อให้เราตามค้นหาความจริงนั้น ยอมรับว่าสามารถทำให้เราอยากอ่านต่อด้วยความอยากได้รู้ได้ โดยเฉพาะเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปถึงว่าตัวเอกของเรื่องต้องเผชิญกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติด้วยตัวเอง แล้วเธอจะยังเชื่อหรือไม่เชื่อ หรือจะค้นหาความจริงแล้วทำอะไรต่อไป เมื่อเล่นมาถึงตอนนี้ยอมรับว่าเก๋มากทีเดียว
แต่เมื่ออ่านไปเรากลับรู้สึกว่าประเด็นตอนต้นกับประเด็นตอนหลังมันคนละเรื่องกัน ในตอนหลังนั้นเหมือนตัวเอกจะเน้นไปที่การเอาตัวรอด และเริ่มจะเข้าสู่วังวนในเรื่องการพยายามพาตัวเองให้ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยการถ่ายโอนกรรม ซึ่งผิดกับในตอนแรกที่เหมือนจะเล่นประเด็นว่าการตัดกรรมนั้นเป็นเพียงการเล่นละครหลอกตาเพื่อหลอกล่อคนเท่านั้น ทำให้พออ่านไปเราจะรู้สึกเหมือนหนังคนละม้วนกัน ตรงนี้ทำให้แอบผิดหวังเล็กน้อย เหมือนประเด็นแรกมันไปไม่สุดแล้วมันค้างคาใจ แต่หากจะพูดถึงในแง่ความสนุกตื่นเต้นแล้ว ไม่ว่าจะตอนต้นหรือตอนหลังนั้นก็นับได้ว่าสนุกตื่นเต้นเช่นเดียวกัน ทำได้ดีในมาตรฐานนิยายสยองขวัญ
ในเรื่องภาษาถือว่าโอเค แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดดเด่น โอเคตรงที่ว่าอ่านง่ายไม่ซับซ้อน สามารถอธิบายบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน เข้าใจได้ แต่ไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่ เหมือนเขียนเล่าเรื่องราว แต่ไม่บอกความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากนัก
หากจะถามว่าโดยรวมถือว่าอยู่ในระดับไหนก็จะตอบว่าระดับดี ดีในมาตรฐานนิยายสยองขวัญที่สนุก ชวนให้ติดตาม หากเราไม่คาดหวังไปมากกว่านั้น แต่หากเรายังคาดหวังอะไรที่เหนือกว่าก็ยังรู้สึกว่าไปไม่ถึง คือมันก็ยังไม่แปลกใหม่ ยังเป็นนิยายสยองขวัญแบบตลาดนิยม ยังไม่ได้เปิดแง่มุมลึกซึ้งใหม่ๆ หรือเป็นแนวสยองขวัญที่เปิดเผยเข้าไปถึงจิตใจมนุษย์ (แบบที่เราอยากอ่าน) แต่ถึงอย่างไร หากเราจะเอาอ่านเพลินๆ วันสบายๆก็ไม่ผิดหวังหากจะหยิบขึ้นมาลองเปิดดู
นิยายหยิบเอาประเด็นเรื่องสำนักตัดกรรมที่ตอนนี้ค่อนข้างเป็นกระแสและถือว่าเป็นเรื่องราวที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไปมาเล่นมาดึงดูด ในเรื่องการเปิดเรื่องนั้นค่อนข้างชอบเลยทีเดียว เพราะเหมือนหยิบเอาประเด็นที่ว่าสถานที่พวกนี้นั้นจะสามารถตัดกรรมได้จริงหรือ ซึ่งเมื่อเปิดเรื่องมาด้วยประเด็นนี้มันค่อนข้างน่าสนใจมากกว่าการจะมาเล่าว่าสำนักนั้นตัดกรรมได้จริง หรือมีอะไรที่เหนือธรรมชาติ และการที่ให้ตัวเอกของเรื่องเข้าไปค้นหาความจริง นั่นยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยากติดตาม
ในเรื่องความสนุกตื่นเต้นนั้นถือว่าใช้ได้ การเล่าเรื่องการสร้างปมขึ้นมาเพื่อให้เราตามค้นหาความจริงนั้น ยอมรับว่าสามารถทำให้เราอยากอ่านต่อด้วยความอยากได้รู้ได้ โดยเฉพาะเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปถึงว่าตัวเอกของเรื่องต้องเผชิญกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติด้วยตัวเอง แล้วเธอจะยังเชื่อหรือไม่เชื่อ หรือจะค้นหาความจริงแล้วทำอะไรต่อไป เมื่อเล่นมาถึงตอนนี้ยอมรับว่าเก๋มากทีเดียว
แต่เมื่ออ่านไปเรากลับรู้สึกว่าประเด็นตอนต้นกับประเด็นตอนหลังมันคนละเรื่องกัน ในตอนหลังนั้นเหมือนตัวเอกจะเน้นไปที่การเอาตัวรอด และเริ่มจะเข้าสู่วังวนในเรื่องการพยายามพาตัวเองให้ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยการถ่ายโอนกรรม ซึ่งผิดกับในตอนแรกที่เหมือนจะเล่นประเด็นว่าการตัดกรรมนั้นเป็นเพียงการเล่นละครหลอกตาเพื่อหลอกล่อคนเท่านั้น ทำให้พออ่านไปเราจะรู้สึกเหมือนหนังคนละม้วนกัน ตรงนี้ทำให้แอบผิดหวังเล็กน้อย เหมือนประเด็นแรกมันไปไม่สุดแล้วมันค้างคาใจ แต่หากจะพูดถึงในแง่ความสนุกตื่นเต้นแล้ว ไม่ว่าจะตอนต้นหรือตอนหลังนั้นก็นับได้ว่าสนุกตื่นเต้นเช่นเดียวกัน ทำได้ดีในมาตรฐานนิยายสยองขวัญ
ในเรื่องภาษาถือว่าโอเค แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดดเด่น โอเคตรงที่ว่าอ่านง่ายไม่ซับซ้อน สามารถอธิบายบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน เข้าใจได้ แต่ไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่ เหมือนเขียนเล่าเรื่องราว แต่ไม่บอกความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากนัก
หากจะถามว่าโดยรวมถือว่าอยู่ในระดับไหนก็จะตอบว่าระดับดี ดีในมาตรฐานนิยายสยองขวัญที่สนุก ชวนให้ติดตาม หากเราไม่คาดหวังไปมากกว่านั้น แต่หากเรายังคาดหวังอะไรที่เหนือกว่าก็ยังรู้สึกว่าไปไม่ถึง คือมันก็ยังไม่แปลกใหม่ ยังเป็นนิยายสยองขวัญแบบตลาดนิยม ยังไม่ได้เปิดแง่มุมลึกซึ้งใหม่ๆ หรือเป็นแนวสยองขวัญที่เปิดเผยเข้าไปถึงจิตใจมนุษย์ (แบบที่เราอยากอ่าน) แต่ถึงอย่างไร หากเราจะเอาอ่านเพลินๆ วันสบายๆก็ไม่ผิดหวังหากจะหยิบขึ้นมาลองเปิดดู
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 17 กรกฏาคม พ.ศ. 2557
ตอนจะหยิบเรื่องนี้มาอ่านยอมรับว่าลังเล ด้วยคิดว่าคงจะเป็นนวนิยายกึ่งสารคดีเกี่ยวกับหนังสือ ซึ่งคงไม่ถูกจริตเรานัก แต่เพราะชื่อของครูชมัยภร ทำให้เราลองตัดสินใจหยิบขึ้นมาอ่านในที่สุด และนั่นทำให้เรารู้ว่า เรามองหนังสือเล่มนี้ผิดไป
อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะที่รัก เป็นนวนิยายรัก รักแสนหวานเลยแหละ ทั้งยังน่ารักกุ๊กกิ๊ก แต่มีลูกเล่นที่เอาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ใส่ลงในนิยายได้อย่างกลมกลืน โดยที่เราคนอ่านไม่ได้รู้สึกว่าถูกยัดเยียดแต่อย่างไร แต่เรากลับเพลิดเพลินที่จะเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อว่าครูชมัยภรจะสามารถทำให้ข้อมูลวิชาการมาอยู่ในนวนิยายได้อย่างไม่สะดุดขัดหูขัดตา
เนื่อเรื่องไม่ได้แปลกตลาดแหวกแนวที่แหวกแนวคือลูกเล่นในเรื่อง ส่วนเนื้อเรื่องนั้นน่ารักน่าหยิกและลึกซึ้ง หากใครคิดว่านี่คือนิยายรักที่ผู้ชายคนนึงชอบผู้หญิงคนนึงแล้วไม่กล้าบอกจึงเอาการอ่านหนังสือมาเป็นข้ออ้างด้วยว่าบ้านของสาวเจ้ามีห้องสมุดอยู่ จะบอกเลยว่านั่นคือความคิดที่ผิดมหันต์ ในการดำเนินเรื่องนั้นผู้เขียนสามารถถ่ายทอดสิ่งที่ตัวละครคิดได้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจ ทำให้เราเข้าใจตัวละครว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้นเช่นนี้ โดยเฉพาะความคิดของตัวละครเอกที่เป็นผู้ชาย ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าครูชมัยภรผู้เขียนที่เป็นผู้หญิงจะสามารถล่วงรู้ถึงความคิด นิสัย ของผู้ชายได้เป็นอย่างดี ทั้งการดำเนินเรื่องก็ละเอียดรอบคอบ การเอาเรื่องราวของหนังสือมาใส่ลงในนิยายเพื่อผูกเรื่องและโยงเข้ากับความคิดของตัวเอกได้อย่างเหมาะสม เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ
แต่หากจะถามว่าชอบอะไรมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คงชอบความเฉิ่มเชยที่น่ารักมาก มากเสียจนต้องอมยิ้มหวานเหมือนที่ผู้เขียนยอมรับไว้ที่หน้าปกว่าความรักในเรื่องมันเฉิ่ม แต่ก็เป็นความเฉิ่มแบบคนอ่านยังต้องเขินตาม และถ้าอ่านแล้วหลายๆคนก็อาจจะอยากมีความรักเฉิ่มๆแบบนี้บ้างแน่ๆ
เรื่องภาษานั้นไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวล ภาษาของครูชมัยภรนั้นเข้าใจง่าย เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ไม่เวิ่นเว้อ อ่านปุ๊บเข้าใจปั๊บแต่ก็ไม่ธรรมดา เรียบลื่นไม่มีสะดุดแน่นอน บรรยายให้เราเข้าใจความคิดตัวละคร บอกเล่าว่าขณะนั้นตัวละครทำอะไรอยู่จนเราจินตนาการตามได้อย่างง่ายดาย
หากใครอยากจะลองสัมผัสนวนิยายเล่มไม่หนาแต่เต็มอิ่ม ลึกซึ้งมีมิติไม่ใช่เพียงนิยายรักมิติเดียวที่แบนราบไม่มีอะไรเลยนอกจากรักกัน นวนิยายเรื่องนี้ก็เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมมาก ลองหยิบมาอ่านดุรับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะที่รัก เป็นนวนิยายรัก รักแสนหวานเลยแหละ ทั้งยังน่ารักกุ๊กกิ๊ก แต่มีลูกเล่นที่เอาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ใส่ลงในนิยายได้อย่างกลมกลืน โดยที่เราคนอ่านไม่ได้รู้สึกว่าถูกยัดเยียดแต่อย่างไร แต่เรากลับเพลิดเพลินที่จะเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อว่าครูชมัยภรจะสามารถทำให้ข้อมูลวิชาการมาอยู่ในนวนิยายได้อย่างไม่สะดุดขัดหูขัดตา
เนื่อเรื่องไม่ได้แปลกตลาดแหวกแนวที่แหวกแนวคือลูกเล่นในเรื่อง ส่วนเนื้อเรื่องนั้นน่ารักน่าหยิกและลึกซึ้ง หากใครคิดว่านี่คือนิยายรักที่ผู้ชายคนนึงชอบผู้หญิงคนนึงแล้วไม่กล้าบอกจึงเอาการอ่านหนังสือมาเป็นข้ออ้างด้วยว่าบ้านของสาวเจ้ามีห้องสมุดอยู่ จะบอกเลยว่านั่นคือความคิดที่ผิดมหันต์ ในการดำเนินเรื่องนั้นผู้เขียนสามารถถ่ายทอดสิ่งที่ตัวละครคิดได้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจ ทำให้เราเข้าใจตัวละครว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้นเช่นนี้ โดยเฉพาะความคิดของตัวละครเอกที่เป็นผู้ชาย ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าครูชมัยภรผู้เขียนที่เป็นผู้หญิงจะสามารถล่วงรู้ถึงความคิด นิสัย ของผู้ชายได้เป็นอย่างดี ทั้งการดำเนินเรื่องก็ละเอียดรอบคอบ การเอาเรื่องราวของหนังสือมาใส่ลงในนิยายเพื่อผูกเรื่องและโยงเข้ากับความคิดของตัวเอกได้อย่างเหมาะสม เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ
แต่หากจะถามว่าชอบอะไรมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คงชอบความเฉิ่มเชยที่น่ารักมาก มากเสียจนต้องอมยิ้มหวานเหมือนที่ผู้เขียนยอมรับไว้ที่หน้าปกว่าความรักในเรื่องมันเฉิ่ม แต่ก็เป็นความเฉิ่มแบบคนอ่านยังต้องเขินตาม และถ้าอ่านแล้วหลายๆคนก็อาจจะอยากมีความรักเฉิ่มๆแบบนี้บ้างแน่ๆ
เรื่องภาษานั้นไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวล ภาษาของครูชมัยภรนั้นเข้าใจง่าย เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ไม่เวิ่นเว้อ อ่านปุ๊บเข้าใจปั๊บแต่ก็ไม่ธรรมดา เรียบลื่นไม่มีสะดุดแน่นอน บรรยายให้เราเข้าใจความคิดตัวละคร บอกเล่าว่าขณะนั้นตัวละครทำอะไรอยู่จนเราจินตนาการตามได้อย่างง่ายดาย
หากใครอยากจะลองสัมผัสนวนิยายเล่มไม่หนาแต่เต็มอิ่ม ลึกซึ้งมีมิติไม่ใช่เพียงนิยายรักมิติเดียวที่แบนราบไม่มีอะไรเลยนอกจากรักกัน นวนิยายเรื่องนี้ก็เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมมาก ลองหยิบมาอ่านดุรับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 16 กรกฏาคม พ.ศ. 2557
หากจะมีใครที่จิกกัดสะท้อนและเปิดเผยธาตุแท้สังคมผ่านตัวอักษรได้เจ็บแสบที่สุดก็คงจะเป็นชาติ กอบจิตติไม่ผิดแน่แท้ โดยเฉพาะเมื่อได้เปิดอ่านหมาเน่าลอยน้ำ คงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธคำพูดนี้แน่
หมาเน่าลอยน้ำเป็นหนังสือเล่มไม่หนา แต่อัดแน่นด้วยความจริงที่มันชวนให้กระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าสิ่งที่ร้อยเรียงอยู่ในหนังสือนั้นคือความจริงที่เราในสังคมกำลังเผชิญหน้าอยู่ทุกวัน
หมาเน่าลอยน้ำเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้โชคร้ายที่บังเอิญประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน เขาต้องจ่ายค่าเสียหายหลายบาทจนน่าปวดหัว เมื่อมีเจ้าทุกข์หลายราย และเงินเขาก็ไม่ได้มากพอ จึงหวังว่าตำรวจผู้มีท่าทางเชี่ยวชาญนั้นจะช่วยเหลือเขาให้จ่ายเงินน้อยลงได้
เนื้อเรื่องนั้นสมจริงเสียจนน่าร้องไห้ ร้องไห้น้ำตาไหลให้กับความหิวกระหายของคนในสังคมที่ต่างก็พยายามจะกัดแทะกินกันเองโดยไม่สนใจผิดถูกอะไรทั้งสิ้น หมาเน่าลอยน้ำสะท้อนจุดเล็กๆในวงการสีกากีได้ชนิดที่ว่าตบหน้ากันกลางสี่แยกทีเดียว ซึ่งหากคนอ่านอยู่ในวงการสีกากีคงมีอารมณ์อ่านไปอายไปแน่ๆ แต่ยังดีที่ไม่ใช่
หากถามว่าเสน่ห์ของหมาเน่าลอยน้ำอยู่ที่ไหน ก็ตรงที่ทุกตัวละครนั้นสัมผัสได้ ราวกับว่าพวกเขามีตัวตนเดินไปเดินมาอยู่กับเรานี่แหละ และในหมาเน่าลอยน้ำก็เช่นกัน เราอาจจะเคยเจอตำรวจแบบในเรื่อง เราอาจจะเป็นคนขับแท็กซี่ที่โชคร้าย หรือเราอาจจะเป็นหมาเน่าแบบในเรื่อง ทุกอย่างเราอาจจะเคยเป็นหรือบางเหตุการณ์นั้นอาจจะเคยเกิดขึ้นหรือผ่านเข้ามาในชีวิตของเราไม่มากก็น้อย และนั่นทำให้เราจะรู้สึกสนิทสนมกับหมาเน่าลอยน้ำ
แต่หากจะถามว่าชอบอะไรเป็นพิเศษในเรื่องนี้นอกจากเนื้อเรื่องที่ได้ใจตามสไตล์แบบฉบับของชาติ กอบจิตติแล้ว ก็คงจะตอบได้ว่าชอบวิธีการเขียนการดำเนินเรื่องในเรื่องนี้มาก ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่เหมือนจะบอกคนอ่านตลอดเวลาว่า แหม! มันก็เป็นเรื่องที่เราก็รู้ๆกันเนอะ เหมือนกับว่าคนเขียนนั้นได้ชวนคนอ่านคุยกันตลอดเวลา ซึ่งถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างมากที่สุดของหนังสือเล่มนี้ และทำให้เรารู้สึกเลยว่า ไม่ใช่แค่แนวคิดความคิดเท่านั้น แต่ชาติ กอบจิตติเป็นนักเขียนที่เจ๋งมาก ชนิดที่ว่าเราต้องซูฮก ทำให้หมาเน่าลอยน้ำนั้นน่าติดตามทั้งที่เนื้อเรื่องก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมบ่อยครั้ง ในเรื่องที่เราก็รู้ๆกันอยู่แล้ว แต่ชาติ กอบจิตตินั้นก็สามารถทำให้เรื่องที่เราก็รู้ๆกันอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่เราอยากจะรู้ต่อรู้อีกจนอ่านจนจบ..
หมาเน่าลอยน้ำเป็นหนังสือเล่มไม่หนา แต่อัดแน่นด้วยความจริงที่มันชวนให้กระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าสิ่งที่ร้อยเรียงอยู่ในหนังสือนั้นคือความจริงที่เราในสังคมกำลังเผชิญหน้าอยู่ทุกวัน
หมาเน่าลอยน้ำเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้โชคร้ายที่บังเอิญประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน เขาต้องจ่ายค่าเสียหายหลายบาทจนน่าปวดหัว เมื่อมีเจ้าทุกข์หลายราย และเงินเขาก็ไม่ได้มากพอ จึงหวังว่าตำรวจผู้มีท่าทางเชี่ยวชาญนั้นจะช่วยเหลือเขาให้จ่ายเงินน้อยลงได้
เนื้อเรื่องนั้นสมจริงเสียจนน่าร้องไห้ ร้องไห้น้ำตาไหลให้กับความหิวกระหายของคนในสังคมที่ต่างก็พยายามจะกัดแทะกินกันเองโดยไม่สนใจผิดถูกอะไรทั้งสิ้น หมาเน่าลอยน้ำสะท้อนจุดเล็กๆในวงการสีกากีได้ชนิดที่ว่าตบหน้ากันกลางสี่แยกทีเดียว ซึ่งหากคนอ่านอยู่ในวงการสีกากีคงมีอารมณ์อ่านไปอายไปแน่ๆ แต่ยังดีที่ไม่ใช่
หากถามว่าเสน่ห์ของหมาเน่าลอยน้ำอยู่ที่ไหน ก็ตรงที่ทุกตัวละครนั้นสัมผัสได้ ราวกับว่าพวกเขามีตัวตนเดินไปเดินมาอยู่กับเรานี่แหละ และในหมาเน่าลอยน้ำก็เช่นกัน เราอาจจะเคยเจอตำรวจแบบในเรื่อง เราอาจจะเป็นคนขับแท็กซี่ที่โชคร้าย หรือเราอาจจะเป็นหมาเน่าแบบในเรื่อง ทุกอย่างเราอาจจะเคยเป็นหรือบางเหตุการณ์นั้นอาจจะเคยเกิดขึ้นหรือผ่านเข้ามาในชีวิตของเราไม่มากก็น้อย และนั่นทำให้เราจะรู้สึกสนิทสนมกับหมาเน่าลอยน้ำ
แต่หากจะถามว่าชอบอะไรเป็นพิเศษในเรื่องนี้นอกจากเนื้อเรื่องที่ได้ใจตามสไตล์แบบฉบับของชาติ กอบจิตติแล้ว ก็คงจะตอบได้ว่าชอบวิธีการเขียนการดำเนินเรื่องในเรื่องนี้มาก ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่เหมือนจะบอกคนอ่านตลอดเวลาว่า แหม! มันก็เป็นเรื่องที่เราก็รู้ๆกันเนอะ เหมือนกับว่าคนเขียนนั้นได้ชวนคนอ่านคุยกันตลอดเวลา ซึ่งถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างมากที่สุดของหนังสือเล่มนี้ และทำให้เรารู้สึกเลยว่า ไม่ใช่แค่แนวคิดความคิดเท่านั้น แต่ชาติ กอบจิตติเป็นนักเขียนที่เจ๋งมาก ชนิดที่ว่าเราต้องซูฮก ทำให้หมาเน่าลอยน้ำนั้นน่าติดตามทั้งที่เนื้อเรื่องก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมบ่อยครั้ง ในเรื่องที่เราก็รู้ๆกันอยู่แล้ว แต่ชาติ กอบจิตตินั้นก็สามารถทำให้เรื่องที่เราก็รู้ๆกันอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่เราอยากจะรู้ต่อรู้อีกจนอ่านจนจบ..
โดย: Doraemon วันที่เขียนรีวิว: 15 กรกฏาคม พ.ศ. 2557
หากจะมีนวนิยายเรื่องไหนสะท้อนจิตใจสีเทาของมนุษย์บนโลกใบนี้ได้เป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นต้องมีคำพิพากษาของชาติ กอบจิตติ นวนิยายสะท้อนเบื้องลึกที่ยากแท้หยั่งถึงของสิ่งมีชีวิตที่นับถือตนเองว่าสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานทั่วไป
ฟัก หรือไอ้ฟัก ตัวละครเอกของเรื่อง เป็นตัวแทนของผู้ประสบชะตากรรมที่น่าสังเวช สมเพชใจเหลือเกิน เมื่อฟักถูกกล่าวหาว่าเอาเมียพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วซึ่งเป็นบ้า ทั้งที่ก่อนหน้านั้นฟักถือว่าเป็นชายหนุ่มที่คนในหมู่บ้านร้านตลาดอยากให้ลูกชายเอาเป็นแบบอย่าง...แต่เมื่อใครๆต่างเชื่อว่าฟักเอาเมียพ่อแล้ว ชีวิตของฟักก็ดิ่งลงเหวทันที
ในคำพิพากษาไม่มีความรักแสนหวานหรือการสืบสวนสอบสวนอันแสนระทึก แต่ในคำพิพากษามีเรื่องราวที่สะท้อนสังคม เรื่องราวความจริงอันเจ็บปวดและน่าขยะแขยง เมื่อเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านั่นคือความจริงของสังคมเรา
คำพิพากษาหยิบเอาเรื่องการนินทาและความเชื่อมาเล่นได้อย่างแสบสันต์ คนเรามักจะพูดอะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นคนดี นั่นเป็นเหตุผลว่าในการนินทาคนอื่นทำไมมันมักจะเป็นการพูดถึงในแง่ร้าย การเสียดสี และตีไข่ใส่สี เพราะตามสันดานที่แท้จริงของมนุษย์ต้องการที่จะเหนือคนอื่น นั่นทำให้ชาวบ้านในเรื่องเลือกที่จะเชื่อและมองฟักในแง่ร้าย มองว่าฟักได้กระทำการอันอุบาทว์ไปเสียแล้ว
เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างปวดร้าว คนอ่านจะได้ติดตามชีวิตของฟักที่ดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ คนอ่านจะได้สัมผัสถึงความคิดของฟักที่สับสนทรมานเหลือเกินเมื่อต้องถูกว่าร้ายในเรื่องที่เขาไม่เคยทำ คนอ่านจะต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดทุรนทุรายจนเรานึกโมโห ฉุนเฉียวเมื่อเนื้อเรื่องมันขัดใจ ก็ในเมื่อนวนิยายเรื่องนี้ไม่มีเขียนมาเพื่อโลกอันสวยงามจุดจบมันจึงไม่น่าพิศมัยนัก แต่มันกลับเป็นความจริงที่เราคนอ่านอาจจะได้เหลียวกลับมามองสังคมและเรียนรู้จิตใจของคนรอบตัวหรือแม้แต่ของตัวเองใหม่
ในเรื่องภาษานั้นไม่เป็นปัญหา ชาติ กอบจิตติเหมือนจะเข้าใจดีว่าคนเรานั้นต้องการอะไรที่เข้าใจง่าย และอาจจะเป็นเจตนาของชาติด้วยที่คงอยากให้ทุกคนเห็นด้วยกับเขาว่าโลกนี้มันเป็นสีเทาจนเกือบจะดำ เพราะฉะนั้นภาษาการเขียนในเรื่องคำพิพากษาจึงเรียบง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก และนั่นทำให้เราคนอ่านนั้น เดินตามเรื่องราวได้อย่างไม่ลำบาก
แต่ก่อนที่ใครจะหยิบคำพิพากษาขึ้นมาอ่าน จึงรับรู้ไว้เถิดว่ามันไม่มีตอนจบที่แฮปปี้เอ็นดิ้ง ไม่มีความฝันที่สวยหรูให้เพ้อเจ้อ ไม่มีโลกสีชมพูอันละมุนละไม มันมีแต่โลกสีดำที่น่าปวดใจเหลือเกินให้เรารับรู้ แต่หากเรายอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ การหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านก็ถือว่า ... คุณได้หยิบงานชิ้นเอกของสังคมขึ้นมาสัมผัสเสียแล้ว
ฟัก หรือไอ้ฟัก ตัวละครเอกของเรื่อง เป็นตัวแทนของผู้ประสบชะตากรรมที่น่าสังเวช สมเพชใจเหลือเกิน เมื่อฟักถูกกล่าวหาว่าเอาเมียพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วซึ่งเป็นบ้า ทั้งที่ก่อนหน้านั้นฟักถือว่าเป็นชายหนุ่มที่คนในหมู่บ้านร้านตลาดอยากให้ลูกชายเอาเป็นแบบอย่าง...แต่เมื่อใครๆต่างเชื่อว่าฟักเอาเมียพ่อแล้ว ชีวิตของฟักก็ดิ่งลงเหวทันที
ในคำพิพากษาไม่มีความรักแสนหวานหรือการสืบสวนสอบสวนอันแสนระทึก แต่ในคำพิพากษามีเรื่องราวที่สะท้อนสังคม เรื่องราวความจริงอันเจ็บปวดและน่าขยะแขยง เมื่อเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านั่นคือความจริงของสังคมเรา
คำพิพากษาหยิบเอาเรื่องการนินทาและความเชื่อมาเล่นได้อย่างแสบสันต์ คนเรามักจะพูดอะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นคนดี นั่นเป็นเหตุผลว่าในการนินทาคนอื่นทำไมมันมักจะเป็นการพูดถึงในแง่ร้าย การเสียดสี และตีไข่ใส่สี เพราะตามสันดานที่แท้จริงของมนุษย์ต้องการที่จะเหนือคนอื่น นั่นทำให้ชาวบ้านในเรื่องเลือกที่จะเชื่อและมองฟักในแง่ร้าย มองว่าฟักได้กระทำการอันอุบาทว์ไปเสียแล้ว
เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างปวดร้าว คนอ่านจะได้ติดตามชีวิตของฟักที่ดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ คนอ่านจะได้สัมผัสถึงความคิดของฟักที่สับสนทรมานเหลือเกินเมื่อต้องถูกว่าร้ายในเรื่องที่เขาไม่เคยทำ คนอ่านจะต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดทุรนทุรายจนเรานึกโมโห ฉุนเฉียวเมื่อเนื้อเรื่องมันขัดใจ ก็ในเมื่อนวนิยายเรื่องนี้ไม่มีเขียนมาเพื่อโลกอันสวยงามจุดจบมันจึงไม่น่าพิศมัยนัก แต่มันกลับเป็นความจริงที่เราคนอ่านอาจจะได้เหลียวกลับมามองสังคมและเรียนรู้จิตใจของคนรอบตัวหรือแม้แต่ของตัวเองใหม่
ในเรื่องภาษานั้นไม่เป็นปัญหา ชาติ กอบจิตติเหมือนจะเข้าใจดีว่าคนเรานั้นต้องการอะไรที่เข้าใจง่าย และอาจจะเป็นเจตนาของชาติด้วยที่คงอยากให้ทุกคนเห็นด้วยกับเขาว่าโลกนี้มันเป็นสีเทาจนเกือบจะดำ เพราะฉะนั้นภาษาการเขียนในเรื่องคำพิพากษาจึงเรียบง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก และนั่นทำให้เราคนอ่านนั้น เดินตามเรื่องราวได้อย่างไม่ลำบาก
แต่ก่อนที่ใครจะหยิบคำพิพากษาขึ้นมาอ่าน จึงรับรู้ไว้เถิดว่ามันไม่มีตอนจบที่แฮปปี้เอ็นดิ้ง ไม่มีความฝันที่สวยหรูให้เพ้อเจ้อ ไม่มีโลกสีชมพูอันละมุนละไม มันมีแต่โลกสีดำที่น่าปวดใจเหลือเกินให้เรารับรู้ แต่หากเรายอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ การหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านก็ถือว่า ... คุณได้หยิบงานชิ้นเอกของสังคมขึ้นมาสัมผัสเสียแล้ว