ชีวิตนี้เป็นของเรา (บุญญรัตน์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 

            วันนั้นเป็นวันในฤดูร้อนของเดือนมิถุนายน อากาศร้อนอบอ้าวครึ้มฟ้าครึ้มฝน เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มอยู่เป็นระยะๆ มิสซิสคอสโซลิน่า เดินไปเปิดไฟ ห้องครัวสว่างขึ้น แล้วจึงเดินไปที่เตาใช้ช้อนตักซุปในหม้อขึ้นมาชิมแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ซุปทั้งข้นทั้งมันรสชาติกลมกล่อมดีเหลือเกิน หันไปหยิบเนื้อไก่ที่หั่นไว้เรียบร้อยแล้วใส่ลงในหม้อ โรยเครื่องเทศลงไปบางๆ ท้องฟ้าภายนอกดูมืดจนผิดปกติทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลากลางคืน

          โดยอาชีพนางผดุงครรภ์ เธออดคิดอย่างกังวลใจไม่ได้ว่า ผู้หญิงอเมริกันนี่แปลกอยากมีลูกกันนัก แต่ไม่อยากเลี้ยง ใครเคยได้ยินเรื่องโง่ๆแบบนี้บ้าง โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ที่อารยะธรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็ช่างเถอะ แต่นี่อยู่ในเมืองเล็กๆเก่าๆที่ยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีหลงเหลืออยู่บ้าง มันก็ยังอุตส่าห์เกิดขึ้นจนได้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันไปหมด และแล้วก็อดคิดเอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบไม่ได้ ที่เธอมีลูกถึง 7 คน และเลี้ยงมาด้วยลำแข้งแท้ๆนับแต่วันที่สามีตายลง

            เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้นครั้งหนึ่งสั้นๆ เธอผงกศีรษะนิดหนึ่งและเงี่ยหูฟัง ขณะเดียวกันก็คิดอยู่ในใจว่า ใครกันนะที่จะมาหาในเวลาอย่างนี้ คนไข้ที่ฝากท้องไว้ ส่วนใหญ่ก็ครบกำหนดคลอดกันเดือนหน้าทั้งนั้น ท่าจะเป็นพวกขายของเร่กระมัง..

            “มาเรีย..”เธอร้องเรียกลูกสาวคนโต “ไปดูทีสิว่าใครมาที่หน้าประตู”

            ไม่มีเสียงตอบ..เสียงกริ่งกดเรียกดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ดูจะแฝงแววร้อนรนอยู่มาก มิสซิสคอสโซลิน่าล้างมือลวกๆ เช็ดอย่างรีบร้อนกับผ้าเช็ดมือที่แขวนไว้ข้างประตู เดินผ่านห้องโถงออกไปยังประตูหน้าบ้าน

            เด็กสาวคนหนึ่ง ท่าทางกระวนกระวายไม่น้อยยืนอยู่ที่นั่น ในมือถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆไว้ ใบหน้าซูบซีดอิดโรย ดวงตามีแววตระหนกตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัดและจากรูปร่างก็บอกให้รู้ว่ากำลังท้องแก่เต็มที สายตาที่ชำนิชำนาญของมิสซิสคอสโซลิน่าเก็งได้ทันทีว่า..กำลังใกล้คลอดแล้ว

            “คุณเป็นผดุงครรภ์ใช่ไหมคะ?” เด็กสาวถามเสียงเบา ความกังวลใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น

            “ใช่ค่ะ..คุณ..”มิสซิสคอสโซลิน่ามองดูท่าทางเด็กสาว รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังเผชิญกับความผิดปกติบางอย่างอยู่

            “ดิฉันต้องขอโทษค่ะที่มารบกวน..ดิฉันอยู่นิวยอร์กค่ะ..แต่..ดิฉัน..”ริมฝีปากเด็กสาวสั่นระริก ดูเหมือนจะสั่นไปทั้งตัวด้วยซ้ำ  “ดิฉันกำลังจะคลอดค่ะ แต่ไม่รู้จะไปที่ไหน”

            มิสซิสคอสโซลิน่าหยุดคิดนิดหนึ่ง ถ้ารับเด็กสาวคนนี้ไว้ มาเรียเห็นจะต้องย้ายห้องไปนอนรวมกับน้องๆ ซึ่งแกคงไม่ชอบใจแน่..บางทีเด็กคนนี้คงไม่มีเงินเสียค่าใช้จ่ายเสียด้วยซ้ำ เธอชำเลืองดูที่มือ ก็เห็นแหวนทองเกลี้ยงสวมอยู่ในนิ้วนางข้างซ้าย..แสดงว่าต้องแต่งงานมาอย่างถูกต้อง..แต่สามีไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ..?

            “แต่ฉันไม่มีห้องหรอกค่ะ..”

            “ดิฉัน..ดิฉันมีเงิน..” เด็กสาวพูดเหมือนจะอ่านใจเธอออก

            “จริงๆค่ะ เราไม่มีห้องสำหรับคนไข้เลย”

            “คุณต้องมีค่ะ” เสียงเล็กๆนั้นอ้อนวอนแกมบังคับ “ดิฉันไม่มีเวลาจะไปที่ไหนอีกแล้ว ดิฉันมาที่นี่เพราะเห็นคุณขึ้นป้ายไว้ว่าผดุงครรภ์ไงคะ”

            มิสซิสคอสโซลินาถอนหายใจ มาเรียน่าจะต้องนอนกับน้องเสียแล้ว ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ เพราะดูท่าเด็กสาวจะไปต่อไม่ไหวจริงๆ”

            “เอา..เข้ามาก็แล้วกัน” เธอตอบอย่างตัดสินใจ เอื้อมมือไปดึงกระเป๋าเสื้อผ้ามาช่วยถือให้

            เด็กสาวเดินตามมิสซิสคอสโซลิน่าเข้าไปในห้องโถงที่เปิดไฟไว้เพียงดวงเดียวและขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของมาเรีย ซึ่งจากหน้าต่างกระจกในห้องนั้น จะมองออกไปเห็นอาคารที่อยู่ติดต่อกันได้

            “ถอดเสื้อคลุมออกเสียสิคะ ทำตัวให้สบาย” เธอเข้าไปช่วยถอดเสื้อคลุมให้เด็กสาวและพยุงร่างเล็กๆให้นอนลงบนเตียง

            “ปวดนานสักเท่าไหร่แล้วคะนี่?”

            “สักชั่วโมงเห็นจะได้ค่ะ ดิฉันไปต่อไม่ไหวจริงๆเลยต้องหยุดที่นี่”

            มิสซิสคอสโซลิน่าพินิจพิจารณาเด็กสาว เห็นมีท่าทางตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะไม่เคยคิดมาก่อนก็ได้ว่า จะต้องคลอดลูกในสภาพอย่างนี้ น่าจะเป็นในโรงพยาบาล ซึ่งมีบุคคลอันเป็นที่รักเช่นสามี คอยช่วยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ หรือมิฉะนั้นก็ควรจะเป็นที่บ้านซึ่งมีทั้งพ่อแม่หรือญาติ คอยดูแลอย่างใกล้ชิด แต่เด็กสาวผู้นี้กลับไม่มีใครเลย ช่างน่าสงสารเสียจริง

            อีกครั้งหนึ่งที่เธอพิจารณารูปร่างของเด็กสาวที่นอนหลับตาอยู่เบื้องหน้าและรู้สึกหนักใจอยู่บ้าง ที่รูปร่างของแกดูจะเล็กเกินไป เชิงกรานเล็กนิดเดียว มีลักษณะที่จะคลอดยาก และเมื่อตรวจภายในดู ก็พบว่าจะต้องรอเวลาอีกประมาณ 6-7 ชั่วโมง เพราะปากมดลูกยังไม่เปิด..

            ธรรมชาตินี่ก็แปลก เด็กสาวจะกลายเป็นผู้หญิงเต็มตัวขึ้นมาได้ ก็ภายหลังจากที่ให้กำเนิดทารกแล้วเท่านั้น มิสซิสคอสโซลิน่ามองดูเด็กสาว เกิดความเวทนาลึกๆขึ้นในใจ

            “ยังมีเวลานะคะคุณ ต้องรอหน่อย แต่อย่ากังวลไปเลย ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก ฉันก็คลอดเองทั้งนั้น ตั้งเจ็ดคนแน่ะค่ะ”

            เด็กสาวยิ้มรับคำพูดฝืนๆ

            “ดิฉันขอบคุณ..ขอบคุณอย่างที่สุดเลยค่ะ”

            “ไม่ต้องขอบคุณหรอก..เอาละค่ะ ตอนนี้คุณต้องพยายามนอนให้หลับนะ ฉันจะลงไปข้างล่างก่อน อีกสักครู่จะขึ้นมาดูอาการให้ ถ้าได้นอนพักเสียหน่อยก่อนถึงเวลาคลอดนี่จะดีมากทีเดียว เอาละค่ะ..พักผ่อนเสียให้สบาย”

            เธอยิ้มให้เด็กสาวอย่างปลุกปลอบ จากนั้นก็เดินลงบันไดกลับไปยังห้องครัวที่ทำอาหารค้างไว้ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมถามชื่อคนไข้เสียสนิท

            “ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยถามก็ได้” เธอบอกตัวเองและทำอาหารต่อไปจนเสร็จ

           

            เด็กสาวปิดเปลือกตาลงทันทีที่ร่างของนางผดุงครรภ์ผู้อารีลับไป พยายามจะนอนให้หลับแต่ก็เป็นไปไม่ได้ ความคิดต่างๆผ่านเข้ามาในสมองจนสับสน ไม่อาจข่มใจให้หลับลงได้ มันเหมือนกับเวลาที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างรถไฟ มองดูทิวทัศน์ภายนอกโดยเฉพาะ “บ้านและยอร์ช” ดูจะเป็นภาพที่แจ่มชัดที่สุดในความนึกคิด

            เด็กสาวคนวนเวียนอยู่แต่ว่า..เขาจะคิดเป็นห่วงฉันบ้างหรือไม่หนอ..ยอร์ชไปอยู่เสียที่ไหน..นานเหลือเกินแล้วที่เราไม่ได้พบกัน ก็วันนี้ไม่ใช่หรือที่ยอร์ชน่าจะอยู่เคียงข้าง เฝ้ารอดูลูกของเราที่จะเกิด”

            เธอสะท้านสะเทือนไปทั้งอารมณ์ น้ำตาไหลพร่างพราย นึกถึงตอนที่เธอไปดักพบเขาตรงหัวมุมถนนใกล้ๆร้านขายของ ตอนนั้นฝนกำลังตกหนัก ลมพัดแรงน่ากลัวเสียเหลือเกิน แต่ก็อุตส่าห์คอยอยู่ถึง 2 ชั่วโมง ก่อนจะย้อนกลับเข้าไปในบ้าน

            เมื่อเช้านี้ก็ลองโทรศัพท์ไปที่ทำงานของเขา แต่คนที่นั่นบอกว่า เขาออกไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อวานนี้และยังไม่ได้กลับเข้ามา ดูเหมือนความรู้สึกร้อนใจนั้น เร่งเร้าให้เธอรู้สึกอยากพบเขามากขึ้น แต่ก็ไม่ได้พบกันจนแล้วจนรอด ยอร์ชไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย เขาไม่ใช่คนที่จะปล่อยปละละเลยอะไรถึงเพียงนั้น มันอาจมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาก็ได้

            เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง อยากรู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าไรแล้ว เสียงฟ้าร้องดังอยู่เป็นระยะมองเห็นฟ้าแลบเป็นทาง ดูท่าว่าฝนจะตกหนักอีก ทั้งๆที่เพิ่งซาไปเมื่อชั่วครู่ อากาศดูมีความกดดันหนักๆอย่างไรพิกล ในท่ามกลางความสงัดเงียบของห้องนั้น เธอได้ยินเสียงจานกระทบกัน เสียงคนพูดดังแว่วๆมาจากห้องครัวที่อยู่ตรงกับห้องนอนพอดี

            มิสซิส คอสโซลิน่า ห้ามลูกๆไม่ให้ส่งเสียงดัง ทันทีที่พวกแกกลับมาจากข้างนอก ค่อยๆอธิบายให้มาเรียฟังว่า ขณะนี้ได้อนุญาตให้คนไข้เข้าไปนอนพักอยู่ในห้องของแกและสัญญาว่า ถ้าแกไม่โวยวาย ยอมไปนอนร่วมกับพวกน้องๆดีๆแล้ว แม่จะให้รางวัล ซึ่งมาเรียดูจะพอใจในข้อเสนออยู่ จึงยอมสละห้องให้จนกว่าจะเสร็จเรื่องเรียบร้อย

            หลังจากรับประทานอาหารค่ำกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว มิสซิสคอสโซลิน่าก็เหลือบดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหลังตู้น้ำแข็ง จวนจะ 2 ทุ่มแล้ว เธอผลุดลุกขึ้นยืนทันที รู้สึกว่าปล่อยให้คนไข้นอนรออยู่เพียงลำพังนานจนเธอไม่ได้ยินเสียงร้องเลย ดูจะผิดกว่าคนไข้รายอื่นๆเกือบ 4 ชั่วโมงเห็นจะได้ ต้องนับว่าเป็นคนไข้ที่มีความอดทนดีมาก เพราะเธอไม่ได้ยินเสียงร้องเลย ดูจะผิดกว่าคนไข้รายอื่นๆ

            “เป็นยังไงบ้างคะคุณ?” มิสซิสคอสโซลิน่าเดินเข้าไปในห้องลูบศีรษะเด็กสาวเบาๆ

            “”คงไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวตอบเรียบๆ

            “ตอนนี้เจ็บถี่ไหมคะ?” เธอโน้มกายลงจับที่หน้าท้อง

            “ก็ประมาณทุกๆครึ่งชั่วโมงค่ะ”

            “ดีค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ”

            เธอเริ่มลงมือตระเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อเตรียมทำคลอด สั่งให้มาเรียต้มน้ำร้อนและหาผ้าเช็ดตัวสะอาดๆไว้ 2-3ผืน

            เที่ยงคืนเห็นจะได้ที่พายุพัดกระหึ่มไปทั่วทั้งเมืองและเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่เด็กสาวกำลังจะคลอด ความเจ็บปวดรวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง เด็กสาวขบริมฝีปากแน่น มือกำผ้าที่ผูกไว้เหนือเตียง ร่างสั่นสะท้านอยู่ด้วยความเจ็บปวดที่จู่โจมเข้ามาอย่างไม่เคยประสบมาก่อน ใบหน้าซีดเผือด ความหวาดกลัวฉายชัดออกมาทางแววตาที่เบิกกว้าง

            ประมาณตี 2 ที่นางผดุงครรภ์ส่งลูกชายคนโตของเธอออกไปตามหมอบูนาเวนตา ที่มีคลินิกอยู่ตรงหัวมุมถนน สั่งกำชับอีกด้วยว่า ขากลับให้แวะไปหาพระสักองค์หนึ่งซึ่งอยู่ที่โบสถ์ใกล้บ้าน

            หมอลงมือทำงานทันทีที่มาถึง จำเป็นต้องผ่าตัดเอาเด็ดออก โดยมีนางผดุงครรภ์เป็นผู้ช่วย..

            ในที่สุด ทารกน้อยเพศชายตัวเขียวปื๋อคนหนึ่งก็ถือกำเนิดออกมาดูโลก มิสซิสคอสโซลิน่าตบก้น จนได้ยินเสียงเด็กร้อง หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดให้ ขณะเดียวกัน พระก็เข้ามาทำหน้าที่อยู่ข้างเตียง เธอคุกเข่าลงข้างเตียงนั้นอย่างอ่อนแรงและอธิษฐานเพื่อจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์

            อย่างน้อยเด็กสาวคนนี้ก็อายุน้อยเหลือเกิน แต่ใจแข็งอย่างน่าชมเชยมากและคงจะสูญเสียสามีไป เช่นเดียวกับที่เธอเคยสูญเสียมาแล้ว

            บนเส้นใยชีวิตที่เบาบางเต็มที เด็กสาวค่อยๆหันหน้ามาทางนางผดุงครรภ์ผู้มีใจกรุณา เผยอยิ้มน้อยๆ มิสซิสคอสโซลิน่าซึ่งอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน ค่อยๆวางร่างทารกลงบนเตียงข้างๆกายผู้เป็นแม่ เด็กสาวถอนหายใจเบาๆและหลับตาลง

            ทันใดนั้น มิสศิสคอสโซลิน่าก็นึกขึ้นมาได้ว่า เธอยังไม่ได้ถามชื่อคนไข้ที่นอนอยู่เบื้องหน้าเลย จะปล่อยให้ทารกเกิดมาโดยไม่มีชื่อได้อย่างไร

            “คุณ..คุณคะ..คุณชื่ออะไร?”

            เด็กสาวเบิกตาขึ้นช้าๆ แววตานั้นเหมือนคนที่ได้กลับมาบ้านอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่จากไปเป็นเวลานาน

            “ฟรานซิส เคน” จากนั้นเปลือกตาก็ปิดสนิทลง ขากรรไกรตก ใบหน้าซบลงบนซีกหนึ่งของหมอน

            มิสซิส คอสโซลิน่าอุ้มทารกขึ้นไว้ในอ้อมแขน มองดูนายแพทย์ที่กำลังใช้ผ้าคลุมลงไปบนร่างเล็กๆที่น่าสงสารและหันมาพูดกับเธอว่า

            “เราต้องทำใบแจ้งเกิด จะให้เด็กชื่ออะไรล่ะ?”

            “ฟรานซิส เคนค่ะหมอ” มิสซิสคอสโซลิน่าตอบทันที อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะใช้ตามผู้เป็นมารดา

            น่าเวทนานักที่พอลืมตาขึ้นดูโลกก็ต้องพบกับความโหดร้ายของชีวิตทันที..

            อาจเป็นเพราะวิบากกรรมกระมัง..?

--------------------------------

บทที่ 1

 

          บนถนนสายใหญ่ คือที่ตั้งของวิหารเซ้นท์ เทอเรซ

          ขณะนั้นเป็นเวลา 08.00น. ในตอนเช้า เสียงระฆังดังกังวานขึ้น เด็กๆกำลังเข้าแถวกันอย่างมีระเบียบเพื่อจะได้เดินเข้าชั้นเรียน ซิสเตอร์ 2-3คน กำลังเดินลงมาที่สนาม เมื่อนาทีที่แล้วทุกคนยังเล่นกันอย่างสนุกสนาน ตะโกนหัวเราะกันดังลั่น แต่ขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในความสงบ ทุกคนต่างเดินเคียงกันเป็นแถวเรียงสองเงียบๆขึ้นบันไดไปยังห้องเรียน

          เสียงซิสเตอร์แอนน์ดังขึ้นว่า..

          “เด็กๆเตรียมตัว เราจะร่วมกันนมัสการ” จากนั้นทุกคนก็พนมมือไว้บนโต๊ะ ก้มศีรษะลงนมัสการพระเจ้า

          ผมถือโอกาสนั้นยิงหนังสติ๊กใส่หลังเจอรี่ โควาน มันเข้าเป้ากลางหลังพอดี..ตลกชะมัด ผมจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเสียให้ได้แต่ก็กลั้นไว้ทัน เพราะตอนนั้นยังอยู่ในช่วงเวลานมัสการ

            เจอรี่หันซ้ายหันขวา เพื่อหาว่าใครเป็นตัวการทันทีที่การนมัสการเสร็จลง แต่ผมแกล้งทำเป็นก้มลงหยิบหนังสือทำไม่รู้ไม่ชี้

            “ฟรานซิส!” เสียงซิสเตอร์แอนน์ดังขึ้น

            ผมลุกขึ้นยืนทันที รู้สึกวางหน้าไม่ใคร่สนิทนัก น่ากลัวซิสเตอร์จะจับได้เสียแล้ว ว่าผมยิงหนังสติ๊กใส่เจอรี่ แต่ไม่ยักใช่ เพราะซิสเตอร์สั่งให้ผมไปเขียนวันที่บนกระดานดำ

            ผมเดินออกไปหน้าชั้น หยิบชอร์กขึ้นมาเขียนลงไปว่า

            “วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 1925”

            “เท่านั้นละฟรานซิส ไปนั่งที่ได้”

          เช้าวันนั้นผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย อากาศร้อนอบอ้าว โรงเรียนจะปิดเทอมในอีก2-3วันข้างหน้านี้แล้ว ซึ่งผมก็ออกจะดีใจอยู่มากๆเพราะมันน่าเบื่อจนบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเรียนกันไปทำไม อีกอย่างหนึ่งผมก็อายุ 13 แล้วและโตกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก

            รอให้โรงเรียนปิดก่อน ผมจะไปหาจิมมี่ โคช ซึ่งเขาจะให้งานผมทำ อย่างน้อยก็วิ่งเก็บโต๊ดจากลูกค้าที่เขาไม่มีเวลาไปเอง หรือไม่ก็เฝ้าร้านช่วยขายของเวลาที่เขาไม่ว่าง เผลอๆผมอาจจะได้อาทิตย์ละ 10 เหรียญด้วยซ้ำ ผมไม่เห็นจะได้อะไรเป็นเงินเป็นทองขึ้นมาจากการเรียนหนังสือเลย

            อย่างเวลาอาหารกลางวันก็เหมือนกัน เด็กอื่นๆได้รับอนุญาตให้กลับไปกินอาหารกลางวันที่บ้านได้ แต่ผมกลับต้องไปกินที่โรงอาหารด้านหลังโรงเรียน พวกเด็กกำพร้าต้องมากินร่วมกันที่นี่ทุกคน ซึ่งอาหารกลางวันก็มีนมกับแซนด์วิชและเค๊กก้อนเล็กๆอีกก้อนหนึ่งเป็นประจำ แต่ที่จริงแล้ว อาหารที่พวกเรากินนั้นดีกว่าของพวกเด็กที่กลับไปไปกินที่บ้านมาก

            หลังจากโรงเรียนเลิกตอนบ่าย มันร้อนเกินไป ผมจึงวางแผนที่จะไปว่ายน้ำเล่นที่สะพานท่าเรือ แต่ยังจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครั้งหลังสุดที่ผมไปที่นั่น

            ผมเกือบจะชนะเลิศในการแข่งขันว่ายน้ำอยู่แล้ว เพราะเล่นมันอาทิตย์ละ 7 วันเลยและคุณต้องไม่ลืมว่า ผมเป็นเด็กกำพร้าประจำโรงเรียน เพราะฉะนั้นก็จะต้องกลับไปนอนที่โรงเรียนทุกคืน แต่เพราะผมหายตัวอยู่เป็นประจำ ซิสเตอร์ผู้ดูแลเด็กๆจึงส่งรายงานการหายตัวของผมให้คุณพ่อเบิร์นฮาร์ท ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลทั้งวัดและคน ผมเลยจัดการตอบจดหมายนั้นเสียเอง โดยบอกว่า “เด็กป่วย” พร้อมทั้งเซ็นชื่อส่งไปเสร็จว่า “เบิร์นฮาร์ท”

            ความมันมาแตกตอนที่ซิสเตอร์เกิดใจดีมาเยี่ยมผมเข้า แต่ไม่พบเพราะวันนั้นผมฉลองหนังเสีย 4 เรื่อง พอกลับเข้าโรงเรียนก็พบว่า คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทกับซิสเตอร์แอนน์กำลังคอยอยู่แล้ว ผมได้ยินคุณพ่อคำรามออกมาว่า

            “นั่นไง..ไอ้ตัวดีมาแล้ว ต้องเอาให้ป่วยขนาดหนักเลย” คุณพ่อเดินตรงเข้ามาหาผม “ว่าไง..ไปไหนมา ไปทะลึ่งอยู่ที่ไหน..หา..?” น่าแปลกที่ว่าน้ำเสียงของท่านทำให้ผมรู้สึกว่า ราวม่านมันสะเทือนขึ้นมาได้เฉยๆอย่างนั้นแหละ”

            “ผมไปทำงานครับ”

            “อ๋อ..ทำงาน ไอ้โกหก” ท่านซัดผลัวะลงบนใบหน้าของผม

            ซิสเตอร์แอนน์เองก็ตกใจไม่น้อย..

            “ฟรานซิส..ฟรานซิส..ทำไมถึงทำอย่างนี้ รู้ไหมว่าฉันหวังเธอไว้มากแค่ไหน?”

            ผมพูดไม่ออก คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทตบที่กกหูอีกครั้ง

            “ตอบครูสิ..!”

            คราวนี้ผมเงยขึ้นเผชิญหน้ากับท่านทันที แล้วทุกคำพูดก็หลั่งไหลออกมาจากใจผม

            “ครับ..ผมไม่ได้โกหก ผมป่วยจริงๆ..ผมเบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง เบื่อโรงเรียน เบื่อสภาพการเป็นเด็กกำพร้า คุณพ่อเห็นสภาพผมที่นี่ไหมครับ ว่ามันเป็นยังไง นักโทษในคุกที่นี่ยังไงล่ะครับ นักโทษจริงๆที่อยู่ในคุกจริงๆยังมีอิสรภาพมากกว่าผมเสียอีก ผมทำผิดหรือครับ..เปล่าเลย แล้วทำไมผมถึงต้องถูกกักขังถึงขนาดนี้ ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ ในพระคัมภีร์บอกไว้ไม่ใช่หรือครับว่า..การพูดความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากบาปทั้งปวง..

            “คุณพ่อสอนให้เรารักพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงมีเมตตาต่อเราอย่างหาที่เปรียบมิได้ คุณพ่อให้พวกเราเริ่มวันใหม่ด้วยการสวดมนตร์อธิษฐานและขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่เราได้เกิดมาเพื่อจะได้อยู่แต่ในคุก..!  อยู่อย่างไร้อิสรภาพอย่างนั้นหรือครับ?”

            ผมสะอึกสะอื้น ไม่อับอายขายหน้าที่จะร้องไห้อีกต่อไปแล้ว..

            น้ำตาคลอเต็มตาซิสเตอร์แอนน์ คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทเงียบกริบไปทันที ซิสเตอร์แอนน์เดินเข้ามาโอบผมไว้ในอ้อมแขน

            “ฟรานซิส..ฟรานซิส..แล้วเธอไม่เห็นหรอกหรือว่า ที่เราทำทุกอย่างนั้นก็เพื่อช่วยเหลือตัวเธอเอง” เสียงของซิสเตอร์แผ่วเบา            ราบเรียบ “รู้ไหมว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนั้นมันเป็นความผิด..ผิดอย่างมากด้วย”

            ความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยได้สัมผัสความอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน อยู่ในอ้อมอกของผู้หญิงที่เคยเห็นเธอเป็นครูคนหนึ่งเท่านั้น แต่พลังหรืออานุภาพแห่งความอบอุ่นนั้น ช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ผมก้มลงเบียดซุกใบหน้าลงกับทรวงอกของเธอ ซิสเตอร์แอนน์ก้มลงมองดูผมอย่างประหลาดใจและผมก็เงยขึ้นมองหน้าเธอด้วย

            “เธอต้องสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก”

            “ครับผมสัญญา” ผมตอบออกไปโดยอัตโนมัติ ซิสเตอร์แอนน์จึงเดินเข้าไปหาคุณพ่อเบิร์นฮาร์ท

            “เขาได้รับการลงโทษเพียงพอแล้วค่ะ และให้สัญญาแล้ว ว่าต่อไปนี้จะประพฤติตนเป็นคนดี ดิฉันจะอธิษฐานให้จิตวิญญาณของเขาด้วยค่ะ” เธอผลักผมให้ออกห่างและเดินออกไปจากห้อง

            ผมหันไปทางคุณพ่อเบิร์นฮาร์ท ท่านมองดูผมอยู่ครู่สั้นๆแล้วก็บอกว่า

            “ไปกินซัปเปอร์เสีย”

            จากนั้นท่านก็เดินนำออกไปทางห้องอาหาร

            ผมอายุ 13ปีแล้ว ตัวโตกว่าวัยมากและเชื่อว่า บนท้องถนนไม่มีใครตัวใหญ่เกินผมแน่ วันนี้เพิ่งจะเป็นวันแรกที่ไม่ได้ไปเล่นดำน้ำ มันมีความสุขอย่างเหลือเกินเวลาที่เราปล่อยให้ตัวลอยไปตามผิวน้ำ แต่วันนี้ผมจะตั้งใจใหม่ ทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับซิสเตอร์แอนน์ ว่าจะเป็นคนดีตั้งอกตั้งใจเรียน มันตงิดๆอยู่ในใจอย่างไรไม่รู้ ตอนที่ผมเพิ่งค้นพบความเป็นผู้หญิงของซิสเตอร์ทั้งๆที่ผมเพิ่งอายุ 13 ปีเท่านั้น

          ตอนที่ผมลงไปที่สนามหน้าโรงเรียนนั้น เด็กๆยังไม่ได้เข้าแถว ใกล้กับประตูใหญ่เกมลูกบอลกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่เจอรี่ โควานกับพวกกำลังเดินตามาข้างหลัง ผมได้ยินเสียงหัวเราะก็เลยเหลียวหลังไปมอง

            “ขันอะไรกันนักหรือวะ?” ผมถามพาลๆ

            “อ๋อ..ใช่..ก็เรื่องหนังสติ๊กนั่นไง คิดว่าฉันไม่รู้สิท่าว่าเป็นฝีมือนาย”

            “เออวะ..ยังไงก็ได้”

            “เฮ่ย..!” เจอรี่หัวเราะลั่น

            แล้วเราก็นั่งลงด้วยกันที่ขอบสนาม ดูเขาเล่นบอลกันจนโรงเรียนเข้า เจอรี่ โควาน เป็นลูกชายนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ส่วนผมคือไอ้เหียกตัวหนึ่งจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเซ้นท์ เทอเรซ ซึ่งพระเจ้าจับให้เราเข้ามาอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน แล้วยังแถมเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย..ชีวิตนี้ช่างน่าแปลกเสียจริง..

----------------------------------
 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024