ใต้เงาจันทร์ (พินธุนาถ) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ใต้เงาจันทร์
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 350.00 บาท 87.50 บาท
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทที่ ๑

 

รถยุโรปคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดเทียบที่เทอเรซหน้าตึก ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากประตูรถด้านหลัง สาวใช้ซึ่งออกมายืนรออยู่แล้วรีบวิ่งเข้ามารับกระเป๋าเอกสาร และเสื้อสูทที่เขาพาดไว้ที่แขน ก่อนจะเดินตามเจ้านายผ่านโถงด้านหน้าไปตามทางเดินยาวข้างสระว่ายน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งขนานไปกับตัวตึกอันทันสมัยด้านหลังที่สร้างมาบรรจบกับตึกเก่าด้านหน้าจนมีลักษณะเป็นรูปตัวแอล

            นายกิจจาประมุขของบ้านเป็นผู้ออกแบบด้วยตัวเอง จากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการรับเหมาก่อสร้างมาเกือบค่อนชีวิต ตั้งแต่เป็นผู้รับเหมารายเล็กๆ มีคนงานไม่ถึงสิบคน จนทุกวันนี้เติบโตเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่

            คฤหาสน์สูงสามชั้นมีระเบียงยาวแล่นถึงกันได้ ชั้นสองและชั้นสามเป็นที่พักอาศัย ชั้นล่างเป็นห้องต่างๆ ที่ใช้เป็นพื้นที่ส่วนรวม ทั้งห้องอาหาร ห้องสมุด ห้องฟิตเนส ห้องรับแขกและห้องนั่งเล่นที่มีถึงห้าห้อง ส่วนตึกเก่าด้านหน้าชั้นล่างใช้เป็นที่รับแขก และเก็บพวกของเก่าที่นายกิจจาสะสมเอาไว้

            ชายหนุ่มเดินไปพลางพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นไปเหนือศอก สาวใช้รายงานว่า

            “คุณท่านสั่งว่าคุณโตกลับมาแล้วให้ขึ้นไปพบท่านด้วยค่ะ”

            อีกฝ่ายเลิกคิ้วด้วยท่าทีน่ามอง ก่อนจะพยักหน้าให้ เขาเทียบว่ารอยพับของแขนเสื้อที่พับขึ้นไปทั้งสองข้างเท่ากันแล้ว จึงกดปุ่มหน้าลิฟต์ที่อยู่ตรงมุมตึกเพื่อขึ้นไปที่ชั้นสาม ซึ่งเป็นห้องชุดของผู้เป็นประมุขของบ้าน เขากับปู่อยู่ที่ตึกหน้าคนละชั้น ส่วนครอบครัวของบิดาและคนอื่นๆ อยู่ที่ตึกหลังใหม่ด้านหลัง

            ประตูลิฟต์เปิดออก บนพื้นทางเดินปูพรมสีน้ำเงินสดลาดจากโถงด้านหน้าไปสู่ประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ ชายหนุ่มหยุดยืนแล้วเคาะประตูเบาๆ

            “คุณปู่ครับ ผมมาแล้วครับ”

            เสียงขานรับจากคนข้างในบอกให้เขาเข้าไปได้ เมื่อเดินเข้าไปตรงส่วนรับแขกก็เห็นสาวสวยร่างแบบบางในชุดกระโปรงสั้นชวนวาบหวิว นั่งอยู่กับชายสูงวัยอายุกว่าหกรอบในลักษณะแอบอิงแนบชิด

            ท่านประธานบริษัทเครือศศิวงศ์กรุ๊ปยังดูหนุ่มแน่นกว่าวัยก็จริง เงินทองบันดาลให้เป็นได้ดังนั้น แต่ศตายุอดคิดไม่ได้ว่าวัยขนาดนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านโลกมาอย่างโชกโชน น่าจะถึงเวลาพักผ่อนดำรงชีวิตอยู่ในความสงบมากกว่า ความคิดอย่างนี้ผ่านแวบเข้ามาในสมองเขาเป็นครั้งคราว แต่การขัดใจหรือขัดแย้งกับการกระทำของฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยของเขา ศตายุจึงจำต้องมองให้เห็นเป็นเรื่องปกติ

            “คุณปู่มีธุระอะไรกับผมหรือครับ” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อน ชำเลืองมองไปทางหญิงสาวที่ซุกกายอยู่ในอ้อมแขนของปู่เขาแวบหนึ่ง โดยไม่มีทีท่าว่าประสงค์จะทักทายฝ่ายนั้น

            ดูท่าทางคงจะแก่กว่าธราดลไม่กี่ปี หน้าตาสวยจัดทีเดียว รูปร่างก็ใช้ได้ หล่อนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามียี่ห้อ แต่ลักษณะท่าทางบางอย่างบอกว่าปู่เขาคงได้ตัวหล่อนมาจากสถานที่เที่ยวกลางคืนที่ไหนสักแห่ง และคงจะถูกใจมากจนฝ่ายนั้นมีโอกาสได้เหยียบขึ้นมาถึงบนนี้

            นายกิจจาคลายวงแขนที่โอบสาวน้อยอยู่ เขาหันไปสบตากับหล่อน ฝ่ายนั้นยิ้มหวานให้ก่อนจะลุกขึ้นเดินเลี่ยงออกไปที่ห้องนั่งเล่นด้านข้างซึ่งมีเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม

            “นั่งก่อนสิ...โต ปู่มีอะไรจะคุยด้วยหน่อย”  

            “ครับ”

            “แล้วเป็นไง วันนี้งานยุ่งไหม” ผู้เป็นปู่ขยับขาขึ้นนั่งไขว้ห้าง หยิบแก้วเบียร์ตรงหน้าขึ้นมาจิบ ท่าทีองอาจกระฉับกระเฉงของเขาไม่เคยเปลี่ยนไปตามวัยเลย

            “ก็เหมือนทุกวันล่ะครับ” ศตายุตอบพร้อมกับยิ้มให้ผู้เป็นปู่ ไม่อยากจะตอบว่า ยุ่งมาก เพราะมันเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปเสียแล้ว เขาทำงานหนัก แต่ก็เป็นความเหนื่อยที่เขาเต็มใจจะทำ และเป็นความภาคภูมิใจที่ปู่ไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวเขา

            “จริงสินะ...ตอนนี้ก็เหมือนโตทำงานแทนปู่อยู่แล้ว” ประมุขของศศิวงศ์พูดพลางยกมือตบไหล่หลานชาย

            โดยพฤตินัยแล้ว กิจจาในวัยกว่าเจ็ดสิบสี่วางมือจากงานที่บริษัทไปเกือบจะทั้งหมด เหลือเพียงเรื่องสำคัญๆ ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจเท่านั้นเรื่องจึงจะถึงเขา เขาไม่ได้เกษียณอายุจากบริษัทของตัวเองอย่างเป็นทางการ แต่เริ่มเข้าไปที่บริษัทน้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดแทบจะไม่ได้เยื้องกรายเข้าไปเลย

            ทุกวันนี้ ชายชราใช้เวลาหมดไปกับการท่องเที่ยว และใช้ชีวิตอย่างที่ไม่เคยได้ใช้ในวัยหนุ่ม

            “ที่เรียกโตมาก็จะพูดเรื่องนี้ล่ะ ปู่มาคิดๆ ดูแล้ว ไอ้ตำแหน่งประธานบริษัทที่แขวนไว้ลอยๆ ยกให้โตไปสักทีก็ดี เราว่าไง...”

            “ก็แล้วแต่คุณปู่ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จนอีกฝ่ายอดหัวเราะออกมาไม่ได้

            “ไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ นี่ปู่จะยกตำแหน่งประธานบริษัทให้แกเชียวนะ นี่ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้มันตะโกนโห่ร้องลั่นบ้านไปแล้ว”

            มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม

            “มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับผมนี่ครับ” ศตายุตอบ “ยังไงผมก็ตั้งใจทำงานให้คุณปู่อยู่แล้ว แต่ผมก็ดีใจครับที่คุณปู่ไว้ใจผม”

            นายกิจจานิ่งไปอึดใจ ก่อนจะตบเข่าฉาดใหญ่ แล้วเปิดปากหัวเราะเสียงดังชอบใจอีกครั้ง พร้อมกับลุกขึ้นยืน

            “เออ...มันเข้าใจตอบ สมกับเป็นหลานปู่จริงๆ ปู่รู้ว่าโตทำงานหนัก แต่ปู่ก็หวังพึ่งโตได้คนเดียว พ่อแกไม่ต้องพูด ปู่เลิกหวังมานานแล้ว ส่วนอาแกทั้งสองคน ปู่บอกตรงๆ ว่าไม่ไว้ใจให้ดูแลบริษัทหรอก กิจการของเราปู่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย จะเรียกว่าติดลบก็ได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโตเป็นตัวนำโชคให้ปู่”

            เขาพูดพร้อมกับยิ้มให้หลานชายด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก

            “ปู่เองก็เหนื่อยหนักกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ คนเราเฮงอย่างเดียวแต่ไม่สู้ก็ไม่ได้ สู้อย่างเดียวแต่ไม่มีดวงมันก็ไม่รุ่ง ปู่โชคดีที่มีทั้งสองอย่าง ปู่ไม่อยากจะให้มันพังลงไปง่ายๆ” เขาเน้นเสียงหนัก

            “ต่อให้ปู่ไม่อยู่แล้ว ก็อยากให้รักษามันไว้ให้นานสมกับที่ปู่ต้องเหนื่อยยาก อย่าแบ่งแยกกัน ให้มันเป็นส่วนกลางแบบนี้ตลอดไป เพราะถ้าแบ่งกันไปแล้ว คนที่ไม่มีปัญญาก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้ ต้องมาเป็นภาระคนอื่นอีก แต่ถ้าเป็นของส่วนกลาง บริหารดีๆ ก็มีกินมีใช้กันไปตลอด โตเข้าใจใช่ไหม”
            ศตายุยิ้มรับ หากไม่นับว่าเขาเป็นหลานเจ้าของบริษัท เขาก็เหมือนพนักงานทั่วไปที่ได้รับเงินเดือนประจำ รายได้สูงที่มาคู่กับความรับผิดชอบและการทำงานอย่างหนัก ปู่ไม่ได้ยกบริษัทให้เขา เพียงแต่ให้เขาทำงานมากขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ความภาคภูมิใจที่ได้รับการไว้วางใจ

            “เรื่องโอนตำแหน่งให้โต ปู่ว่าจะยังไม่บอกใครตอนนี้หรอกนะ เอาไว้ให้มันเรียบร้อยก่อน จะได้ไม่วุ่นวาย ปู่จะคุยกับดนัยให้เขาเตรียมพวกเอกสารไว้ก่อน พอปู่กลับมาจะได้เอาเข้าที่ประชุม จากนั้นค่อยจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ประกาศข่าวกับพวกพนักงาน”

            “คุณปู่จะไปไหนหรือครับ”

            “อ๋อ...ปู่คิดว่าอาทิตย์หน้าจะไปอเมริกา เจอเพื่อนรู้ใจ ก็เลยจะพาเพื่อนไปเที่ยวสักหน่อย”

            เขายิ้มกริ่ม พลางหันไปมองทางเพื่อนสาววัยรุ่นของตัวเอง ด้วยแววตาที่ศตายุคิดว่าตัวเขาเองเลิกทำมานานมากแล้ว

            “แล้วจะไปนานแค่ไหนครับ”

            “ยังไม่รู้เลย แล้วแต่เชอรี่เขา คงสักอาทิตย์สองอาทิตย์ แต่ก็ไม่แน่นะ...” ชายสูงวัยยักไหล่ด้วยท่าทางโก้ ใบหน้ายังคงยิ้มระรื่น ขณะลดเสียงเบาลง

            “ถ้าเพื่อนรู้ใจไม่ค่อยถูกใจ ก็อาจจะกลับเร็วหน่อย หรือถ้าถูกใจมากก็อาจจะนานกว่านั้น

            “ครับ...” ศตายุยิ้มอย่างที่ไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าอะไรดีไปกว่านี้

            “งั้นปู่ก็ไม่มีอะไรกวนโตแล้วล่ะ ไปพักผ่อนเถอะ” กิจจาพูดพลางลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง

            ศตายุจึงลุกขึ้น หญิงสาวในห้องหันมาชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง พร้อมกับสายตาที่มองมาอย่างชื่นชม แต่ชายหนุ่มก็เพียงแต่มองผ่านไปราวกับหล่อนไม่มีตัวตน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

 

            ซีดีเพลงกล่องนั้นวางเด่นอยู่บนแผง เป็นอัลบั้มใหม่ของนักร้องต่างประเทศคนโปรดที่เขาติดตามผลงานมาตั้งแต่อัลบั้มแรกๆ นานๆ จะเห็นมีสั่งเข้ามาขายในเมืองไทยสักที

            ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปหยิบทันที แต่พอมือสัมผัสกับกล่องซีดี ก็มีมือขาวผ่อง นิ้วมือเคลือบยาทาเล็บสีแดงสดคว้าหมับเข้าพร้อมๆ กัน พอหันไปมอง แวบแรกเขารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในจอโทรทัศน์แล้วถูกกดแช่ให้เป็นภาพนิ่ง

            ร่างบางระหงที่ยืนอยู่ตรงหน้าดูราวกับนางแบบที่เขาเคยเห็นในช่องแฟชั่นทางเคเบิ้ลทีวี หญิงสาวใส่ชุดกระโปรงลายกราฟิก กับรองเท้าบู๊ตส้นสูงหุ้มข้อ มีแว่นตาเก๋ๆ คาดอยู่บนศีรษะกับกระเป๋าถือที่เห็นยี่ห้อชัดเจนว่าเป็นของแบรนด์เนม และที่เด่นที่สุดคือใบหน้าเรียวยาวรูปไข่นั้นสวยแบบไม่มีที่ติ

            เขาเกร็งมือจับกล่องซีดีไว้แน่นอย่างลืมตัว อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยเหมือนกัน เขาเกือบจะส่งมันให้เธอแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงแข็งๆ นั้นพูดขึ้นเสียก่อน

            “ขอโทษนะคะ...ฉันจะซื้ออันนี้ค่ะ”

            “เหรอครับ...ผมก็คิดจะซื้อเหมือนกัน” ชายหนุ่มบอก เกือบจะยิ้มให้เธอแล้ว แต่เมื่อหันไปมองบนแผงพร้อมๆ กัน

            ก็เห็นว่ามัน...เหลืออันเดียว และเมื่อเป็นของหายาก กิเลสของมนุษย์ก็พาให้อยากได้มากกว่าปกติอีกหลายเท่า แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจอย่างไร นางฟ้าคนสวยของเขาก็พูดขึ้นเสียก่อน

            “ไม่คิดว่าที่เมืองไทยจะมีคนรู้จักนักร้องคนนี้ด้วย ฉันติดตามผลงานเขามาตั้งแต่เรียนอยู่อเมริกาแล้ว ไม่น่าเชื่อนะว่าที่นี่จะมีขายด้วย คุณเป็นแฟนประจำหรือว่าแค่สนใจเฉพาะอัลบั้มนี้”

            เธอถามพลางเอียงคอเป็นเชิงรอให้เขาตอบ น้ำเสียงแข็งๆ กับท่าทียโสนั้นทำให้ชายหนุ่มเพิ่มแรงบีบที่นิ้วมากขึ้นไม่ยอมให้เธอดึงไปง่ายๆ เขาขมวดคิ้วใส่เธอ แล้วตอบกลับไปว่า

            “คุณคงอยู่เมืองนอกนาน ก็เลยไม่รู้ว่าสมัยนี้ที่ประเทศไทยก็มีเคเบิ้ลทีวี มีเน็ตความไวสูง เราก็เลยพอจะรู้ข่าวสารของต่างประเทศอยู่บ้างครับ” เขาพูดพลางปล่อยมือจากกล่องซีดี ก่อนจะหรี่ตามองเธอแล้วบอกว่า

            “ถ้าคุณอยากได้จริงๆ ก็ไม่มีปัญหาครับ ผมยกให้คุณ”

            แทนที่จะซาบซึ้งกับน้ำใจของเขา หญิงสาวสวนกลับมาทันทีว่า

            “แหม...ถ้าพูดว่ายกให้ คุณก็ต้องจ่ายเงินให้ด้วยสิ นี่มันสินค้าในร้านนะ ฉันจ่ายเงินซื้อเอง จะมาบอกว่าคุณยกให้ได้ยังไง หรือว่าฉันต้องขอบคุณคุณด้วย ในเมื่อฉันก็หยิบมันพร้อมๆ กับคุณนั่นแหละ”

            ชายหนุ่มอ้าปากค้างกับคำพูดของสาวสวย นอกจากไม่ขอบคุณเขาสักคำ ยังมาด่าใส่อีก แล้วเธอก็หมุนตัวบนรองเท้าสุดเก๋เดินจากไป

            “อ้าว...พี่กั่น เป็นอะไรไป นี่ๆ เช็ดน้ำลายหน่อย ย้อยออกมาถึงคางแล้ว” เสียงหนึ่งพูดขึ้นข้างๆ

            บุรีหันไปมองต๋อย...เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องซึ่งทำงานอยู่แผนกเดียวกันที่บริษัท ฝ่ายนั้นมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หนุ่มผมยาวยืนสะบัดผมที่ยาวสยายถึงกลางหลังไปมาราวกับกำลังถ่ายโฆษณาแชมพูสระผมอยู่ก็ไม่ปาน พลางปรายตามองตามสาวสวยที่เพิ่งเดินจากไป

            “สวยเน๊อะ...ดาราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขามาคุยอะไรกับพี่กั่นเหรอ” คนถามทำหน้าใสซื่อ อยากรู้จริงๆ

            “คุยอะไร...เขาด่ากูต่างหากล่ะ...ไอ้ต๋อย” บุรีตอบอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก หนุ่มตาชั้นเดียวยังจิกตามองตามหลังสาวสวยไปอย่างอาฆาตหน่อยๆ ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เพื่อนรุ่นน้องฟัง

            “โห...แรงเน๊อะ” หนุ่มผมยาวทำหน้าทึ่ง ยังไม่เลิกมองสาวสวยที่ยังเดินเตร่ดูของอยู่แถวนั้น       “หยั่งงี้แหละ...พี่กั่น คนสวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด แหม...เป็นผมหน่อยไม่ได้ จะซื้อแล้วตามไปส่งให้ถึงบ้านเลย”

            บุรีหรี่ตามองเพื่อนรุ่นน้องอย่างหมั่นไส้

            “นั่นสิ...มึงน่าจะมาให้เร็วหน่อย กูก็อยากเห็นว่าเขาจะด่ามึงว่าไงถ้ามึงขายขนมจีบให้เขา”

            “โอ๊ย...พี่กั่น ผมไม่ใช่เซเว่นอีเลฟเว่นนะ ว่าแต่...จะรับซาลาเปาเพิ่มไหมครับ” รุ่นน้องหน้าทะเล้นลอยหน้าขึ้นมาถาม

            บุรีไม่ตอบแต่เดินหนีไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงินค่าซีดีเพลงที่เลือกเอาไว้สองสามแผ่น ปล่อยให้หนุ่มผมยาวยืนดูดินสอปากกาแถวนั้นต่อไปตามลำพัง

            ร่างในชุดกระโปรงลายกราฟิกของแบรนด์ดังยืนหันหลังให้อยู่ก่อนแล้วที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ ท่าทางเหมือนกำลังมีปัญหากับพนักงานเก็บเงิน บุรีเดินเข้าไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ข้างๆ ก็ได้ยินเสียงแข็งๆ ของหญิงสาวพูดขึ้น

            “ฉันมีเงินสดจ่าย แต่ฉันต้องการจะจ่ายบัตรเครดิต เครื่องคุณเสียหรือไง”

            “บอกแล้วไงคะ ว่าเครื่องไม่ได้เสีย บัตรของคุณมีปัญหาต่างหาก มันขึ้นที่หน้าจอว่าให้ติดต่อธนาคารค่ะ” พนักงานสาวท่าทีแข็งไม่แพ้กันตอบด้วยเสียงที่ไม่เบานัก

            “เป็นไปไม่ได้ กะอีเงินแค่ ๓๙๘ บาทเนี่ยนะ รูดไม่ผ่าน ฉันรูดซื้อกระเป๋าใบละเจ็ดแปดหมื่นก็ยังรูดผ่านเลย เครื่องคุณเสียก็ต้องยอมรับสิ มาพูดว่าบัตรของฉันไม่ผ่านได้ยังไง” หญิงสาวพูดเสียงแข็งอย่างไม่พอใจ ก่อนจะกระแทกแผ่นซีดีนั้นไปตรงหน้าแคชเชียร์สาว

            “ฉันไม่ซื้อแล้ว...”

            ไม่เพียงแต่บุรีเท่านั้นที่มองเธออย่างสุดพิศวง คนรอบๆ แถวนั้นก็พากันมองมาที่เธอเป็นตาเดียว ตามความจริงแล้ว แค่เธอยืนเฉยๆ ก็ตกเป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว ยิ่งมามีคดีกับแคชเชียร์คนก็เลยยิ่งพากันมอง

            แต่หญิงสาวดูเหมือนจะไม่สนใจใครเลย เธอเดินไปหยุดอยู่ที่แผงขายนิตยสาร และก่อนที่แคชเชียร์ซึ่งแอบเบ้หน้าใส่ลูกค้าคนสวยจะเก็บซีดีเพลงแผ่นนั้นไป บุรีก็ยื่นมือไปคว้าไว้เสียก่อน

            ในขณะที่ร่างสูงบางระหงนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของใครอยู่ หญิงสาวหยิบนิตยสารผู้หญิงขึ้นมาเปิดๆ ดู สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับชื่อหนึ่งบนหน้าปกของนิตยสารสำหรับพวกนักธุรกิจรุ่นใหม่ มีคำโปรยเขียนไว้ว่า

            สัมภาษณ์พิเศษนักธุรกิจหนุ่มที่หล่อที่สุดแห่งปี ศตายุ ศศิวงศ์

            เธอไม่รู้จักชายหนุ่มคนนี้ แต่เธอสนใจที่นามสกุลศศิวงศ์ หญิงสาวหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกดูที่สารบัญเพื่อหาบทสัมภาษณ์ของเขา เมื่อเห็นรูปถ่ายที่กินเนื้อที่ทั้งหน้าของเขา พบูก็นึกเห็นด้วยกับคำโปรยที่หน้าปก

            หญิงสาวถือนิตยสารกลับไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์คนเดิมที่มีปัญหากับเธอเมื่อครู่ วางนิตยสารลงพร้อมกับหยิบธนบัตรใบละพันออกมาวางทับบนหนังสือ แล้วมองหน้าพนักงาน แต่ฝ่ายนั้นกลับแอบทำสีหน้ารำคาญใจขณะหยิบเงินทอนเป็นธนบัตรใบย่อยปึกหนาส่งให้เธอสำหรับค่านิตยสารเล่มละเก้าสิบบาท

            พบูรับถุงใส่นิตยสารจากพนักงาน เดินไปที่เคาน์เตอร์รับฝากของ ซึ่งเธอฝากบรรดาถุงข้าวของที่เดินช้อปปิ้งมาทั้งวันเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปในร้านกาแฟหรูบรรยากาศน่านั่งซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม สั่งคาปูชิโน่แฟรบเป้แก้วใหญ่ เพิ่มวิปครีม แล้วเอนหลังลงกับเก้าอี้นวมตัวหนานุ่ม

            ท่ามกลางแสงไฟสีนวล หญิงสาวกางนิตยสารหน้าที่สัมภาษณ์นักธุรกิจหนุ่ม พบูกวาดสายตาอ่านอย่างคร่าวๆ เธอไม่ได้สนใจเจ้าของบทสัมภาษณ์ เธออยากรู้เรื่องราวในครอบครัวของเขาต่างหาก

            แต่ในบทสัมภาษณ์เขาแทบไม่พูดถึงเรื่องส่วนตัวเลย แต่ดูจากคำตอบของเขาแล้ว พบูก็นึกนิยมในความคิดและทัศนะคติของชายหนุ่มผู้นี้ ท่าทางเขาจะเป็นคนสำคัญของตระกูลศศิวงศ์

            เธอรู้จักนามสกุลนี้มานานแล้ว นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นนามสกุลที่มีคนรู้จักในสังคม และลูกหลานคนหนึ่งของบ้านนี้ได้เป็นคนดังลงหน้าปกนิตยสาร

            บางทีการตัดสินใจของคนๆ หนึ่งคงจะคุ้มค่าอย่างที่ปรารถนาจริงๆ หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมายืดยาว ดูเหมือนว่าใครๆ ก็มีชีวิตที่ลงตัวกันหมดทุกคนแล้ว ยกเว้นเธอคนเดียว...

            พบูนึกถึงของใช้บางชิ้นในบ้านที่ผู้เป็นเจ้าของไม่ต้องการแล้ว แต่ก็ทิ้งไปไม่ได้ จะเก็บเอาไว้ก็เกะกะรำคาญตาเหลือทน ได้แต่พยายามคิดหาทางกำจัดมันออกไปเสีย อย่างที่แม่เลี้ยงของเธอพยายามทำอยู่ทุกวัน และพ่อก็เอาแต่เล่นบทคนกลางที่มีแต่ความอึดอัดลำบากใจ แต่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง

            อย่างเช่น อยู่ๆ ก็เรียกเธอกลับมาจากเมืองนอกทั้งที่ยังเรียนไม่จบ เพื่อมาให้ นางมารหน้าเหี่ยว นั่นคอยจับผิดเธอเล่นทุกฝีก้าว พบูถอนใจลึกอยู่ในอก ขณะพลิกนิตยสารหน้าอื่นดู

            บุรีเกือบจะเดินผ่านไปแล้ว แต่เหมือนมีกระแสบางอย่างดึงดูดให้มองเข้าไปในร้านกาแฟหรูหราร้านนั้น แล้วเขาก็เห็นร่างบางระหงนั่งเอกเขนกด้วยท่าทีสบายๆ อยู่ในร้านกาแฟหรูหรา แสงไฟสีนวลจับเสี้ยวหน้าที่ก้มอ่านหนังสืออยู่

            ชายหนุ่มทอดฝีเท้าเดินช้าลง มองภาพในร้านกาแฟนั้นจนลับสายตา รู้สึกถึงความสงบ และอบอุ่นใจอย่างประหลาด 

รายละเอียด

คำโปรย ใต้เงาจันทร์

 

ราวกับโชคชะตาเล่นตลกที่จู่ๆ ก็ส่งผู้ชายดีๆ สองคนมาให้ พบู พร้อมกัน คนหนึ่งคือชายหนุ่มแสนดีผู้มีชีวิตเพรียบพร้อมไปเสียทุกสิ่งอย่าง ศตายุ ซีอีโอหนุ่ม รูปหล่อ อบอุ่น นิสัยดี ซึ่งมีพื้นฐานครอบครัวที่มีปัญหาไม่ต่างจากพบู กับ บุรี สถาปนิกหนุ่มหน้าตี๋ มาดเซอร์ ขี้เล่น อารมณ์ดีที่ทำให้พบูหัวเราะได้เสมอ

 

พบูจึงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพราะชายหนุ่มทั้งสองคนรักเธอไม่แพ้กัน ทั้งคู่คอยอยู่ใกล้และพร้อมที่จะช่วยเหลือยามที่เธอมีปัญหาเสมอ ตัวเธอเองก็ไม่รู้ใจตัวเองว่าควรตัดสินใจอย่างไร ระหว่างชายหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบ เหมือนเดินออกมาจากความฝันที่ไม่ควรมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเขา กับชายหนุ่มธรรมดา ๆ ที่เมื่ออยู่ใกล้ก็จะมีแต่รอยยิ้มและความอบอุ่นใจ

 

พบูรู้ว่าการตัดสินใจของเธอจะต้องทำให้คนหนึ่งต้องผิดหวัง เธอจึงได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้เรื่อยมา ซึ่งก็ยิ่งรังแต่จะทำให้ทุกคนเจ็บปวด แต่ในที่สุดโชคชะตาก็นำพาให้เรื่องราวมาถึงบทสรุปที่ทำให้พบูได้รู้ใจตัวเองว่าศตายุนั่นเองคือคนที่เธออยากจะใช้ชีวิตที่เหลือกับเขา และแม้ว่าบุรีจะต้องเป็นฝ่ายผิดหวังพ่ายแพ้ เขาก็จากไปด้วยความเข้าใจ และยอมรับว่าพบูตัดสินใจไม่ผิด

 

ได้รับการสร้างเป็นละครทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (80 รายการ)

www.batorastore.com © 2024