ปฏิบัติการหัวใจคุณผียอดวุ่น (เพลงมีนา) (EBOOK)
ประหยัด: 104.25 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
บทนำ
ชีวิตใหม่โซดาสาวน้อยสุดซ่าอายุสิบเจ็ดปี หอบหิ้วความฝันอยากเป็นนักเขียนชื่อดังจากขอนแก่นเข้าเมืองกรุงเทพฯ และเข้าเรียนในมหา’ลัยเปิด โซดามาอาศัยอยู่กับพี่เบียร์พี่ชายแท้ๆ ที่อายุห่างกันถึงหกปี พี่เบียร์ทำงานเป็นกัปตันในร้านอาหาร ชื่อ “ชื่นบุรี” แต่ระหว่างปิดภาคเรียน โซดาก็ทำงานพิเศษที่ร้านหมูหยองอินเตอร์เนท ร้านเล็กๆ ที่เจ้าของไม่ค่อยใส่ใจจนโซดาแทบจะกลายเป็นเจ้าของร้านเสียเอง
โซดาประกวดความเรียงนิตยสารฉบับหนึ่งได้ไปอบรมเขียนนิยายที่สำนักพิมพ์ “ยักษ์ใหญ่” ทีมีค่ายเทป “R&M”เป็นนายทุน โซดาได้พบพี่ “ปลายศร” ดารานักร้องยอดนิยมของ “R&M” และพี่ปกรณ์ เจ้านามปากกา ดุจตะวัน นักเขียนนิยายละครหลังข่าวที่มาเป็นวิทยากร ซึ่งโซดาแอบปลื้มมาก ๆ แต่ขณะเดินทางกลับ โซดาบังเอิญสวนทางกับ “แป้งร่ำ” เด็กสาวอายุสิบเจ็ด (เท่ากัน) ที่มาเรียนดนตรี แต่เธอไม่ได้ใส่นักแต่รู้สึกน้อยใจในความแตกต่างของตนเองกับเด็กสาวคนนั้น
และในทันใดนั้น...โซดาก็ได้พบกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งอายุประมาณพี่เบียร์พี่ชายของเธอ โซดาสบตากับชายหนุ่มแปลกหน้าแวบเดียวด้วยความเขินอาย แต่ปรากฏว่าชายหนุ่มนั้นติดตามเธอมาจนเธอมารู้ว่า ชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ใช่คนแต่เป็น “วิญญาณพเนจร” ที่มีโซดาเท่านั้นที่มองเห็น และที่เลวร้ายที่สุดคือ เป็น “ผีที่ความจำเสื่อม” โซดาจึงเรียกเขาว่า นายวุ่นวาย สิ่งที่นายวุ่นวายจำได้แม่นย่ำคือ เขารู้สึกเหมือนต้องค่อยตาม “แป้งร่ำ” อยู่เสมอด้วยความรู้สึกเป็นห่วง กังวลและที่ประหลาด นายวุ่นวายจำหลายระเอียดตัวเองไม่ได้เลย แต่เขากลับแม่นยำและรู้เรื่อง “แวดวงวรรณกรรม” เป็นที่สุด
นายวุ่นวายใช้อินเตอร์เนทเปิดโลกอีกใบให้โซดาได้รู้จักวรรณกรรมมากขึ้น โซดาไปฟังเสวนาวรรณกรรมและเดินดูงานศิลปะกับนายวุ่นวายในขณะเดียวกันก็ต้องตามหา “ตัวตน” ของนายวุ่นวายเองด้วย โดยมี “แป้งร่ำ” คนเดียวเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่คำตอบของทั้งหมดที่นายวุ่นวายต้องการ แต่ “แป้งร่ำ” ก็เป็นคุณหนูไฮโซทำให้ โซดาเข้าถึงได้ยากมาก
แต่ในขณะเดียวกัน คุณผีนิรนามกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังได้เรียนรู้-รู้จักชีวิตอีกแง่มุมหนึ่งของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต่อสู้กับชีวิตหลากรูปแบบเพื่อไปสู่จุดที่ฝันไว้ เขาจึงรู้สึกสึกสุขใจที่เฝ้ามองโซดาวิ่งตามความฝันของเธอมากกว่าที่จะตามหาตัวตน-ความทรงจำที่หายไปของเขา
โซดาเริ่มทำงานกับสำนักพิมพ์ “ยักษ์ใหญ่” แต่เธอต้องทำงานตามตลาดให้ได้ เธอกดดันและเริ่มไม่สนุกขณะที่ท้อใจอย่างที่สุดก็ได้เดินไปงานหนังสือริมน้ำ พบเทศกาลหนังสือทำมือ และในงานนี้เธอพบแป้งร่ำที่หนีเที่ยวมางานหนังสือเหมือนกัน โซดาทำความสนิทสนมเป็นเพื่อน แป้งร่ำก็รู้สึกดีเช่นเดียวกัน
เย็นวันนั้นขณะที่แป้งร่ำรอคนขับรถมารับกลับบ้าน แป้งร่ำก็ถูกลักพาตัว นายวุ่นวายเข้าสิงร่างของโซดาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ต่อสู้เพื่อปกป้องแป้งร่ำจนโซดาได้รับบาดเจ็บสาหัส และเมื่อฟื้นที่โรงพยาบาล เธอก็รู้ความจริงว่านายวุ่นวายไม่ใช่ผีเร่ร่อนธรรมดาอย่างที่คิด
แต่เขาคือลูกชายเจ้าของบริษัท R&M และเป็นว่าทีท่านประธานในอนาคต และกำลังจะเปิดสำนักพิมพ์ (บริษัท)ใหม่ที่อุดหนุนงานวรรณกรรมอย่างแท้จริง หากแต่เพื่อนคนเดียวที่เขาสนิทสนมกลับทำร้ายเขาจนเป็นเจ้าชายนิทรา เพียงเพราะฤทธิ์ยาเสพติด แม้ว่าโซดาจะผจญภัยกับคุณผีสุดวุ่นมากแค่ไหน แต่เมื่อกลับคืนสู่สถานภาพ “มนุษย์” ก็ต้องลุ้นรักกันต่อไป.
ตอนที่ 1
ปลายเส้นผมนุ่มสลวยที่ถูกรวบเป็นหางม้าเหนือท้ายทอยแกว่งไปมา แม้เจ้าของจะซ่อนมันในหมวกแก๊ปใบสวย เด็กสาวรูปรางปราดเปรียว กำลังวิ่งกระหืดกระหอบ เข้ามาที่ตึก R&M บริษัทที่ผลิตนักร้องชื่อดังประทับฟ้าเมืองไทยหลายสิบคน และในขณะเดียวกันก็เปิดเป็นบริษัท ผลิตรายการโทรทัศน์ โรงเรียนสอนดนตรี และ สื่อสิ่งพิมพ์ มีนิตยสารหัวนอกอยู่ถึงสองเล่ม และเปิดเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
โซดา สาวน้อยวัยสิบเจ็ดรีบผลักบานประตูกระจกสีชาของบริษัทอย่างรีบเร่ง ท่าทางรีบร้อนของเธอทำให้คนบริเวณหันมามองสาวน้อยร่างเพรียวบางที่สูงประมาณ 167 ซม. ใบหน้าเนียนสวยเปื้อนเหงื่อและดวงตากลมโตใสซื่อสะกดสายตาของที่เผลอมองมายังเธอ
“ขอโทษเด๋อคะ ห้องอบรมเขียนนิยายไปทางไหนคะ”
สำเนียงสาวอีสานทำให้เกิดเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น โซดายกมือปิดปากอย่าเพิ่งนึกได้ ประชาสัมพันธ์คนสวยแอบเช็ด
น้ำตาที่เล็ดเพราะสำเนียงไม่เข้ากับหน้าใสๆ ของเธอ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ลิฟต์ไม่ไกลนัก
“มาอบรม ‘เขียนง่ายๆ กลายเป็นเล่มๆ’ ใช่ไหมคะ เชิญที่ชั้นสิบเอ็ดเลยค่ะ”
“ขอบคุณหลาย ๆ ค๊า”
โซดาอยากตบปากตัวเองนัก แต่เกรงว่าถ้ายิ่งยืนอยู่ตรงนั้นจะยิ่งทำอะไรน่าอายเข้าไปใหญ่ เท้าที่สวยรองเท้าผ้าใบคู่เก่ารีบวิ่งไปที่ลิฟต์ทันที แล้วนิ้วเรียวก็กดหมายเลขชั้นที่ต้องการไป
วันนี้เป็นวันแรกของการมาอบรม ‘เขียนง่ายๆ กลายเป็นเล่มๆ’ ที่โซดาเขียนความเรียงส่งประกวดในนิตยสารฉบับหนึ่ง ซึ่งรางวัลของมันก็คือ ได้เป็นหนึ่งในสิบหกคนที่เข้ามาอบรมเขียนหนังสือที่บริษัท R&M แห่งนี้ โดยมีวิทยากร ชื่อดังคือ ‘ดุจตะวัน’ หรือ ‘ปกรณ์’ นักเขียนสุดปลื้มของโซดา เธอหลงรักตัวหนังสือที่ดุจตะวันเขียน และเขาเป็นแรงบันดาลใจของเธอที่ทำให้เธอ เด็กสาวจากร้อยเอ็ดอยากเป็นนักเขียนชื่อดังกะเค้าบ้าง
“เออ คิวถ่ายแบบเลื่อนไปได้ไหม เหนื่อย เพลีย เข้าใจไหม!” เสียงดังจากคนข้าง ๆ ทำให้โซดาหันไปมองอย่างเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้มีเธอคนเดียวในลิฟต์
“เป็นผู้จัดการยังไง! เลื่อนคิวแค่นี้ทำไม่ได้หรือไง ไม่ไปก็คือไม่ไปไง”
เสียงที่ดังอยู่ข้างๆโซดาอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงก้าวครึ่ง แม้ว่าร่างสูงโปร่งจะคุยโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดอยู่ แต่เสียงที่ตะคอกราวกับจะตะโกนให้คนที่อยู่อีกสองช่วงตึกได้ยินด้วย ทันทีที่ผู้โดยลิฟต์คนเดียวกับเธอพับมือถือเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ โซดาก็จำได้ทันทีว่าเคยหน้าตาแบบในโทรทัศน์ และหน้านิตยสารหลายฉบับ
“พี่ปลายศร” โซดาพึมพำออกมาเบาๆ แต่มันคงดังพอที่จะทำให้ร่างสูงโปร่งหันมามองก่อนที่จะถอดแว่นกันแดดสุดเท่ออกแหนบที่คอเสื้อ
“เฮ้อ! แม้แต่อยู่ในลิฟต์ยังไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลยหรือเนี้ย!” นักร้องหนุ่มสุดฮอตส่ายหน้าระอาใจ เขาหยิบปากกาเมจิกคู่ใจ ขยับเท้าเข้าไปใกล้ร่างเพรียวบางของเด็กสาวที่ยืนนิ่งตะลึงนะจังงังอยู่กับที่ ก่อนที่จะตวัดข้อมือเซ็นชื่อตัวเองลงบนปีกหมวกที่โซดาสวมอยู่
ปิ๊ง!
ลิฟต์ดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดออก นักร้องหนุ่มยิ้มมาดนายแบบก่อนเหลือบมองไปที่แผงหมายเลขข้างประตู
“อ้าว! ชั้นเดียวกันเหรอ มาอบรมใช่ไหม พยายามหน่อยนะ แต่แหม! ปลื้มพี่มากแค่ไหนก็ไม่ต้องใช้วิธีนี้ก็ได้” เจ้าของร่างสูงโปร่งเอ่ยต่อแบบไม่สนใจคนที่อ้าปากค้างอยู่
แต่ที่เรียกสติของสาวน้อยได้คำว่า “อบรม” ทำให้ร่างเพรียวบางรีบก้าวออกมาจากลิฟต์ทันที โซดามองตามร่างสูงปร่งที่เดินนำหน้าเธอออกมาก่อน พอนึกขึ้นได้ก็ถอดหมวกแก็ปออกจ้องมองลายเซ็นยึกยือบนหมวกใบเก่งของเธอ
“ฮ่วย!” โซดาเผลอบ่นออกมาอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ “ใครเค้าอยากได้ลายเซ็นอ่ะ คนอะไรหลงตัวเองชะมัด!!!”
โซดายัดหมวกใส่เป้ที่คล้องไหล่อยู่ จะขว้างทิ้งก็เสียดายของ พลางเดินไปตามแผ่นป้ายที่เขียนบอกทางไปห้องอบรมเขียน‘เขียนง่าย ๆ กลายเป็นเล่ม ๆ’ เธอรู้อยู่หรอกวิทยากรในครั้งนี้มี “ปลายศร” ดาราหนุ่มยอดฮิตที่เพิ่งทำสถิติพ๊อกเก็ตบุ๊คส์ขายดีที่สุด ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงถึงสองพันเล่ม เมื่องานมหกรรมหนังสือฯ ที่ผ่านมา
แต่...เปล่าเลย... โซดาอยากเจอพี่ปกรณ์ เจ้าของนามปากกา “ดุจตะวัน” ฉายาเจ้าชายโรแมนติกที่เขียนนิยายได้หวานซึ้ง ต่างหากเล่า!
ทันทีที่โซดาเปิดประตูห้องเข้าไป เธอกลายเป็นจุดสนใจในวินาทีนั้นทันที ประเมินด้วยสายตาแล้ว เธอน่าจะอายุน้อยที่สุดในบรรดาสิบหกคนที่ได้มาอบรมฟรีในครั้งนี้ ใช่ ! ถ้ามันไม่ “ฟรี” เธอก็ไม่มีปัญญาได้มายืนอยู่ในนี้หรอก เธอเคยเห็นโบชัวร์เวิร์คชอปของที่นี้แค่สามวัน ค่าเรียนแพงลิบลิ่ว เด็กกำพร้าอย่างเธอไม่มีปัญญามาเรียนแน่ ๆ
“มาครบกันแล้วใช่ไหมครับ”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของนักสุดปลื้มของโซดานามดุจตะวัน ร่างสูงโปร่ง ดวงตาอบอุ่นกับ ผมดำขลับยาวสลวยอย่างที่ผู้หญิงแท้ๆอย่างเธอยังอาย
โซดา สาวน้อยแสนห้าวในสายตาคนรอบข้างแต่กลับมีความฝันตรงข้ามกับลักษณะนิสัยภายนอก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ “โชค” หรือ “ฝีมือ” ที่ทำให้ได้เข้ามาอบรมการเขียนที่นี่ บริษัทใหญ่โตอย่างนี้เธอได้แต่ฝันกลางวันเท่านั้นในความเป็นจริงแทบไม่เคยย่างกรายเข้ามาใกล้ แต่ละคนที่เข้ามาอบรมดูเป็นคุณหนู แต่งตัวดี แม้จะเอ่ยปากชวนเธอคุยบ้าง แต่ก็ทำเธอรู้โดยทันทีว่า มันเป็นไปตามมารยาท
กว่าจะหมดไปหนึ่งวัน เด็กสาวก็แทบหมดแรงเพราะไม่คุ้นกับสังคมใหม่แบบนี้ ทั้งๆ ที่ย้ายมาอยู่กรุงเทพกับ “เบียร์” พี่ชายแท้เลือดสีเดียวกันได้เดือนกว่าแล้ว แต่เหมือนเธอยังปรับตัวไม่ได้ ครั้งที่พ่อกับแม่จากไปเพราะอุบัติเหตุ เธอยังเด็กจำอะไรไมได้มาก แต่เพราะมีกันแค่สองคนพี่น้อง พี่ชายเธอมาทำงานกับลุงที่เป็นพ่อครัวอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ส่วนเธอก็ไปอยู่กับป้าญาติทางฝั่งแม่ที่ขอนแก่น แม้จะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ความรู้สึกที่เป็นส่วนเกินของบ้านมันก็ยังมีอยู่ กี่ครั้งที่ร้องไห้คิดถึงพี่ชาย เธอได้แต่พยายามฝืนตัวเองให้เข้มแข็ง เพื่อที่จบม.ปลายจะได้มาอยู่กับพี่ชายตามสัญญา
และเบียร์ก็ทำตามสัญญาจริงๆ เมื่อเธอสอบจบม.ปลาย เขาก็มารับเธอถึงบ้านป้าตามสัญญา
จะได้อยู่กับพี่ชายในบ้านหลังเดิมที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติชิ้นเดียว แต่ความเป็นเมืองใหญ่ที่ทำให้เธอเหงาจนบอกไม่ถูก
คงไม่นานหรอกนะ ที่เธอจะคุ้นเคยชินกับความรู้สึกนี้
แล้วจู่ๆ รอยยิ้มก็จางไป เมื่อร่างบอบบางเดินผ่านกระจกเงาของตึก เด็กสาวจ้องมองร่างที่สูงหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดเซนต์ เสื้อผ้าที่สวมใส่ที่เป็นเพียงเสื้อยืดพอดีตัว กางเกงยีนขาสามส่วนพร้อมรองเท้าผ้าใบเซอร์ๆ สะพายเป้สีดำคู่ใจที่มีสมุดบันทึกขนาดเหมาะมืออยู่เสมอ
‘เฮ้อ! ทั้งเซอร์ ทั้งโทรมขนาดนี้ อย่าว่าแต่พี่ปกรณ์เลย ขนาดวินมอเตอร์ไซด์ยังไม่แล!
โซดาถอนหายใจหนักๆ มองภาพนักเขียนในดวงใจของเธอ ผ่านผนังกระจกที่กั้นอยู่ โซดาดึงหมวกแก๊ปใบเท่ที่ยัดใส่เป้ขึ้นมาสวม แต่มือก็ชะงักเพราะเห็นลายเซ็นไม่พึ่งประสงค์บนหมวก
‘เอาไงดีหว่า’
โซดาก้มหน้าก้มตา แอบใช้น้ำลายป้ายๆ ถูๆ หวังจะให้ลายเซ็นกระเด็นไปจากหมวก จนไม่ทันดูว่าประตูกระจกก็ถูกออกมามาอย่างแรง
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”
“คะ”
โซดาสะดุ้งเมื่อบานประตูถูกผลักออกและร่างบอบบางเดินออกมา เธอไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่หน้าประตูกระจก เออนะ! ตึกนี้มันจะเป็นกระจกทั้งหลังให้คนเดินผ่านสับสนเล่นรึไงนะ อีกฝ่ายยิ้มบางๆ ให้ โซดาจับจ้องใบหน้ากลมมนได้รูปที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใดๆ แต่ดูขาวซีดเหมือนคนป่วยไข้ เสื้อคอจีนสีชมพูอ่อนรับกับกระโปรงยาวสีเข้มกว่าสีเสื้อเล็กน้อย ในมือข้างหนึ่งหิ้วกล่องไม้ใส่ไวโอลีน โซดาเอี้ยวตัวหลบทางให้อย่างเขินๆ ไม่ถึงห้านาทีรถเก๋งคันใหญ่ก็เข้ามาจอดเทียบ คนขับรถวิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้และร่างบอบบางก็ก้าวขึ้นรถจากไป ทิ้งให้เธอยืนอยู่คล้ายฝุ่นผง ณ บริเวณนั้น
“ไม่เอานะ อย่าคิดมากซิ ต้องเชื่อมั่นในตัวเองท่องไว้ซิ!!! โซดา”
โซดายกมือสองข้างขึ้นตบแก้มเบาๆ เธอจะทำเช่นนี้เสมอเมื่อเรียกสติตัวเองและให้กำลังใจในช่วงที่รู้สึกอ่อนล้า หลับตาครู่หนึ่งเมื่อลืมตาขึ้น เธอจะยิ้มรับกับทุกสิ่งที่เข้ามาไม่ว่าจะร้ายดีเพียงใด รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แล้วเธอก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อลืมตาอย่างรู้สึกสดชื่นขึ้นเหมือนมีพลังงานบางอย่างพวยพุ่งจากภายใน แต่ในขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือของตน สายตาก็เผชิญกับดวงตาสีสนิมเหล็กที่ยืนจ้องมองตัวเธออยู่ตรงข้ามฝากถนนเส้นเล็กๆ หน้าบริษัทฯ
ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาอ่อนโยนปนเหงาหลังแว่นตาทรงกลมกรอบสีเงินกำลังมองเธออยู่!
ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนเข้ากับกางเกงแสลคเนื้อดี และรองเท้าหนังสีดำเป็นมันวาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซอยผมสั้นรองทรงสะอาดตา รับกับแว่นตาทรงกลมกรอบเงินที่เขาสวมบนใบหน้า เด็กสาวเหลียวมองรอบข้างร้างไร้ร่างใคร จนมั่นใจว่าสายตาของชายหนุ่มแปลกหน้าฝั่งตรงข้ามจ้องมองอยู่ เธอก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย บางทีเขาคงเห็นท่าทางเปิ่น ๆ ของเธอเลยยืนมองดูอยู่ก็ได้
‘โธ่! โชว์เปิ่นอีกแล้วซิเรา! เฮ้อออออ’
“โซดา”
เจ้าของชื่อหันไปทางต้นเสียง รถมอเตอร์ไซด์ขนาดสี่สูบเคลื่อนมาจอดขนาบข้าง คนขับเปิดกระจกหน้าหมวกกันน๊อคสีดำขึ้นแล้วยิ้มให้จนตาหยี
“อ้าว…พี่ตั้มมาทำอะไรแถวนี้”
“อบรมเสร็จแล้วใช่ไหม จะกลับรึยังละ” คนถามไม่รอคำตอบแต่ยื่นหมวกกันน๊อคอีกใบเป็นลายทหารส่งให้
“แอบเอารถลูกค้ามาซิ่งแบบนี้จะดีเหรอ”
“เฮ้ย...เค้าเรียกว่าเอารถมาลองเครื่องพูดแบบนี้ไม่ดีนะเบบี้”
“ค่ะ ลองเครื่องก็ลองเครื่อง งั้นไปส่งโซดาหน่อยนะ”
“ คร๊าบผม!” เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมเสียงบิดคันเร่ง “ มารับโดยเฉพาะอยู่แล้วจ้า”
ร่างเพรียวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์ขนาดใหญ่แบบสปอตร์ไบค์ เสียงเครื่องครางกระหึ่มก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกับร่างสองหนุ่มสาว โซดาหันไปสบตากับชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั่น คล้ายมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ในสายตาหลังแว่นตาทรงกรมกรอบเงิน แต่แรงกระชากของรถทำให้เธอเลิกสนใจ แล้วเกาะเอวคนขับแน่นแนบหน้าลงกับแผ่นหลังจนได้กลิ่นเหงื่อปนโคโลญจ์ อ่อน ๆ จากเสื้อยืด
โดยไม่รู้ว่า เจ้าของดวงตาเหงาๆ มองร่างบางที่คร่อมมอเตอร์ไซด์จนสุดสายตา!.
รถมอเตอร์ไซด์คันเท่แล่นมาตามถนนสายหลักเรียกสายตาของหนุ่มสาวข้างทางให้เหลียวมอง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากสุขุมวิทก็มาถึงเทเวศร์ รถเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ มาจอดนิ่งที่หน้าตึกแถวแห่งหนึ่งสภาพเก่าคล้ายคนแก่ชราที่เฝ้ามองกาลเวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า
“ขอบคุณค่ะพี่ตั้ม” โซดาถอดหมวกกันน๊อคและส่งคืนให้
“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นกับข้าวอร่อยๆ สักมื้อนะ” ชายหนุ่มถอดหมวกกันน๊อคของตนเอง เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลแดงดูขัดกับใบหน้าอาตี๋อินเตอร์
“เออ...จะใส่บาตรกรวดน้ำไปให้แล้วกัน”
“โห...ไอ้เบียร์ปากเป็นมงคลจริงนะแก”
“พี่เบียร์หายดีแล้วเหรอ”
โซดาหันไปตามต้นเสียง พี่เบียร์ พี่ชายของเธอยืนหน้านิ่งมือกอดอกอยู่หลังบานประตู เด็กสาวแอบยิ้ม วันนี้ท่าทางพี่ชายของเธอมีอาการดีกว่าเมื่อสองสามวันก่อนที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จนต้องหยุดงานที่ร้านอาหาร
เบียร์เป็นพ่อครัวอายุน้อยอยู่ที่ร้าน “ชื่นบุรี” แถวเยาวราช ผิดกับโซดาลิบลับที่ไม่ได้เชื้อพรสวรรค์การทำอาหารจากพี่ชายเลยแม้แต่น้อย แค่ไข่เจียวเธอยังทอดได้ไม่เหลืองฟูชวนชิมเลย งานพ่อครัวที่พี่เบียร์ทำอยู่ทำให้เธอก็ได้อาหารดีๆ ที่เป็นของเหลือจากร้านที่พี่เบียร์หิ้วมาฝากเสมอ
“นี่ เพื่อนเอ็งนะ ยังไงก็ไม่จีบน้องโซดาสุดซ่าของเอ็งหรอก” ตั้มทำท่ายียวนใส่
“รู้ตัวก็ดีแล้ว แต่ที่ห่วงนะกลัวเจ้าของรถจะมาตามทวง ถือว่าบ้านทำอู่ซ่อมรถรึไงจะเอารถลูกค้ามาขับเล่นอย่างนี้”
“เฮ้ย...อีกคนแหละ เค้าเรียกว่าลองเครื่องรถเฟ้ย...”
“มันก็แค่ข้ออ้างแหละหว่า เที่ยวขับลูกค้าไปอวดสาวๆ ระวังเจ้าของรถจะโวยวายเอา โซดาก็เหมือนกันไม่จำเป็นไม่ต้องไปนั่งรถมันหรอก เดี๋ยวโดนลูกหลงเข้าด้วย”
“อ้าว เฮ้ย ว่าข้าคนเดียวก็พอแล้วน้องโซดาเค้าไม่เกี่ยวหรอก อีกอย่างนะ น้องเค้าก็เพิ่งเข้ากรุงเทพแค่เดือนกว่าๆ จะไปจำทางรถเมล์หมดได้ไง ข้าก็หวังดี...”
“เออ...งั้นนี่ข้าก็เป็นนี่บุญคุณเอ็งงั้นซิ”
“ฮืมใช่...ใช่ คิดเป็นเหมือนกันนะเรา เก่งๆ ขอมือหน่อยสิ” คนพูดยิ้มขำทำทะเล้นยื่นมือไปเกาคางอีกฝ่าย
“พอเลย...ไปไหนก็ไป ป่านนี้น้ำหวานเหงื่อซกแล้วไม่มีใครช่วยตั้งร้าน”
“เออ...ไปก่อนนะ”
เพียงแค่เอ่ยชื่อน้ำหวาน ตั้มก็ยิ้มเขินจนตาหยีผิดกับท่าทางยียวนกวนประสาท เขาโบกมือลาน้องสาวเพื่อนซี้ที่แม้จะปะทะคารมกันบ่อยครั้ง แต่ก็เกิดจากความสนิทสนมเกือบสิบปีที่รู้จักรู้ใจกัน เสียงรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่จากไปไกลแล้ว ร่างสูงใหญ่กำยำวัยยี่สิบหกของเบียร์ก็หันมาสบตากับน้องสาวก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ อย่างอ่อนโยนผิดกับท่าทางเงียบขรึมภายนอก
“วันนี้เป็นไงบ้าง”
“หูยยยย ได้ความรู้เชียวค๊า”
“ขี้เห่อไปหรือเปล่า เพิ่งไปวันเดียวเองนิ”
“เหลืออีกสองวันก็จริง แต่โซดามีแววจะได้บ่อยๆ” โซดายิ้มกว้างแต่พี่ชายมองอย่างแปลกใจ “พี่ปกรณ์บอกว่าโซดามีแววค่ะ ให้ลองหัดเขียนเยอะๆ แล้วเอามาพี่ปกรณ์ดู”
“ฮืม”
เบียร์ยิ้มที่มุมปาก แค่เห็นน้องสาวคนเดียวร่าเริงเขาก็มีความสุขและไม่รู้สึกผิดต่อพ่อแม่ที่จากไป สาวโซดายิ้มกว้างทั้งสองพี่น้องเดินเข้ามาในบ้านซึ่งเป็นตึกแถวเก่าๆ สามชั้น ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้าที่น้องสาวชอบไปนั่งมองท้องฟ้า โซดาตั้งใจเข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยเปิดที่กรุงเทพฯ จะหางานพิเศษทำและเรียนไปด้วย
แม้พี่ชายคนเดียวบอกว่าจะทำงานส่งเสียเธอให้ได้ปริญญา อย่างที่พ่อแม่ได้ฝากฝั่งไว้ก่อนทั้งคู่จะจากไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อห้าปีก่อนซึ่งทำให้สองพี่น้องต้องแยกกันอยู่ แต่ฐานะครอบครัวทางโน้นก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก แถมมีลูกรุ่นราวคราวเดียวกับโซดาถึงสี่คน ส่วนตัวเบียร์เองมาอยู่กับคุณลุงญาติทางพ่อซึ่งก็ไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่นัก ลุงฝากเขาให้ทำงานกับคนรู้จักในร้านชื่นบุรี ไต่เต้าจากเด็กเสิร์ฟมาเป็นพ่อครัวได้ด้วยใจที่มุ่งมั่นอย่าเป็นพ่อครัวจริง ๆ
ชายหนุ่มคิดอยู่เสมอว่ามันไม่เป็นเพียงอาชีพ แต่เป็นสิ่งที่เขารักและจะทำมันให้ดีที่สุด ตอนที่พ่อและแม่จากไปใหม่ๆ เขาจำได้ว่าเขาต้องพยายามทำกับข้าวให้น้องสาวกิน เขาทำไข่เจียวที่ไม่เหลืองฟูแถมสุกไม่ทั่วแผ่นอีกต่างหาก แต่เจ้าน้องสาวแสนซนก็ยังเคี้ยวแก้มตุ้ยด้วยความหิวปนรอยยิ้ม นับตั้งแต่นั้นมาอาหารไม่เป็นเพียงแค่อาหารแต่เป็นสิ่งพิเศษที่มอบให้คนที่เขาห่วงใยที่สุดด้วย
“ว๊า...คนป่วยมาทำกับข้าวให้คนแข็งแรงกินอีกแล้ว”
เสียงของโซดาดังขึ้นเรียกให้เบียร์ตื่นจากภวังค์ บนโต๊ะมีหม้อข้าวต้มไก่ฉีกกับผัดผักกาดดองและผัดผักบุ้ง ชายหนุ่มยิ้มบางๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้มองดูน้องสาวจัดแจงตักข้าวต้มใส่ถ้วยสองใบและเลื่อนมาให้ตรงหน้าเขา
“กินยาก่อนอาหารรึยังค่ะ”
“เรียบร้อยแล้วจ๊ะ ไม่เล่าให้พี่ฟังเลยว่าอบรมอะไรบ้าง”
“สนุกซิค่ะ ตึกก็ใหญ่โตมโหฬาร คนที่มาอบรมก็คนรวยๆ กันทั้งนั้นโซดาทำเปิ่นตั้งหลายอย่างเนี่ยเค้าคงรู้กันหมดแล้วว่าโซดามาจากบ้านนอก แต่อย่างว่าแหละเน๊าะ อย่างกับฝันไปแนะพี่เบียร์”
“ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ เราคงไม่ต้องลำบากอย่างนี้หรอก”
“โอ๊ย..ไม่หรอกพี่เบียร์ ใครว่าเราลำบาก เนี่ย...เค้าเรียกว่ามีชีวิตมีรายละเอียดมากกว่าคนอื่นอีกนะ เอามาเป็นวัตถุดิบในการเขียนนิยายได้สบายเลย”
“จ้า...แม่นักเขียนใหญ่ พี่จะรออ่านนิยายของเรานะ”
“ค่ะ ช่วงก่อนเปิดเรียนแบบนี้โซดามีเวลาเขียนหนังสือได้สบายเลย เอ่อ...แล้วร้านหมูหยองยังจะให้โซดาไปช่วยดูร้านเนทอยู่ไหมคะ “
“จะดีเหรอ ไหนบอกจะเขียนนิยายให้จบก่อนเปิดเรียนแล้วจะไปทำงานพิเศษอีก”
“โธ่พี่เบียร์ ก็เพราะเป็นร้านเนทนะซิ โซดาถึงอยากทำ จะได้ใช้คอมพ์ฟรีไง เดี๋ยวนี้เขียนเรื่องโพสตามเวบไซด์แล้วได้ตีพิมพ์เป็นเล่มเยอะแยะไป”
“เอาไว้พี่มีเงินจะหาคอมพ์ให้ใช้สักเครื่องนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เก็บเงินไว้เถอะมันยังไม่จำเป็นขนาดนั้นหรอก แค่ที่ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนก็เยอะแล้ว ไหนจะต้องซื้อหนังสือเรียนอีก ค่ากินค่าใช้จ่ายในบ้านมีแต่พี่เบียร์คนเดียวที่ต้องลำบาก นี่ดีนะที่พ่อกับแม่ทิ้งตึกหลังนี้ไว้ให้ซุกหัวนอน ไม่งั้นเราต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกอะไรอีกสารพัดเลยเน๊าะ ขอบคุณนะคะคุณพ่อคุณแม่” โซดาทำทะเล้นยกมือไหว้ขอบคุณต่อหน้ารูปพ่อกับแม่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง
“เอาละถ้าตั้งใจจะทำงานที่ร้านเนทก็ได้...แต่ห้ามเข้าไปดูเวบโป้นะ”
“ว๊า…ดูนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ ห้ามแชตอะไรนั่นด้วย อันตรายเห็นในข่าวมีแต่คนโดนหลอกไปข่มขืนเยอะแยะ ถ้าพี่จับได้จะไม่ให้เราเขียนนิยงนิยายอะไรแล้ว” พี่ชายทำหน้าเครียดน้ำเสียงจริงจังจนน้องสาวได้แต่ยิ้มแหย ๆ
“รับรองคะจะไม่ให้พี่เบียร์รู้ เอ๊ยไม่ทำให้พี่เบียร์ต้องเป็นห่วงแน่นอน”
“สัญญานะ”
“ค่ะ...เอาละ...พี่เบียร์ทำข้าวต้มอร่อยๆ ให้กินแล้วหน้าที่ล้างจานเป็นของโซดาแล้วกันนะ พี่เบียร์ก็อย่าลืมกินยาหลังอาหารละจะได้หายเร็วๆ”
คนเป็นพี่ได้แต่ยิ้มบางๆ มองดูน้องสาวเก็บถ้วยชามที่เวลานี้ไม่เหลือเศษอาหารให้เดาได้ว่าก่อนนี้จาน ชามพวกนี้เคยมีอะไรอยู่ภายใน เสียงล้างจานดังอยู่ในครัว อาจเป็นเพราะ ฤทธิ์ยาแก้ไข้หวัดใหญ่ทำให้เขาเผลอหลับอยู่ที่โซฟาตัวยาวใหญ่ โซดาเดินผ่านมาจึงหยิบผ้าห่มคลุมร่างพี่ชายก่อนที่จะก้าวเท้าเดินให้เบาที่สุดไปที่ดาดฟ้าของบ้าน
ผ้าที่ตากไว้บนราวพลิ้วไหวตามแรงลม เด็กสาวดึงหนังยางที่รวบผมขึ้นเป็นหางม้าออกปล่อยให้เส้นผมยาวเคลียบ่าเป็นอิสระ โซดาเอาเสื่อมาปูนั่งเป็นประจำที่นี่ยามเย็นที่ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสี เธอจะนั่งเหยียดขายาวเอาหนังสือเล่มโปรดออกมากางอ่านหรือไม่ก็เขียนอะไรกระจุกกระจิกของเธอ
แต่บ่อยครั้งที่เธอมักนั่งมองการเคลื่อนตัวของเมฆบนท้องฟ้า เฝ้าดูว่ามันเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวอะไรและจิตนาการเป็นเรื่องราวต่างๆ นานาราวกับเป็นเทพนิยายแฟนตาซีสุดมหัศจรรย์ แต่ก็นั้นแหละ…คิดอะไรก็คิดได้ ตัวละครเอย ฉากเอย ภาพเคลื่อนไหวในหัวเหล่านั่น มันช่างแสนยากเย็นที่จะเข็นมันออกมาจากหัวกลายเป็นตัวหนังสือบนหน้ากระดาษเปล่าๆ สักแผ่นหนึ่ง
โซดาจำได้ว่าเธอรู้สึกทึ้งกับการอ่านหนังสือนอกเวลาที่คุณครูแนะนำให้อ่าน เพราะมันไม่ใช่ตำราเรียน แม้จะถูกบังคับให้อ่านแต่เรื่องราวเหล่านั้นสนุกสนานน่าสนใจแถมผสมผสานความรู้เข้ามาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อจบเล่มหนึ่งก็พยายามสรรหาเท่าที่ห้องสมุดเล็กๆ ในโรงเรียนกันดารจะพอมี
ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งรู้สึกเหมือนเปิดประตูมิติได้รู้จักโลกกว้างกว่าที่เธอคิด มันอาจเป็นการเริ่มต้นจากจุดนี้และยิ่งเมื่อเธอเคยได้รับรางวัลประกวดเขียนเรียงความประจำโรงเรียน เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองน่าจะมีพรสวรรค์ทางด้านขีดๆ เขียนๆ
แต่เอาเข้าจริง นอกจากรายงานเรียงความที่ต้องส่งเป็นการบ้านแล้ว เธอยังไม่เคยเขียน “เรื่อสั้น” หรือ “นิทาน” แม้กระทั้ง “นิยาย” ก็ไม่สำเร็จสักเรื่อง ได้แต่เขียนอะไรครึ่งกลาง ค้างคา ไม่จบสักเรื่อง ก็นั่นแหละมันทำให้นิยายแฟนตาซีสุดพิสดารของเธอก็ไม่ได้หลุดจากสมองเป็นตัวหนังสือได้เสียที
เมื่อตุลาคมปีที่แล้วเธอมาเยี่ยมพี่ชายสุดรัก เขาพาไปเที่ยวงานมหกรรมหนังสือหรืออะไรสักอย่างที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ กองทัพหนังสือนับพันนับหมื่นเล่ม ผู้คนมากมายแน่นขนัดเข้ามาเลือกซื้อหนังสือหนังหา ภาพนักเขียนคนโปรดแจกลายเซ็น ยิ่งจุดประกายให้โซดาวาดฝันว่าสักวันเธอจะนั่งที่หน้าเวทีแจกยิ้มหวานและนั่งเซ็นชื่อหนังสือของตนเองจนมือเป็นระวิง
พอกลับมาถึงขอนแก่นโซดาเม้าท์แหลกกับเพื่อนฝูงเอาตั๋วรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดินที่อุตส่าห์ลงทุนซื้อเก็บไว้ไปเอาอวดเพื่อนและประกาศว่าวันหนึ่งเธอจะเป็นนักเขียน โซดาแอบฝึกเซ็นชื่อ หาลายเซ็นสวยๆ ดูจากลายเซ็นของดาราในหนังสือนิตยสารวัยรุ่นแล้ววันหนึ่งครูประจำชั้นของเธอผ่านมาเจอโซดาที่กำลังมุ่นมั่นกับลายเซ็นของตัวเองอยู่นั้น ครูหญิงวัยกลางคนก็เอ่ยเบาๆ กับเธอ
“เธอน่าจะเอาเวลาไปเขียนนิยายให้จบเรื่องก่อนค่อยมาฝึกแจกลายเซ็นอย่างนี้นะ”
แค่คำพูดประโยคเดียวเรียกสติของโซดากลับมาได้ นั้นซิ อย่าว่าแต่นิยายเลยเรื่องสั้นสักเรื่องก็ยังไม่สำเร็จ นี่ฉันมัวทำอะไรอยู่นะเนี่ย…
โซดาจึงกลับมาเริ่มต้นอ่านหนังสืออีกครั้งตามคำแนะนำของครูประจำชั้น และการได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ครั้งนี้เธอมุ่งหวังและตั้งใจอย่างมาก...ว่าจะต้องไปถึงสิ่งที่ฝันให้ได้
เด็กสาวหยิบสมุดบันทึกไร้เส้นของตนออกมาจากเป้ นั่งอ่านลายมือเหมือนถั่วงอกที่โตไม่เต็มที่ของตัวเอง โครงเรื่องหลัก โครงเรื่องรอง คาเร็กเตอร์ตัวละคร เออ..ปวดหัวเหมือนกันแหะ แต่โซดาก็แอบฝันหวานถึงวันหนึ่งที่ตัวเองจะได้มีโอกาสได้ทำงานกับสำนักพิมพ์ “ยักษ์ใหญ่” จนได้ เอานะ...ว่ากฎข้อหนึ่งของนักเขียนที่เธอตั้งขึ้น คิดถึงวันดีๆ ให้ชีวิตสดชื่นแล้วตื่นมาวิ่งไล่ความฝันให้เป็นจริง
แล้วอยู่ๆ โซดาก็คิดถึงชายหนุ่มแปลกหน้าที่สวมแว่นตาทรงกลมกรอบเงินวาว เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในแววตาหลังแว่นตานั่น
‘ปิ๊งฉันเหรอ?’
ไม่น่าจะใช่แหะ ใครจะมาสนใจสาวบ้านนอกท่าทางทอมบอยอย่างเธอได้นะ นี่ดีนะที่ไว้ผมยาว ไม่งั้นคงนึกว่าเป็นผู้ชายแน่ๆ แถมรูปร่างก็ออกแบนๆ อย่างกับไข่ดาวไม่ได้หน้าตาน่ารักสดใสอ่อนหวาน อย่างกับคนที่เธอทำเปิ่นไปยืนขวางประตูคุณหนูคนสวยคนนั้น
ว่าแต่... ยังเหลือเวลาอบรมการเขียนอีกตั้งสองวัน จะได้เจอ ผู้ชายเสื้อฟ้าใต้ต้นไม้คนนั่นอีกไหม อยากรู้จัง.
รายละเอียด
ชีวิตใหม่โซดาสาวน้อยสุดซ่าอายุสิบเจ็ดปี หอบหิ้วความฝันอยากเป็นนักเขียนชื่อดังเข้าเมืองกรุงเทพฯ มาอาศัยอยู่กับพี่เบียร์พี่ชายแท้ๆ ที่อายุห่างกันถึงหกปี พี่เบียร์ทำงานเป็นกัปตันในร้านอาหาร ชื่อ “ชื่นบุรี” แต่ระหว่างปิดภาคเรียน โซดาก็ทำงานพิเศษที่ร้านหมูหยองอินเตอร์เนท ร้านเล็กๆที่เจ้าของไม่ค่อยใส่ใจจนโซดาแทบจะกลายเป็นเจ้าของร้านเสียเอง ในวันที่สาวโซดามาอบรมนักเขียนหน้าใหม่ ได้พบชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ใช่คนแต่เป็น “วิญญาณพเนจร” ที่มีโซดาเท่านั้นที่มองเห็น และที่เลวร้ายที่สุดคือ เป็น “ผีที่ความจำเสื่อม” เพราะเธอคือคนเดียวที่มองเห็นเขา เรื่องวุ่นวายในการตามสืบเสาะความจริงจึงเกิดขึ้นพร้อมความผูกพันที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้. ชื่อหนังสือ ปฏิบัติการหัวใจคุณผียอดวุ่น ประเภท นิยาย ผู้แต่ง เพลงมีนา จำนวนหน้า 240 หน้า ราคาปก 139 บาท ราคาขาย 79 บาท