อสูรพ่ายรัก (อักษรา) (EBOOK)
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
1
หักหลัง
ในมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น ชายกลางคนรูปร่างสันทัดกำลังนอนคุดคู้อยู่บนพื้น และมีชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำสองคนยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ
“เป็นไงดนัยแกคิดเหรอว่าจะหนีฉันไปได้ง่ายๆ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เหยียดยิ้มเยาะหยัน
“ปล่อย ฉันนะไอ้ลูกหมา” ดนัยเข่นเขี้ยวพลางดิ้นรนเอาตัวรอด
“ปล่อยให้โง่น่ะสิ กว่าจะหาแกเจอมันไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันต้องอดทนเป็นแรมเดือน กว่าแกจะซมซานกลับมาที่นี่”
ชายหนุ่มตะคอกพร้อมกับใช้เท้าเหยียบหลังมืออวบอูมแล้วบดขยี้
“อ๊าก....ไอ้สารเลว ไอ้พวกหมาหมู่” ชายกลางคนแผดเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ว่าฉันเลวงั้นเหรอ ถ้าการที่ฉันทวงความยุติธรรมให้กับตัวเองเรียกว่าเลว แล้วคนทำลายชีวิตของคนอื่นควรเรียกว่าอะไร จำไว้ดนัยจำใส่สมองแกไว้ว่าคนอย่างนายภูนเรศ วรเดชา ไม่เคยให้ใครมาโค่นล้มง่ายๆ”
“ไอ้ลูกหมา บริษัทนั่นฉันกับพ่อแกช่วยกันสร้างมา มันมีมาก่อนที่แกจะเกิดด้วยซ้ำ ฉันช่วยให้พวกแกลืมตาอ้าปากร่ำรวยล้นฟ้า แล้วฉันได้อะไร” ดนัยตะคอกกลับไปบ้าง
“ได้อะไรงั้นเหรอ? ถามมาได้ยังไง ตลอดระยะเวลาที่แกอยู่กับคุณพ่อแกกล้าปฏิเสธไหมว่าไม่เคยได้อะไรจากบริษัท หุบปากได้แล้วดนัยก่อนที่ฉันจะอดใจไม่ไหวแล้วฆ่าแกซะ” ใบหน้าคนพูดเรียบเฉย หากน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมจนคนฟังเย็นวาบไปทั้งร่าง
“ไอ้ภูแกมันก็แค่ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างแกมันจะทำให้บริษัทอยู่รอดได้ยังไงในสถานการณ์แบบนี้” ถึงจะกลัวแต่ดนัยก็อดแขวะไม่ได้
“ทำได้แน่และจะทำได้ดีกว่าด้วย ถึงแม้บริษัทที่พ่อฉันสร้างมามันจะถูกโกงจนง่อนแง่นแต่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับฉัน แกทำแบบนี้กับคุณพ่อได้ยังไงดนัยแกหักหลังท่านได้ยังไง” ภูนเรศใช้มือจิกไปที่เส้นผมสีดอกเลาแล้วดึงใบหน้าบูดเบี้ยวขึ้นมา “แกคิดผิดดนัยที่กล้าลองภูมิกับฉัน ฉันจะบอกให้เอาบุญว่าถึงแม้เอเชียอมฤต จะง่อนแง่นขนาดไหนแต่ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรหากฉันจะนำมันกลับมาผงาดอีกครั้ง”
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างแกมันจะทำอะไรได้” ดนัยปรายตาแล้วเบะปากดูแคลน
“ฉันทำได้แน่คอยดูก็แล้วกัน และการกลับมาครั้งนี้มันจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมอีกหลายเท่า”
“ฉันจะคอยดูว่าน้ำหน้าอย่างแกมันจะมีปัญหาทำอะไรได้” คนสูงวัยกว่าแค่นเสียงเยาะ
“แกได้เห็นแน่ แต่ก่อนอื่นแกรีบบอกฉันมาดีกว่าว่าไอ้หนอนบ่อนไส้ที่เอาความลับของบริษัทไปขายมันเป็นใคร? มันมุดหัวอยู่ที่ไหน? บอกมาว่าไอ้หน้าไหนมันกล้าเข้าไปกระตุกหนวดฉัน” ภูนเรศจ่อกระบอกปืนไปที่ขมับของชายกลางคนแล้วเข่นเขี้ยวด้วยความแค้น
ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้าย อยู่ๆ เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“คุณพ่อ!....”
หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวใบหน้าสวยเฉี่ยวอุทานน้ำเสียงตระหนกเมื่อเห็นบิดากำลังถูกรุมทำร้าย เท้าบางชะงักงันเมื่อเห็นคนแปลกหน้าไม่ต่ำกว่าห้าคนยืนอออยู่ในห้องนั่งเล่น
“คุณพ่อ!”
ฐานิตา อุทานเสียงดังลั่นก่อนจะทิ้งกระเป๋าแล้ววิ่งเข้าไปหาบิดาที่นอนคุดคู้อยู่บนพื้น
“ภูนี่มันเรื่องอะไรกัน? แล้วพาใครมาด้วยเยอะแยะทำไมต้องทำร้ายพ่อนิต้าด้วย”
ด้วยความเป็นห่วงบิดาหญิงสาวจึงหันไปตะคอกถามภูนเรศซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกันมานาน โดยไม่รู้สึกหวาดหวั่นกับคนกลุ่มใหญ่ที่ยืนหน้าตาถมึงทึงอยู่ตรงหน้าสักเท่าไร
“อยากรู้ก็ถามพ่อเธอสิ” ภูนเรศตอบเสียงเย็นแล้วหรี่ตามองไปที่เรือนร่างงามตรงหน้า
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณพ่อ?” หญิงสาวหันกลับไปถามบิดาอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรหรอกนิต้า แค่เรื่องเข้าใจผิดกัน” ดนัยหลบตาบุตรสาวแล้วหันไปจ้องหน้าปรามอีกฝ่าย
“ทำไมแกไม่บอกความจริงเธอไปล่ะ หรือไม่กล้าเล่าความชั่วของตัวเอง บอกสิไอ้สารเลวบอกเธอว่าแกไปทำชั่วอะไรมาบ้าง” ภูนเรศตะคอกด้วยความฉุนเฉียว
“หมายความว่ายังไง ภูเธออย่ามากล่าวหาคุณพ่อ ท่านไม่มีทางไปทำเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ ถ้าจะมาหาเรื่องออกไปจากบ้านนิต้าเลยนะและต้องเดี๋ยวนี้ด้วย ออกไป” ฐานิตาเชิดหน้าบอกอย่างมั่นใจก่อนจะชี้มือแล้วตวาดไล่
“อยากรู้ก็ลองถามพ่อเธอดูสิว่าได้ทำเรื่องเลวๆ อะไรไว้บ้าง” ใบหน้าคมเข้มเคร่งขรึมขณะปรายตาไปทางจำเลยด้วยแววตาเย้ยหยัน
“ตกลงจะออกไปไหม ถ้าไม่ออกไปดีๆ นิต้าจะโทรแจ้งตำรวจให้มาลากคอภูและคนพวกนี้ไปเข้าตะรางให้หมดเลย”
เมื่อสุดจะทนกับคำพูดหยามเหยียดหญิงสาวจึงลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วผลักร่างสูงใหญ่เต็มแรง
“เรียกมาสิเรียกมาเลย นี่โทรศัพท์โทรไปสิ” ชายหนุ่มตะคอกพลางโยนโทรศัพท์มือถือให้แล้วยืดตัวท้าทาย
“คิดว่าไม่กล้าเหรอ?” ฐานิตาก้มลงหยิบโทรศัพท์แล้วทำท่าจะกดต่อสาย
“นิต้าอย่าโทรลูก” ดนัยขยับตัวห้าม
“ทำไมคะ ภูพาพวกบุกรุกบ้านเราในยามวิกาลแบบนี้ แล้วไหนจะมาทำร้ายร่างกายคุณพ่ออีก พวกเขาทำถึงขนาดนี้จะไม่ให้นิต้าเอาเรื่องเลยเหรอคะ” ใบหน้าสวยเฉี่ยวหันไปทางบิดาแล้วถามสีหน้างุนงง
“ดนัยฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง จะบอกได้หรือยังว่าไอ้ลูกหมาที่ส่งไปเล่นงานฉันมันเป็นใคร” เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังได้เปรียบภูนเรศจึงเปิดคำถามใหม่ด้วยน้ำเสียงเสียงเย็นยะเยือกจนคนฟังเริ่มร้อนๆ หนาวๆ
“ฉันไม่ได้ส่งใครไป” ดนัยยังปากแข็ง
“ได้ถ้าแกไม่บอกดีๆ ฉันก็จะหาคำตอบด้วยวิธีของฉันเอง”
ภูนเรศทำท่าไม่แยแสกับคำตอบของอีกฝ่ายนัก ชายหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่แล้วหันไปมองหญิงสาวกำลังยืนจ้องหน้าเอาเรื่องเขาแล้วผุดยิ้มชนิดหนึ่งออกมา
“แกคงรักนิต้ามากสินะ ว่าแต่เราจะตีราคาค่าตัวเธอกับความแค้นของฉันประมาณสักเท่าไรดีล่ะดนัย” ชายหนุ่มสำรวจหญิงสาวตรงหน้าราวกำลังประเมินราคาสินค้าอะไรสักอย่าง
“ไอ้สารเลวแกอย่าแตะต้องนิต้านะ” ชายกลางคนพยายามยันกายลุกขึ้นเพื่อปกป้องบุตรี
“คิดว่าสภาพของแกในตอนนี้จะมีปัญญาขวางฉันได้งั้นเหรอ?” ภูนเรศเบะปากเย้ยหยัน
“นิต้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าเป็นลูกผู้ชายแกต้องไม่แตะเธอ”
“จะว่าไปตัวนิต้ากับความแค้นครั้งนี้มันยังเทียบราคากันไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือแกว่าไง” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงยียวน
“ภูพูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง?” ฐานิตาที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับความคิดของอีกฝ่ายถามน้ำเสียงขุ่นเขียว
“อยากรู้ความหมายเหรอ ได้สิเดี๋ยวฉันจะสงเคราะห์บอกให้ หิรัญ กำจร พานิต้าตามผมขึ้นข้างบน” ภูนเรศหันไปเลิกคิ้วกับหญิงสาวแล้วออกคำสั่งคนติดตามน้ำเสียงกังวาน
“ส่วนดนัยแกเลือกเอาก็แล้วกันว่าจะยอมคลายความลับโง่ๆ นั่น หรือจะยอมรับฉันเป็นลูกเขยในคืนนี้ แกก็รู้นี่ว่าฉันชอบนอนกับผู้หญิงของศัตรูแค่ไหน”
“อย่า! อย่าทำอะไรนิต้า ไอ้ภูไอ้หน้าตัวเมีย คนสารเลว แกอย่าแตะต้องลูกสาวฉันนะ อย่ายุ่งกับเธอ” ดนัยลุกขึ้นปัดป้องบุตรสาวจากการฉุดกระชากของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ทั้งสอง
“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า” เสียงแหลมเล็กหวีดขึ้นอย่างตระหนกเมื่อชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สองคนกำลังจะลากเธอออกจากห้องไป
“นิต้ารีบหนีไปลูก หนีไป” ชายกลางคนตะโกนบอกในขณะปัดมือไปมา
“แกจะบอกฉันได้หรือยัง” ภูนเรศยิ้มเยาะอย่างเป็นต่อ
“ถ้าฉันบอกแล้วแกจะยอมปล่อยนิต้าใช่ไหม?” ดนัยถามเสียงลนลาน
“แล้วแกคิดว่ายังไงล่ะ?” ชายหนุ่มยักไหล่นิดๆ
“ปล่อยเธอก่อนแล้วฉันจะบอกว่าคนๆ นั้นเป็นใคร” คนหมดทางสู้ขบกรามแน่นด้วยความคับแค้นใจ เขาประมาทเจ้าสิงห์ร้ายคนนี้ไปได้ยังไง
“ยังคิดว่าจะต่อรองได้อีกเหรอ ตอนนี้ฉันไม่อยากจะรู้แล้วล่ะว่าไอ้เวรนั่นมันเป็นใคร จะว่าไปถ้าฉันนอนกับนิต้าแก้เบื่อมันก็เข้าท่าดีเหมือนกัน” ภูนเรศหรี่ตามองเรือนร่างงามตรงหน้าแววตาเป็นประกาย
“ภูเธอจะบ้าเรอะ...ไอ้สารเลวปล่อยฉันนะ ” ฐานิตาพยายามดิ้นรน
“ก็อยากจะลองทำอะไรบ้าๆ ดูสักครั้ง ไม่แน่นะนิต้าบางทีพอเธอได้ลองสักครั้งขี้คร้านจะเรียกหาไม่หยุด อยากลองดูไหมล่ะกับลีลารักของฉัน” ชายหนุ่มเบะปากแล้วปรายตามองหญิงสาวอย่างดูแคลน ‘ผู้หญิงเพศที่อ่อนแอ เพศที่ไวต่อรสสัมผัส เพศที่ปากกับความรู้สึกเดินเป็นเส้นขนาน’
ภูนเรศกัดกรามแน่นเมื่อนึกถึงหญิงสาวหลายต่อหลายคนที่วนเวียนอยู่รอบๆ กาย ผู้หญิงกี่คนต่อกี่คนที่มักจะเชิดหน้าอวดตัวว่าเธอเก่งและแน่จนไม่มีทางก้มหัวให้ใครกับง่ายๆ แต่สุดท้ายเมื่อถูกไฟพิศวาสลามเลียสิ่งที่พวกเธอต้องการมีเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือการครอบครองและต้องการเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
“ไอ้ภูบ้า...คนโรคจิต! เราสองคนเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เธอจะมาคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไง” ฐานิตาถึงกับโกรธจนควันออกหูเมื่อเจออีกฝ่ายดูแคลนซึ่งๆหน้า
“ไอ้ภูฉันยอมแล้ว ฉันจะบอกทุกอย่าง แต่แกต้องสัญญาว่าจะปล่อยเธอไป” ดนัยตัดสินใจเอ่ยออกไป
“ก็บอกมาสิ ฉันกำลังรอฟังอยู่” ชายหนุ่มหันไปจ้องมองชายสูงวัยด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่ได้แยแสกับสิ่งที่ต้องการรู้สักเท่าไร
คนที่ช่วยฉันคือ ดิสรณ์” ดนัยตัดใจเอ่ยชื่อใครคนหนึ่งออกไป
“ดิสเหรอ? ไอ้สารเลวนั่นมันคือไอ้ดิสงั้นเหรอ? โกหก! แกจงใจให้ฉันกับเพื่อนแตกคอกันใช่ไหม?” ภูนเรศปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายแล้วง้างหมัดขึ้น
“ดิสรณ์เป็นคนวางแผนทั้งหมด” คนสูงวัยกว่าแค่นเสียงขณะปรายตามองอีกฝ่าย
“ไม่จริงแกโกหก” ภูนเรศส่ายหน้าไม่ยอมรับง่ายๆ ‘จะเป็นไปได้ยังไงที่ดิสรณ์จะหักหลังเขา ดิสรณ์เป็นเพื่อนรักที่เขาไว้วางใจที่สุด เป็นไปไม่ได้ไม่มีทาง’ ภูนเรศบอกตัวเอง
“แกมันโง่ที่ไว้วางใจคนใกล้ตัว แกคงไม่รู้ว่าดิสรณ์หลงรักนิต้า มันรักนิต้ามาก ฉันจึงใช้ความรักดึงมันมาช่วยงาน” ดนัยพูดเสียงเยาะอย่างสะใจ จนคนฟังกัดกรามแน่น ‘เขาถูกคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดหักหลังงั้นเหรอ’ ภูนเรศถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
“หิรัญพาผู้หญิงของไอ้ดิสขึ้นไป ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นของรักของมันก็คุ้มค่าแล้วที่ผมจะทำลาย” ภูนเรศเหยียดยิ้มที่มุมปากแล้วเดินตามร่างบอบบางที่กำลังถูกลากขึ้นไปด้านบน
“ไอ้ภู ไอ้คนถ่อย ไอ้สารเลว ปล่อยลูกฉันนะ ปล่อยเธอ! ” พอได้ยินดนัยก็แทบล้มทั้งยืน
ชายกลางคนพยายามวิ่งตามบุตรสาวคนเดียวไป แต่ก็ถูกขวางไว้ด้วยกลุ่มของชายฉกรรจ์ที่เหลือ ด้วยความที่เป็นห่วงบุตรสาวจนลืมความกลัวดนัยจึงกำหมัดแล้วฟาดฟันไปยังกำแพงมนุษย์ที่ตระหง่านกั้นขวางอยู่ไม่ยั้ง
ชายฉกรรจ์สามคนช่วยกันจับยึดร่างสันทัดของดนัยแล้วลากไปนั่งยังโซฟา หนึ่งในสามดึงเชือกเส้นหนึ่งขึ้นมาแล้วมัดเขาไว้ ก่อนจะดึงผ้าสีขาวผืนยาวมามัดปากเพื่อกันไม่ให้ส่งเสียง
ดนัยนั่งฮึดฮัดอยู่บนโซฟาเมื่อถูกจำกัดอิสรภาพ ชายวัยกลางคนเริ่มใจเสียเมื่อเห็นความร้ายกาจของชายหนุ่มรุ่นลูกที่สำแดงออกมา หยาดน้ำตาเริ่มรื้อคลอดวงตาสีเทาหม่น
‘เขากำลังนำหายนะเข้ามาในชีวิตของบุตรสาวเพียงเพราะความโลภอย่างนั้นหรือ’ ดนัยถามตัวเองอย่างเหนื่อยล้า
ฐานิตาถอยหลังกรูเมื่อถูกชายสองคนผลักให้เดินเข้าไปในห้องนอนของเธอ ภูนเรศพยักหน้าให้กับคนติดตามแล้วกดล็อคประตู
“ภูเธอจะทำอะไร อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ” ฐานิตาเริ่มเสียขวัญเมื่อเห็นอีกผ่ายกำลังเดินเข้ามาหา
“นี่คงเป็นห้องนอนของเธอล่ะสิ ถ้าใช่ฉันก็เลือกใช้ห้องเผด็จศึกได้เหมาะเหม็งนะเนี่ย” ภูนเรศไล่สายตาสำรวจไปทั่วห้องแล้วยิ้มน้อยๆ
“พูดอะไรบ้าๆ? กรี๊ด!! ออกไปนะออกไป” ฐานิตายกมือขึ้นฟาดร่างสูงกำยำที่กำลังถาโถมเข้ามา
ภูนเรศ โอบรัดร่างเพรียวไว้แน่นแล้วเหวี่ยงหญิงสาวไปที่เตียงนุ่ม ทว่าหญิงสาวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดฝืนร่างกายต่อต้านร่างบางจึงแค่เซไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อย
“อย่ามาทำเป็นไม่เคยหน่อยเลย มารยาของพวกผู้หญิงฉันเจอมาเยอะแล้ว แรกๆ ก็ไม่ พอผ่านไปสักพักขี้คร้านจะเรียกร้องจนตัวสั่นระริก” รอยยิ้มหยามหยันผุดออกมาจากริมฝีปากสีเข้ม
“แก แก ไอ้บ้าภู ในสมองมีแต่เรื่องกามโลกีย์หรือไงถึงคิดแต่เรื่องต่ำทรามแบบนี้”
“ปากดีนี่ แบบนี้สิมันถึงจะสนุก ก็อยากจะรู้ว่าปากจัดจ้านแบบนี้จะเก่งได้สักแค่ไหน อย่าร้องขอก็แล้วกันถ้าหากร่างกายของเธอมันปรารถนาขึ้นมา”
ภูนเรศคว้าหมับไปที่ท่อนแขนกลมกลึงแล้วบีบกระชับ จนหญิงสาวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
“ปล่อยฉันนะฉันเจ็บ ภูจะทำอะไร อย่านะ”
ฐานิตาเบิกตาโพลงเมื่อใบหน้าคมสันกำลังโน้มเข้ามา
“อยากรู้เหรอว่าฉันจะทำอะไร?”
ภูนเรศแค่นเสียงเยาะหยันก่อนจะดันตัวหญิงสาวให้ติดกับผนังห้องกางมือทั้งสองทาบไว้กับผนัง ฐานิตาพยายามดิ้นรนออกจากปราการที่ชายหนุ่มสร้างขึ้น เมื่อร่างกายถูกกักไว้เธอจึงทำได้แค่เบียดแผ่นหลังแนบกับฝาผนังแล้วหวังให้ใครสักคนเข้ามาช่วย
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่าริต้าเรื่องแบบนี้มันมีแต่ความหรรษา เท่าที่ประเมินตัวเธอก็น่าจะเคยผ่านเรื่องอย่างว่ามาแล้ว เคยนอนกับไอ้ดิสมากี่ครั้งแล้วล่ะ” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงดูแคลนจนหญิงสาวแทบกรี๊ดออกมา
“ไอ้ภูบ้า...สมองมีแต่เรื่องเลวๆ หรือไง” หญิงสาวจ้องผู้ชายเลือดเย็นตรงหน้าอย่างอาฆาต
“ทำไมพูดถูกใจดำหรือไง คงจะมีอะไรกับมันจนนับครั้งไม่ถ้วนล่ะสิถึงได้โกรธจนหน้าเขียวขนาดนี้ เอาเถอะฉันไม่ถือสาอยู่แล้วหากจะนอนกับผู้หญิงของมัน” ดวงตาคมกริบไล่มองไปตามเรือนร่างของคนในวงแขนอย่างมีความหมาย “อ้อแล้วอย่าลืมเอาลีลาของฉันไปเทียบกับของไอ้ดิสล่ะว่าของใครมันถึงใจกว่ากัน “
ภูนเรศยิ้มเยาะมือข้างหนึ่งจับยึดแขนเรียวเล็กไพล่ไปด้านหลัง รอยยิ้มบางๆ เยียดออกจากมุมปากหนา เมื่อเห็นยอดอกตูมงามกำลังแอ่นหยัดเชิญชวน แคว่ก!...ชายหนุ่มใช้มือที่ว่างกระชากเสื้อหรูตัวบางแรงๆ จนเนื้อผ้าราคาแพงขาดวิ่น
กรี๊ด!! ฐานิตาเบิกตาโพลงหวีดร้องออกมาสุดเสียง เมื่อเห็นหน้าอกของตัวเองเผยอวดความอวบอิ่มหมิ่นเหม่อยู่ใน บราเซียตัวจิ๋ว
“จะร้องอะไรหนักหนาเก็บไว้ร่านกับไอ้ดิสเถอะ ฉันไม่มีอารมณ์เล่นแล้วล่ะ” พอเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่ายคนที่ตั้งท่าแกล้งแต่แรกก็ยกมือขึ้นเสยผมขณะจ้องมองร่างเกือบเปลือยตรงหน้าอย่างดูแคลน
ใบหน้างามขาวซีดเหมือนถูกฉีกกระชากวิญญาณให้ขาดวิ่นเมื่อทุกอย่างถูกหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ความอับอายยิ่งทวีคูณเมื่อได้ยินคำพูดดูถูกจากผู้ชายตรงหน้า
“ภูบ้า คนบ้าแบบนี้ได้ยังไง คนเลวทำได้ยังไง”
ฐานิตาแทบล้มทั้งยืนเมื่อถูกดูแคลนจนแทบไม่เหลือความภาคภูมิใจ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งไหลออกมาจากดวงตาคู่งาม รู้สึกทั้งโกรธทั้งอายที่อีกฝ่ายทำเหมือนเธอเป็นเพียงผู้หญิงร่านรัก
“อ้าวสรุปที่โวยวายเพราะอยากให้ฉันเริ่มใหม่หรือยังไง ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอารมณ์เล่นแล้ว ถ้าอารมณ์มันยังค้างก็โทรไปเรียกไอ้ดิสมาต่อสิ” ภูนเรศเหยียดริมฝีปากดูแคลนแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่แยแสกับสีหน้าโกรธจัดของอีกฝ่าย
กรี๊ด!!! หญิงสาวหวีดร้องออกมาด้วยความแค้น เกิดมาเธอไม่เคยรู้สึกไร้ค่าได้เท่ากับวันนี้ หญิงสาวสะอื้นไห้ด้วยความคับแค้นใจ
ร่างบอบบางค่อยๆทรุดลงพิงหลังกับผนังห้องแล้วชันเข่าขึ้นมากอด ความอับอายที่ถูกอีกฝ่ายเหยียดหยามทำให้เธอแค้นจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด เธอไปทำอะไรให้นักหนาทำไมถึงได้มาทำร้ายกันขนาดนี้ หญิงสาวสะอื้นไห้จนตัวโยนแล้วซบหน้าลงกับหัวเข่า เพราะไม่คาดคิดว่าคนที่เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็กแต่น้อยจะร้ายกาจขนาดนี้