อเวจีสีชมพู (โบตั๋น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789747474282
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 250.00 บาท 62.50 บาท
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 “ผมรู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้เท่ากับผมกระโจนลงอเวจี แต่ผมก็เต็มใจทำเพื่อคนที่ผมรักและบูชามาชั่วชีวิต”

“เขาคงรู้สึกว่าตกนรกอเวจีที่ต้องมาทนอยู่กับฉัน แต่เขาจะรู้หรือเปล่าว่าฉันเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง แต่เพราะความรักที่ฉันจะไม่มีวันได้รับรักตอบ

 

 

ปัทมาวางมือจากขิงอ่อนที่กำลังแกะสลักเพื่อเตรียมดองใส่ขวดโหลไว้รับประทานและแจกพรรคพวกเพื่อนฝูง ยิ้มรับผู้ที่ เดินเข้ามาในบริเวณครัว หันเรียกหลานสาวซึ่งกำลังล้างขวดโหลอยู่ ที่อ่างล้างจาน

“ปัดจ๋า หนูไปหาน้ำเย็นมาให้คุณลุงหน่อย เพิ่งมาถึงกำลัง ร้อน ๆ”

เด็กสาวรับคำ เดินไปเปิดตู้เย็น ขณะหยิบแก้วน้ำซึ่งมีกระไอความเย็นเฉียบจับวางลงบนจานรองก็ต้องหันมามองอีกครั้งเพราะเสียงของคุณป้าที่เอ่ยขึ้นว่า

“อ้าว นั่นพาใครมาด้วย”

 

หล่อนเห็นร่างเล็กผอมบาง ผิวหน้าซีดเซียวที่เดินตามหลัง

คุณลุงเข้ามาในห้อง เด็กชายวัยไม่น่าจะเกินแปดขวบหรืออาจจะน้อย กว่านั้นมาก   ดวงตาของเด็กชายเต็มไปด้วยแววหวาดหวั่น ริมฝีปาก ของเขาสั่นเล็กน้อย และโดยที่ไม่ต้องมีใครสั่งเขาก็ยกมือไหว้สาวใหญ่ ผู้นั่งสง่าอยู่ที่โต๊ะและเรื่อยเลยมาทางเด็กสาวด้วย

ไม่ต้องมีใครสั่งเช่นกัน เด็กสาวจัดแก้วนํ้าเย็นเพิ่มอีกชุดหนึ่ง ทันที เด็กคนนั้นเหงื่อพราวเต็มหน้า  ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยหรือเพราะ ตื่นเต้นหวาดกลัวแปลกที่ หล่อนขยับหยิบกล่องไอศกรีมจากช่องแช่แข็งออกมาเตรียมไว้ด้วย

เด็กทุกคนต้องชอบไอศกรีม เด็กสาวยิ้มให้เด็กชายตัวน้อย สีหน้าของเขาค่อยคลายความตื่นเต้นลงเมื่อเห็นรอยยิ้มเป็นมิตรของคน ในบ้านหลังนี้

“เด็กที่ไหนคะ โถ ผอมจัง ไม่เคยเห็นหน้า ลูกใครคะ” ปัทมา ดึงแขนเด็กชายเข้ามาใกล้  สามีของเธอนั่งลง สีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะตอบ

“ลูกผมเอง คุณปัทมา”

คำตอบนั้นแผ่วเบาแต่ได้ยินชัดเจน  ปัทมาตะลึงนิ่งขึงไปถมปัดหลานสาวชะงัก   ถาดน้ำเย็นแทบหลุดจากมือ   ลูกของคุณลุงหรือ เป็นไปได้อย่างไร

คุณลุงเป็นคนเอาการเอางาน ไม่เคยเจ้าชู้ ไม่เคยเที่ยวกลางคืน หรือไปค้างอ้างแรมที่ไหนนอกจากไปธุระเรื่องการงาน เสร็จแล้วก็รีบ กลับบ้าน อยู่กับคุณป้าและปิติลูกชาย ถมปัดเข้า ๆ ออก ๆ บ้านนี้มา ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเห็นคุณลุงมีทีท่าจะนอกใจคุณป้า พ่อของถมปัดเองเสียอีกยังเคยก้อร่อก้อติกกับสาว ๆ และเคยไปติดนักร้องคาเฟ่แต่ ไม่นานก็เลิกราไปติดใจสาวคนใหม่ ไม่จริงจังอะไรกับใคร แม่จึงไม่ตามเอาเรื่องเอาราวนักแต่คุณลุงไม่เคยทำอย่างพ่อเลยสักครั้ง แม่ยังเคยบ่นอิจฉาคุณป้าเลยที่ได้สามีดีรักเดียวใจเดียว แล้วนี่อะไรกัน ปัท

มาดูเหมือนจะรวบรวมสติได้แล้ว

“ปัดเอาน้ำเย็นมาให้คุณลุงสิจ๊ะ แล้วพาพ่อหนุ่มคนนี้ออกไปเดิน เล่นข้างนอกจะให้กินน้ำกินไอศกรีมอะไรก็ได้นะ”

ถมปัดเดินเข้ามาที่โต๊ะเตรียมอาหารของป้า วางถาดน้ำเย็นลง ชำเลืองมองหน้าลุงเขย เขาหลบตาหลานสาวภรรยา ก้มหน้ามองพื้นโต๊ะ สีหน้าละอายใจ

เด็กสาวดึงแขนหนุ่มน้อยตัวเล็กผอมจนอาจเรียกได้ว่าผอม กะหร่องออกมา   เขาขืนตัวเล็กน้อยแต่แล้วก็ยินยอมเดินตามมาแต่โดยดี ถมปัดหยิบกล่องไอศกรีมในตู้เย็นพร้อมช้อนคันเล็กติดมือมาด้วย พาเขาไปนั่งที่ม้ายาวใต้ร่มกระดังงาพุ่มโตข้างเรือน

“ชื่อไรนะเรา” ถมปัดถาม ยื่นไอศกรีมให้ “กินสิ อร่อยนะ เคยกินไหม ยี่ห้อนี้แพงด้วยแต่อร่อย  หรือเอาน้ำเย็น หิวน้ำไหมล่ะ”

เด็กชายไม่ตอบ ไม่ยื่นมือออกมารับน้ำหรือไอศกรีมที่เด็กสาวเตรียมมาให้ เขาเงยหน้ามองเด็กสาวผู้สูงวัยกว่าเขาประมาณสิบปี  ด้วยแววตาเศร้า น้ำตาคลอเต็มดวงตาทั้งสองข้าง   ครู่ต่อมามันก็ไหลลงมาเป็นทางสองข้างแก้มซูบ

“อ้าว ร้องไห้ซะแล้ว” ถมปัดบ่น “เช็ดซะจะร้องไห้ทำไมกัน ว้า ไม่มีกระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าเสียด้วย  เดี๋ยวขี้มูกไหลหรอก หนูเอ๊ย”

เด็กสาววางไอศกรีมและน้ำเย็นลงข้างตัวเด็กชาย เดินกลับไปที่ในครัวแต่ไม่ได้เข้าไปใกล้คุณลุงกับคุณป้าซึ่งนั่งหน้าตาเครียดเคร่ง ก็น่าจะเครียดอยู่หรอก หล่อนเข้าไปหยิบกล่องกระดาษนุ่มสำหรับเช็ดปากออกมาทั้งกล่อง เดินตรงไปหาเด็กชาย ดึงกระดาษออกมาเช็ดน้ำมูกน้ำตาให้

 

“เธอเป็นลูกคุณลุงหรือ”  ถมปัดถาม

“ผมไม่รู้”  เด็กชายตอบสั้น  “แต่เขาบอกผมอย่างนั้นเหมือนกัน”

“แล้วเธอไปอยู่ที่ไหนมา หือ จนโตป่านนี้ กี่ขวบแล้ว”

“แปด ผมอยู่กับตายายที่ดินแดง กรุงเทพฯ” เด็กชายตอบ “ตา กับยายตายแล้ว”

“ชาวกรุงเสียด้วย แล้วเธอรู้ไหมว่าที่นี่น่ะที่ไหน”

เด็กชายสั่นหน้า

“ไกลลิบเลยถ้านับจากกรุงเทพฯ นะ ตากับยายตายแล้วหรือแล้วแม่ล่ะ” เด็กสาวซักต่อ

“แม่ตายนานแล้ว เป็นเอดส์ตาย”

ถมปัดสะดุ้งเฮือก   ผงะนิดหนึ่ง  เด็กชายพูดเหมือนแม่เป็นไข้ตายอย่างนั้นแหละ   เขารู้หรือเปล่าว่าเอดส์แปลว่าอะไร

“ใคร ๆ เขาก็รังเกียจบ้านเรา  กลัวเอาโรคไปติด”

“ตากับยายเป็นหรือเปล่า”

เด็กชายสั่นศีรษะ

“แล้วตัวเธอล่ะ ติดโรคอะไรหรือเปล่า” ถมปัดชักเสียงสั่น มองเด็กชายอย่างพิจารณา ตัวผอมเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่เพราะอดอยาก อาหารไม่เพียงพอก็อาจจะเพราะมีโรคภัยในตัว

“หมอว่าไม่มีโรคอะไรแต่คนแถว ๆ บ้านเขาไม่เชื่อ เขาว่าผมต้อง ติดเอดส์จากแม่แน่ ๆ ก่อนมานี่พ่อ  เอ้อ  คนนั้นนะ” เด็กชายชี้มือไปที่บุรุษร่างใหญ่ในครัว “พาไปเจาะเลือดตรวจอะไรไม่รู้เยอะแยะ บอกว่าไม่มีโรคแล้วก็พามานี่ นั่งรถมาทั้งวัน เขาบอกว่าเขาเป็นพ่อผมแต่ผมไม่รู้จักเขาเลย”

เด็กชายน้ำตาร่วงอีก   ถมปัดปลอบ

 

“อย่าร้องไห้ไปเลย แสดงว่าคุณลุงเขารักเธอเป็นลูกไง เพราะ แม่กับตายายตายหมดแล้ว ตายายเป็นอะไรตายล่ะ รู้ไหม”

“รถชน”  เด็กชายตอบสั้น ๆ “ตาตายก่อน แล้วยายไม่สบายตายทีหลัง   ยายเป็นปอดบวม”

“เหรอ  เธอก็เลยไม่มีใคร คุณลุงก็รับเธอมาเลี้ยงเป็นลูกน่ะสิ

เอ๊  แล้วพ่อเธอล่ะ เขาไปไหนเสีย”

“ยายบอกว่าคนนั้นเป็นพ่อผม”  เด็กชายชี้ไปที่ครัวอีก  “แต่เขา

ไม่รู้ว่ามีผมเพราะแม่ไม่ได้บอก”

ถมปัดทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“ทีแรกเขาก็ไม่เชื่อว่าผมเป็นลูก  แต่เขาพาไปตรวจเลือดแล้วก็มาบอกยายวันหลังว่า เชื่อแล้ว  หมอบอกว่าใช่  เขาให้เงินยายไว้เลี้ยงผม  แต่ยายไม่สบายมาก  เขาเลยต้องพาผมมานี่ตอนยายตายแล้ว”

คุณลุงนะคุณลุง  ถมปัดได้แต่ถอนใจ

“เธอพบพ่อนานหรือยัง”

“ตั้งแต่ก่อนสอบไล่” เด็กชายนับนิ้ว  “นี่จะเปิดเทอมอยู่แล้วสามเดือนกว่านะ”

คุณลุงเข้ากรุงเทพฯหลายครั้งในช่วงระยะเวลาดังกล่าว บอก

ว่าไปติดต่อลูกค้าจะได้ส่งส้มโชกุนแสนอร่อยจากไร่ไปเข้าห้างในเมืองหลวง ที่แท้ไปธุระเรื่องเด็กคนนี้ด้วย

“ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก  เธอเป็นเด็ก   คิดเสียว่าได้พ่อแล้ว

 สบายแล้ว  มีคนเลี้ยง  ส่งเสียให้เรียน”  หล่อนบอกให้เขารับประทาน

 ไอศกรีมอร่อยอีก  “สบายใจเถอะนะ  พี่จะถือว่าเธอเป็นน้อง ตกลง

จะบอกหรือยังว่าชื่ออะไร”

“ชื่อโป๊ะ  ชื่อจริงชื่อโปดก”

เด็กชายก้มหน้ากินไอศกรีม  ความเป็นเด็กทำให้เขาหยุดเศร้า

 

โศก อร่อยกับของกินตรงหน้า

“ผมไม่เคยได้กินไอติมแบบนี้หรอก ยายไม่มีตังค์ ยายว่าต้องซื้อข้าวกินก่อน   ขนมไม่จำเป็น”  เด็กชายบอกเล่า ไม่ได้สังเกตว่าเด็กสาวกำลังกลั้นน้ำตา

ชื่อโปดกหรือ ถมปัดกำลังเรียนเวสสันดรชาดก เพิ่งท่องศัพท์ ยากไปเมื่อไม่นานมานี้ว่าโปดกแปลว่า ลูกสัตว์  คนตั้งชื่อเขาคิดอะไร นะ  เจ้าลูกสัตว์  ตัวผอมน่าสังเวชหรือ แม่เป็นเอดส์ พ่อคือใครก็ไม่รู้ เพิ่งรู้จักเมื่อโตอายุได้แปดขวบแล้ว  แล้วคนที่นี่เขาจะสงสารเจ้าลูก สัตว์กำพร้าแม่ตัวเล็กนี่หรือเปล่า

คุณป้าคนใจดีคงไม่มีปัญหา เลี้ยงอะไรเลี้ยงได้ ลูกคนไม่ใช่ลูกสัตว์คุณป้าคงยินยอมเลี้ยงดูหรอกน่า กลัวใจพี่แป๊ะ  ปิติ  ลูกชายคุณป้าคนเดียวเท่านั้นแหละ คนเอาแต่ใจตัวขนาดนั้น ปิติเป็นลูก ชายคนเดียวลูกเศรษฐีมีบริวารพรั่งพร้อม   เคยชินกับการออกคำสั่ง ไม่ค่อยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใครแม้แต่กับญาติสนิทอย่างถมปัด พ่อแม่ของ ถมปัดและถมทองน้องชายของเธอ เขาคงเหยียดหยามครอบครัวของ ถมปัดอยู่ลึก ๆ ว่าเอาตัวไม่รอด  ต้องมาอาศัยทำงานอยู่กับพ่อแม่ของเขาที่ดินของตัวเองหลุดจำนองหมดในขณะที่ครอบครัวนี้รุ่งเรืองมีที่ดินทำสวนส้มมากมายหลายร้อยไร่ แต่ก็มีศัตรูคู่แค้นที่น่ากลัวอยู่ใกล้เคียงกันด้วย

เดี๋ยวนี้ปิติดีขึ้นโดยเฉพาะกับถมปัด เด็กสาว เหยียดยิ้มแค้น ออกมา ถ้าถมปัดไม่ใช่คนสวยระดับดาราของโรงเรียนพี่แป๊ะคงมอง หรอก เด็กสาวยืดตัวตรง  เม้มริมฝีปากนิดหนึ่ง   เด็กสาวเป็นคนสวยรูปร่างดีแม้จะค่อนไปทางมีเนื้อมีหนัง ไม่ใช่หุ่นนางแบบ แต่ผิวหน้าใส  แก้มอิ่ม ริมฝีปากสีชมพูธรรมชาติ คิ้วเรียวยาวดกดำเข้มเป็นแนวโค้งเข้ากับดวงตาดำคม  จมูกโด่งเป็นสันพองาม แนวฟันขาว

 

 

 

สะอาดเป็นระเบียบ  เวลายิ้มเหมือนโลกจะยิ้มไปกับหล่อนด้วยหล่อนไม่รู้ตัวว่าเด็กชายโป๊ะกำลังมองใบหน้าของหล่อนอย่างพินิจ

“พี่สวยจัง พี่ชื่ออะไรนะครับ”

ถมปัดหัวเราะ  เขินนิดหน่อยกับคำชมของเด็กชาย

“พี่ชื่อถมปัด เ รียกพี่ปัดก็ได้จ้ะ  แม่พี่เป็นน้องสาวคุณป้าเรา เป็นญาติกันไง”

แต่เด็กชายฉลาดเกินคาด

“ผมไม่ใช่ลูกคุณป้าของพี่นี่  แม่ผมเป็นคนอื่น”

“แต่เธอเป็นลูกคุณลุง ก็เหมือนกันแหละ” ถมปัดตอบง่าย ๆ คนที่เธอนึกประหวั่นว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้ารู้ว่า

เด็กชายคนนี้เป็นลูกของคุณลุงโผล่เข้ามาในสายตา ปิติในชุดยีนส์สุดเท่กลับมาจากเที่ยวในเมืองพอดี

“น้องปัดจ๋า  ทำไมมาอยู่แถวนี้ ไม่ช่วยแม่ในครัว  เห็นเคยช่วยจนเป็นคนโปรดไงจ๊ะ  พี่ไปในเมืองมาซื้อชองมาฝากปัดด้วยนะ  แล้วไอ้กะหร่องนี่ใครกันล่ะ เ อามาแต่ไหน หือ” ปิติก้มมองเด็กชายตัวผอม

ถมปัดรู้ดีว่าคงไม่มีใครปิดบังปิติจึงบอกตามตรง “น้องชาย

                        พี่แป๊ะแหละ  คุณลุงพามาจากกรุงเทพฯ”

ปิติทำหน้าประหลาด  จ้องเด็กชายเขม็ง โปดกลนลานถอย กระเถิบไปห่างจนแทบตกม้ายาวที่นั่งอยู่

“เป็นไปได้ไง ปัดอย่าล้อเล่นน่า”

“คุณลุงไปแอบมีไว้ที่กรุงเทพฯ”  ถมปัดบอกง่าย ๆ “เขาอยู่กับแม่แล้วก็ตายาย  ทีนี้แม่กับตายายตายหมดแล้ว คุณลุงเลยตัดสินใจ

รับเขามาอยู่นี่ เมื่อก่อนเขาอยู่ดินแดง”

ถมปัดออกมายืนขวางระหว่างปิติกับเด็กชายโปดก

 

 

“พี่แป๊ะอย่าทำหน้าตาดุอย่างนั้นซีคะ  เขากลัว เห็นไหม

แป๊ะ สงสารน้องเถอะ  เขากำลังกลัว  แม่เพิ่งตาย  ตายายก็เพิ่งตาย เขา ไม่รู้จักพ่อเลย  อยู่ ๆ ก็มีคนมาบอกว่าเป็นพ่อแท้ ๆ แล้วก็พาเขามาอยู่เสียไกลถิ่นยังงี้  พี่แป๊ะอย่าทำร้ายจิตใจน้องหรือรังแกน้องนะคะ ถ้าพี่แป๊ะทำปัดโกรธจริง ๆ ด้วย”

“พี่เพียงแต่แปลกใจ  พ่อพี่น่ะใคร ๆ ก็ว่าเหมือนแมวนอนหวดรู้อยู่จะตาย แล้วไปแอบมีลูกไว้ที่กรุงเทพฯได้ยังไง  ปัดพูดเล่นหรือเปล่า  พ่อเอาลูกใครมาเลี้ยงละมั้งเห็นกำพร้า” ปิติจ้องมองเด็กชาย เขม็ง แล้วกลับหัวเราะลั่น

“แต่เอ๊ มันคงลูกพ่อจริง ๆ แหละแฮะ พ่อพี่นี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ เห็นเงียบๆ ทื่อๆดูซิ  คิ้วกับตามันเหมือนคุณปู่เปี๊ยบเลย ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน แล้วดูคางมันสิ คางคุณปู่แหละ พ่อเสียอีกยังไปทางย่า”

ปฏิกิริยาของปิติทำให้ถมปัดงุนงง

“พี่แป๊ะไม่โกรธเหรอ อยู่ ๆ คุณลุงก็มีลูกอีกคน  ไม่กลัวคุณลุงรักเด็กมากกว่าหรือ”

“ไอ้ลูกนอกกฎหมายเนี่ยนะ” ปิติทำเสียงสูงด้วยทีท่าหยามหมิ่น “พ่อไม่กล้าหรอก  เชื่อสิ ทิ้งขว้างมาได้ตั้งหลายปีจนแม่กับตายายตายหมดถึงกล้าเอามา  ลองดูสิ ลองดูว่าถ้าเลี้ยงไอ้นี่ดีกว่าพี่สิ”

“ปัดรู้ว่าคุณลุงคุณป้ามีพี่แปะคนเดียว  คุณป้ามีลูกไม่ได้อีกแล้ว พี่แป๊ะเป็นหนึ่งเดียวในบ้านนี้ เด็กคนนี้เทียบกับพี่ไม่ได้เลยแม้สักเท่าขี้เล็บ เพราะฉะนั้นก็เวทนาเขาเถอะนะคะ พี่แป๊ะ นึกเสียว่าทำบุญ”

ปิติไม่ตอบ เขาจ้องหน้าเด็กชาย“เอ้ย ไอ้หนู บอกก่อนนะว่าบ้านนี้น่ะข้าเป็นหนึ่ง อย่าคิดเผยอมาเทียบ  ทำตัวให้มันน่าสงสารหน่อยนะ ไม่งั้นเจ็บ”

 

เด็กชายโปดกนิ่ง

“แล้วเราน่ะควรจะทำยังไงเมื่อรู้ว่านี่น่ะพี่ใหญ่” ปิติชี้ที่อกตัวเอง เด็กชายนิ่วหน้านิดหนึ่งก่อนจะยกมือไหว้

“เออ  ให้มันรู้ซะมั่งว่าไผเป็นไผ”  ปิติใช้นิ้วชี้ขวาจิ้มหน้าผากเด็กชายแรง ๆ

“พี่แป๊ะ” ถมปัดลากเสียงยาวเป็นเชิงเตือนสติ “เด็กมันกลัวนะ อย่าข่มขู่เขานักเลย”

“ไม่ขู่ไว้ตั้งแต่เล็ก ๆ เดี๋ยวโตขึ้นมาจะเผยอผยอง  มันต้องกดไว้  แต่เด็ก ๆ”  ปิติให้เหตุผล

“ปัดจะสอนเขาเองว่าเขาควรจะทำยังไงนะคะ” ถมปัดพูดเสียง อ่อนหวานกับพี่ชายลูกป้า “เขาจะต้องเจียมตัวและใช้ชีวิตที่สวนนี่แบบไหน เขาจะต้องรู้ว่าที่นี่ใครเป็นจ่าฝูง”

“เฮ้ย ยายปัด แกพูดอะไรแบบนี้ จ่าฝูง พี่ไม่ใช่หมานะ” ปิติ โวยวาย

“แหม ปัดแค่เปรียบเทียบค่ะ ไม่ได้ว่าพี่เป็นหมาอะไรสักหน่อย เอ้า ปัดพูดใหม่นะคะ เขาจะต้องอยู่อย่างเจียมตัวและรับรู้ว่าใคร หญ่ายยยยยย”

“เออ  ถูกต้อง พูดจาแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย”  ปิติยื่นมือไป ทำท่าเหมือนจะจับแก้มถมปัด  เด็กสาวหลบทันที รู้ว่านี่มิใช่พี่ชายเอ็นดูน้องสาว แต่ปิติกำลังเจ้าชู้ยักษ์ ถ้ามารดาของเขาเห็นจะต้องเอ็ดว่าทำเช่นนี้ไม่ได้ ถมปัดโตเป็นสาวแล้ว  “แล้วแม่ว่าไง เรื่องนี้”

“ไม่รู้ค่ะ  เรื่องของผู้ใหญ่ คุณป้าไล่ปัดออกมานอกครัวเลย”

“คงกำลังชำระสะสาง”  ปิติทำเสียงหยัน “ถ้าแม่ไม่ยอมให้เลี้ยง จะทำยังไง อยากรู้จัง”

“คุณป้าไม่ทำอย่างนั้นหรอก คุณป้าไม่ใช่คนใจดำ” ถมปัดย่น

 

จมูกใส่ญาติผู้พี่

“ปัดนี่ช่างไม่เข้าใจอะไรเสียเลย  มันไม่ใช่เรื่องใจดำใจไม่ดำ แต่มันเป็นเรื่องเจ็บกระดองใจจ้ะ  เพราะสามีนอกใจ เข้าใจไหมจ๊ะ”

เด็กชายโปดกน้ำตาร่วง  จริงของเขา  ถ้าแม่เลี้ยงเขาไม่ยอมรับ ตัวเขาคงต้องไปเป็นเด็กข้างถนน  คนข้างบ้านเพื่อนของยายก็พูดแบบนี้มาแล้ว

“ถ้าคุณป้าไม่ยอม ปัดจะเอาเขาไปไว้ที่บ้านปัด”

“ไหน  บ้านปัดเหรอ  ที่ไหนจ๊ะ” ปิติหัวเราะเยาะ ถมปัดหน้าแดงกํ่า จริงสินะ หล่อนไม่มีบ้านเป็นของตนเอง บ้านที่อยู่ทุกวันนี้ คือบ้านผู้จัดการสวนส้มตามตำแหน่งงานของพ่อของเธอเท่านั้น“บ้านหลังนั้นคุณลุงคุณป้าให้เราอยู่  ถ้าปัดอยากจะเลี้ยงอะไร ปัดก็มีสิทธิ์ไม่ใช่หรือ”  ถมปัดเถียง

“เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวน่ะคงได้หรอก แต่เลี้ยงหอกข้างแคร่น่ะ ไม่แน่นักหรอกนะ ปัด”  ปิติไม่พูดเล่นอีกต่อไป สีหน้าเริ่มจริงจัง

“พี่แป๊ะก็ช่วยพูดหน่อยไม่ได้หรือคะ ไง ๆ เขาก็เป็นน้อง ไหนว่าเขาหน้าเหมือนคุณปู่พี่ นึกว่าเวทนา ถ้าพี่เมตตาเขา ปัดจะสอน เขาไม่ให้ลืมพระคุณพี่ใหญ่คนนี้ไปชั่วชีวิต”

“ก็แล้วถ้าโตขึ้นพิษสงเยอะล่ะ”  ปิติย้อน  “โถพี่แป๊ะ หัวเดียวกระเทียมลีบยังงี้จะมีพิษอะไรได้ ทั่วทั้งตำบลนี้มีใครใหญ่เท่าพี่แม้แต่ศพล”

ชื่อ ศพล ทำให้ปิตินิ่งไป

“ทุกอย่างมันขึ้นกับแม่พี่นะ”  ปิติตัดบท  “เราไปแอบฟังกันไหมล่ะ ดีไหม ปัด”

ถมปัดลังเล

“ไม่ดีมั้งพี่  โดนดุแน่เลย  ไปแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน”

 

“ไม่แอบแล้วจะรู้เรื่องเรอะ ปัดไม่ไปพี่จะไป ไอ้หนู เอ็งนั่งอยู่นี่นะ ห้ามไปไหน ไม่งั้นโดนหมาดุกัดไม่รู้ด้วยนะโว้ย  ที่นี่หมาดุนะ จะบอกให้”

“โธ่ พี่แป๊ะขู่เขาอีกแล้ว โป๊ะนั่งกินไอติมต่อนะจ๊ะ แต่มัน ละลายไปหมดแล้ว คงไม่อร่อยหรอก นั่งเฉย ๆ แล้วกัน เราจะไปฟังกันว่าผู้ใหญ่เขาว่ายังไง” ถมปัดนั่ง เด็กชายโป๊ะพยักหน้าด้วยทีท่า หงอย ๆ

ถมปัดกับปิติค่อย ๆ ย่องเข้าไปยืนชิดผนังบ้าน ทั้งสองคนเห็น ปัทมากับอานนท์นั่งประจันหน้ากัน หนุ่มใหญ่วัยกลางคนสีหน้าไม่เป็นสุข “ผมรู้ว่าผมผิด ปัทมาอาจจะไม่อยากยกโทษให้ผมเลยด้วยซ้ำไป แต่ผมขอร้องละ ผมยอมรับผิดทุกเรื่อง ผมไม่ได้ตั้งใจ เรื่องมันเกิด เพราะความคะนอง สนุกไปกับเพื่อน ๆ เท่านั้น”

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ ถ้านับอายุเด็กนั่น เท่าไหร่นะ แปดขวบ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมานานเก้าปีแล้ว ตอนนั้นคุณก็อายุสามสิบห้าแล้ว นะคะ แป๊ะอายุสิบขวบแล้วด้วยซ้ำไป”

“ผมไปพักกับเจ้าโชติแล้วก็พบปะกับลูกค้าตามปรกติ ตอน กลางคืนโชติพาไปเที่ยวแล้วก็พบกับแม่ของโป๊ะ เขาเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ แถวดินแดง เด็กใจแตกนะ”

“แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ คุณไม่เคยชอบเที่ยวกลางคืนเลยนี่คะ หรือว่าหล่อนสวยมากจนคุณอดใจไม่ได้ โชติเขาคิดอะไรที่แนะนำ เด็กคนนั้นให้คุณ”

“โชติเขาไม่ได้แนะนำหรอก แต่เด็กเที่ยวน่ะ ปัทมา รู้จักกัน เป็นทอดๆ เขาเป็นเด็กของโชติมาก่อน ใครให้เงินเขาพอใจเขาก็ไป เที่ยวด้วยแล้วก็ไปมีอะไรกัน”

“ตายจริง แล้วไม่มีการป้องกันกันเลยหรือคะ”

“คนอื่นเขาป้องกันแต่ผมไม่เคยเที่ยว ผมไม่ได้เตรียม แล้วผมก็เมา หนแรกเพราะเมา แต่หลัง ๆ ตอนเราพบกันหลายครั้งเข้าผมมันชะล่าใจ แต่เราก็ยุ่งกันอยู่ไม่กี่เดือนหรอกนะ ตอนที่ผมไปติดต่อห้างที่บางใหญ่เราก็เลิกคบหากันแล้ว โชติเคยพบบอกว่าหล่อนไปเที่ยวกับคนอื่นอีกสักเดือนสองเดือนแล้วก็ไม่พบอีกเลย มารู้อีกทีก็เห็นหล่อนท้อง ผมไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้ เพราะไม่คิดว่าหล่อนท้องกับผม”

ปัทมามองหน้าสามีนิ่งอยู่ ฟังเขาเล่าต่อไป “หล่อนมาขอเงินโชติเพื่อไปทำแท้ง โชติก็ให้ ไม่มีใครแน่ใจ หรอกว่าหล่อนท้องกับใครเพราะหล่อนไปกับใครต่อใครหลายคน แต่ โชติยืนยันว่าเขาป้องกัน เขาใช้ถุงยาง”

“แต่หล่อนไม่ได้ทำแท้ง”

“ใช่ กว่าจะรู้ว่าท้องก็ห้าเดือนเข้าไปแล้ว หล่อนมัวแต่ลังเลจน เด็กในท้องโตเกินกว่าที่หมอจะทำให้ หล่อนไม่กล้าไปหาหมอเถื่อน เพราะกลัวตาย ก็เลยเอาเด็กไว้ หนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนจนคลอดลูกแล้วหล่อนก็เอาลูกไปทิ้งให้ตายายเลี้ยงตามบุญตามกรรม ตัวเองก็เที่ยวกับผู้ชายต่อ ทำตัวเป็นสาวใหม่ หล่อนพบกับโชติอีก โชติก็ถามถึงเด็ก มันมาเกิดเหตุเอาตรงที่หล่อนบอกโชติว่าหล่อน สงสัยว่าผมเป็นพ่อของลูกของหล่อน ทีนี้บ้านโชติมันอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้น โชติก็เลยเห็นเด็กคนนี้และยืนยันว่าหน้าเขาเหมือนพ่อผมมากแม้ว่าเขาจะไม่เหมือนผมนักก็ตาม ผมรู้สึกผิดจริง ๆ นะคุณ ตอนที่ผมเห็นเขาครั้งแรกเขาตัวผอมบางกว่านี้อีก แม่เขาตายไปแล้ว เพราะโรคร้าย ตายายของเขาบอกโชติว่าลูกสาวเขาบอกว่าสงสัยผมเป็นพ่อของเด็กคนนี้ เขารู้ดีว่าทางเราอาจจะไม่เชื่อเพราะลูกสาวเขาก็ ไม่ใช่ผู้หญิงดี เขาขอร้องโชติให้บอกผมว่าขอให้สงสารเด็กเถอะ เขายากจนไม่มีปัญญาจะเลี้ยงให้ดีได้ แล้วสิ่งแวดล้อมแถวบ้านเขาก็ไม่ดี มีพวกยาเสพติดแล้วก็มั่วซั่วกันไปหมด ขอให้มาตรวจพิสูจน์ว่าเด็ก น่ะลูกผมหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ให้เอาไปเลี้ยง ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้อง เขาจะเลี้ยงเองตามบุญตามกรรม ผมทนความรู้สึกผิดไม่ได้ ถ้าเขาเป็นลูก ที่ผมเผลอไผลไปมีเข้า เขาก็ควรจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ผมไม่ได้ป้องกันระหว่างที่คบกับแม่เขา ผู้ชายคนอื่นอย่างโชติเขาป้องกันทั้งนั้น มีผมคนเดียวที่ไม่ได้ป้องกัน คนอื่น ๆ ที่เขานอนด้วยอาจจะมีคนที่ไม่ได้ป้องกัน แต่ช่วงระยะเวลามันไม่น่าสงสัย ตอนนั้นมีผมคนเดียวเท่านั้น ผมเลยพาเขาไปเจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ”

อานนท์เสียงสั่นเมื่อพูดประโยคต่อไป “เขาเป็นลูกผมจริง ๆ ด้วย ผมรู้สึกผิดบาปเหลือเกินที่ทำเขาเกิดมาแล้วไม่เคยได้รับผิดชอบเลี้ยงดู ผมเป็นผู้ชายไร้สติ ไม่ป้องกัน ไม่รับผิดชอบ ผมกำลังจะทำให้ลูกตัวเองกลายเป็นเด็กกำพร้าและ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย ผมเสียใจที่ทำผิดต่อคุณปัทมา ผมเสียใจ จริง ๆ คุณจะโกรธจะเกลียดผม ผมก็เข้าใจ ผมรับผิดทุกประการ”

“ขอแค่ให้ฉันยินยอมให้คุณเลี้ยงเด็กคนนี้ใช่ไหม คุณนนท์” ปัทมาถามเสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์

“ผมเพียงแต่ต้องการสารภาพผิด สารภาพบาปของผม คุณปัทมา คุณจะไม่ให้ผมเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ที่นี่ก็ได้ ผมจะส่งเขาไปอยู่ที่อื่น ผม เข้าใจ”

ปัทมาถอนใจ

“ฉันเข้าใจละค่ะ ฉันไม่ว่าถ้าคุณจะเลี้ยงเด็กคนนี้แต่ต้องให้ แป๊ะยินยอมด้วย เพราะถ้าแป๊ะไม่พอใจฉันก็ต้องเข้าข้างลูกของฉันนะคะ ฉันไม่ต้องการให้ลูกคับข้องใจ”

อานนท์นิ่งอึ้ง  เขาไม่แน่ใจในตัวลูกชายคนโตและคนเดียวของปัทมา


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024