Customer Reviews

แด่งานของฉัน แด่วันพรุ่งนี้
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสือที่เคยขายดีจากคิมรันโด ที่เคนากผลงานเอาไว้จากเพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด ได้เขียนหนังสือออกมาเป็นเล่มที่สามในชื่อ “แด่งานของฉัน แด่วันพรุ่งนี้” หนังสือที่สะท้อนสังคมและความรู้สึกของวัยรุ่น และวัยทำงานของสังคมเกาหลีใต้ ที่มีความคล้ายคลึงกับสังคมของวัยรุ่นไทยย่างไม่น่าเชื่อ วัยรุ่นของเกาหลีกว่า 60% มีปัญหาในการทำงานที่ไม่ประสบความสำเร็จ ได้รับการคาดหวังสูงจากคนรอบข้าง และทำให้การทำงานของตัวเองไปไม่ถึงเป้าหมาย และด้วยมุมมองการใช้ชีวิตที่แตกต่าง คิมรันโดแสดงให้เราเห็นถึงความสามารถในการปรับเปลี่ยนมุมมองให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการคิดบวก และทำให้การทำงานของวัยรุ่นที่กำลังจบใหม่เป็นเรื่องที่ง่าย และเป็นไปได้มากขึ้นว่าเดิมอีกเท่าตัว มากไปกว่านั้น ในบทหลังๆยังพูดถึงวิธีการปรับตัวให้เข้ากับที่ทำงาน การเอาชนะอุปสรรคต่างๆของแรงกดดันจากคนรอบข้าง การหางานที่เหมาะกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุด การค้นหาตัวเองให้พบให้เหมาะกับการทำงาน
แด่งานของฉัน แด่วันพรุ่งนี้ ช่วยให้ผู้อ่านที่กำลังกดดันจากภาระงานที่ตัวเองกำลังได้รับ ช่วนให้เกิดพลังจากมุมมองที่แปลกใหม่กว่าเดิม เพราะทำให้เรารู้สึกได้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเราจะทำงานอะไรก็ตาม มันคือการขัดเกลาตัวเอง ฝึกฝนความสามารถตัวเองไปสู่สื่งที่เราต้องการได้ในท้ายที่สุด
ถึงแม้ว่างานเขียนของคิมรันโด จะมาเป็นเล่มที่สามแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้สำนวนการใช้ภาษาของเขาแปลงลงไปเลย และงานแปลของฉบับไทย ก็มีการปรับเนื้อหา การใช้สำนวนเปรียบเทียบที่ทำให้คนไทยเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับ ค่าเปอร์เซนต์หรือค่านิยมต่างๆที่ได้มาจากวัยรุ่นเกาหลี อาจจะไม่ได้มีค่าที่คงที่สำหรับวัยรุ่นไทยได้ซะทีเดียว รวมถึงค่าสะท้อนค่านิยม และวัฒนธรรมที่อาจจะไม่ได้ตรงกันอีก แต่ถ้าจะอ่านเอาความรู้และมุมมองสำหรับการแก้ปัญหาและการปลอบใจเพื่อก้าวไปข้างหน้าของการทำงานและใช้ชีวิตไปสู่เป้าหมาย เล่มนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ สำหรับวัยรุ่นและวัยทำงานที่กำลังนั่งนิ่งๆอยู่กับความเจ็บปวดที่หาทางออกไม่ได้อย่างแน่นอน
ถือได้ว่านี่เป็นกำลังใจชิ้นโบว์แดงที่อยู่ในความยาวเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้กับชีวิตนักอ่านได้เลยทีเดียว
ถามแล้วเวิร์ก
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตของคนเราตั้งคำถามอยู่กี่ครั้ง นี่คือคำถามที่หนังสือเล่มนี้ถามคุณก่อนเลย คนเรามีความสามารถในการวิ่งหาคำตอบสารพัด เนื่องจากเราถูกปลูกฝังมาว่าการแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า ถามแล้วเวิร์ค เป็นหนังสือแนวจิกกัดกวนสมอง ที่จะท้าให้คุณตั้งคำถามกับทุกๆสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นทำไมวันนี้คุณถึงตื่นนอนสาย หรือแม้แต่ทำไมถึงสั่งผัดกระเพรามากิน เพราะผู้เขียนเชื่อว่า คนฉลาดต้องถาม
หนังสือจะท้าให้คุณตั้งคำถามต่างๆ และบอกคุณว่าคำถามต่างๆสามารถต่อยอดเป็นอะไรได้อีกมากมายโดยที่คุณคาดไม่ถึง เพราะการตั้งคำถามจะเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์และบ่อเกิดของไอเดียใหม่อีกมากมาย หนังสือเล่มนี้ได้พาให้เราท่องโลกไปหาความตลกขบขันของการใช้ชีวิตไปตามสิ่งสิ่งหนึ่งไปโดยปราศจากการตั้งคำถามใดใด และที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือสิ่งต่างๆที่เราทำไปโดยขาดการทบทวน มีกี่อย่างแล้วในชีวิตประจำวันที่เราได้ใช้ไป ดังนั้น การตั้งคำถามจึงเป็นสิ่งสำคัญในการฝึกสมองและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้คุณกลายเป็นคนที่ฉลาดและไม่ซ้ำใคร
ใน่สวนของเนื้อหานอกจากจะพาคุณท่องไปกับการตั้งคำถามสนุกๆแล้ว ยังมีมุมมองของการตั้งคำถามและตัวอย่างของสิ่งใหม่ๆที่เกิดจากการตั้งคำถามได้อีกด้วย หลายๆสิ่งเกิดขึ้นได้เพราะการตั้งคำถาม อย่างไอแซค นิวตั้น ที่ตั้งคำถามใส่การตกของลูกแอปเปิ้ล จนเกิดเป็นทฤษฎีที่โด่งดังไปทั่วโลก นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆที่เกิดจากการตั้งคำถามง่ายๆที่หลายๆคนอาจจะมองข้าวไปด้วยซ้ำ
ในด้านของอรรถรสต้องยอมรับว่าผู้เขียนมีชั้นเชิงในการเล่นตลกกับผู้อ่าน และการคิดคำถามที่เหนือชั้นมากขึ้นไปอีก ผู้อ่านจะได้เจอกับบททดสอบหลายๆอย่างในเล่ม ที่จะฝึกให้เราเป็นคนที่ตั้งคำถามได้เก่งกาจ และมีฝีมือมากยิ่งขึ้น เพราะนั่นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์
หนังสือเล่มนี้ แค่มองในด้านของความเพลิดเพลิน ก็ได้คะแนนไปเกินครึ่งแล้ว ซึ่งยังไม่ได้รวมความรู้ที่ทรอดแทรกาให้เราโดยไม่รู้ตัวมากขึ้นไปอีก ทำให้ ถามแล้วเวิร์ค เป็นนังสือที่มีวิธีการเล่าแบบใหม่ มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ เนื้อหาที่ค่อนไปทางยียวนซักนิด ก็ทำให้ผู้อ่านอารมณ์ดี แถมยังได้รับประโยชน์จากการตั้งคำถามไปอีกมากมาย สมจริงๆที่ตั้งชื่อให้เป็นอ่านแล้วเวิร์ค เพราะมันเวิร์คมากจริงๆ
Reinventing You เปลี่ยนงานให้รุ่งคุณก็ทำได้
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสือที่ยกเอาตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็นคุณตัน อิชิตัน เจ้าของเถ้าแก่น้อย หรือแม้แต่บัวขาว และดาราที่มีชื่อเสียงต่างๆ หนังสือเล่มนี้พาจะให้เราทราบถึงเอกลักษณ์ของบุคคลเหล่านี้ ว่าเพราะเหตุใด เค้าถึงสามารถประสบความสำเร็จจากสิ่งที่เขากระทำอยู่ได้ เพราะอะไรงานที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ ถึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีชื่อเสียง ทั้งๆที่งานเหล่านั้น เป็นงานประจำเดิมๆที่ทำซ้ำๆ และอาจจะทำให้เขารู้สึกเบื่อได้อีกด้วยซ้ำ คำตอบจากหนังสือเล่มนี้ก็คือคนทุกคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองนั่นเอง เอกลักษณ์ที่สามารถทำให้คุณเปลี่ยนจากคนเดิมๆที่ไม่แตกต่าง กลายเป็นคนที่จุดสนใจ และกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆได้มากกว่าเดิม รวมถึงการสอนให้รู้จักหาตัวเองให้เจอว่า เป้าหมายของชีวิตของเราต้องการอะไร และอะไรที่เหมาะสมกับตัวของเรามากที่สุด และวิ่งเข้าหาสิ่งนั้นอย่างมั่นคง
เปลี่ยนงานให้รุ่ง คุณทำได้ เป็นหนังสือที่ทำให้คุณมองเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆรอบๆตัว ให้คุณได้ลองปรับ ได้ลองเปลี่ยน ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่คนเราเปลี่ยนได้ยากที่สุด ก็เห้นจะเป็นการเปลี่ยนตัวเองนี่แหละ ดังนั้นโจทย์ที่หนังสือเล่มนี้ตั้งขึ้น เพื่อให้คุณทำตาม ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยากเอาการเลยทีเดียว เพราะหลายๆสิ่ง เป็นการสร้างวินับให้กับตนเอง และการสร้างพลังบวกที่หลายๆคนอาจจะมอข้ามไป
ในแงาของเนื้อหา นับว่ามีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่กำลังรู้สึกโดนลดคุณค่าของตัวเอง งานที่ทำอยู่กำลังไม่รุ่ง หรือกำลังมองหางานใหม่ๆ หนังสือเล่มนี้จะสอนให้คุณรู้ว่าก่อนที่คุณจะมองสิ่งอื่นๆ เราควรจะหันมามองตัวเองเสียก่อน เพื่อให้ได้รู้จักว่าตัวเองเป็นคนอย่างไรและจะเหมาะกับสิ่งสิ่งไหนมากกว่ากัน
ภาษาที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นภาษาที่เข้าใจยาก และมีศัพท์ทางวิชาการอยู่บ้าง แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ยากเกินคนที่มีความพยายามจะสามารถทำความเข้าใจได้ ด้วยมุมมองที่เหมือนเอาชีวิตของคนดังต่างๆมาตีแผ่ให้ได้รู้ถึงเทคนิคและลูกเล่นอันแพรวพราวด้วยแล้ว นั่นหมายความว่าคุณจะได้ทั้งแบบอย่าง ข้อคิด และความสนุกสนานเพลิดเพลินไปตลอดการอ่านหนังสือเล่มนี้ รูปแบบเล่มก็สะอาดตา จึงกล้าพูดได้จริงๆว่า การเปลี่ยนงานให้รุ่งนั้น คุณเองก็ทำได้แน่ๆ เพียงแค่อ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบก็เพียงพอ
สอนคนให้คิดบวก (The Positive Dog)
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

นี่คือหนังสือที่รวบรวมผลการศึกษาที่เป็นประโยชน์ที่จะชี้ให้เห็นว่าการคิดบวก ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้มากขนาดไหน และพลังในด้านลบสามารถทำให้ชีวิตเลวร้ายได้มากขนาดไหนเช่นเดียวกัน ผู้เขียนนำเราให้รู้จักกับการผลวิจัยที่ชี้มห้เห็นว่า การเลี้ยงสุนัขและการหัวเราะทำให้คุณอายุยืนขึ้นกี่ปี และการที่คุณต้องแบก Energy ที่ไม่ดีกลับบ้าน การทะเลาะกับเจ้านาย หรือแ้แต่การขมวดคิ้วเพียงห้านาทีต่อวัน จะทำให้คุณเป็นโรคอะไรได้บ้างอีกนับไม่ถ้วน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการทำงานโดยไม่มีพลังด้านบวกเลย ก็คือการทำานแบบแบกรับความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆกลับบ้าน และการใช้เวลาพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ เอาเสียเลย หนังสือเล่มนี้ยังกล่าวอีกว่า การคิดลบเป็นพลังที่บั่นทอนชีวิตให้ถอยหลังมากอย่างที่คุณนึกไม่ถึงซะอีก
แต่ไม้ตายของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เพียงแค่การชี้ผลวิจัย หรือการทดลองที่เกิดขึ้นจากการคิดลบ แต่การส้รางแรงบันดาลใจให้คนมีพลังคิดบวกต่างหาก เป็นสิ่งที่หนังสือเล่มนี้ ใช้ความพยายามจะสื่อสารให้กับคนอ่าน หนังสือยื่นให้เห็นหลากหลายวิธีที่คุณสามารถคิดบวกให้กับตัวเองได้ การกลับมุมมองในเรื่องร้ายๆให้เห็นด้านดีของมัน หรือแม้แต่การมองสิ่งเล็กๆน้อยในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด และที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือการเห็นคุณค่าในตัวเองนั่นเอง
เอกลัษณ์อีกอย่างของหนังสือเล่มนี้ก็คือการออกแบบให้มีลักษะคล้ายกับพ๊อกเก็ตบุ๊คที่สามารถพกพาได้สะดวกไปที่ไหนก็ได้ และด้วยเนื้อหาที่ชี้ให้คุณเห็นจุดเล็กๆที่คุณเองก็อาจจะคาดไม่ถึงว่ามันเป็นสิ่งต่างๆอย่างนั้นได้เพราะอะไร ทำให้เมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีพลังงานด้านลบ เพียงแค่คุณหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาและเปิดออกอ่าน ก็สามารถทำให้ตัวเองมีความสุขขึ้นได้ทันที และหากคุณสามารถฝึกตัวเองไปพร้อมกับหนังสือเล่มนี้ได้เรื่อยๆ หนังสือเองก็พร้อมที่จะยืนยันว่าคุณสามารถเห็นผลได้ว่าชีวิตของคุณดีขึ้นได้อย่างไรกับพลังด้านบวกที่หนังสือเล่มนี้มอบให้กับคุณ
นับว่าเป็นหนังสือเล่มเล็กๆที่มีพลังด้านบวกอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ละเหมาะสำหรับการพกพาเพื่อเติมพลังให้กับชีวิตของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “สอนคนให้คิดบวก” เป็นหนังสือที่มีความจำเป็นสำหรับช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยลังงานด้านลบจริงๆ
Harry Potter เล่ม 03 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน (Signature Collection)
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 27 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสือวรรณกรรมเยาวชนที่ปลุกกระแสรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับเด็กๆไปทั่วโลก ในชื่อ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ที่ประพันธ์โดย เจ.เค.โรว์ลิ่ง วรรณกรรมเยาชน แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นหนังสือชุดภาคต่อที่มีความยาวทั้งสิ้น 7 ภาค ความนิยมราวกับต้องมนต์สะกด ทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ ถูกแปลไปเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก ครองใจเด็กๆนักอ่านทุกวัย และได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ระดับตำนานในชื่อเดียวกันถึง 8 ภาค (ภาพยนตร์แบ่งเนื้อหาเล่มสุดท้ายออกเป็น 2 พาร์ท) ถึงแม้เรื่องรางของแฮร์รี่ พอตเตอร์จะจบลงไปแล้ว แต่หนังสือชุด ก็ยังได้รับการตีพิมพ์ใหม่เป็นคอลเลคชั่นที่น่าสะสมอยู่เรื่อยๆ โดยในประเทศไทยได้ลิขสิทธิ์มาโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค โดยในเล่มที่สามนี้มีชื่อว่า “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ นักโทษแห่งอัซคาบัน”
ในปีที่สาม แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้เรียนรู้ในการเดินทางสุดหฤหรรย์จากรถเมล์อัศวินราตรี หลังจากเขาได้เผลอทำระบายอารมณ์ใส่ป้าผู้ร้ายกาจของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ และหนีออกจากบ้านเลขที่สี่ ซอยพรีเว็ตของลุงเขา แต่ด้วยสถานการณ์ที่น่าตึงเครียด เมื่อโลกแห่งเวทย์มนต์ต้องหวาดผวาเมื่อมีนักโทษแหกคุกออกมาจากคุกอัซคาบัน นามซีเรียส แบล็ค ที่ว่ากันว่าเป็นสมุนมือขวาของเจ้าแห่งศาสตร์มืด ออกมาเพื่อตาล้างแค้นให้กับเจ้านายเก่าของเขา ที่ถูกเด็กชายผู้รอดชีวิตสยบอำนาจลง โลกเวทย์มนต์จึงให้ความคุ้มกันแก่แฮร์รี่ อย่างเต็มที่ในการใช้ชีวิตในปีการศึกษาที่สามของเขาที่ฮอกวอตส์ จนกระทั่งเขาได้ค้นพบความจริงเบื้องหลังเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวของนักโทษคนนี้ และการเผชิยหน้ากับผู้คุมวิญญาณที่ดึงเอาความกลัวที่ลึกที่สุดของจิตใจ มาทำให้แฮร์รี่อ่อนแอลง
ในภาคที่สาม ผลงานการแปลเปลี่ยนมาเป็นของคุณวลีพร หวังซื่อสกุลที่เคยมีผลงานด้านการแปลวรรณกรรมสยองขวัญมาก่อน ทำให้สำนวนที่แปลมาจากต้นฉบับมีความน่ากลัวและมืดหม่นกว่าสองภาคแรกที่ผ่านมา โดยเฉพาะการยรรยายลักษณะของผู้คุมวิญญาณที่คุณวลีพร สามารถทำให้ผู้อ่านรู้สึกได้ถึงความกลัวที่อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจ ในด้านของตัวละครที่เติบโตขึ้นกว่าสองภาคแรก แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ เรียนรู้คาถาใหม่ๆ และการรับมือกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น การเผชิญหน้ากับโลกที่เป็นความจริงมากขึ้น การต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องแต่ไร้ซึ่งคำชื่นชม ซึ่งนับว่าแตกต่างจากสองภาคที่แล้ว ที่จบลงด้วยรอยยิ้มและเสียงปรบมือมากกว่า
อรรถรสของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่โตขึ้น ภาษาที่สละสลวยและเนื้อหาที่เข้มข้น หากได้ติดตามมาจากภาคที่แล้ว นับว่าภาคนี้เป็นการเปิดหน้าวรรณกรรมแฮร์รี่ในแบบใหม่ แต่ในความสนุกและภาษาที่ใช้ ก็ยังสามารถทำให้นั่งอ่านได้จากต้นไปจนจบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาการของตัวละครในภาคนี้ ที่ต้องยอมรับว่าเจ.เคโรว์ลิ่ง ได้เปลี่ยนตัวละครที่เรียบง่ายว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นคนเลว ออกมาได้อย่างแยกยล ทุกตัวละครมีเหตุผลที่จะดำเนินเรื่องไปจนถึงตอนจบ ทำให้แฮร์รี่ และผู้อ่าน ต้องเปิดมุมมองในการมองโลกเวทย์มนต์ออกใหม่ ว่าในบางครั้ง คนเลว ก็เลวอย่างมีที่มาที่ไปเช่นเดียวกัน
ร่วมไขปริศนาที่ซ่อนอยู่ระหว่างเรื่องไปจนจบได้อีกเช่นเคย โดยรวมแล้วต้องพูดว่าเป็นเล่มที่สนุกสนานและบันเทิงเป็นอย่างยิ่ง เหมาะมากสำหรับการเก็บสะสมไปอีกเล่มสำหรับภาคนี้ ต้องพูดได้เต็มปากเลยว่าการแปลของคุณวลีพร ก็ยิ่งทำให้ภาคนี้เข้มข้น และโตขึ้นกว่าเดิม
Harry Potter เล่ม 04 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี (Signature Collection)
4
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 27 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสือวรรณกรรมเยาวชนที่ปลุกกระแสรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับเด็กๆไปทั่วโลก ในชื่อ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ที่ประพันธ์โดย เจ.เค.โรว์ลิ่ง วรรณกรรมเยาชน แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นหนังสือชุดภาคต่อที่มีความยาวทั้งสิ้น 7 ภาค ความนิยมราวกับต้องมนต์สะกด ทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ ถูกแปลไปเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก ครองใจเด็กๆนักอ่านทุกวัย และได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ระดับตำนานในชื่อเดียวกันถึง 8 ภาค (ภาพยนตร์แบ่งเนื้อหาเล่มสุดท้ายออกเป็น 2 พาร์ท) ถึงแม้เรื่องรางของแฮร์รี่ พอตเตอร์จะจบลงไปแล้ว แต่หนังสือชุด ก็ยังได้รับการตีพิมพ์ใหม่เป็นคอลเลคชั่นที่น่าสะสมอยู่เรื่อยๆ โดยในประเทศไทยได้ลิขสิทธิ์มาโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค โดยในเล่มที่สี่นี้มีชื่อว่า “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ถ้วยอัคนี”
กลับมาสู่ปีที่สี่ที่ฮอกวอตส์ พ่อมดน้อยของเรา แฮร์รี่ พอตเตอร์ เข้าสู่อายุสิบสี่ปี ในหลังจากที่เขาได้ช่วยชีวิตพ่อทูนหัวของเขาเอาไว้จากภาคก่อน “นักโทษแห่งอัซคาบัน” ส่งผลให้ “ปีเตอร์ เพ็ตติกรู” หรือ หางหนอน ได้หลบหนีไป ในภาคนี้ มีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้น เมื่อโรงเรียนฮอกวอตส์ได้รับคัดเลือกเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันการประลองเวทย์ไตรภาคี กีฬาการประลองเวทย์ที่มีมากว่า หลายร้อยปีระหว่างสามโรงเรียนเวทย์มนต์ ฮอกวอตส์ เดิร์มแสตรงและวิทยาลัยโบต์บาตง แฮร์รี่ พอตเตอร์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเเจอร์และรอน วีลียส์ สามเพื่อนรักกะจะดูการแข่งขันให้สนุก แต่ทว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อชื่อของแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับเลือกจาก “ถ้วยอัคนี” ให้กลายเป็นผู้เข้าแข่งชันรายที่สี่อย่างลึกลับ ระหว่างเส้นทางการแข่งขัน แฮร์รี่ถูกหมายตัวเอาชีวิตจากความมืดที่แทรกซึมเข้ามาจากหลังกำแพงฮอกวอตส์ ทำให้ในครั้งนี้ เขาได้เข้าสู่การต่อสู้ที่ยากขึ้นกว่าเดิมและเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งศาสตร์มืดลอร์ดโวลเดอร์มอร์
ผลงานการแปลของเล่มที่สี่นี้ตกไปอยู่ในมือของคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ที่ได้เรียบเรียงสำนวนให้เข้ากับสำนวนไทยและทำให้เข้าใจหนังสือง่ายยิ่งขึ้น แฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มนี้ เป็นเล่มแรกที่เริ่มมีความหนา และเนื้อหาที่ยาว แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่สนุกสนานผ่านการแข่งขัน ทำให้ผู้อ่านสามารถลุ้นระทึกไปได้ตลอดทุกตัวอักษร ทางด้านพัฒนาการของตัวละครที่เติบโตขึ้นกว่าแต่ก่อน ชัยชนะและคำชื่นชมในวัยเด็ก ถูกลดลงและให้ตัวละครได้เผชิญหน้ากับโลกแห่งความจริงมากยิ่งขึ้น การไขปริศนาเวทย์มนต์ที่ซ่อนเอาไว้นำไปสู่คำตอบที่หลายๆคนคาดไม่ถึงได้อีกเช่นเคย
ในด้านของอรรถรสนับว่าความสนุกได้เพิ่มขึ้นจากภาคที่แล้วเป็นอย่างมาก ฉากที่น่าตื่นตาและตัวละครใหม่ท่ก้าวเข้ามาทำให้เนื้อเรื่องมีสีสันมากขึ้น แต่หากจะให้เด็กๆได้อ่าน อาจจะต้องยอมรับว่าภาคนี้แฮร์รี่ พอตตเตอร์มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมมาก เนื้อหาที่หนักอึ้งและสำนวนโวหารที่อาจจะยากสำหรับเด็กที่จะเข้าใจได้
Harry Potter เล่ม 05 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์ (ปกแข็ง)
3
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 27 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสือวรรณกรรมเยาวชนที่ปลุกกระแสรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับเด็กๆไปทั่วโลก ในชื่อ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ที่ประพันธ์โดย เจ.เค.โรว์ลิ่ง วรรณกรรมเยาชน แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นหนังสือชุดภาคต่อที่มีความยาวทั้งสิ้น 7 ภาค ความนิยมราวกับต้องมนต์สะกด ทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ ถูกแปลไปเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก ครองใจเด็กๆนักอ่านทุกวัย และได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ระดับตำนานในชื่อเดียวกันถึง 8 ภาค (ภาพยนตร์แบ่งเนื้อหาเล่มสุดท้ายออกเป็น 2 พาร์ท) ถึงแม้เรื่องรางของแฮร์รี่ พอตเตอร์จะจบลงไปแล้ว แต่หนังสือชุด ก็ยังได้รับการตีพิมพ์ใหม่เป็นคอลเลคชั่นที่น่าสะสมอยู่เรื่อยๆ โดยในประเทศไทยได้ลิขสิทธิ์มาโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค โดยในเล่มที่ห้านี้มีชื่อว่า “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ภาคีนกฟินกซ์”
ในภาคนี้แฮร์รี่ พอตเตอร์ ต้องยืนหยัดท่ามกลางเสียงต่อต้านจากโลกเวทย์มนตร์ที่ตราหน้าเขาว่าเป็น เด็กชายผู้หลอกลวง การตายของเซดดริก ดิกกอรี่ และการกลับมาอีกครั้งของเจ้าแห่งศาตร์มืดที่แฮร์รี่บอกกับทุกคน ไม่ได้รับการถูกเชื่อ เขากลายเป็นคนที่น่ารีงเกียจและจำเป็นต้องถูกควบคุมจากโลกเวทย์มนต์ ดังนั้นกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับแฮร์รี่ สองเพื่อนรัก รอนและเฮอร์ไมโอนี่ รวมถึงกลุ่มมือปราบมารและอาจารย์ใหญ่ดัมเบิลดอร์ ได้ก่อตั้งภาคีนกฟินิกซ์ขึ้นมาเพื่อรวบรวมคนให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มขึ้น
เอกลักษณ์อย่างแรกของภาคนี้เลยคือความยาวและหนาที่สุดในบรรดาวรรณกรรมแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้ง 7 เล่ม รวมถึงเนื้อหาที่มืดหม่นและชวนอึดอัดที่สุด จากการไม่ถูกยอมรับในสังคม เล่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างยิ่งที่จะพิสูจน์ตัวเอง รวมถึงการปรากฎตัวละครที่ราวกับสะท้อนมาจากโลกจริงๆ อย่างรัฐมนตรีกระทรวงเวทย์มนต์คอนิเลียส ฟัดจ์ และ โดโรเรส อัมบริดจ์ สองตัวละครที่ปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง ทำให้แฮร์รี่ต้องเผชิยหน้ากับศัตรูถึงสองทาง ทั้งความชั่วร้ายของเจ้าแห่งศาสตร์มืด และแรงกดดันที่ได้รับจากโลกเวทย์มนต์
เล่มนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวรรณกรรมชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ เพราะนอกจากเนื้อเรื่องที่มืดหม่นและความยาวที่เรียกได้ว่ายาวที่สุดในบรรดาเจ็ดเล่มแล้ว พัฒนาการของตัวละครนับได้ว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายเป็นอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาภรรพ์ ที่เป็นวรรณกรรมแฟนตาซีสำหรับเด็ก ในเล่มห้า เราจะได้เห็นอารมณ์ที่แปรปรวนของเด็กวัยรุ่น รวมถึงวิธีการรับแรงกดดันจากสังคม เพื่อน และสายตาที่มองแฮร์รี่ ที่เปลี่ยนจากชื่นชมเป็นรังเกียจ ซึ่งเจ.เค.โรว์ลิ่งได้สะท้อนสิ่งนี้เอาไว้อย่างครบถ้วน
ผลงานการแปลในครั้งนี้กลับสู่มือของสุมาลีอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปสองภาค แม้ว่าการกลับมาแปลแฮร์รี่ในเล่มที่ 5 ที่เนื้อหาแตกต่างจากเล่มที่หนึ่งและเล่มที่สองอย่างสิ้นเชิง ก็ไม่ได้ทำให้เนื้อหาหรืออรรถรสลดลงไปแต่อย่างใด สุมาลีสามารถถ่ายทอดอารมณ์อันแปรปรวนของเด็กชายวัยสิบห้าปีได้อย่างมีรสชาติ และในบางครั้งถึงขั้นทำให้รู้สึกว่า แฮร์รี่ อารมณ์ไม่ปกติเอามากๆ จนน่ารำคาญ ต้องนับว่าภาคนี้ถือเป็นงานหินสำหรับงานแปลที่คุณสุมาลี ทำออกมาได้ดีทีเดียว
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟินิกซ์ เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ไม่ได้เหมาะกับเยาวชนเลยถ้าจะว่ากันตามตรง เพราะต้องใช้ความเป็นผู้ใหญ่พอสมควรในการอ่านทำความเข้าใจ และเรียนรู้เรื่องราวต่างๆไปพร้อมกับแฮร์รี่ แต่ถึงอย่างไรเล่มนี้ก็เป็นเล่มที่สนุกสนานและอ่านได้เพลิดเพลินอีกเล่มนึง
Harry Potter เล่ม 07 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต (ปกอ่อน)
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 27 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสือวรรณกรรมเยาวชนที่ปลุกกระแสรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับเด็กๆไปทั่วโลก ในชื่อ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ที่ประพันธ์โดย เจ.เค.โรว์ลิ่ง วรรณกรรมเยาชน แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นหนังสือชุดภาคต่อที่มีความยาวทั้งสิ้น 7 ภาค ความนิยมราวกับต้องมนต์สะกด ทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ ถูกแปลไปเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก ครองใจเด็กๆนักอ่านทุกวัย และได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ระดับตำนานในชื่อเดียวกันถึง 8 ภาค (ภาพยนตร์แบ่งเนื้อหาเล่มสุดท้ายออกเป็น 2 พาร์ท) ถึงแม้เรื่องรางของแฮร์รี่ พอตเตอร์จะจบลงไปแล้ว แต่หนังสือชุด ก็ยังได้รับการตีพิมพ์ใหม่เป็นคอลเลคชั่นที่น่าสะสมอยู่เรื่อยๆ โดยในประเทศไทยได้ลิขสิทธิ์มาโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค โดยในเล่มสุดท้ายนี้มีชื่อว่า “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ เครื่องรางยมทูต”
ในภาคสุดท้ายนี้ แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ ตัดสินใจทิ้งชีวิตปีสุดท้ายที่ฮอกวอตส์ เพื่อออกผจญภัยตามหาชิ้นส่วนทั้ง 7 ชิ้นของฮอร์ครักซ์ ชิ้นส่วนที่ลอร์ดโวลเดอร์มอร์แบ่งเสี้ยววิญญาณของตัวเองออกไปไว้ เพื่อให้ชีวิตของตัวเองเป็นอมตะ ทั้งสามจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจะตามหาฮอร์ครักซ์ทั้งหมดเพื่อทำลายมัน นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถเอาชนะเจ้าแห่งศาสตร์มืดได้ แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ ต้องออกเดินทางกันไปเพียงลำพัง ด้วยความรู้ทางเวทย์มนต์ที่ร่ำเรียนมาตลอด 6 ปี ท่ามกลางความมืดมิดของโลกเวทย์มนต์และเหล่าผู้เสพย์ความตายที่ไล่ต้อนพวกเขาชนิดฝีก้าวต่อฝีก้าว และการจากไปของตัวละครต่างๆในภาคนี้ และความลับทั้งหมดที่จะถูกเปิดเผยในสงครามสุดท้ายที่ฮอกวอตส์
นับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานมาก หากใครได้อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์มาตั้งแต่ภาคศิลาอาถรรพ์ จะรู้ได้ว่าแฮร์รี่ ได้เติบโตและเผชิญกับปัญหาต่างๆและความร้ายการมากมาย และในภาคนี้บททดสอบสุดท้ายที่นำเขาไปสู่ความตาย ก็ทำให้แฮร์รี่ได้เรียนรู้ จนกระทั่งวรรณกรรมพาผู้อ่านปิดเนื้อเรื่องลงได้อย่างสง่างาม
สิ่งที่สะเทือนใจมากขึ้นไปอีกในภาคนี้ คือการได้เห็นตัวละครที่ผู้อ่านผูกพันมากๆต้องเสียชีวิตไป การบุกโจมตีฮอกวตส์สถานที่ที่ผู้อ่านเองได้อยู่กับมันมาตั้งแต่ภาคแรก หรือแม้แต่ความจริงเบื้องหลังความร้ายกาจของศาตราจารย์สเนป ที่ทำให้ผู้อ่านถึงกับหลั่งน้ำตา
ในภาคสุดท้ายนี้สุมาลี รับหน้าที่ปิดฉากการผจญภัยในโลกเวทย์มนต์ได้อย่างสมศักดิ์ศรี รวมไปถึงการแปลความหมายของคำว่า Deathly Hallow เป็นเครื่องรางยมทูตก็เหมาะสมเหมาะเจาะ ความสนุกที่เข้มข้นทุกตัวอักษร ที่เก็บสะสมปมจากแต่ละภาค มาปล่อยลงที่ภาคสุดท้ายนี้ ทำให้ฉากสงครามเหนือจริง ผู้อ่านสามารถจินตนาการภาพได้ยิ่งใหญ่ได้จากสำนวนการแปลที่เต็มอรรถรส ความยาวของเล่มที่กำลังพอเหมาะ สามารถอ่านจบได้โดยใช้เวลาไม่กี่วัน นับว่าแฮร์รี่พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต เป็นหนังสือปิดฉากชุดวรรณกรรมเยาวชนระดับตำนานนี้ ได้อย่างลงตัว
พฤติกรรมพยากรณ์ (Predictably Irrational)
4
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 27 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

พฤติกรรมพยากรณ์ หรือ Predictably Irrational เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากฝั่งอเมริกาและยุโรป เป็นหนังสือที่ว่าด้วยหลักวิชาการทางจิตวิทยาที่วิเคราะห์วิจารณ์พฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์ไปสู่การประเมิณเพื่อใช้ผล ไปสู่การดึงเป้าหมายที่ต้องการให้ประสบความสำเร็จ โดย Predictably Irrational ฉบับภาษาไทยนี้ ได้คัดลอกมาเฉพาะบางบทที่น่าสนใจ และเข้ากับบริบทของคนไทย เนื้อหาในบทที่เลือกมา ก็เป็นเนื้อหาที่คนไทยสามารถอ่านและเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
เนื้อหาของพฤติกรรมพยากรณ์ เริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจมนุษย์ พฤติกรรมที่เป็นพื้นฐาน ทั้งการเลือกซื้อของที่คนเราไม่ได้ต้องการจริงๆ การหลงใหลไปกับโปรโมชั่น การยอมจ่ายซื้อกาแฟในราคาที่แพงทั้งๆที่เมื่อหลายสิบปีก่อน เรายังสามารถจ่ายเงินซื้อกาแฟถ้วยละไม่กี่บาทได้ เหตุผลประหลาดเหล่านี้ มักจะมีอำนาจบางอย่างในเชิงพฤติกรรมที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์กระทำการบางอย่าง ซึ่งบางครั้งอาจจะดูไม่มีเหตุผลแต่เล่มนี้จะชี้เหตุผลที่คุณจำเป็นต้องหยุดดู
ในหนังสือเล่มนี้ได้ศาสตราจารย์ในสาขาเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมมาพาคุณดำดิ่งไปยังความลับที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน หนังสือเล่มนี้ถูกใช้เป็นหนังสือสำหรับสอนในมหาวิทยาลัยในวิชาเชิงพฤติกรรมในหลายๆที่ แต่สำหรับฉบับตีพิมพ์ไทยนี้ ได้คัดมาเฉพาะบางบท ที่มีเนื้อหาไม่ลึกจนเกินไปนัก ทำให้ผู้อ่านทั่วไป สามารถเข้าใจและเลือกเอาเทคนืคการพยากรณ์พฤติกรรมไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น
สำหรับเนื้อหานั้น ค่อนข้างยากที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้ถึงแม้ว่าจะแปลไทยมาแล้ว เพราะบริบทที่ยกตัวอย่างมา มีหลายประเด็นที่ยกประเด็นของชีวิตสไตล์ตะวันตกมา ทำให้คนอ่านอาจจะเข้าใจสิ่งที่ยกตัวอย่างได้ยากมากขึ้นไปอีก รวมถึงตารางสูตรต่างๆที่เกี่ยวกับค่าเงิน หรือการใช้จ่าย ที่ไม่ได้แปลงค่าเงินดอลล่าร์มาเป็นเงินบาท ก็อาจจะทำให้คนอ่านรู้สึกไม่เข้าใจ และคำนวณสูตรต่างๆที่มีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องยากไปซักนิด
โดยรวมแล้วในด้านของเนื้อหา พฤติกรรมพยากรณ์ หรือ Predictably Irrational เป็นหนังสือที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก หากแต่ในฉบับแปลไทย อาจจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับเนื้อหามากซักหน่อย แต่ถ้าพูดในแง่ของการนำไปใช้ต่อยอดความคิด พูดได้เลยว่านี่เป็นหนังสือที่มีประโยชน์ต่อนักอ่านอย่างยิ่งยวด
รหัสลับดาวินชี The Davinci Code (แดน บราวน์)
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 27 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

รหัสลับดาวินชี วรรกรรมเปลี่ยนโลกของ แดน บราวน์ ที่สร้างปรากฎการณ์ความตื่นตระหนกไปทั่งทั้งวงการศาสนา โดยการเอาเรื่องที่ซ่อนเร้นเอาไว้ของพระเยซูนำมาปรุงแต่งตีแผ่ บวกกับเนื้อหาทางวิชาการที่ดูสมจริง ทำให้รหัสลับดาวินชี กลายเป็นนิยายที่ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยรหัสลับดาวินชี เล่าเรื่องผ่านตัวละครเอกอย่างศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน นักสัญลักษณ์วิทยา ที่ระหว่างการบรรยายที่ฝรั่งเศส ถูกทาบทามให้ไปช่วยไขคดีฆาตรกรรมปริศนา ในการตายของฌาร์ค โซนิแยร์ พันธรักษ์ของพิพิทธภัณฑ์ลูว์ฟ ที่ก่อนจะเสียชีวิต เขาได้จัดแจงศพของตัวเองให้เป็นรูป เดอะ วิทรูเวียนแมน พร้อมกับเขียนเสัญลักษณ์ดาวเอาไว้บนตัว ปริศนาที่ผู้ตายทิ้งเอาไว้ให้โรเบิร์ต แลงดอนต้องไขคดี แต่กลายเป็นว่าเขาถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการฆาตรกรรมนี้ จากการหลบหนีการจับกุมโดยความช่วยเหลือของหญิงสาวปริศนา โซฟี เนอเวอ ที่อ้างตัวว่าเป็นหลานของผู้ตาย เธอและแลงดอนถูกลากเข้าไปในโลกของปริศนาของกลุ่มสมาคมลับที่แฝงตัวอยู่ในโลกนี้มานับพันปีชื่อว่า เดอะ ไพโอรี่ออฟไซออน สมาคมลับที่ทำหน้าที่ปกป้องฐานพลังอำนาจของพระเจ้าบนโลกมนุษย์ และการห่ำหั่นระหว่างการหาทางแก้ปริศนาที่เกี่ยวข้อง และการไล่ล่าจากสภาเงาและโอปุสเดอี จนกระทั่งนำไปสู่การค้นพบความจริงอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ศาสนาที่คนศรัทธาไปทั่วโลก
สาเหตุที่ทำให้วรรณกรรมเรื่องนี้ได้รับความนิยม และอ่านสนุกไปจนจบแม้จะมีความหนาขนาดหนัก ก็เพราะความสมจริงและเนื้อหาที่มีหลักฐานทางวิชาการมาสนับสนุนทฤษฎีที่ดูไม่น่าเชื่อให้เป็นไปได้ ผู้อ่านหลายคนจึงรู้สึกว่าได้รับรู้ความจริงที่เป็นความจริงจริงจริง ไม่ใช่นิยายที่แต่งขึ้นมา กระแสความอินที่รู้สึกได้ว่า ได้เป็น่สวนร่วมของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ไปพร้อมกับโรเบิร์ตแลงดอนนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของนวนิยายที่น่าสนใจ
สำหรับนักอ่านต่างๆ ต้องยอมรับการอ่านงานของแดน บราวน์นั้น ถือว่าเป็นงานหิน เพราะเนื้อหาที่หนัก รวมถึงข้อมูลทางวิชาการที่ผู้เขียนทำการบ้านมาอย่างดี อาจจะทำให้ผู้อ่านที่ไม่ชินกับการอ่านหนังสือที่เน้นเนื้อหา อาจจะต้องยอมแพ้ แต่ถ้าหากอยากอ่านวรรณกรรมที่บริหารสมอง และเสพย์ความรู้อย่างจริงจัง ต้องแนะนำว่ารหัสลับดาวินชี ตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องเนื้อหาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และเมื่อถึงจุดไคลแมกซ์ของเรื่อง ต้องยอมรับจริงๆว่าการหักมุมที่ถึงกับต้องวางหนังสือลงเป็นสิ่งที่สนุกและได้อรรถรสอย่างเต็มที่ และด้วยสำนวนที่เรียกได้ว่าแปลกตา เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นนิยาย และข้อมูลที่อัดแน่น ทำให้เหมือนกับอ่านหนังสือวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะและศาสนา ไปควบคู่กับการผจญภัยและไขปริศนาระดับโลกไปพร้อมกัน
www.batorastore.com © 2024