
เกิดแต่ตม (โบตั๋น)
ประหยัด: 52.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
1
“ซิ้มตกลงมิ่งนี่ลูกใครกันแน่ หือ ซิ้ม คนนึงบอกอย่าง อีกคนบอกอย่าง” เด็กน้อยนัยน์ตาโตดำขลับ ตัดผมสั้นกุด ทำหน้าไม่สบายใจราวกับคนโตๆ ทั้งที่อายุอานามคงไม่เกินหกขวบ แกเอ่ยปากถามหญิงชราผู้เลี้ยงดูแกมาตั้งแต่จำความได้เมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องนอนชั้นบนตึกแถว
“แล้วจะรู้ไปทำไม ใครมันบอกไงก็ช่างมันเหอะ อย่าไปสนใจเลย พอโตอีกหน่อยก็รู้เอง เข้าใจเองแหละน่า หรือว่าข้ากับแป๊ะเลี้ยงเอ็งไม่ดีวะ เอ็งถึงอยากรู้นัก อยากไปหาพ่อแม่จริงๆของเอ็งน่ะ”
“ไม่ได้อยากรู้นี่ ทีนี้คนมันพูด” เด็กหญิงทำหน้าม่อยเมื่อโดนดุ
“ใครมันพูด” ซิ้มนิ่วหน้า “คนแถวนี้เขาก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว คนเก่าๆ เขาก็ขายที่ย้ายไปอยู่ข้างในกันหมด พวกมาอยู่ใหม่ที่แฟลตมันก็ไม่สนใจใครหรอก”
ที่จริงซิ้มเป็นคนไทย ลูกชาวสวนแถว ๆนี้ แต่บังเอิญได้ผัวเป็นคนจีน ผัวเคี่ยวเข็ญแกมบังคับให้แต่งตัวแบบจีนบ้างเวลาเข้ากลุ่มเครือญาติ นางจึงหัดนุ่งกางเกงขายาว หัดพูดภาษาจีนแต้จิ๋ว ความที่เป็นคนลิ้นอ่อน ปากเบา จึงหัดเสียจนพูดภาษาจีนเกือบเหมือนคนจีนเอาทีเดียว ดีกว่าลูกสาวจีนเกิดเมืองไทยหลาย ๆ คน คนที่ผ่านมาซื้อของจึงเข้าใจว่าแกคงเป็นลูกจีนแม่ไทยจึงได้ผิวคล้ำตาโต ได้ผัวจีนขายกาแฟจึงพูดจีนเกือบทั้งวันจนคล่องแคล่วแต่ก็พูดไทยได้ชัดเหมือนคนไทยทั่ว ๆไป ส่วนตาผัวพูดไทยบ้างจีนบ้าง ภาษาไทยยังแปร่งแต่ก็ฟังรู้เรื่องดี
เดิมทีซิ้มทำสวนส้มอยู่ชายคลองใกล้วัดสีสุก แป๊ะพายเรือขายกาแฟและขนมของชำหลายอย่าง เข้าไปขายในคลองแถว ๆ นั้น ได้รู้จักมักจี่จนรักใคร่ชอบพอกันตามประสาหนุ่มสาวทั้งที่คุยกันยังไม่เข้าใจกันทุกถ้อยคำด้วยซ้ำไป แต่เจ้าความรักมันสำแดงออกทางสายตาจนพ่อแม่จำต้องบอกสาวเจ้าให้บอกหนุ่มส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอตามประเพณี กลัวลูกสาวจะแอบลงเรือหนีตามหนุ่มจีนไปเสีย
เมื่อแต่งงานกันแล้วแป๊ะจึงขยับขยายหาร้านขายกาแฟ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัดบนฝั่งใกล้ท่าจอดเรือข้างวัด และขยับขยายมาเรื่อย ๆ จนยี่สิบห้าปีล่วงแล้วก็ได้ขึ้นมาอยู่ตึกแถวสร้างใหม่สามชั้นครึ่งห้องนี้ ตึกแถวของแป๊ะ อยู่ในทำเลเหมาะทีเดียว เพราะอยู่ปากซอยใหญ่ ในซอยเต็มไปด้วยบ้านจัดสรร ปากซอยมีแฟลตห้าชั้น ประชากรในแฟลตมีเกือบสองร้อยครอบครัว แต่ส่วนใหญ่ครอบครัวเล็ก ผัวหนุ่มเมียสาว หรือผู้หญิงทำงานกลางคืน บ้านเมืองที่เจริญแต่ทางวัตถุทำให้คลับ คาเฟ่ สโมสรบิลเลียด ร้านขายเหล้าผุดขึ้นเต็มถนนสายนอกเมืองแห่งนี้
สุดถนนมีสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ จึงมีประชากรชาวแฟลตที่ดูแปลกแยกจากบรรดาผู้หญิงทำงานกลางคืนอยู่หลายสิบคน นั่นคือนักศึกษาชายมาเช่าแฟลตอยู่รวมกันห้องละสามคนบ้าง ห้าคนบ้าง เพราะมีอิสระกว่าอยู่หอพัก หนุ่มๆ พวกนี้แหละเป็นลูกค้าชั้นดีของร้านเพราะบางคนฝากท้องไว้กับแป๊ะและซิ้มวันหนึ่ง ๆ อย่างน้อยสองมื้อ ในวันหยุดก็อาจจะสามมื้อเลยทีเดียว
แป๊ะทำงานสองคนกับเมีย มีลูกจ้างหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันเข้าๆ ออก ๆ อีกสองคน กับเด็กหญิงมิ่งซึ่งบางคนก็เข้าใจว่าเป็นเด็กชายจึงเรียก ไอ้มิ่ง มิ่งมีหน้าที่ยกจานข้าว ถุงกาแฟ ถุงโอเลี้ยงวิ่งส่งให้ลูกค้าในแฟลต มิ่งยังไม่ได้เข้าโรงเรียน แต่ซิ้มก็กะว่าจะให้เข้าเมื่ออายุครบหกขวบนี่แหละ ก่อนเกณฑ์ปีหนึ่งเพราะโรงเรียนของกรุงเทพมหานครสุดถนนมีชั้นเด็กเล็ก เคยมีคนถามแป๊ะว่าไม่มีลูกหลานบ้างหรือ แป๊ะมักจะทำหน้าบึ้ง ไม่ตอบ หากเกรงใจจริงๆเพราะเป็นลูกค้าประจำชั้นดี แกจะบอกแต่ว่า “เคยมี แต่เขาก็ไปทำมาหากินของเขาที่อื่นหมดแล้ว”
“แล้วเจ้ามิ่งนี่ล่ะ มันเป็นอะไรกับแป๊ะล่ะ จะว่าลูกหลงก็ไม่น่าจะเป็นได้ มันเล็กเกินไปแต่หน้ามันเหมือนซิ้มนะ ตางี้ถอดแบบกันมาเลยเชียว หลานเหรอ”
แป๊ะจะพยักหน้าแบบแกนๆ เนือยๆ พิกล
“แม่มันเอามาฝากให้เลี้ยงเอาบุญ” แล้วแกก็ไม่ยอมพูดต่อว่ามิ่งมันเป็นหลานข้างไหน
แต่เมื่อวานนี้มีคนมาหาแป๊ะกับซิ้ม สีหน้าของสองผัวเมียตื่นเต้นดีใจนักหนา เพราะคนที่มาหานี่คือลูกชายกับลูกสะใภ้ของแป๊ะเอง ไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นปีๆแล้วเพราะเขาไม่แวะมาเยี่ยมเยียนพ่อแม่ แป๊ะกับซิ้มทำงานปีละสามร้อยหกสิบห้าวันจึงไม่เคยไปเยี่ยมลูกชายเหมือนกัน ลูกชายพาหลานมาไหว้ปู่ย่า หลานชายเสียด้วย อายุสักสามขวบเห็นจะได้ หน้าตาน่ารักดีหรอกแต่ซนมหากาฬ พ่อเจ้าประคุณเที่ยวรื้อเที่ยวค้นในร้าน ราวกับสนิทสนมกับปู่ย่าเสียเต็มประดาทั้งที่เพิ่งเคยพบหน้า
มิ่งเห็นแป๊ะทำขวัญหลานด้วยธนบัตรเป็นปึก ซิ้มก็ถอดแหวนทองที่นิ้วให้หลานห้อยคอ ที่คอของเจ้าหนูมีสร้อยนากห้อยพระเครื่องอยู่แล้วเส้นหนึ่ง ซิ้มจึงร้อยแหวนเข้าไปในสายสร้อยให้
“มิ่ง เอาไอติมในตู้แช่ให้น้องแท่งหนึ่ง จะได้นั่งเฉยๆเสียมั่ง” คนแก่เวียนหัวที่หลานซนนักจึงเรียกมิ่งให้หยิบไอศกรีมแท่งให้ ในร้านขายเครื่องดื่ม ไอศกรีม นานาชนิดอยู่แล้ว แต่ไม่มีเหล้าเบียร์ขายเพราะแป๊ะไม่ชอบให้มีขี้เมาในร้านถึงกับปิดป้ายห้ามนำเหล้าเบียร์มาดื่มในร้านเอาทีเดียว ถึงจะไม่มีขี้เมามาอุดหนุน แกก็ไม่เดือดร้อนอะไร สบายใจดีเสียอีกที่ไม่มีใครมาก่อเรื่องก่อราวตีรันฟันแทงกันในร้านของแก ลำพังอาหารที่ขายอยู่นี่แกก็ทำไม่ทันอยู่แล้ว
ลูกชายของแป๊ะหันมามองมิ่งอย่างพินิจ แล้วพูดออกมาลอย ๆไม่เจาะจงถามใคร
“ไอ้คนนี้ใช่ไหมที่นังมาลีมัน...”
“ไม่ต้องพูด” ซิ้มปรามลูกชายทันควัน แป๊ะก็ตาเขียว หน้าเปลี่ยนสี มิ่งได้ยินแว่วๆ คำว่ามาลีนี่เป็นคำต้องห้ามในบ้านนี้ มิ่งเองก็รู้ ใครเอ่ยถึงคนชื่อมาลีขึ้นมาทั้งแป๊ะและซิ้มจะแหวให้หยุดปากทันที
มาลีนี่เป็นใครกันหนอ ญาติในสวนคนหนึ่งเคยพูดคล้ายกับว่ามาลีนี่คือแม่ของมิ่ง แต่มิ่งไม่ได้สนใจเพราะยังเล็กนัก แล้วทำไมจะต้องห้ามเอ่ยชื่อนี้ด้วยนะ
มิ่งมองทุกคนตาแป๋ว บุรุษแปลกหน้ากวักมือเรียกมิ่งให้เข้าไปหาใกล้ๆ
“ไหน มาให้ลุงดูหน้าหน่อยซิ ตามันเหมือนแม่เปี๊ยบเลยนะ” เขาเอ่ยกับซิ้มผู้มารดา มิ่งชำเลืองมองแป๊ะอย่างหวาดๆ แป๊ะพยักหน้า ปรกติแป๊ะจะไม่สนใจเด็กคนนี้นัก เป็นหน้าที่ของซิ้มที่จะดูแลมิ่งให้กินอิ่มนอนหลับและเนื้อตัวสะอาด เข้าใกล้บางทีแกก็ไล่ให้ไปห่างๆ มิ่งจึงมักจะอยู่ห่างๆ เจ้าบ้าน แต่เมื่อคนที่เรียกตัวเองว่าลุงซึ่งนั่งอยู่ติดกับแป๊ะเรียก แป๊ะอนุญาตให้เข้าใกล้มิ่งจึงเดินเข้าไปหา “เข้าโรงเรียนหรือยัง โตโขแล้วนี่”
“เปิดเทอมหน้านี่แหละให้เข้า” ซิ้มบอก “พาไปสมัครแล้วนะ เรียบร้อย เข้าเรียนชั้นมูลก่อน ปีหน้าถึงขึ้นป.หนึ่ง ขึ้นรถสองแถวหน้าบ้านไปลงหน้าโรงเรียนเลย จะได้ไม่ต้องไปรับส่งมันให้ยุ่งยาก”
“อะไรตัวแค่นี้ให้ไปโรงเรียนเอง” ป้าทำท่าตกใจ
“เด็กแถวนี้มันก็ไปกันยังงี้แหละ ไม่มีอะไร ก็ไปพร้อมกันหลายๆคน ทั้งโตทั้งเล็ก” ซิ้มตอบด้วยสีหน้าปรกติ “นั่งรถทอดเดียว รถมันก็จอดหน้าโรงเรียนนั่นแหละ เสียค่ารถคนละบาทเท่านั้น ถ้าขยันเบียดก็ขึ้นรถเมล์ใหญ่ไม่ต้องเสีย แต่รถเมล์ใหญ่มันไม่ค่อยอยากจอดรับเด็กๆหรอก ไม่ได้ตังค์ ให้มันเสียไปกลับวันละสองบาทหมดเรื่อง ห่อข้าวไปกินไม่สิ้นเปลือง ขนมนมเนยในร้านเยอะแยะ เอาไปกินได้ กลับมาบ่ายก็กินของในร้านนี่ ไม่ต้องให้ค่าขนมหรอก”
“ไอ้นี่มันมีเงินเก็บ” แป๊ะบอก “มันวิ่งส่งข้าวผัดโอเลี้ยง บางทีคนซื้อที่แฟลตนี่เขาไม่เอาทอนเขาให้มัน พวกผู้หญิงกลางคืน เงินมันหาง่าย”
“นึกว่าเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน” ลูกชายแป๊ะบอก “เพราะฉันก็อยู่ไกล นานๆ ถึงจะได้มาที”
“เป็นเพื่อนเรอะ แถวนี้เดี๋ยวนี้มันไม่ไหว กลัวจะยังไม่ทันสาวเต็มตัว ก็ไปเสียแล้ว” แป๊ะบ่นทำหน้านิ่ว “มีแต่คาเฟ่ คลับโรงบิลเลียด ร้านเหล้า” แกชี้นิ้วไปที่แฟลต
“ผู้หญิงกลางคืนเต็ม ไม่รู้มันทำอะไรกัน แต่งตัวแต่งหน้าหรูหรา พอเย็นก็ออกมาเรียกแท็กซี่ บางคนก็เดินไปเพราะใกล้ๆนี่มีคาเฟ่ ไอ้มิ่งก็มองเขาตาเป็นมันเชียว วันก่อนมันมาบ่นอยากนุ่งกระโปรง”
“ก็มันเป็นผู้หญิง แล้วนุ่งแต่กางเกงขาสั้น กางเกงหูรูด” ลุงหัวเราะ ขำ “มันคงอยากสวย”
“ก็เพราะงี้น่ะสิถึงได้ว่ากลัวจะยังไม่ทันสาวเต็มตัว” แป๊ะถอนใจ
“เลี้ยงมันดีๆอาจจะไม่มีอะไรน่า แม่ก็ใกล้ชิดมันหน่อยซี้ อย่าห่างเหินกันนัก” ลูกชายสบตามารดา ซิ้มเลยถอนใจใหญ่
“เรามันคนทำงานไหนเลยจะมีเวลาไปดูแลมัน นี่ก็วิ่งเข้าๆออกๆที่แฟลตทุกวัน แต่พอไปโรงเรียนแล้วก็คงค่อยยังชั่ว”
“ให้ลูกจ้างวิ่งส่งแทนดีกว่า อย่าใช้มันเข้าไปในนั้นเลย บางห้องมันอยู่อะไรกันประเจิดประเจ้อน่ะ แม่ บางคนมันไม่รู้จักระมัดระวังหรืออับอายสายตาใคร”
“ลูกจ้างมันก็เดี๋ยวออกๆ ไม่มีใครบางทีก็ต้องใช้มันนั้นแหละ มันคล่องนะ ตัวแค่นี้คิดเลข คิดเงินเก่ง เพราะมันโตมากับร้านค้า บวกเลขยังกับเด็กสิบขวบแน่ะ ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียน”
“งั้นก็ต้องปลงๆซะ แล้วนี่จดทะเบียนมันเป็นลูกใครตามกฎหมาย”
“ก็ลูกของพ่อแม่น่ะสิ ตามกฎหมายมันเป็นน้องแก ครูใหญ่เขายังสงสัยถามว่าทำไมมีลูกแก่จริง วันก่อนที่พาไปสมัครเรียนน่ะ” มารดาตอบ มิ่งกะพริบตาถี่ ๆ นึกถึงครูใหญ่ท่าทางใจดีคนนั้น
ซิ้มพามิ่งไปสมัครเข้าเรียนในปีการศึกษาหน้าตามกำหนดเวลาที่ทางโรงเรียนปิดประกาศไว้ ครูใหญ่เห็นตัวมิ่งกับซิ้มแล้วถามว่า
“หลานย่าหรือหลานยายคะนี่”
“ลูกค่ะ ครู” ซิ้มบอกหน้าตาเฉยจนครูใหญ่อุทานออกมา
“อะไรกัน” ครูใหญ่เพิ่งมองทะเบียนบ้านอย่างตกใจเล็กน้อย “ก็มีลูกเอาอายุเกือบห้าสิบ” ซิ้มหัวเราะ
“ลูกบุญธรรมค่ะ ครู ลูกของอิฉันน่ะยี่สิบกว่าแล้วทั้งนั้น เขาแยกครอบครัวไปหมด อิฉันเหงาเลยเลี้ยงเขามาแบบลูก”
“แล้วไป แหม ทำเอางงนึกว่ามีลูกหลงตอนอายุจะห้าสิบ”
“ก็ยังมีได้นี่คะบางคนน่ะ แต่อิฉันน่ะไม่ได้หรอก หมดตั้งแต่สี่สิบแปด ได้แม่คนนี้มาเอาตอนห้าสิบ แต่แป๊ะ เออ สามีอิฉันน่ะชอบให้เขาแต่งตัวแบบผู้ชาย นุ่งกางเกง ตัดผมสั้นๆ”
“ตัดผมสั้นได้ แต่ไม่อนุญาตให้ไว้ผมยาวเพราะเหามันระบาด โรงเรียนวัดน่ะน้า เด็กมาจากครอบครัวที่ออกจะปล่อยปละละเลยมาก บางทีปราบกันทั้งโรงเรียน ต้องเรียกมาใส่ยาทีละคนแล้วให้กลับไปสระเองที่บ้าน ไม่งั้นไม่ไหว บอกพ่อแม่คนเลี้ยงจนปากเปียกปากแฉะก็แล้ว ไม่ได้ผล ต้องลงทุนไปซื้อยามาผสมน้ำแล้วจับราดหัวกันเลยแหละค่ะ ขนาดเด็กผู้ชายตัดผมสามเซ็นต์สี่เซ็นต์ยังมีเลย ต้องจับโกนกัน”
“มิ่งไม่มีเหา” เด็กหญิงเอ่ยออกมา
“จ้ะ บางคนอยู่บ้านไม่มีหรอก พอมาโรงเรียนเหามันกระโดดจากหัวเพื่อนไปที่หัวตัวแล้วพอกลับไปบ้านก็กระโดดไปที่หัวคนอื่นๆในบ้าน แพร่กันเต็มบ้านเลย หนูระวังให้ดี” ครูใหญ่พูดยิ้มๆ “ชื่อเพราะจริงนะหนู มิ่งโกมุท แปลว่าอะไรรู้ไหมจ๊ะ”
“โกมุทแปลว่า ดอกบัว” เด็กหญิงตอบ
“พูดใหม่นะคะ พูดว่า โกมุทแปลว่าดอกบัวค่ะ หนูไม่มีเหาค่ะ”
“ดอกบัว เออ ค่ะ” เด็กไม่เคยพูดคะขาเวลาอยู่บ้านจึงขัดเขินที่จะพูด แต่มิ่งไม่เคยพูดมึงกูหรือใช้คำหยาบด่าทอใครเพราะคนเลี้ยงไม่พูด ไม่ด่าแต่มิ่งได้ยินเด็กข้างบ้านพูดหรือด่ากันบ่อยๆ
“ไว้ค่อยๆ หัดไป ตอนนี้ดูแกออกจะเหมือนเด็กผู้ชายไปหน่อย” ครูใหญ่มองอย่างพินิจ “หน้าตาดี มาเรียนก่อนเกณฑ์น่ะดีจะได้เตรียมความพร้อม ทีนี้พ่อแม่บางรายครบเกณฑ์ยังต้องบังคับ ไม่ยอมพามาหรอก หรือมาแล้วก็หายไปทีวันสองวัน พอได้สองปีก็หายไปเลย ส่งคนไปตามก็ย้ายไปไหนแล้วไม่รู้ บางทีไม่ได้ย้ายแต่พ่อแม่เลิกกัน ไม่มีใครสนใจ เลยวิ่งเล่นอยู่แถวบ้านทุกวัน คิดว่าไม่สำคัญ ห้องเด็กเล็กน่ะมีไม่กี่คนหรอกค่ะ เพราะต้องเสียเงิน ที่จริงก็เสียน้อยกว่าเข้าโรงเรียนอนุบาลมากแล้ว แค่ค่าอาหารเสริม หนังสือก็ซื้อไม่กี่เล่มเอง ไม่กี่สิบบาท พอขึ้นป.หนึ่งก็ สบายแล้ว ได้หนังสือแจกบ้าง ซื้อเองก็ไม่ถึงร้อย ค่าอาหารไม่ต้อง”
“ที่ร้านขายข้าวอยู่แล้ว ว่าจะใส่กล่องมากินเอง มีขนมพร้อม นมกล่องด้วย”
“ดีจริง ได้กินนมกล่องด้วย”
“ค่ะ เราขายค่ะเลยไม่หวง ถ้าเด็กในบ้านจะกินบ้าง ห้ามแต่ลูกจ้างเพราะมันแพง แต่นี่เป็นลูกเลยไม่ห้าม เขาชอบ วันละกล่องทุกเช้าก่อนกินข้าว”
“ดีจริง แล้วมิ่งต้องรักพ่อแม่มากๆนะคะ ท่านเลี้ยงเราอย่างดี มีอาหารบริบูรณ์ออกอย่างนี้ทั้งที่เป็นเพียงลูกบุญธรรม”
“ลูกบุญธรรมเป็นยังไงคะ” มิ่งอดอยากรู้ไม่ได้
“คุณน้าไม่ได้ปิดแกใช่ไหมนี่ เมื่อกี้ก็พูดต่อหน้าแก” ครูใหญ่ชักลังเล
“ไม่ปิดหรอกค่ะ ปิดไม่ไหว เราแก่เกินกว่าจะเป็นพ่อแม่แท้ๆ ปิดไม่มิด แกรู้แต่บางทีก็งงแล้วแกไม่ได้เรียกเราเป็นพ่อแม่ด้วย อิฉันมีสามีเป็นคนจีน แกเลยเรียกเราว่าแป๊ะกับซิ้ม”
“ค่ะ บอกความจริงกับเด็กตั้งแต่เล็กเป็นดีที่สุด แกจะได้ไม่วุ่นวายใจตอนวัยรุ่น ขืนรู้ตอนวัยรุ่นละยุ่งเชียว กำลังอารมณ์แรง มิ่งจ๋า ลูกบุญธรรม ก็คือไม่ใช่ลูกแท้ๆที่ออกมาจากท้องแม่น่ะ มิ่งโกมุท แต่เอามาเลี้ยงเหมือนลูกเพราะรักและอยากได้มาเป็นลูก แม่แท้ๆเขายกให้มาเพราะความจำเป็นบางอย่าง เป็นต้นว่ายากจนมาก เลี้ยงไม่ไหว กลัวลูกจะอดอยากไม่มีข้าว ไม่มีนมกิน หรือว่าแม่แท้ๆไม่สบายมาก เลี้ยงลูกเองไม่ไหว เลยยกให้คนที่เขาอยากได้มาเลี้ยงเป็นลูก อย่างนี้แหละ”
เด็กหญิงมิ่งโกมุทพยักหน้ารับทราบแล้วก็ไม่เคยสนใจอีกจนกระทั่งลุงพูดถึงมาลี และวันนี้ก็มีญาติจากสวนส้มพูดว่ากับซิ้มว่า
“ทำไมไม่ให้เรียกตายายหรือว่าก๋งอะไรทำนองนี้ ทำไมให้เรียกซิ้ม แป๊ะ พิลึกแท้”
“ก็อยากให้เรียกแบบนี้จะทำไมล่ะ”
เด็กหญิงจึงเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้ ซิ้มมองหน้าเด็กหญิงแล้วก็นึกถึงครูใหญ่ที่ว่าบอกความจริงกับเด็กตั้งแต่เล็กเป็นดีที่สุด เขาเป็นครูมาตั้งยี่สิบสามสิบปีคงจะรู้ดีกว่าชาวบ้านอย่างเราๆ ซิ้มคิดดังนั้นจึงพูดความจริงออกมาทั่งที่ไม่แน่ใจว่าเด็กหกขวบจะเข้าใจหรือไม่
“แม่เอ็งน่ะชื่อมาลีเป็นลูกสาวแท้ๆ ของซิ้มกับแป๊ะ เพราะฉะนั้นเอ็งน่ะเป็นหลานยายหลานตา”
“มิน่าล่ะป้าแหวนถึงถามว่าทำไมไม่ให้เรียกตายายหรือก๋ง”
“แป๊ะเขาไม่อยากให้เรียกเพราะเขาไม่อยากนึกถึงมาลีแม่เอ็ง”
มิ่งโกมุทมองหน้าทำตาปริบๆ พิลึก พ่อทำไมไม่นึกถึงลูกสาว
“แม่เอ็งน่ะหนีตามคนขับสิบล้อไป พอมีเอ็งแล้วก็เอามาแหมะไว้ให้ข้าเลี้ยง แล้วก็หายหน้าไปเลย แป๊ะเขาเห็นหน้าเอ็งแล้วไม่สบายใจ ลูกสาวหนีตามผู้ชายไป พ่อแม่ก็อับอายขายหน้าแทบจะต้องยกเสาเรือนหนี แล้วยังอุ้มลูกมาทิ้งไว้ให้เลี้ยงอีก พอย้ายมานี่ แป๊ะเขาเลยให้เรียกซิ้มกับแป๊ะซะ คนมันจะได้ไม่ถามว่าแม่เอ็งไปไหน”
“แล้วแม่เขาไปไหนล่ะ”
“ข้าก็ไม่รู้หรอก ไม่เคยหวนกลับมาเลย แต่แป๊ะกับซิ้มก็เลี้ยงมิ่งอย่างลูกอย่างหลานแท้ๆ นะไม่ได้เลี้ยงแบบขี้ข้าหรือเด็กในบ้าน ซิ้มก็เป็นแม่ให้เอ็ง ป้อนข้าว อาบน้ำให้ แป๊ะก็เป็นพ่อให้ เพียงแต่ไม่ได้ให้เรียกเป็นพ่อเป็นแม่ เอ็งต้องเห็นใจแป๊ะเขารู้ไหม เขาเสียใจที่แม่เอ็งหนีไป แล้วเขาก็เสียใจที่มีลูกชายอยู่กับเขาสองคนก็ไม่เหมือนดังใจ คนหนึ่งก็เสียคนไปเลย อีกคนก็ไม่ค่อยมาหา สามปีเพิ่งเห็นหน้าเมื่อวานนี้แหละ มันก็อยู่ในกรุงเทพฯนี่เองแต่มันว่ามันไม่มีเวลา ไม่รู้มันยุ่งอะไรกันนัก”
“ก็ยุ่งขายของตั้งแต่เช้ามืดยันสามทุ่มอย่างเราไง”
“ไม่หรอก เขาไม่ได้ค้าขายอย่างเรา เขามีวันหยุดเพราะทำงานบริษัท เขาหยุดวันอาทิตย์ แต่เขาก็คงอยากนอนพักแหละนะ บ้านเรามันไม่เคยมีวันหยุด ขายของทุกวัน นอกจากตรุษจีนปิดสองวัน”
“ตรุษจีนไม่ได้ปิดสักหน่อย” มิ่งโกมุทค้าน ก็ตรุษที่ผ่านไปหยกๆนี่ ไม่ได้ปิดร้าน
“เมื่อก่อนปิด ปีที่แล้วไม่ได้ปิด พวกที่แฟลตเขามาขอร้องให้เปิด เขาหาที่กินข้าวเย็นไม่ได้ เราเลยเปิด ซื้อหมูซื้อไก่ตุนไว้ผัดข้าวผัดขาย ขายดีจริงๆเลย”
ซิ้มสังเกตเห็นว่าเด็กเลิกสนใจแล้วว่าตัวเองเป็นลูกใคร จึงชวนคุยเรื่องโรงเรียนเสีย
“เปิดเทอมไปโรงเรียนแล้วต้องขยันเรียนหนังสือนะ อย่าขี้เกียจ จะได้คิดเลขเก่งๆ ช่วยแป๊ะช่วยซิ้มขายของ”
มิ่งโกมุทรับปาก
“เข้านอนได้แล้วนะ แล้วไม่ต้องคิดอะไรรู้ไหมล่ะ เอ็งจะลูกใครข้าก็รักเอ็งนะไอ้มิ่งเอ๊ย”
“รัก แล้วทีขอกระโปรงตัวไม่ให้” มิ่งต่อว่า
“นุ่งกางเกงอยู่บ้านแหละดีแล้ว ปลอดภัยดี เหมือนเด็กผู้ชาย พอไปโรงเรียนซิ้มจะซื้อกระโปรงนักเรียนให้สามตัวเลยนะ”
“อยากได้กระโปรงแดงใส่ไปเที่ยว”
“ไปเที่ยวไหน ไม่มีใครพาไปหรอก ไม่มีเวลา ไม่ว่าง ใส่กางเกงอยู่บ้านแหละ ไปโรงเรียนค่อยใส่กระโปรง ซื้ออะไรแล้วต้องใช้ให้คุ้มซี เด็กๆ โตเร็วจะตาย”
“พี่ ๆที่แฟลตเขาแต่งตัวกันสวย ๆ ตอนเย็น ๆ กระโปรงบาน ๆ” เด็กหญิงพึมพำ “ทาหน้าแดงๆ”
“เขาทำงานกลางคืนถึงต้องแต่ง พวกที่ไปทำงานกลางวันน่ะเขาไม่แต่งยังงั้นกันหรอก อย่าได้คิดเอาอย่างเขาเลย เอ็งอดนอนไหวเรอะ จะเที่ยวกลางคืนน่ะ เป็นเด็กไปไม่ได้หรอก”
“รอไว้โตเป็นสาวก่อน” แล้วเด็กหญิงก็พลิกตัวกอดหมอนหลับตา
ซิ้มถอนใจ มองหลานสาวด้วยความเป็นห่วง มันสนใจเรื่องสวยๆ งามๆ อยากแต่งตัว อยากออกเที่ยวกลางคืน โธ่ หลานเอ๊ย มันพูดไปอย่างนั้นเองประสาเด็ก หรือว่ามันโน้มเอียงไปในทางที่จะเหมือนแม่ของมันล่ะ นางอึดอัดในหัวอกนัก กลัวมันจะเหมือนแม่ หนีตามผู้ชายไปตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหก ก่อนหนีตามคนขับรถสิบล้อไปมันก็เที่ยวคบผู้ชายไม่เลือกหน้า ห้ามกันตีกันไม่หวาดไม่ไหว แล้วนี่แม่หลานสาวคนนี้มันจะเหมือนแม่หรืออย่างไร
นึกถึงผัวแล้วก็สงสารแป๊ะนัก ทำงานหนักส่งลูกเรียนสูงๆ ลูกสาวก็เลี้ยงอย่างดี เงินทองให้ใช้ไม่เคยขาดมือ แต่มันก็ไม่รักดีเอาเสียเลย เจ้าลูกชายคนโตมันยังว่าเพราะพ่อแม่ห่างเหินกับลูกสาว มัวแต่ทำมาหากิน ลูกสาวคบเพื่อนไม่ดีพากันเที่ยวก็ไม่รู้เรื่อง ทีลูกสาวบ้านอื่นพ่อแม่ก็ทำงานงกๆ ไม่เห็นจะเกิดเรื่อง นังมาลีมันไม่รักดีด้วยนั่นแหละ และที่สำคัญมันสวยเกินไป ลูกผสมจีนไทย ผิวผ่องขาวเกลี้ยงเกลาแต่คิ้วเข้มตาคมจมูกโด่งงาม ผู้ชายชอบตามตอแยตั้งแต่อายุยังไม่ทันจะสิบสาม
กว่าแม่จะรู้ว่าลูกริคบเพื่อนผู้ชายเกินความเป็นเพื่อนก็สายไปเสียแล้ว
ตอนนั้นบ้านเมืองยังไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำไป ถนนสายนี้ยังไม่เจริญรุดหน้า ไม่มีคาเฟ่ ไม่มีโรงบิลเลียด โรงเต้นรำ มีแต่โรงหนังชั้นสอง แล้วมาลีลูกสาวคนเดียวของแม่ยังเสียคน ลูกชายคนรอง พี่ชายของมาลี เจ้ามารุตก็เสียคน กินเหล้าเมายา ติดยาเสพติด หายหน้าหายตาไปหลายปีแล้วเหมือนกัน ที่รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ก็คือลูกคนโต เจ้ามานิต แต่เขาก็ไม่ค่อยจะมาให้เห็นหน้า รู้แต่ว่าทำงานบริษัทน้ำมันใหญ่โตเงินเดือนเป็นหมื่น เมียก็ทำงานเสมียน เงินเดือนหลายพัน ลูกชายคนเดียวได้เข้าโรงเรียนอนุบาลตั้งแต่อายุสองขวบครึ่งฉลาดฉะฉานดี แต่มีหลานย่าก็เหมือนไม่มี อายุสามปีเพิ่งได้พบหน้า แล้วหลานยายก็ไม่อาจให้เรียกยายได้เพราะสะเทือนหัวใจนักหนา ให้มันเรียกแป๊ะเรียกซิ้มไปแล้วกัน ไม่กล้าหวังเลยละว่ามันจะเป็นคนดี เอาตัวรอดได้ในภายภาคหน้า ดูแต่วันนี้อายุแค่หกขวบ มันอยากแต่งหน้าทาปากนุ่งกระโปรงสั้นๆไปเที่ยวเสียแล้ว
สิ่งแวดล้อมมันไม่ดีอย่างนี้แล้วยายจะหวังให้หลานดีได้อย่างไร นอกจากมันจะดีของมันเอง คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วยเถิด อย่าให้ต้องช้ำใจตายตอนแก่เฒ่ากว่านี้เลย โธ่เอ๋ย ช่วยคุ้มครองหลานให้พ้นปากเหยี่ยวปากกาด้วยเถิด เจ้าประคุณ