สุดแต่ใจจะไขว่คว้า (โบตั๋น) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1

พ่อจัดการปูเสื่อที่นอกชาน แม่ยกถาดเคลือบใบใหญ่มาวางตรงกลาง ลูก ๆ ช่วยกันลำเลียงถ้วยกับข้าวมาวางในถาด แกงเผ็ดปลาดุกน้ำแกงมันย่องอยู่ตรงกลาง แกงจืดผักตำลึงหมูสับอยู่อีกข้างหนึ่ง ยำผักกระเฉดถ้วยน้อยๆ กับกุนเชียงทอดจานเล็ก

แม่ยกหม้อข้าวมาวางข้างถาด พุดจีบลูกสาวใหญ่วัยสิบสองยกจานสังกะสีเคลือบมาเจ็ดใบพร้อมช้อนสังกะสีเจ็ดคัน ทัพพีอยู่ในหม้อข้าวแล้ว พงศ์ถือขันน้ำฝนมาวางเคียงหม้อข้าว ในขันลอยจอกใบน้อยสำหรับตักน้ำดื่ม

 “เอ้า พร้อมกันยัง มากินข้าวได้แล้ว” แม่มองทุกคนในครอบครัว เหมือนจะสำรวจ แม่มีลูกห้าคน ตัวไล่ ๆ กัน เพราะแก่กว่ากันแค่ปีเดียวทั้งนั้น พุดจีบอายุสิบสอง พรรณพงศ์หรือที่เรียกกันว่าพงศ์เฉยๆ อายุสิบเอ็ด พัฒนะอายุสิบขวบ เรียกกันในหมู่พี่น้องว่าพัด พรพุฒิอายุเก้าขวบ กับน้องนุชสุดท้องชื่อพิณรมย์ ชื่อเพราะ ๆ เหล่านี้พระที่วัดท่านตั้งให้ ลำพังพ่อแม่ชาวสวนไม่อยากจะคิดชื่อเรียกยาก ๆ เลย

แม่มีลูกถี่ แต่พอถึงคนสุดท้อง คลอดแล้วตกเลือดเกือบตาย รักษาตัวหายแล้วมดลูกคงเสื่อมสภาพ ไม่มีเลือดประจำเดือนอีกเลย แม่จึงมีลูกห้าคน นับว่าน้อยกว่าลูกชาวบ้านข้างเคียงซึ่งมีกันครัวละเจ็ดบ้างสิบบ้าง แต่ก็ยังมากกว่าครอบครัวกำนันซึ่งมีลูกสาวเพียงสอง คือ วันแรมกับวันสว่าง พ่อเคยว่าคนรวย ๆ มีลูกน้อยเพราะคนบาปมีมากกว่าคนบุญ จึงมีคนเกิดมาสบายน้อยกว่าคนเกิดมาลำบาก ส่วนพ่อแม่ฐานะแค่พอมีกินอิ่ม ไม่ถึงกับอัตคัด แต่ก็ไม่เหลือเฟือ

“ลงมือเหอะ หิวแล้ว เดี๋ยวค่ำมากยุงก็ออกหรอก” พงศ์บ่น นั่งขัดสมาธิ ยกจานของตนมาวางตรงหน้าพร้อมกับช้อน แม่รีบตักข้าวในหม้อใส่จานให้จนพูน

“หิวก็ลงมือ เอ็งมันกินเก่งนัก”

“เก่งเกิ่งอะไร” พงศ์นิ่วหน้า “แกงนี่ก็เผ็ดจะตาย กินแต่แกงปลาดุกในท้องร่อง ทำไมไม่ซื้อเป็ดมาแกงมั่งล่ะ ไก่ก็ได้ เบื่อปลาจะตายแล้ว แกงปลาดุก ทอดปลาช่อน ผักตำลึงนี่ก็เหมือนกัน เบื่อ”

“เอ็งจะกินอะไรนักหนา” พ่อมองลูกชายคนโต “บ่นนัก มีกินก็ดีนักหนาแล้วว่ะ ไอ้พงศ์ ลองไปซื้อที่ตลาดซีวะ ปลาดุกโลละเท่าไรเอ็งรู้มั่งไหม หลายสิบนะโว้ย นี่ไม่ต้องซื้อต้องหา มะพร้าวก็มี พริกปลูกเอง ตากแห้งเอง ตำลึงในสวน ผักกระเฉดในท้องร่อง ซื้อแต่หมูกับกุนเชียง ซดน้ำแกงร้อน ๆ คล่องคอ กุนเชียงก็ให้น้อง มันกินเผ็ดไม่ได้ ยำกรุบกรอบอะไรนะมึง สมัยนี้ยำผักกระเฉดขึ้นเหลาแล้วนะโว้ย พรุ่งนี้ยำมะเขือยาว ถ้าใส่หมูทรงเครื่องเสียหน่อย กุ้งแห้งตัวโต ๆ เขาก็ขึ้นโต๊ะกันนะโว้ย นี่เรามีกินทุกวัน”

“ไอ้พัดไปไหน” แม่เพิ่งสังเกตว่าลูกคนกลางหายไป ไม่มีใครตอบแม่ พุดจีบเพิ่งพูดออกไปว่า

“อยากกินเป็ดกินไก่ก็ต้องเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ เรื่องจะให้แม่ซื้อน่ะคงยาก”

“แม่ถามว่าไอ้พัดหายไปไหน” แม่ถามซ้ำ “ไม่มีใครรู้เลยเรอะ”

พิณลุกขึ้นพันที

“พิณจะไปดูให้” พิณเป็นน้องคนเดียวที่ห่วงใยพัดเป็นพิเศษ พี่ๆ กับน้องชายไม่สนใจ เพราะพัดไม่ค่อยเข้าพี่เข้าน้อง ยกเว้นน้องสาวคนเล็ก พัดจะห่วงใยและให้ความเอาใจใส่ ช่วยทำโน่นทำนี่ให้ และที่พิณชอบที่สุดก็คือของเล่นที่พัดทำให้ ของง่ายๆ คิดขึ้นเอง ทำจากเศษวัสดุหรือดินเหนียว แต่พิณก็รักมันนักหนา ชอบเล่นมากกว่าตุ๊กตาที่แม่ซื้อมาให้จากตลาดเสียอีก เจ้าหล่อนมีวาจาที่พี่ชายฟังแล้วชื่นใจว่า

“มันดีจ้ะ พี่พัดเขาอุตส่าห์เสียเวลาทำให้นะนี่ ถึงจะแค่ดินเหนียวก็เถอะ”

ดินเหนียวปั้นเป็นเกวียนเทียมวัว ตากแดดแห้งแล้วมันก็แสนจะน่ารักน่าเล่น บางทีพุดจีบยังอดสนใจไม่ได้

“มันมัวทำอะไรของมันอยู่นะ ไอ้นี่มันบ้าทำของเล่น ไม่เข้าเรื่องเข้าราว ทีหนังสือหนังหาเรียนไม่ค่อยได้เรื่องเล้ย แค่สอบได้เกือบตกทุกที” พ่อถอนใจ “ไม่เหมือนไอ้คนขี้บ่นกินยากนี่”

พรรณพงศ์ยิ้มในหน้า เขาเรียนหนังสือเก่ง เรียกว่าเป็นความหวังของพ่อแม่เลยทีเดียว อีกหน่อยจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ไม่ต้องมาขุดดินเป็นชาวสวนอย่างพ่อแม่

“เรียนๆ ไว้ เผื่อจะได้เป็นนายอำเภอ เป็นตำรวจ หรือเป็นครูเป็นหมอกะเขาสักคน เชิดหน้าชูตาอย่างอาเอ็งเขา ปู่ภูมิใจอาเอ็งมากนะ ไม่เหมือนพ่อหรอก หัวขี้เลื่อย”

อาของเด็ก ๆ รับราชการอยู่ต่างจังหวัด เป็นสรรพสามิต อาไม่ค่อยมาเยี่ยมเยียนครอบครัวนี้ แต่เมื่อสมัยปู่ยังมีชีวิตอยู่อาก็แวะมาเยี่ยมบ้างนาน ๆ ครั้ง เช่น วันสงกรานต์ วันปีใหม่ มันช่วงโรงเรียนปิดเทอมกลาง อาก็พาลูก ๆ มาไหว้ปู่ไหว้ย่า เมื่อสิ้นปู่อาคงไม่รู้จะมาทำไมอีก นอกจากว่างจริง ๆ พุดจีบเคยไปเที่ยวบ้านอาครั้งหนึ่ง แต่พุดจีบไม่ติดใจสภาพชีวิตของครอบครัวอา เพราะไม่มีสวน ไม่มีท้องร่อง ไม่มีที่กว้าง ๆ ให้วิ่งเล่น มีแต่บ้านติดถนนรถมันฝุ่นซึ่งพุดจีบไม่ชอบเลย จะชอบก็ตรงที่อาอยู่ในฐานะคนสำคัญไม่น้อยคนหนึ่งของจังหวัด พุดจีบเป็นหลานอาก็เลยออกจะโก้ ๆ อยู่หน่อย ๆ ก็โก้กว่าอยู่บ้านของตัวเองละ

พ่อหัวขี้เลื่อย ก็ได้แค่ทำสวนทำไร่ ปลูกผักเลี้ยงปลาเลี้ยงหมูไปตามเรื่องตามราว

“ก็จะเป็นไรไปเล่า พอเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียแล้ว” แม่รีบให้กำลังใจ “มีข้าวกิน มีบ้านอยู่ ลูก ๆ ก็ได้เรียนหนังสือกันทุกคน เรียนกันไปจนสุดกำลัง สุดฝีมือ สุดแต่มันสมองของทุกคนแหละวะ แต่ถ้าคนไหนมันไม่เอาไหนนัก ก็ให้มันทำสวนต่อไป”

“ถนนกับเมืองมันรุกเข้ามาทุกทีแล้ว” พ่อบอกคล้ายจะบ่น “ไอ้พัดน่ะซิ ท่ามันจะแย่”

“นังพิณเลยพลอยหายไปด้วย ไม่ห่วงข้าวห่วงปลา” แม่ถอนใจ ขยับจะลุกไปตาม พ่อโบกมือห้ามไว้

“อย่าลำบากไปตามมันเลย มันไม่หิว ไม่อยากกินก็ชั่งหัวมัน เดี๋ยวก็กินข้าวราดน้ำแกงเผ็ดเอาเหอะ คงมัวเล่นอะไรกันอยู่น่ะซี”

พิณลงเรือนไปดูพี่ชายที่หลังบ้าน พิณรู้ถึงมุมสงบของพี่ชายกับสมบัติ “บ้า” ของเขา สำหรับพิณและพัด มันไม่ใช่สมบัติบ้า หากมันเป็นที่เก็บของใช้ที่วิเศษสุด ของที่พัดสะสมไว้นั้นทำอะไรได้มากมาย สนุกและไม่เปลืองเงินเปลืองทอง ลังสมบัติของพัดจะอยู่ข้างเล้าหมู เขาใช้แผ่นสังกะสีเก่าๆ นั้นเป็นเพิงเก็บของที่สะสมไว้ เศษไม้ ตะปู เลื่อย ค้อน นาฬิกาพังๆ ยางรถยนต์ ขวดพลาสติก หนังยาง และสารพัดของรก ของที่เลิกใช้แล้ว พัดรวบรวมมาไว้ในเพิงของเขา ไม่มีใครมายุ่งด้วยนอกจากพิณ

“พี่พัด ทำไมไม่ไปกินข้าว หือ แม่ให้มาตาม” พิณบอกเมื่อเห็นพี่ชายกำลังก้มหน้าก้มตาเลื่อยไม้อย่างขมักเขม้น “พิณกินยังล่ะ” พัดเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง

“กินไปหน่อยเดียว ยังไม่อิ่มเลย พี่พัดล้างมือไปกินข้าวเหอะ มัวทำอะไรอยู่น่ะ”

“ทำเรือให้เอ็งไง” พัดยิ้มกับน้องสาว “เอาไว้ลอยเล่น มันจะวิ่งได้ด้วยนะ”

“เรืออะไร” พิณลงนั่งยองๆ มองของในมือพี่ชาย ไม่เห็นมีอะไร นอกจากไม้กระดานเก่าๆ แผ่นหนึ่ง กับเศษไม้ และหนังยางวงๆ หลายวง

 “นี่นะ ไม้แผ่นนี้พี่เลื่อยให้มันหน้าแหลมเป็นสามเหลี่ยม ข้างหลังนี่เลื่อยให้มันเป็นแผ่นเล็กๆ อีกแผ่นหนึ่งไว้เป็นใบพัด เอายางผูกใบพัดเข้ากับท้ายเรือ หมุนให้ตึง ๆ นะ พอปล่อยลงน้ำเรือมันจะแล่นไปได้ เพราะพอเราปล่อยมือใบพัดมันจะหมุนกลับ เรือก็แล่นฉิวเลย เดี๋ยวพี่จะไปลองในท้องร่องดูนะ”

ด้วยเหตุนี้พิณจึงพลอยหายไปจากวงอาหารด้วย เจ้าหล่อนตามพี่ชายไปที่ริมท้องร่อง ดูพัดลอยเรือ พอเขาปล่อยมือจากใบพัดท้ายเรือ ยางคลายตัวออก เรือก็วิ่งฉิวแต่ไปชนตลิ่งอีกฟากหนึ่ง

“พี่พัดให้พิณเหรอ เรือนี่” พิณตบมือหัวร่อร่า พี่ชายพยักหน้า

“พิณจะบอกให้แรมกับสว่างเขาทำมั่งแล้วมาลอยแข่งกัน แต่มันจะวิ่งเร็ววิ่งช้าไหมจ๊ะ หรือวิ่งเร็วเท่ากันหมด”

“ไม่เท่าหรอก อยู่ที่ไม้หนาบางหรือแผ่นใหญ่แผ่นเล็ก แล้วก็ยางที่รัดด้วย ถ้ายางหลาย ๆ เส้นรัดตึงมาก ๆ นะ พอปล่อยมือเรือจะวิ่งได้ทน แล้วก็เร็วกว่าเรือที่ใช้ยางรัดใบพัดน้อย ๆ เส้น”

“แล้วพี่พัดอย่าเอาความลับนี่ไปบอกแรมกับสว่างนะ” พิณยิ้มย่อง เมื่อนึกว่าตนจะเล่นชนะเพื่อนคู่หู วันแรมกับวันสว่าง

พัดหัวเราะหึๆ ไม่ยอมรับปาก เขาจะไม่รับปากถ้าไม่แน่ใจตัวเอง ก็ถ้าวันแรมมาออดอ้อนอยากรู้ว่าทำไมเรือของพิณจึงแล่นได้เร็วกว่าเรือลำอื่นๆ เขาจะทนเก็บความลับไว้ได้อย่างไร เรื่องออดอ้อนผู้คนน่ะ ยกให้วันแรมเถอะ ฟังถ้อยวาจาของเจ้าหล่อนแล้วใครจะทนใจแข็งอยู่ได้ แต่วันสว่างนั้นไม่เป็นไรแน่เพราะวันสว่างไม่ค่อยพูดค่อยจา ถึงพูดก็พูดทื่อ ๆ ธรรมดา ๆ ไม่ปะเหลาะออดอ้อนเก่งเหมือนพี่สาวคนสวย

“ว่าไงล่ะพี่พัด อย่าบอกแรมเรื่องหนังยางนี่นะ” พิณคาดคั้นแต่พัดทำไม่รู้ไม่ชี้

“ไปกินข้าวเหอะ เดี๋ยวแม่บ่นตาย เอ็งทิ้งจานข้าวมาใช่ไหมล่ะ” พิณพยักหน้า

“เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำ ป่านนี้กับข้าวเรียบแล้วไม่รู้ นี่พี่พัด จะบอกอะไรให้ แม่แกงปลาดุกมันย่องเชียวนะ ต้มตำลึง ยำกระเฉด แล้วก็กุนเชียงทอด ยังงี้แล้วพี่พงศ์ยังบ่นนะ อยากกินแกงเป็ด แกงไก่ ว่าแม่ทำไมไม่ซื้อ”

“เขามันชาวเมือง จะเป็นขุนนางนี่หว่า ไม่ชอบอาหารชาวสวน ชาวไร่” พัดพูดเนือยๆ “อีกหน่อยคงอยากกินซุปหูฉลาม สเต๊กเนื้อ”

“อื๋อ เรียนเก่งเข้าหน่อย ทำท่ายังกะจะได้เป็นนายอำเภออยู่พรุ่งนี้แล้ว” พิณค่อน ทำท่าค้อนควัก ราวกับพงศ์ยืนอยู่ตรงหน้าหรือใกล้ ๆ

พัดล้างมือที่โอ่งน้ำข้างบันได พิณต้องล้างด้วยเหมือนกันเพราะมือเปื้อนน้ำท้องร่อง เจ้าหล่อนวางเรือไม้กระดานที่พี่ชายให้ไว้บนฝาโอ่ง แล้วเดินตามขึ้นมา

“มัวทำอะไรอยู่วะ” พ่อถามเมื่อลูกชายคนกลางก้าวเข้ามานั่งขัดสมาธิใกล้ ๆ พิณจึงตอบแทน

“พี่พัดเขาทำเรือให้พิณ”

“ทำเรือ เรืออะไรวะ”

“เศษไม้น่ะพ่อ ไม่มีอะไรหรอก” พัดตัดบท รับจานข้าวจากแม่ มองกับข้าวในถาด แกงพร่องไปเกือบหมด ปลาดุกชิ้นโต ๆ อยู่ในจานของพี่ชาย กุนเชียงเหลือห้าหกชิ้น ต้มจืดยังอยู่อีกครึ่งชาม เขาจึงตักต้มจืดกับตำลึงมากิน กุนเชียงนั้นแม้จะเป็นของชอบแต่เขาคิดว่าควรจะให้พิณเพราะพิณกินแกงเผ็ดไม่ได้

“เสียเวลาทำไปทำไม ทีหนังสือละไม่สนใจ เอ็งมัวแต่ทำอะไรไม่เข้าเรื่องยังงี้” พ่อบ่น พัดนิ่ง “การศึกษาน่ะมันสำคัญนะ พ่อไม่มีอะไรจะให้พวกเอ็งหรอก นอกจากการศึกษา แล้วเอ็งก็เอาแต่ต่อไม้ รื้อนาฬิกาเก่า ๆ ทุบเหล็กบ้า ๆบอๆนี่ต่อเรืออะไรของเอ็ง”

พัดนิ่ง พงศ์หัวเราะเยาะทั้งที่ข้าวเต็มปาก พิณนึกค่อนอยู่ในใจว่า ไหนว่าไม่ชอบแกงปลาดุก แต่ตักเอาเนื้อดี ๆ ไปหมด เหลือแต่น้ำแกงไว้ให้พัด

“สงสัยโตขึ้นมันจะเป็นนายท้ายเรือเมล์น่ะพ่อ”

พุดจีบหัวเราะคิก

“ไม่ก็ขับเรือหางยาว” เรือหางยาวเป็นพาหนะที่ชาวบ้านใช้กันมากในตำบลนั้น พัดยังคงนิ่ง ตักข้าวเข้าปากเฉย พรพุฒิอิ่มข้าวแล้วกำลังดื่มน้ำอยู่ เขาวางจอกลอยไว้ในขันและพูดขึ้นบ้าง

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ขับเรือสนุกดีออก”

พ่อส่ายหน้า

“เอ็งมันยังเด็กนัก นึกแต่เรื่องสนุก มันงานกุลี หากินก็ไม่รวย แล้วก็ไม่โก้ ไม่เหมือนรับราชการ ได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นใหญ่เป็นโต”

“พรยังอยากเป็นคนขับรถขายไอติมเลย” พรพุฒิหมายถึงรถส่งไอศกรีมซึ่งมีโฆษณาในโทรทัศน์ แม้บ้านของพวกเขาจะอยู่ในสวน แต่ก็อยู่ริมคลองใหญ่ มีเสาไฟปักผ่าน ในบ้านจึงมีไฟฟ้าใช้ และมีเครื่องใช้ไฟฟ้าเหมือนบ้านอื่นๆ อย่างโทรทัศน์ วิทยุ พัดลม เครื่องสูบน้ำ แต่พัดลมนั้นแม่ไม่ค่อยให้ใช้เพราะบ้านอยู่ใกล้น้ำ ปลูกโล่ง มีลมพัดผ่านเย็นสบายอยู่แล้ว

แต่แม่ชอบใช้หม้อธรรมดาหุงข้าว ไม่ใช้หม้อไฟฟ้า ด้วยเหตุผลว่า เสียดายถ่าน ติดถ่านเตาหนึ่งหุงข้าวหม้อ ทำกับข้าวสามอย่างพอดีไฟรา ถ้าใช้น้อยกว่านี้จะเสียถ่านไปเปล่า ๆ ถึงดับเก็บไว้ใช้คราวหน้ามันก็ไม่ดีเหมือนถ่านใหม่ ๆ

“เออ พอเอ็งโตกว่านี้เอ็งจะเข้าใจ” พ่อบอกพรพุฒิลูกชายคนเล็ก “ตอนนี้เอ็งยังไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้พัดนี่ล่ะ เอ็งสิบขวบแล้วนะ คิดแค่จะขับเรือเมล์เรอะ”

“ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะขับเรือเมล์ พี่พงศ์เขาแกล้งว่าคนเดียว” พัดรำคาญเต็มที “ผมยังไม่ได้คิดหรอกว่าจะทำอะไร ผมชอบทำอะไรพวกนี้ ก็ทำเล่น ๆ ไปงั้นเอง สนุกดี เพิ่งอยู่ชั้นประถม ยังไม่คิดหรอก เอาแค่เรียนให้จบมัธยมเสียก่อนเหอะ ค่อยคิดว่าจะทำอะไร”

“ของยังงี้มันต้องคิดต้องเตรียมเว้ย ไอ้พัด” พ่อไม่วายว่า “อย่างพี่เอ็งเขายังคิดแล้วว่าจะเรียนเป็นนายอำเภอ แล้วอีกหน่อยก็เป็นเจ้าเมือง”

“ผมเป็นช่างฟิตแล้วกัน” พัดพูดเหมือนจะตัดบท แม่สำลักน้ำดื่ม พงศ์กับพุดจีบปล่อยก๊าก พ่อถอนใจเฮือก

“เออ ดูมัน” พ่อพูดได้เท่านั้นก็วางช้อน ทำท่าอ่อนใจ

“พ่อจะคิดอะไรนักหนา ยังอีกนานนักหรอก มันก็พูดไปงั้นเอง” แม่ปลอบใจเมื่อเห็นสีหน้าพ่อ “อายุแค่สิบขวบ มันเข้าใจเสียเมื่อไร”

“มีแต่คนเขาอยากเป็นหมอ เป็นผู้พิพากษา เป็นตำรวจ เป็นครู ไอ้นี่อยากเป็นช่างฟิต เออดี ไว้ซ่อมเครื่องสูบน้ำให้กูแล้วกันวะ จะได้ไม่ต้องจ้างคนอื่นเขา”

พงศ์ลุกขึ้น เลื่อนจานข้าวไปรวมไว้กับของแม่และของน้อง หน้าที่ล้างจานเป็นของพุดจีบ ตัวเขาไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับงานบ้าน เขามีหน้าที่เรียนกับช่วยพ่อคิดเงินบ้างเท่านั้น

“ไหน ขอไปดูเรือของไอ้ช่างฟิตหน่อย” พงศ์ว่า “นังพิณมันถึงได้ทิ้งชามข้าวไปเล่นเสียนานสองนาน”

พิณขยับตาม หล่อนหวงของของหล่อน แม้แม่จะถลึงตาหล่อนก็ไม่ยอมนั่งต่อ พงศ์ลงไปถึงโอ่งน้ำ หยิบกระดานเรือมาดูแล้วก็เหวี่ยงทิ้ง ใบพัดซึ่งคล้องยางไว้หลวม ๆ จึงหลุดกระเด็น

“โธ่เอ๊ย นึกว่าเรือวิเสโสอะไร กะอีไม้ผุ ๆ แผ่นเดียว”

“เอาของพิณทิ้งไปทำไม” พิณร้องกรี๊ด กระโจนจากกลางบันไดไปที่ตัวพี่ชายใหญ่ ทุบเอาเต็มแรง หล่อนร้องไห้ลั่นบ้าน พ่อลุกขึ้นไปยืนหัวบันได พงศ์ผลักน้อง ร่างของพิณกลิ้งไปกับพื้นดินทุบ แม้จะไม่เจ็บแต่หล่อนก็โกรธนัก กระโจนเข้าหาพี่ชายอีก

“เฮ้ย พอทีน่ะ นังพิณ พงศ์ก็ไปเก็บของมาคืนน้องเสีย โธ่ กะอีกระดานแผ่นเดียวทะเลาะกันไปได้ นี่เพราะไอ้พัดเชียว ทำของมาให้มีเรื่อง” พ่อว่า

“อ้าว เป็นความผิดของผมไปเสียนี่” พัดคราง แม่มองหน้าพ่อ เม้มปากก่อนจะพูดเสียงเย็นชา

“แน่ะ พ่อ พงศ์น่ะมันเป็นพี่ชายใหญ่ อายุมากกว่าน้อง ของของน้องทำมาเล่นกัน มันจะแค่กระดานแผ่นเดียวหรือดินเหนียวก้อนเดียว มันก็ไม่มีสิทธิ์จะเอาของเขาไปทิ้งหรอกนะ คนเราถ้าคิดจะเป็นใหญ่เป็นโตเป็นผู้ปกครองคนอื่น มันต้องมีน้ำใจกรุณา คิดถึงอกเขาอกเรา พ่อจะเอาแต่เข้าข้างมันเพราะมันเรียนเก่งน่ะไม่ได้หรอก เก่งเท่าเก่งถ้าไม่มีธรรมะในหัวใจ มันก็เป็นผู้นำใครเขาไม่ได้หรอก”

พ่อสะดุ้ง รู้สึกตัว

“พงศ์เก็บของคืนน้องเสีย แล้วพิณมากินข้าวต่อ ยังไม่หมดจานเลย” แม่ไกล่เกลี่ย “พัดก็เหมือนกัน มากินข้าวเสียให้อิ่ม พุดมันจะได้ล้างจานเสียที”

แล้วแม่ก็ดึงพ่อไปอีกทางหนึ่ง

“พ่อน่ะเข้าข้างพงศ์มันมากไปนะ บ่อยด้วย ฉันว่ามันไม่ถูกหรอกนะ พ่อ พี่ชายใหญ่ควรจะคุ้มครองน้อง นี่มันเห็นแก่ตัวจะแย่ ไม่ว่าเรื่องกิน เรื่องอยู่ เอาเปรียบน้องเห็นได้ชัด อย่างแกงปลาเมื่อกี้มันบอกไม่ชอบกินแต่มันตักเนื้อดี ๆ ไปหมด พ่อกับคนอื่นแทบไม่ได้กินเลย มันไม่ถูกเรื่อง”

“มันยังเด็กอยู่น่า แค่สิบเอ็ดขวบ มันก็งกเรื่องกินเป็นธรรมดา”

“เออ แล้วนังพุดกับไอ้พัดล่ะ มันก็ยังเด็ก มันเคยเป็นยังงี้มั้ย มันส่อนิสัยนะ ถ้าเรียนเก่งได้ดีไป เป็นนายอำเภอเป็นเจ้าเมือง เห็นแก่กิน เห็นแก่ตัวยังงี้ มีหวังแทนที่จะเป็นเกียรติยศกับครอบครัว มันจะกลายเป็นรอยด่างเพราะมีเรื่องฉ้อเรื่องบังหลวง พ่อคิดเสียมั่งนะ”

“มันเป็นความหวังของข้า” พ่อเถียง “แม่น่ะคิดมากเรื่อง พอโตอีกหน่อยมันก็หาย บ้านเราจะได้มีเจ้าเมืองสักคน เอ็งหาได้ที่ไหน สอบได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ยังงี้ ครูชมเปาะทุกคน มันเก่งทุกวิชา”

“ฮึ เก่งทุกวิชามันก็ดีหรอก แต่พ่อต้องสอนมันให้รู้หน้าที่ของพี่ชายใหญ่มั่ง ไม่ใช่ได้ดีคนเดียว น้องนุ่งเป็นไงชั่งหัวมัน มันเรียนเก่งพ่อเลยจะส่งเสียมันคนเดียวให้เต็มที่งั้นรึ ไม่ได้หรอก ถ้ามันเรียนจบแล้วเราเป็นอะไรไป น้องนุ่งยังพึ่งตัวเองไม่ได้ มันจะอุปการะน้อง เป็นที่พึ่งให้น้องได้มั่งมั้ย พ่อต้องนึกข้อนี้มั่งนะพ่อ เข้าข้างมันนักไม่ดีหรอก ต้องอบรมมันมั่ง มีอย่างรึหยิบของน้องขึ้นมาได้ ไม่ชอบใจ เหวี่ยงทิ้งเลย ใช้ได้ที่ไหน”

“เรื่องอบรมนี้ยกให้เป็นหน้าที่แม่แล้วกัน” พ่อตัดบท

“งั้นก็อย่ามาห้าม อย่ามาเข้าข้างมันเวลาฉันทนไม่ไหว ซัดมันเข้า มั่งน่ะนะ จำไว้นะว่าพ่อพูดแล้วว่ายกให้เป็นหน้าที่ฉันอบรมมันน่ะ”

“เออน่า อย่าให้มันรุนแรงนักก็แล้วกัน”

“พ่อนี่ ฉันเป็นแม่มันนะ จะรุนแรงยังไงก็เป็นแม่ ไม่ถึงกับตีมันหัวร้างข้างแตกหรอกน่า มันก็ลูกฉัน เบ่งมันออกมาแท้ ๆ”

พ่อหัวเราะ แม่มองลูกชายใหญ่แล้วก็ถอนใจ หันไปมองเจ้าพัด แล้วก็ให้รู้สึกอ่อนใจ ดู ๆ ไปแล้วมันไม่พอดีกันเสียเลย คนหนึ่งนิสัยไม่ดี แต่เรียนเก่ง คนเรียนไม่เก่งมันนิสัยดี ทำไมความดีกับความเก่งมันไม่รวมอยู่ในคนคนเดียวกันนะ


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (85 รายการ)

www.batorastore.com © 2024