จันทร์ละมุน โลกละไม (จรัญ ยั่งยืน)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1 เธอมีนามว่าแสงจันทร์

 

            ผืนฟ้ายามค่ำถูกคลี่คลุมด้วยม่านเมฆทะมึนดำ มีเสียงคำรนคำรามแผดก้อง ลำแสงโลดแล่นผาดโผนแปลบปลาบ

            ฮูม... ฮูม... ครืน...ครืน...

            ลมแรงโหมพัดพุ่ง  มุ้งลวดหน้าต่างเปิดผลุง  กระแทกฝาบ้านปึงปังๆ  หนังสือที่กางอยู่บนโต๊ะกระเด็นหวือ  เพื่อนรักที่นอนเอกเขนกคุยกันบนเตียงปลิวไปคนละทิศละทาง 

เด็กหญิงตาเหลือกลาน  ทั้งตกใจกลัวและหวาดหวั่นใจว่าผองเพื่อนจะเป็นอันตราย  เธอรีบหมุนล้อรถเข็นเข้าไปหา หวังจะเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากภยันอันตราย

แต่แล้ว...ไฟก็ดับพรึ่บ! ฉับพลันทันใดนั้น ลมระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าหลายเท่า พัดกรูเกรียวเข้ามา ลมส่งเสียงหึ่งๆ  รุนแรงราวกับเป็นลมสลาตัน  บานหน้าต่างสี่บานเหวี่ยงตัวระรัว ผองเพื่อนถูกมันหอบม้วนเป็นก้อนกลม ลอยหมุนวนสูงขึ้น...สูงขึ้น...สูงขึ้น  แล้วพุ่งลอดหน้าต่างออกไปในผืนฟ้ามืดดำ

ฝนเทลงมาหนักหน่วง เสียงกระหน่ำรัวราวจะทุบกระเบื้องหลังคาให้แหลกป่น เด็กหญิงตัวสั่น ใจสั่น  น่ากลัวเหลือเกิน   แต่มองหาใครช่วยก็ไม่มี   ถึงแม้ว่าเธอจะกู่ร้องหาพ่อหาแม่จนคอแตกตายท่านก็คงไม่ได้ยิน เมื่อท่านไปงานศพญาติผู้ใหญ่ที่ไกลห่างออกไปหลายร้อยกิโลฯ  กว่าจะกลับมาบ้านก็พรุ่งนี้เย็น  ส่วนน้าชื่น คนที่แม่จ้างไว้ให้คอยดูแลเธอก็หายไปตั้งแต่บ่าย น้าชื่นบอกว่าจะไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ทันสมัยๆ สักสองสามชุด และขากลับจะแวะทำผมให้ดูสวยเช้งเสียหน่อย  ค่ำๆ ถึงจะค่อยเข้าบ้าน แต่นี่ก็มืดค่ำแล้ว  น้าชื่นก็ยังไม่มา   คงจะติดฝนที่โหมกระหน่ำอยู่ที่ไหนสักแห่ง

“อย่า...อย่า...อย่าเอาเพื่อนของฉันไป”

ชมพูร้องลั่น แต่ก็ไม่ดังเท่าฝนเทกระหน่ำหลังคาปึงปัง  เธอออกแรงโถมตัวเคลื่อนรถเข็นไปชะโงกหน้าใกล้หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก

ไม่เห็นแม้แต่เงาของเหล่าเพื่อนยาก  มีแต่เสียงสายฟ้าฟาดสนั่นเลื่อนลั่น เสียงฮูมฮามดังก้องราวกับว่าเมืองนี้กำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม บ้านมีเสียงอึงอลราวกับถูกบอมบ์ด้วยระเบิดจากเครื่องบินรบฝูงใหญ่

ล้อสองล้อหมุนวนเวียนวุ่นวายอยู่ในห้องเหมือนหนูติดจั่น แม้เด็กหญิงจะพยายามเพรียกหาเพื่อนพ้องทั้งหลาย แต่ว่าเสียงเรียกนั้นกลืนหายไปในพายุโหมคลั่ง น้ำใสๆ ใต้กรอบแว่นตาหนาเอ่อออกมา

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! พายุใจร้าย...พายุใจร้าย...จับเพื่อนของฉันไปหมดเลย...พายุใจร้าย...เอาเพื่อนของฉันคืนมา”

น้ำใสรินไหลเปื้อนแก้มอวบ สองมืออ่อนล้าหมุนเคลื่อนรถเข็นมาฟุบหน้าบนโต๊ะที่หนังสือถูกลมพัดกระจายระเกะระกะ เก็บหนังสือเรียงตั้งใหม่  แล้วก็มีเสียงสะอึกสะอื้นดังอยู่นานนับชั่วโมง จึงค่อยๆ เบาลงจนเงียบไป

ชมพูไม่รู้ตัวเลยว่าหลับใหลไปตั้งแต่เมื่อใด ไม่รู้เลยว่าหลับใหลไปนานแค่ไหน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา หูก็แว่วยินเสียงอยู่ใกล้ๆ  เสียงนั้นขับขานใรนท่วงทำนองไพเราะรื่นหู 

            “เธอจ๋าเธอ อย่ามัวหลับใหล

            ฟ้าหลังฝน สดใสสวยงาม 

            เธอจ๋าเธอ  ตื่นมาดูฟ้าใหม่

            แสงจันทร์อำไพ งดงามตา”

            เสียงนั้นแทรกเข้าไปในห้วงคิดของชมพูแจ่มชัด ฟังไพเราะราวมีนกกรวิกตัวน้อยบินจากป่าหิมพานต์มาขับร้องลำนำเสนาะข้างหู  เธอลืมตาตื่น คู่ตากะพริบถี่ๆ ไล่ความง่วงงุน คว้าแว่นตากลมมาสวม โลกรอบตัวค่อยชัดขึ้น

ชมพูพบว่าตัวเองยังคงนั่งเดียวดายอยู่ในห้อง  ในยามนี้เธอไม่ได้อยู่ในความมืดมิดแล้ว ไม่ได้อยู่ท่ามกลางพายุอันน่าสะพรึงกลัวแล้ว  แต่มีจันทร์ผ่องสาดไล้แสงนวลงามตาลอดหน้าต่างเข้ามาข้างในห้อง

            “สวัสดีจ้ะ...ตื่นแล้วหรือจ๊ะคนดี”

            เสียงเจื้อยแจ้วดังอยู่ใกล้ๆ  ชมพูต้องสอดส่ายตามองหาที่มาของเสียง แต่ก็ไม่เห็นมีใครสักคน

            “ฉันอยู่ตรงนี้จ้ะ...เธอจ๋า เธอลองแหงนหน้าสูงๆ สิจ๊ะ ใช่...ทำอย่างนั้นนั่นแหละ มองนอกหน้าต่างสิจ๊ะ นั่นอย่างนั้นนั่นแหละ...เธอเห็นฉันหรือยังจ๊ะ”

            เด็กหญิงวัยสิบสองแหงนตามเสียง แต่เธอก็ยังไม่เห็นว่าเจ้าของเสียงว่าอยู่ ณ ที่ใด เห็นแต่ดวงจันทร์สุกสว่างกลางฟ้า

            “เธอเป็นใครหรือจ๊ะ  เธออยากจะเล่นซ่อนหากับข้าใช่ไหม  ทำไมเธอจึงไม่โผล่มาให้ข้าเห็นหน้าชัดๆ ละจ๊ะ”

            ชมพูเริ่มแน่ใจว่า จะต้องมีใครแอบซ่อนอยู่แถวนี้ แต่ยังไม่ยอมเผยโฉมออกมา เอาแต่ส่งเสียงใสๆ

            “เล่นซ่อนหาหรือ  ไม่หรอก...ฉันไม่ได้เล่นซ่อนหากับเธอหรอกนะ  ฉันอยู่ต่อหน้าเธอแล้วนี่นา  ฉันไม่ได้ซ่อนตัวสักหน่อย”

            ถึงแม้ชมพูจะเพ่งมองหาอีกหน สิ่งที่เห็นก็ยังเหมือนเดิม มีแต่ดวงจันทร์งามเด่นฟ้า ไม่มีเด็กหญิงสักคนอยู่ในคลองสายตา

            “ข้าไม่เห็นมีใครเลยนี่  ข้าเห็นแต่ดวงจันทร์ดวงเดียว”

            ชมพูยังคงฉงนฉงาย

            “เธอจ๋า... เมื่อเธอเห็นดวงจันทร์ เธอก็ต้องเห็นฉันด้วยสิ”

            เจ้าของเสียงยืนยันความมีตัวตน   เด็กหญิงวัยสิบสองเอามือขยุ้มศีรษะแกรกกราก ก็เธอไม่เห็นใครเลยนี่นา 

            “ข้าไม่เห็นใครจริงๆ นะ  ข้าเห็นแต่ดวงจันทร์ดวงเดียว” เธอย้ำในสิ่งที่เห็น

            “โธ่เอ๊ย... เธอจ๋าเธอ  ฉันจะบอกให้ แม่จันทร์เป็นแม่ของฉัน  ส่วนฉันมีชื่อแสงจันทร์ ฉันกำลังจ้องมองเธออยู่นี่ไง”

            ชมพูจับจ้องแสงนวลใยสาดส่องมาเต็มสองตากลมโต พลันเห็นประกายตาสุกใสของใครคนหนึ่ง  เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด

            “โอ...ขอโทษนะจ๊ะ เธอคือแสงจันทร์ดอกหรือ ฉันไม่รู้นี่นา ข้าคิดว่าแสงจันทร์ก็เป็นหนึ่งเดียวกับดวงจันทร์”

            ชมพูขอโทษขอโพย

            “ไม่เหมือนกันหรอกจ้ะ แม่ฉันไม่ชอบเดินทางไปเที่ยวท่องไหนต่อไหน แม่ชอบเข้าครัวทำอาหาร  แม่ต้องดูแลตายายที่ชรามากแล้ว แต่ฉันไม่เหมือนแม่เอาเสียเลย ฉันทำอาหารไม่เป็น พูดคุยกับตายายก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง  ฉันชอบเดินทางท่อมๆไปทั่ว   ฟังเสียงนกร้องระงมพงไพร มองน้ำตกสวยสาดซ่า  ฉันชอบเที่ยวท่องไปไหนต่อไหน  ฉันได้รู้จักอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่บนโลกของเธอยังมีอะไรที่ฉันยังไม่รู้จักอีกเยอะแยะ”

            พลันแสงจันทร์หยุดเจื้อยแจ้ว เหมือนว่านึกอะไรขึ้นมาได้

            “เธอเป็นอะไรไปหรือจ๊ะ เมื่อฉันออกเดินทางหลังการจากไปของพายุใหญ่ในคืนเพ็ญเต็มดวง  ค่ำคืนที่ฉันชอบเดินทางมาก ท้องฟ้าสดใส  ฉันสามารถมองเห็นเส้นทางยาวไกล ฉันผ่านมาทางนี้ เมื่อเพ่งดูใบหน้าเธอ มันไม่ใช่ใบหน้าของคนที่หลับด้วยความสุข ริ้วรอยยับย่นบ่งบอกความทุกข์ในใจ  ฉันจึงขับขานบทเพลงเพื่อปลุกเธอ  เธอเป็นอะไรไปหรือจ๊ะ ถึงได้เศร้าหมองนัก หลับใหลไปทั้งน้ำตายังอาบแก้ม”

            ชมพูนิ่วหน้า ยกมือลูบคลำผิวเนื้อ พบว่ามีรอยยับย่น รอยพวกนั้นคงเกิดจากเธอเอาหน้าแนบกับกองหนังสือบนโต๊ะร่ำไห้จนหลับไป เมื่อเลื่อนมือไปคลำแถวขอบตา คราบน้ำตาจับตัวแข็งเป็นก้อน

            “เอ้อ...ก็เจ้าพายุใหญ่น่ะสิมันเกเร มันโหมหอบเอาเพื่อนของข้าไปหมดเลย”

            ชมพูเสียงเครือ

            “ เอ้า... เธออย่าเพิ่งขี้แยสิจ๊ะ ใช่ พายุใหญ่เกิดขึ้นตอนฉันเพิ่งจะออกเดินทาง ฉันอาจจะเจอเพื่อนของเธอบ้าง เพื่อนของเธอมีใครบ้างล่ะ”

            น้ำเสียงแสงจันทร์อ่อนโยน

            “ข้ามีเพื่อนรักหลายคน แต่ว่าพวกเขาถูกพายุหอบไปหมดเลย”

            เด็กหญิงน้ำตาร่วง

            แสงจันทร์เงียบไปชั่วครู่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง

            “ไม่ต้องห่วงหรอก  ฉันช่วยเธอได้แน่ ฉันเคยไปมาแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นบนภูเขา หรือในน้ำทะเล ไม่ว่าจะเป็นยามค่ำมืดดึกดื่น  ฉันไม่เคยครั่นคร้ามกับการเดินทาง ฉันสามารถพาเธอไปหาเพื่อนได้แทบทุกที่”

            สีหน้าของเด็กหญิงค่อยมีสีเลือดขึ้นมาหน่อย  แต่พอดูสารรูปตัวเองที่ต้องนั่งบนรถเข็นตลอดเวลา  ใจที่เริ่มพองโตก็ห่อเหี่ยวลง

            “ขอบใจนะ ที่เธอหวังดีช่วยข้า แต่ข้าจะไปกับเธอได้ยังไง  ข้าเดินไม่ได้หรอก สองขาของข้ามันไร้เรี่ยวแรง”

            ชมพูหน้าละห้อย

            “โธ่... แค่นี้มันเรื่องขี้ประติ๋ว เธอยังไม่รู้จักอิทธิฤทธิ์ของฉัน  ยื่นมือมาจับตัวฉันสิจ๊ะ เธอจะได้รู้ว่าเรื่องที่เธอกังวล มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน”

            แม้เด็กหญิงจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เธอตัดสินใจเข็นรถเข็นไปตรงแสงนวลที่สาดลำเข้ามาในห้อง

            เมื่อแสงจันทร์สัมผัสร่างกาย  เธอต้องสะดุ้ง  รู้สึกว่าตัวค่อยๆ ยกตัวพ้นรถเข็น ลอยออกนอกหน้าต่าง ลอยไปสู่โลกกว้าง

            “เห็นอิทธิฤทธิ์ของฉันหรือยังละ ฉันไม่อยากจะคุยว่าแสงจันทร์น่ะธรรมดาเสียที่ไหน”

            แสงจันทร์โอ่ตัวเอง ขณะที่ร่างของชมพูลอยละลิ่ว

            “เอาล่ะ เกาะฉันให้แน่นๆ นะ เดี๋ยวฉันจะพาไปตามหาเพื่อนๆ ของเธอ”

            ชมพูได้แต่ตะลึงในความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

            “แอ่น...แอ๊น...ได้เวลาที่แสงจันทร์งามยามราตรีจะพาเจ้าหญิงน้อยชมพูท่องโลกเพื่อตามหาเพื่อนรักแล้ว โปรดติดตามตอนต่อไป”

            แสงจันทร์พร่ำพูดร่าเริง แววตาของชมพูสุกใส 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (70 รายการ)

www.batorastore.com © 2024